“เสี่ยวฟาน เฮ่อชินอ๋องกำลังมาแรง เราต้องระวังเอาไว้นะ!”ในฐานะที่เป็นคนในเกม อู่จ้านรู้ว่าตัวเองมีความสามารถจำกัด เสี่ยวฟานย่อมต้องมีเหตุผลในการทำเช่นนี้ และที่ผ่านมาเสี่ยวฟานก็รอบคอบเสมอ ทั้งยังวางแผนอยู่ในกระโจม ในเมื่อเขากล้าแข็งข้อกับเฮ่อชินอ๋อง นั่นแสดงว่าเขาต้องมั่นใจพอตัว ดังนั้นเขาจึงเลือกเตือนเพียงเล็กน้อย“อื่ม อาจ้านวางใจเถอะ ข้ารู้จักพอเหมาะพอควร!”ฉินอวิ๋นฟานยิ้มจาง ๆ “ไปกัน เรื่องที่ลานกลางเมืองยังรอให้เราไปสะสางอยู่!”เกี่ยวกับเรื่องของเฮ่อชินอ๋อง ฉินอวิ๋นฟานตรวจสอบอย่างลับ ๆ มานานแล้ว ทั้งยังได้ข้อมูลที่มีประโยชน์ไม่น้อย ที่เขากล้าตั้งตัวเป็นปรปักษ์กับเฮ่อชินอ๋อง ก็เพราะว่าต่างคนต่างกำลังเดิมพันอยู่ในใจลานกลางเมืองมีผู้คนล้นหลาม ฉินอวิ๋นฟานกวาดมองสถานที่แล้วก็พาลรู้สึกอึ้ง ความกระตือรือร้นของชาวบ้านต่างจากในอดีตบนใบหน้าของพวกเขาเปื้อนไปด้วยสีสันแห่งความสุข ซึ่งนี่คือสิ่งที่ฉินอวิ๋นฟานพึงพอใจมาก ทุกคนแต่งตัวดีขึ้นมาก นี่ก็คือการเปลี่ยนแปลง ฉินอวิ๋นฟานรู้สึกยินดีกับพวกเขาจากใจจริงทหารของค่ายทานหลางกำลังควบคุมการดำเนินงานอยู่ ส่วนคนของหน่วยลาดตระเวนสวมแผ่นไม้กระด
“เงียบ!!!”เมื่อเห็นเจ้าหน้าที่หน่วยลาดตระเวนเจ้าทีหนึ่งข้าทีหนึ่งทำลายกันเองได้พอประมาณแล้ว ฉินอวิ๋นฟานขี้เกียจจะฟังพวกเขาไร้สาระกันอีก เพราะเรื่องนี้เป็นที่กระจ่างชัดเรียบร้อย“คาดว่าทุกคนคงได้ยินแล้ว ข้าจะสาธยายรายละเอียดกับทุกคนรอบหนึ่ง หวังว่าทุกคนจะจดจำใส่ใจ”ฉินอวิ๋นฟานพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “หน่วยลาดตระเวนลักของในการดูแลของตัวเอง ร่วมกันวางแผนขโมยของในสุสาน ใส่ความพ่อค้าของต้าเฉียนเรา โยนความผิดให้กับเสิ่นวั่นซาน นอกจากนี้ยังกุมขังเขาโดยปราศจากเหตุผล ก่อนจะตรวจสอบเรื่องให้แน่ชัดก็ลงทัณฑ์ทรมานอย่างหนักด้วยความคิดมาดร้าย ละเมิดกฎหมายของต้าเฉียน”เมื่อชาวบ้านได้ยินการรายงานอย่างชัดเจนของฉินอวิ๋นฟานพลันตกตะลึงพรึงเพริด พวกเขารู้ดีที่สุดว่าเสิ่นวั่นซานคือใคร เนื่องจากธุรกิจของเสิ่นวั่นซานกำลังขยายเป็นวงกว้าง ดังนั้นทุกคนจึงมีงานที่ดีกว่าเดิม ได้รายรับสูงกว่าเดิม ที่สำคัญไปกว่านั้นคือ เสิ่นวั่นซานเป็นคนที่มีหัวการค้ามาก เขานอกจากจะกำหนดระเบียบการค้าใหม่ ยังทำให้พ่อค้าเล็ก ๆ ที่ถูกบีบและกดดันได้รับการปฏิบัติอย่างเป็นธรรม มีชีวิตที่ดีมากขึ้นเรื่อย ๆทว่าพวกเขาก็รู้เหมือนกัน เสิ่น
