ฉินอวิ๋นคังเพิ่งขึ้นกำแพงเมืองก็หาเรื่องฉินอวิ๋นฟานทันที“ทำไม? ฝนจะตก แดดจะออก เกิดเรื่องแค่นี้ข้าก็ชื่นชมภูเขาลำน้ำสักหน่อยไม่ได้แล้วหรือ? การทลายรังโจรเกรงจะไม่ใช่เรื่องเร่งร้อนกระมัง?”ฉินอวิ๋นฟานเลิกคิ้วพูด“ไม่เร่งร้อน? น้องเจ็ด เจ้าไม่ได้ล้อเล่นกับข้ากระมัง?”ฉินอวิ๋นฮุยพูดจริงจัง “น้องรองถูกพวกโจรทำจนเป็นอย่างไรไปแล้ว พวกเราพี่น้องจะทนได้หรือ? พวกมันมิใช่กำลังหยามเกียรติของราชวงศ์ต้าเฉียนเราหรือ?!”“อ้อ?”ครั้นฉินอวิ๋นฟานได้ยินการพูดของฉินอวิ๋นคังก็ได้กลิ่นตุ ๆ ทันที เขาถามในแบบหยั่งเชิง “พี่ใหญ่ ท่านหมายความว่ายังไง?”“น้องเจ็ด ข้าขอพูดตามตรง ข้าแค่มาถามเจ้าว่าเรื่องทลายรังโจรที่เจ้าพูดเมื่อก่อนหน้านี้ยังจะถือเป็นจริงจังหรือไม่?”ฉินอวิ๋นคังเอ่ยเสียงหนัก“ลูกผู้ชายอกสามศอก ลั่นวาจาประหนึ่งน้ำที่สาดออก ในเมื่อข้าว่าจะทำ เช่นนั้นก็ต้องทำ นี่ยังมีอะไรไม่จริงจัง?”ฉินอวิ๋นฟานพูดอย่างจริงจัง“ดี มีคำพูดนี้ของเจ้า ข้าก็วางใจแล้ว!”ฉินอวิ๋นคังกล่าวต่อ “ตอนนี้น้องรองถูกพวกโจรโจมตีเละไม่เป็นท่า แทบถูกล้างบางทั้งกองทัพ ถ้าพวกเราพี่น้องไม่แสดงท่าทีสักหน่อย ไอ้โจรพวกนั้นจะยิ่ง
“ยุ ยุหรือ? น้องเจ็ด อาหารกินไปเรื่อยได้ แต่คำพูดจะพูดไปเรื่อยไม่ได้นะ เรื่องการทลายรังโจรเจ้าเป็นคนพูดเอง ข้าไม่ได้บังคับเจ้าสักหน่อย!”ฉินอวิ๋นคังสะดุ้งในใจ รีบอธิบายเป็นการใหญ่ “ถึงพวกเราสามคนพี่น้องจะเป็นคู่แข่งกัน แต่เราจะแอบกระหยิ่มยิ้มย่องกับการล้มเหลวของน้องรองไม่ได้ อย่างไรเสีย ที่ขายไม่ใช่แค่หน้าของน้องรอง แต่เป็นหน้าของราชวงศ์ต้าเฉียนเรานะ!”สายตาหลบหลีกของฉินอวิ๋นคังยืนยันการสันนิษฐานของฉินอวิ๋นฟาน พี่ใหญ่มีปฏิกิริยาเช่นนี้ เห็นชัดว่ามีชนักติดหลัง ต่อหน้าทำเป็นยึดถือคุณธรรม ความจริงก็คือกลัวว่าเขาจะไม่ไปทลายรังโจรดูท่าหนทางการไปทลายรังโจรสายนี้ คงมีหลุมพรางใหญ่อยู่ รอให้เขากระโดดลงไปแต่ฉินอวิ๋นฟานไม่หลงกลง่ายอย่างนั้นหรอก ต่อให้ถูกยั่วยุหรือถูกด่าว่าเป็นเต่าหดหัวอย่างไร เขาก็จะไม่ล้อเล่นกับชีวิตพี่น้องในมือของตัวเองเป็นอันขาด ประสบการณ์การปฏิบัติภารกิจลับหลายปีบอกกับเขาว่าจะทำงานด้วยอารมณ์ไม่ได้เด็ดขาด ยิ่งห้ามทำเรื่องที่ไม่มั่นใจ“พอ พี่ใหญ่ ข้าเข้าใจความหมายของท่าน”ฉินอวิ๋นฟานเข้าใจความหมายในคำพูดของฉินอวิ๋นคังแล้ว และคร้านจะไร้สาระกับเขา เพียงพูดอย่างเฉยชา “ในเม