การทำความสะอาดหน่วยลาดตระเวนขนานใหญ่ของฉินอวิ๋นฟาน พริบตาก็ทำให้เกิดคลื่นยักษ์ในเมืองหลวง บรรดาขั้วอิทธิพลใหญ่ต่างรู้สึกถึงอันตราย ถามเซียนชี้ทางเอาตัวรอดกันสารพัดรูปแบบบิดารวมไปถึงตระกูลของพวกเหลียงจ่านพากันวิ่งโร่มาเมืองหลวงด้วยต้องได้คำอธิบาย ทว่าต้องมาเจอกับฉากเด็ดขาดของฉินอวิ๋นฟาน คนหน่วยลาดตระเวนมากมายระเหิดหายไปทันควัน พวกเขาจึงจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากบรรดาตระกูลใหญ่“ท่านผู้เฒ่าเริ่น ข้าขอร้องละ ช่วยลูกชายผู้น่าสงสารของข้าด้วยเถอะ เขาตายอนาถนัก ท่านต้องคืนความเป็นธรรมให้ลูกของข้านะ”หลี่จินซานบิดาของหลี่มู่จากตระกูลหลี่แห่งเมืองจางคุกเข่าอยู่ตรงหน้าท่านผู้เฒ่าเริ่น ร้องห่มร้องไห้จะเป็นจะตายหัวใจจะสลาย“ใช่แล้ว ท่านผู้เฒ่าเริ่น รัชทายาททำเกินไปนัก รวมอำนาจและสิทธิพิเศษมากมายในเมืองหลวง ฆ่าคนดังผักปลา ไม่มีขอบเขตให้กล่าวถึง ขืนปล่อยให้เขาทำแบบนี้ต่อไป ราชวงศ์ต้าเฉียนเราได้วุ่นแน่!”“ถูกต้อง มีคนเถรตรงเป็นไม้บรรทัดแบบนี้ที่ไหน? นี่มันไม่ไว้หน้ากันเลย มนุษยสัมพันธ์เล็กน้อยก็ไม่มี เหลวไหลจริง ๆ!”“ท่านผู้เฒ่า ท่านเป็นที่เคารพนับถือของต้าเฉียน เพื่อชะตาในอนาคตของต้าเฉียน โ
“หา ท่านตา นี่ นี่...”ท่าทีปุบปับของท่านผู้เฒ่าเริ่นทำเอาฉินอวิ๋นคังไปไม่เป็น ปกติท่านตาไม่ได้เป็นแบบนี้นี่ วันนี้เป็นอะไรไป? กลับรังเกียจตระกูลพวกนี้?“คังเอ๋อร์ วันนี้ข้าต้องมอบบทเรียนหนึ่งกับเจ้าอย่างจริงจัง มิเช่นนั้นถึงเวลาเจ้าตายยังไม่รู้ว่าตายได้ยังไง!”ท่านผู้เฒ่าเริ่นเอ่ยเสียงหนัก “ตอนนี้ข้าจะถามเจ้า เจ้ารู้หรือไม่ว่าทำไมคนพวกนี้ถึงมาหาข้า?”ฉินอวิ๋นคังถูกท่านตาถามอย่างเอาจริงเอาจังเช่นนี้ จึงตอบอย่างละอายใจอยู่บ้าง “น้องเจ็ดเฉียบขาดนัด ทำให้พวกเขารู้สึกถึงอันตราย ดังนั้นจึงมาขอให้พวกเราคุ้มครอง อย่างไรเสีย ตระกูลเริ่นก็คือตระกูลเหนือระดับของต้าเฉียน” “เจ้าพูดถูกแค่ครึ่งเดียว ไม่ได้พูดถึงประเด็นสำคัญของเรื่อง”ท่านผู้เฒ่าเริ่นกล่าวเสียงหนัก “พวกเขามาเพื่อต้องการการคุ้มครองจริง แต่ที่มากกว่าเกรงจะเป็นผลประโยชน์ตลอดจนสิทธิพิเศษในมือที่เสียไป ทันทีที่ฉินอวิ๋นฟานเรืองอำนาจ พวกเขาต้องการหลายเป้าโจมตีแน่ ดังนั้นพวกเขากลัวฉินอวิ๋นฟานจะได้ขึ้นครองราชย์ อยากให้เราสกัดฉินอวิ๋นฟานเอาไว้”“จะสกัดน้องเจ็ดก็ไม่มีอะไรผิดกระมัง? เจ้านี่ทำงานเด็ดขาดเกินไป ไม่ไว้หน้าใครเลย”ฉินอวิ๋นคั
ท่านผู้เฒ่าเริ่นมองไปทางฉินอวิ๋นคังแล้วพูดอย่างจริงจัง “คังเอ๋อร์ ปีนี้เจ้าอายุสามสิบแล้ว มีบางเรื่องก็สมควรบอกแก่เจ้าสักที”“เชิญท่านตาพูด!”ฉินอวิ๋นคังหน้าตาตื่นตัว ท่าทีจริงจังขึ้นมา“คังเอ๋อร์ ขอเพียงเจ้าได้ขึ้นครองราชย์ ตระกูลเริ่นจะรุ่งเรืองอีกสักครึ่งศตวรรษก็ไม่เป็นปัญหา เฮ้อ! ข้าหรือไม่อยากช่วยให้เจ้าได้เป็นฮ่องเต้?! แต่น่าเสียดาย สถานการณ์ในปัจจุบันไม่เป็นผลดีกับเราอย่างยิ่ง ความอยู่รอดคือทางเลือกอันดับหนึ่งของเรา!”ท่านผู้เฒ่าเริ่นพูดด้วยความกังวลฉินอวิ๋นคังขมวดคิ้วมุ่นถาม “ท่านตา พวกเราไม่มีโอกาสสักนิดแล้วจริง ๆ หรือ? ต่อให้เรานั่งภูชมพยัคฆ์ต่อสู้ รอพวกเขาเพลี่ยงพล้ำทั้งสองฝ่ายแล้วค่อยลงมือก็ไม่ได้?”ท่านผู้เฒ่าเริ่นส่ายหน้าตอบ “ก่อนที่หิมะจะถล่ม ไม่มีหิมะเกล็ดใดที่บริสุทธิ์ ทันทีที่ไท่ซั่งหวงเปิดฉากต่อสู้ซึ่งหน้า พวกเราไม่มีทางรอดเด็ดขาด ถึงตอนนั้นจำเป็นต้องเลือกฝั่ง ขอเพียงเรากล้าไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด เมื่อฝ่ายหนึ่งชนะก็จะคิดบัญชีกับเราทุกเรื่อง”“ท่านตา ข้ามีสองเรื่องที่ไม่เข้าใจ เรื่องแรก ทำไมเสด็จปู่กับเสด็จอาต้องเปิดศึกกันด้วย? มิควรเป็นเสด็จอาเปิดศึกกับฉินอวิ๋นฟานหร
ท่านผู้เฒ่าเริ่นไม่ได้ตอบคำถามฉินอวิ๋นคัง แต่มองไปทางฮั่วเจิ้นหลงและพูด “เจิ้นหลง ไหนเจ้าลองพูดความคิดเห็นของเจ้ามาดูสิ!”“เรียนท่านผู้เฒ่า ข้าคิดว่ายืนอยู่ฝั่งไท่ซั่งหวงจะน่าเชื่อถือกว่าขอรับ”ฮั่วเจิ้นหลงกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “ข้าวิเคราะห์เช่นนี้ ตระกูลเหอกับเฮ่อชินอ๋องบรรลุข้อตกลงกันแล้ว ศักยภาพโดยรวมแข็งแกร่งกว่าไท่ซั่งหวง หลังจากพวกเขาเอาชนะฉินอวิ๋นฟาน จะต้องหันมาสู้กันเองในท้ายที่สุด หรือไม่ก็คือแบ่งผลประโยชน์กัน”“ถ้าเราเข้าร่วมกับเฮ่อชินอ๋องจะเป็นการเพิ่มดอกไม้บนผ้าทอ มิใช่การส่งถ่านกลางหิมะ ดังนั้นตามความเข้าใจที่ข้ามีต่อตระกูลเหอและเฮ่อชินอ๋อง พวกเขาให้ความสำคัญกับผลประโยชน์มาก ทั้งยังโหดเหี้ยมอำมหิต มิใช่ผู้ใจบุญสุนทานหรือยึดถือสัจจะ ทันทีที่เราเข้าร่วมกับพวกเขาและเอาชนะไท่ซั่งหวง พวกเรายากจะหนีรอดจากชะตากรรมถูกชำระคดีในท้ายที่สุด”“แต่ไท่ซั่งหวงจัดเป็นผู้ปกครองราชวงศ์ มีฐานะถูกหลักทำนองคลองธรรม พวกเราเข้าร่วมกับพวกเขาคือการส่งถ่านกลางหิมะ อีกอย่างฉินอวิ๋นฟานเป็นคนเถรตรง เมื่อฉินอวิ๋นฟานเถลิงราชสมบัติ พวกเราย่อมเรืองอำนาจด้วยอย่างแน่นอน เพียงแต่อำนาจในมือจะน้อยลง แต่ฐาน