“มากันครบแล้ว หลิวเป้ย เจ้าเล่าข้อมูลที่ได้รวบรวมมาได้กับทุกคนอย่างละเอียดเถอะ!”คนในห้องโถงล้วนเป็นคนที่ฉินอวิ๋นฟานไว้เนื้อเชื่อใจมากที่สุด เพื่อให้การทลายรังโจรหนนี้สำเร็จ หลิวเป้ยได้ข้อมูลที่สำคัญมากมา เขาจำเป็นต้องรีบรวมทุกคนมาร่วมกันกำหนดแผนการสมบูรณ์แบบ“ได้! เป็นเช่นนี้...”หลิวเป้ยไม่หมกเม็ดใด ๆ เขาบอกข้อมูลที่ตนรวบรวมมาได้อย่างละเอียดรอบหนึ่ง ครั้งทุกคนได้ฟังเป็นต้องสูดลมเย็นเข้าปากเป็นแถว เหมือนกับที่พวกเขาสันนิษฐานไว้จริง ๆ ด้วย!“ดูท่า ภายใต้ผลประโยชน์อันยั่วยวน องค์ชายใหญ่ หลัวเทียนเป้าและจางหมาจื่อน่าจะบรรลุข้อตกลงอะไรกัน จงใจวางแผนนี้ขึ้น”หานซิ่นพูดด้วยสีหน้าขมึงทึง“เช่นนั้นตอนนี้เราควรทำยังไงดี? จะไปทลายรังโจรหรือไม่? เพราะนี่คือเส้นทางไปมีไปไม่มีกลับ”เซียวหยางค่อนข้างรู้เรื่องเมืองอู่โจวดี ในเมื่อบนเขามีการจัดวางหลุมพรางอยู่ เช่นนั้นถ้าพวกเขาทลายรังโจรต่อก็เท่ากับรนหาที่ตาย ต้องสูญเสียอย่างมหาศาล ไม่ค่อยเหมาะสมอย่างชัดเจน“ไม่ว่าจะยากยังไง เราก็ต้องกวาดล้างกองโจรพวกนี้ แค่ว่าเราต้องเปลี่ยนรูปแบบและวิธีการบางอย่างเท่านั้น!”ฉินอวิ๋นฟานพูดหน้าขรึม “หลิวเป้ย ส
เห็นหานซิ่นมั่นใจเช่นนี้ เซี่ยงเส้าเหยียนงงหนักกว่าเดิม เดินตามทหารชุดสีเขียวไปถึงหน้าห้องโถงด้วยความฉงนฉงายเต็มเปี่ยม เห็นเพียงทหารผู้นั้นยกหน้าไม้ประณีตในมือขึ้นเบา ๆเขาหยิบลูกศรขนนกความยาวประมาณยี่สิบเซนติเมตรออกมาจากกระเป๋าสะพายหลังช้า ๆ วางไว้บนร่องหน้าไม้ที่ขัดอย่างละเอียด ตามด้วยเล็งไปยังโคมไฟซึ่งอยู่ห่างออกไปห้าสิบเมตรโดยตรงเกี่ยวกับความลับของหน้าไม้ มีแต่คนสนิทอย่างพวกหานซิ่นและหลิวเป้ยที่รู้ และเป็นอาวุธสังหารในสนามรบที่สำคัญอย่างยิ่งยวดของฉินอวิ๋นฟาน ไม่ว่าจะลอบสังหารหรือทำสงคราม ล้วนมีกำลังขย่มขวัญสะพรึงกลัวมากกว่าอีกอย่าง ฉินอวิ๋นฟานดัดแปลงหน้าไม้กับหลู่หนี ทาน้ำมันพืชประมาณหนึ่งกับลูกศร ลดแรงเสียดทานระหว่างลูกศรกับร่อง แล้วลดความยาวของลูกศร เช่นนี้จะสามารถลดการต้านของลมได้พวกเขาเพิ่มความยืดหยุ่น อานุภาพในการยิง ความเร็วและระยะห่างในเวลาเดียวกัน หน้าไม้เช่นนี้จะน่ากลัวมากกว่าเดิม!ฟิ้ว...ท่ามกลางสายตาของทุกคน ทหารผู้นี้เหนี่ยวกลไกเบา ๆ ได้ยินเพียงเสียวฟิ้วที่หนึ่ง ลูกศรขนนกพุ่งออกไปแล้ว ไม่มีใครเห็นร่องรอยการออกตัวของมันชัดเจนสักคน โคมไฟก็หล่นลงมาแล้ว! ซี้ด...