“พี่อวิ๋นฟาน ใกล้จะสิ้นปีแล้ว ท่านจะไปต้าเหลียงจริงหรือ?!”มู่หรงจิ่นซบอยู่บนแผ่นอกของฉินอวิ๋นฟานอย่างอาลัยอาวรณ์ ส่วนหลู่เซียงหลิงที่นอนตะแคงอยู่ด้านข้างก็บ่นขึ้นมาว่า “พี่จิ่นเอ๋อร์ ท่านไม่รู้อะไร ฮ่องเต้ต้าเหลียงก็คือเสด็จตาของพี่อวิ๋นฟาน เห็นว่าฮ่องเต้ต้าเหลียงเตรียมสาวงามน่าประทับใจให้พี่อวิ๋นฟานคนหนึ่ง รักและเอ็นดูพี่อวิ๋นฟานจะตายไป”“โอ๊ะ อย่างนี้นี่เอง มิน่ามีคนอดรนทนไม่ไหวอยากไปราชวงศ์ต้าเหลียงเดี๋ยวนี้แล้ว!”“ก็นั่นนะสิ! ใครบางคนอาจแหนงหน่ายพวกเราพี่น้องแล้ว อยากไปเจอรักใหม่เร็ว ๆ เห็นว่าที่ตั้งของต้าเหลียงหนาวเหน็บ ผิวพรรณหญิงสาวทั้งขาวทั้งเนียน”“เฮ้อ! เช่น เช่นนั้นต่อไปเรามิต้องย้ายไปอยู่ตำหนักปีกแล้วหรือ?”ทั้งสองเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย มู่หรงจิ่นทำท่าเข้าใจกะทันหัน บทสนทนาเปรี้ยวจี๊ดทำให้ฉินอวิ๋นฟานลำบากใจอย่างหนัก เจ้าปีศาจน้อยสองตัวนี้อยู่ฝั่งเดียวกันตั้งแต่เมื่อไรนะ?ป๊าบ...ฉินอวิ๋นฟานตบบั้นท้ายของพวกนางทีหนึ่ง ตามด้วยกัดฟันพูด “เจ้าปีศาจน้อยสองตัวนี้ ผีนักแสดงเข้าสิงร่างหรือ จินตนาการเก่งจังเลยนะ”“ไอ้หยา พี่จิ่นเอ๋อร์ ท่านดูสิ พี่อวิ๋นฟานมือหนักแค่ไหน เห็นช
สองดรุณีซบอกของฉินอวิ๋นฟานด้วยความสุข แล้วพูดเสียงหวาน “พี่อวิ๋นฟาน พวกเราพี่น้องเข้าใจ แค่ไม่อยากให้ท่านจากไปนานเท่านั้น”“พี่อวิ๋นฟานคือคนที่ทำงานใหญ่ ที่ควรไปเราก็ไป พวกเราพี่น้องจะคิดถึงท่าน แต่ท่านต้องระวังความปลอดภัยนะ สิ่งที่พวกเราต้องการง่ายมาก ไม่ว่าจะเป็นยังไง พวกเราหวังว่าท่านจะกลับมาอย่างปลอดภัย”ฉินอวิ๋นฟานฉีกยิ้ม “ช่วงที่ไปมันนานไปหน่อยจริง ๆ ข้าก็ไม่อยากจากพวกเจ้าพี่น้องเหมือนกัน ดังนั้นคืนนี้เรามาโต้รุ่งกันเถอะ ให้ข้ารักพวกเจ้าให้มาก”“ไอ้หยา! ท่านน่าชังนัก!”มู่หรงจิ่นและหลู่เซียงหลิงเข้าใจทันทีว่าต่อจากนี้จะเกิดอะไรขึ้น สองดรุณีหน้าแดงไปถึงกกหู มุดศีรษะเข้าทรวงอกของฉินอวิ๋นฟาน“เสี่ยวจวี๋ ถึงเจ้าจะไม่ใช่ภรรยา แต่ก็อย่าเห็นเป็นอื่น ปกติก็ทำกับพวกเจ้าพี่น้องเหมือนกัน”ฉินอวิ๋นฟานมองเสี่ยวจวี๋ที่นอนอยู่ด้านข้างพลางยิ้มร้าย “ข้าติดใจกับฝีมือเด็ดของเจ้านัก ค่ำคืนเช่นนี้ ขาดเจ้าไป ความสนุกก็หายไปฮวบสิ!”“เจ้าค่ะ รัชทายาท เสี่ยวจวี๋มาเดี๋ยวนี้แล้ว!” เสี่ยวจวี๋ใบหน้าจิ้มลิ้มแดงซ่าน รีบร่วมวงอย่างว่าง่าย...ภายใต้ม่ายรัตติกาลนี้ เสียงวาบหวามเพิ่มระดับถึงขีดสูงสุด ทำให้
ในที่สุดเหมิงฉาก็รับไม่ไหว ร้องตะโกนคำที่แทบจะเป็นความอัปยศนั้นการแข่งขันทางบู๊นี้ก็ปิดฉากลงท่ามกลางความตกตะลึงพรึงเพริดของทุกคน...เรื่องหักเหจากการคาดหมายของทุกคนเหลียงจ้านอิงและเหลียงเทียนจื้อต่างคิดไม่ถึงว่าเหลียงเทียนอี้จะล้วงปืนสั้นออกมาพลิกสถานการณ์ในการแข่งขันด้านบู๊นี้กระทั่งว่าเหลียงเทียนจื้อไม่มีโอกาสจะได้ออกโรงเลย...เช่นละครอย่างไรอย่างนั้น เนื่องจากเหมิงฉากลัวสุดขีดจึงยกมือยอมแพ้ดังนั้นเหลียงเทียนอี้จึงคว้าชัยชนะการแข่งขันรอบนี้ได้อย่างง่ายดายโดยไม่เปลืองแรงภาพมหัศจรรย์เกิดให้แบบไม่มีการเปลี่ยนแปลงลุ้นระทึกและไม่มีเลือดร้อนพลุ่งพล่านที่ใครคาดหวัง!ถึงขั้นว่าลวงตามากแต่ผลลัพธ์เป็นของจริงแท้แน่นอน เหลียงเทียนอี้ชนะแล้ว......“ดูท่าครั้งนี้ฟานเอ๋อร์จะช่วยข้าได้มากอีกแล้ว”เหลียงเทียนอี้กลับมาถึงด้านในก็คืนปืนสั้นให้ฉินอวิ๋นฟานและพรูลมหนัก ๆ“เหอะ ๆ เสด็จน้าชมเกินไปแล้ว ทุกอย่างขึ้นอยู่กับกลยุทธ์ของท่านทั้งหมด ไม่เกี่ยวกับข้าสักหน่อย”ฉินอวิ๋นฟานยักไหล่ มิได้กล่าวอะไรอีกถ้าจะบอกว่าเขาทำอะไรเพื่อเหลียงเทียนอี้ นั่นก็แค่บอกเขาว่าความจริงการแข่งขันนี้สามาร
การกระทำของเหลียงเทียนอี้ทำให้ทุกคนในนั้นตกตะลึงแม้แต่เหลียงจ้านอิงที่อยู่บนปะรำก็ยังหยุดการดื่มน้ำชาไม่ได้ มองไปด้วยสีหน้าประหลาดใจ“เขาคิดจะทำอะไรกันแน่?”เหลียงเทียนจื้อมองเหลียงเทียนอี้ที่ปราศจากเครื่องป้องกันใด ๆ ด้านข้าง ใบหน้าแปลกใจนี่คือการแข่งขันบู๊นะ คือสถานที่ตีรันฟันแทง ถ้าไม่ระวังอาจต้องคมศาสตราได้จริง ๆ ศีรษะย้ายที่อยู่ หากไม่ใช่เพราะมั่นใจกับฝีมือของตัวเองมาก กอปรกับวางแผนร่วมกับทางซยงหนูดีแล้วเขาคงต้องสวมชุดเกราะหนักมารับมือกับการแข่งขันด้านบู๊วันนี้เหมือนกันทว่าการกระทำเช่นนี้ของเหลียงเทียนอี้ต่างจากการรนหาที่ตายอย่างไร?ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกแปลก เหลียงเทียนจื้อหน้าบิดเบี้ยวเล็กน้อย...ทั้งที่เขาควรดีใจกับเวลานี้ ถ้าเหลียงเทียนอี้เกิดอุบัติเหตุในการแข่งขันรอบนี้ เช่นนั้นบัลลังก์ต้องเป็นของเขาแน่แล้วแต่ใจกับกระวนกระวาย อย่างไรก็ไม่เป็นสุข“หรือว่าเขาแอบวางแผนอะไร?”ทันใดนั้นเหมิงฉาเริ่มบุกโจมตีก่อนแล้วร่างสูงใหญ่นั้นหวดขวานใหญ่หนักร้อยชั่งพลางเข้าใกล้เหลียงเทียนอี้อย่างต่อเนื่องภายใต้แสงสุริยา คมมีดนั้นน่ากลัวเช่นนี้ ราวกับแค่ถากเถือเบา ๆ ก็เฉือนศีรษ
“ข้าเอง!”ทันใดนั้นเหลียงเทียนอี้ก็ก้าวออกมาช้า ๆโง่อย่างที่คิด...เหลียงเทียนจื้อยืนยิ้มเยาะอยู่ในใจข้างหลังเขารู้นิสัยของพี่ชายดี และรู้ว่าเหลียงเทียนอี้เป็นคนดื้อรั้นมากเมื่อเจอกับสถานการณ์เช่นนี้ก็มักจะดาหน้าออกไปทันทีแม้เผชิญหน้ากับพันขุนศึกหมื่นอาชาก็ยังปราศจากความกลัวเกรง พลีตนจนตัวตาย...แต่พฤติกรรมวู่วามเช่นนี้ กลัวแต่ต้องจบอย่างอนาถในท้ายที่สุด“ฮ่า ๆ ๆ รัชทายาทกล้าหาญดังคาด!” เหมิงฉาหัวเราะเสียงดัง “ปกติยังนึกว่าท่านเป็นแต่สะบัดพู่กันขีดเขียน วันนี้ข้าอยากลองดูสิว่าฝีมือดาบกระบี่ของท่านจะล้ำลึกหรือไม่?”เพิ่งกล่าวจบ เหมิงฉาก็กวัดแกว่งขวานใหญ่พลางเดินประชิดไปทางเหลียงเทียนอี้ทีละก้าวรูปร่างใหญ่นั้น ร่างกายแข็งแรงนั้น แค่ยืนอยู่ก็สร้างแรงกดดันที่มองไม่เห็นแล้วทำให้หลาย ๆ คนเห็นแล้วอดเกิดใจกลัวอย่างหนึ่งขึ้นมาไม่ได้“อุ๊ย ท่านพี่จะเอาชนะสัตว์ประหลาดตัวนี้ยังไง?”เหลียงจื่อฝูที่อยู่บนปะรำหน้าทุกข์ร้อน สองมือบีบผ้าเช็ดหน้าแน่น สีหน้าซีดไปเล็กน้อยนางจ้องเหลียงเทียนอี้กลางลานฝึกซ้อม“ท่านพี่ไม่มีความสามารถด้านนี้เท่าไร ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเหมิงฉา!”ผู้เป็นน้องสาว
เหลียงเทียนอี้ขมวดคิ้วแน่น ใบหน้าราบเรียบ มองอารมณ์ไม่ออกแต่ในใจเขารู้ดี การต่อสู้ครั้งนี้ได้เปิดฉากอย่างเป็นทางการตั้งแต่เหมิงฉาเริ่มพูดแล้วนี่คือการหยามหน้า คือการหยามเหยียดอย่างชัดเจนไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาเลย“เป็นยังไง? องค์ชายสาม?”เหมิงฉาเมินเหลียงเทียนอี้ที่อยู่อีกทางหนึ่ง แล้วใช้สายตาท้าทายมองไปทางเหลียงเทียนจื้อ ก่อนจะเอ่ยเสียงเย็น “ได้ยินว่าฝีมือการใช้ดาบกระบี่ขององค์ชายสามค่อนข้างร้ายกาจ วันนี้ข้าขอท้าทายสักหน่อยเถิด”“มิเป็นไร” เหลียงเทียนจื้อฉีกยิ้ม ใบหน้าเปื้อนไปด้วยความกระหยิ่มใจจากนั้นก็ชักกระบี่ล้ำค่าคู่กายออกมาจากตรงเอวช้า ๆการต่อสู้ครั้งนี้ คือของเขาเท่านั้น!และเป็นเขาได้เท่านั้น!เขาต้องการให้ทุกคนรู้ว่าเขาเหลียงเทียนจื้อต่างหากที่เป็นผู้ชนะในท้ายที่สุดคนนั้น คือคนที่สามารถเอาชนะซยงหนูได้อย่างแท้จริง!......“ดูท่าทุกอย่างจะดำเนินไปตามแผนนะ”เหลียงจ้านอิงดื่มน้ำชาสบายใจเฉิบอยู่บนปะรำมองผลสะท้อนกลับอย่างอบอุ่นของเหล่าผู้ชม จิตใจยิ่งฮึกเหิมตื่นเต้นไม่พูดไม่ได้เลย ถ้อยคำนั้นของเหมิงฉาทำให้เกิดผลดีเยี่ยม สามารถชักจูงอารมณ์ของทุกคนได้ในพริบตาเขาเช
ตกลงไว้แต่แรกว่าเป็นการแข่งขันรูปแบบปิด และไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร นอกจากราชวงศ์จะมิมีผู้ใดล่วงรู้ทว่าตอนนี้กลับแข่งขันในลานกว้างต่อหน้าธารกำนัล?หากท่านพี่แพ้มิต้องเป็นที่หัวเราะไปทั่วหรือ?“นี่ก็คือผลลัพธ์ที่ทางเหลียงชินอ๋องต้องการกระมัง?”ฉินอวิ๋นฟานนั่งลงด้านข้าง ยิ้มพูดอย่างเฉยชา “ในฐานะที่เป็นละครฉายซ้ำของวันนี้ พวกเขาแค่ต้องการให้ทุกคนได้เห็นความประดักประเดิดของเสด็จน้าเท่านั้น”แต่แพ้จากการต่อสู้เช่นนั้นผลลัพธ์ต้องเทข้างแน่โอรสสวรรค์ของต้าเหลียงที่กล่าวขานกลับแพ้ให้กับคนป่าเถื่อน ทั้งความสามารถยังมิสู้องค์ชายสามเหลียงเทียนจื้อขอเพียงมีการพูดประเภทนี้ต่อไป ไม่นานอัตราการสนับสนุนเหลียงเทียนจื้อก็จะพุ่งสูงลูกไม้พรรค์นี้ช่างโหดเหี้ยมนัก“น่ารังเกียจจริง ๆ...” คิ้วงามเหลียงจื่อฝูย่นยู่เล็กน้อย อดกระตุกมุมปากไม่ได้ “ไม่เคยคิดเลยว่าพวกเขาจะใช้วิธีการต่ำช้าเช่นนี้”“เมื่อวานท่านพี่ชนะการแข่งขันด้านบุ๋นกับซยงหนูในท้องพระโรง พวกเขาไม่เห็นจะพูดกันเลย เลวทรามจริง ๆ!”ฉินอวิ๋นฟานหัวเราะอย่างไม่ออกความเห็นเขากลับไม่ใส่ใจว่าเมื่อวานจะชนะหรือแพ้ วันนี้ต่างหากที่เป็นส่วนสำค
สำหรับเหลียงเทียนอี้ การแข่งขันในวันนี้ค่อนข้างน่าตกใจแต่ยังดีที่สุดท้ายเขาสามารถคลี่คลายได้อย่างน่าอัศจรรย์ ทำให้พวกซยงหนูหน้าบึ้งตึง โจมตีจนพวกเขารับมือไม่ทันดูท่าปกติว่างเว้นจากการงานอ่านหนังสือให้มากจะมีประโยชน์...หลังประชุมเช้า เหลียงเทียนอี้ก็อดรนทนไม่ไหวบอกข่าวดีกับฉินอวิ๋นฟาน อยากแบ่งปันความสุขและความเปรมปรีดิ์ของตนแต่พอได้ยินฉินอวิ๋นฟานตอบกลับ เขาจึงตระหนักว่าเรื่องราวไม่ได้เรียบง่ายธรรมดาอย่างที่เขาคิดอย่างนั้น“การแข่งขันทางบู๊ในวันพรุ่งนี้จึงจะเป็นส่วนสำคัญอย่างแท้จริง”คำพูดราบเรียบประโยคหนึ่งของฉินอวิ๋นฟานทำให้ความยินดีปรีดาของเหลียงเทียนอี้ในแต่เดิมสูญสิ้น สีหน้าอึมครึมมากขึ้นเรื่อย ๆ“ข้าย่อมรู้ดี...แต่ปกติ คนที่จะชนะในการแข่งขันทางบู๊คงจะเป็นน้องสาม”เกี่ยวกับจุดนี้แทบไม่มีอะไรให้ลุ้นเพราะเหลียงเทียนจื้อร่ำเรียนกับเหลียงจ้านอิงแต่เล็ก อีกทั้งยังเคยเข้าสนามรบฟาดฟันกับศัตรู ด้านประสบการณ์การรบ จึงมีความคล่องมากกว่าเป็นธรรมดาเช่นนี้ หากคิดจะชิงคะแนนหนึ่งมาจากมือของเหลียงเทียนจื้อ คาดว่าต้องยากเป็นพิเศษเมื่อเห็นเหลียงเทียนอี้มีท่าทางปราศจากใจฮึดสู้ ฉินอวิ
“พันทุบหมื่นเจาะจึงได้แผ่นดิน ไฟโหมเผาไหม้เป็นอาจิณ ร่างแหลกกายเหลวมิหวั่น คงไว้ซึ่งความบริสุทธิ์ในโลกา”ฝุ่นหินหนึ่งบททำให้หลิ่วเหวินเซี่ยมั่นใจมากขึ้นไม่น้อยครั้งนี้เขาไม่ออมมืออีก ทั้งยังท่องออกมาจนจบ ไม่เปิดโอกาสใด ๆ ให้กับเหลียงเทียนอี้เช่นเดียวกัน เขาทำนอกเหนือแผนเดิม ไม่คิดสนใจความรู้สึกของเหลียงเทียนจื้ออีก“นี่ นี่มันกลอนอะไร?”เหลียงเทียนจื้อที่อยู่ด้านหลังเหงื่อตก ในหัวถึงขั้นว่าไม่มีความทรงจำอะไรเกี่ยวกับกลอนบทนี้แน่นอน ด้วยความทึ่มทื่อของเขาจะต่อกลอนได้อย่างไร ได้แต่เกาหลังศีรษะยิก ๆทว่าเหลียงเทียนอี้ยังใจเย็นเหมือนเดิม เพียงครู่เดียวก็ตอบ“หวงคะนึงความทุกข์เข็ญในการสอบ บัดนี้ไฟสงครามสงบผ่านพ้นสี่ปี”“บ้างเมืองไหวเอนดังกิ่งหลิว ใครเล่ามิใช่ผิวน้ำฝนซัดสาด”“หวงข่งทานปราชัยพรั่นพรึงถึงวันนี้ หลิงติงหยางอ้างว้างถอนหายใจ”“นับแต่โบราณใครบ้างมิดับสูญ เหลือใจรักชาติในพงศาวดาร”ครั้นกล่าวออกมาก็ได้รีบเสียงปรบมือดังสนั่นขุนนางบุ๋นบู๊ที่ชมละครฉากเด็ดในแต่เดิม ยามนี้ยอมสยบกับความสามารถทางวรรณกรรมของเหลียงเทียนอี้แล้วไม่ว่าจะเป็นกลอนในสมัยใด เหลียงเทียนอี้ก็เหมือน
ชั่วขณะ ท้องพระโรงเงียบกริบ สายตาของทุกคนรวมศูนย์อยู่กับตัวของเหลียงเทียนอี้แทบทั้งหมดในดวงตาเต็มไปด้วยความประหลาดใจและความยินดีหลังจากหลิ่วเหวินเซี่ยร่ายกลอนท่อนแรกออกมา เหลียงเทียนอี้กลับสามารถตอบสนองทันควันพร้อมต่อท่อนหลังความเร็วเช่นนี้เรียกว่าเร็วยิ่ง!“อวิ๋นเฉ่าสาทรฤดูมีเขียวแห่งวสันต์ของกวีราชวงศ์ซ่ง คือยอดบทกวีโดยแท้!”เหลียงเทียนอี้พยักหน้าอย่างสง่างาม ใบหน้าประดับรอยยิ้มมั่นใจงานนี้ทำให้เหลียงเทียนจื้อที่อยู่ข้างล่างหน้าตึงฉับพลันเหลียงจ้านอิงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ยิ่งหนักกว่า สายตาที่มองมาราวกับมีไฟพุ่งออกมาได้“บ้าเอ๊ย...ถูกชิงตัดหน้าไปก่อน!”เหลียงเทียนจื้อกัดฟันกรอด ในใจกรุ่นโกรธไม่หยุดทั้งที่เขาทำการบ้านมาล่วงหน้า ไม่ว่าหลิ่วเหวินเซี่ยจะท่องกลอนบทใดเขาก็เตรียมเอาไว้หมดแล้วแต่ในสถานการณ์เช่นนี้ เขากลับเร็วสู้เหลียงเทียนอี้ไม่ได้!และไม่รู้ว่าตัวเองโง่เขลาหรือเหลียงเทียนอี้เก่งจริงกันแน่!“รัชทายาททรงภูมิแท้ ข้าน้อยเลื่อมใส!”หลิ่วเหวินเซี่ยพยักหน้าด้วยสีหน้าคงเดิมทว่าในใจกลับไม่พอใจเล็กน้อยแล้วคิดไม่ถึงว่าเหลียงเทียนอี้ผู้นี้จะมีฝีมือ เขาจงใจเลือกบทกวี
การกระทำเช่นนี้คือการแสดงความยโสหยิ่งผยองของซยงหนูอย่างมิต้องสงสัย“เหมิงฉา คารวะรัชทายาท”“หลิ่วเหวินเซี่ย คารวะรัชทายาท”คนอื่น ๆ ก็ทักทายตามด้วยเหมือนกัน เมื่อนั้นเหลียงเทียนอี้จึงรู้ฐานะของพวกเขาดูแล้วหนึ่งคนในนั้นก็คือบุตรชายของเหมิงเก๋อเอ่อร์ หรือก็คือคนที่มาท้าทายเขาในครั้งนี้อย่างที่เหลียงจ้านอิงบอก การมาครั้งนี้ของเหมิงเก๋อเอ่อร์ก็เพื่อหยั่งเชิงเขาโดยอ้างเหตุผลเยี่ยมเยือนฮ่องเต้ต้าเหลียง ดังนั้นเรื่องที่เริ่มสนทนาในท้องพระโรงจึงเกี่ยวกับสุขภาพของฮ่องเต้ต้าเหลียงแทบจะทั้งหมดทว่าทุกคนในที่นั้นต่างรู้ดี จุดประสงค์ของผู้นิยมสุรามิได้อยู่ที่สุรานี่อย่างไร ครั้นเปลี่ยนเรื่อง เหมิงเก๋อเอ่อร์ก็กล่าวถึงการแข่งขันเลย“ได้ยินว่ารัชทายาทและองค์ชายสามเก่งทั้งบุ๋นแล้วบู๊มานาน คืออัจฉริยะของต้าเหลียง การมาเยือนต้าเหลียงครั้งนี้ นอกจากจะเยี่ยมฮ่องเต้ต้าเหลียงสหายเก่าท่านนี้ ก็อยากให้บุตรชายได้ประมือกับรัชทายาทและองค์ชายสักหน่อย”เหมิงเก๋อเอ่อร์สีหน้าขึงขัง ในที่สุดก็เข้าประเด็นชั่วขณะ ทุกคนในท้องพระโรงหัวใจจะหลุดออกมาอยู่แล้ว ต่างสังเกตสีหน้าเหลียงเทียนอี้อย่างแนบเนียนทว่าเ