หานซิ่นเข้าใจเดี๋ยวนั้น พาเด็กหนุ่มอายุสิบสี่สิบห้าเดินออกมาทันที เขาดูมีชีวิตชีวาเต็มสิบ แววตาคมกริบ แม้ร่างกายจะไม่ได้กำยำมากนัก แต่สามารถดูออกได้ว่าเคยผ่านการฝึกหฤโหดมา“นี่คือ...”เซี่ยงเส้าเหยียนถามด้วยความฉงน“เขาคือสุดยอดอาวุธสังหารที่ผ่านการฝึกลับอย่างเข้มงวดโดยเฉพาะ ประเดี๋ยวก็รู้แล้ว”ฉินอวิ๋นฟานยิ้มมุมปาก ใบหน้าคือความมั่นใจทั้งหมด เขาซ่องสุมมานานอย่างนั้น ที่ต้องการก็คือเวลาเหมาะสม หนึ่งรบเลื่องชื่อ ประกาศศักดาความน่าเกรงขามของค่ายทานหลางและค่ายทัพหน้าให้เกริกก้อง และยังต้องทำให้ทุกคนรู้สึกลึกลับยากจะคาดเดาการทลายรังโจรครั้งนี้ก็คือโอกาสยอดเยี่ยมโอกาสหนึ่ง นอกจากจะสามารถแสดงพลังน่ากลัวของทั้งสองค่าย ยังสามารถทำให้คนรู้สึกลึกลับไม่อาจสืบภายใต้การชี้นำของหานซิ่น เด็กหนุ่มยกของที่ทำจากเหล็กดำเงาหนึ่งออกมาจากเอว รูปทรงพิลึกกึกกือ เขาเล็งก้อนหินที่อยู่ไกลประมาณเจ็ดแปดสิบเมตรตรงหน้าแล้วเหนี่ยวไกทันใด“ปัง ๆ ๆ ๆ...”จู่ ๆ ก็เกิดเสียงกัมปนาท ทุกคนตกใจรีบเอามือปิดหูถอยหลัง ในดวงตาคือความสะพรึงกลัว แค่ชั่วเดี๋ยวเดียว เด็กหนุ่มหยุดการเคลื่อนไหวที่มือ“นี่ นี่ นี่...”หนนี้
“อาเจ็ดเซี่ยง ท่านว่าถ้าข้าใช้มันสู้กับยอดฝีมือเขตปรมาจารย์หรือยอดฝีมือที่เก่งกว่านั้น จะมีโอกาสชนะมากน้อยแค่ไหน?”เห็นเซี่ยงเส้าเหยียนทำหน้าอย่างนี้ ฉินอวิ๋นฟานย่อมรู้ความเปลี่ยนแปลงภายในใจของเขา จึงถามต่อ“รัชทายาท ถ้าท่านมีกองทัพเช่นนี้ แม้จะมียอดฝีมือเขตปรมาจารย์กลุ่มหนึ่งอยู่ตรงหน้า ก็ไม่พอให้หวั่นเกรง สำหรับยอดฝีมือที่ขั้นสูงกว่าเขตปรมาจารย์ นั่นว่ายาก”เซี่ยงเส้าเหยียนหัวเราะหน้าเจื่อน “แต่อานุภาพและความเร็วของเอเคสี่สิบแปดน่ากลัวมากจริง ๆ สามารถทะลุทะลวงคนได้ในพริบตาเดียว ถึงพวกเขาที่เป็นยอดฝีมือคิดจะทำร้ายท่านก็เกรงว่าจะเป็นงานหิน เพราะไม่สามารถเข้าใกล้ท่านได้”“อาเจ็ดเซี่ยง ในเมื่อท่านพูดอย่างนี้แล้ว เช่นนั้นท่านคิดว่าการทลายรังโจรครั้งนี้ของข้าจะสำเร็จหรือไม่?”ฉินอวิ๋นฟานถามเซี่ยงเส้าเหยียนยิ้มขม “ข้าคิดว่ารัชทายาทมีอาวุธสังหารร้ายน่ากลัวเช่นนี้อยู่ อยากแพ้เกรงว่ายาก!”ทุกคนเห็นเซี่ยงเส้าเหยียนพูดอย่างนี้ ขวัญกำลังใจเพิ่งขึ้นพรวด มีอาวุธสังหารร้ายสองอย่างนี้แล้วยังมีอะไรต้องกลัว? แม้จะอยู่ในป่าในเขาก็สามารถเดินอย่างอาจหาญ โจรพวกนั้นจะเก่งกาจเพียงใด สุดท้ายก็คือร่างท
“อื่ม ไม่เลว!”ฉินอวิ๋นฟานเห็นหานซิ่นวิเคราะห์ละเอียดเช่นนี้ จึงพยักหน้าด้วยความชื่นชมและแสดงออกว่าเห็นด้วย หานซิ่นวิเคราะห์ได้เหมือนเขามาก“เอ่อ ในเมื่อมีความมั่นใจกับการทลายรังโจรครั้งนี้ ข้าคิดว่าไม่จำเป็นต้องให้รัชทายาทไปเสี่ยงแล้วกระมัง?”ฉินอวิ๋นฟานคือหัวใจหลักของพวกเขา และเป็นยอดวีรบุรุษของพวกเขาด้วย แม้จะมั่นใจเต็มร้อย แต่เซียวหยางก็ไม่อยากให้ฉินอวิ๋นฟานไปเสี่ยง เพราะนี่คือแผนร้ายมุ่งเป้ามาที่รัชทายาท“ไม่ รัชทายาทต้องไปด้วย!”ไม่รอให้ฉินอวิ๋นฟานเอ่ยปาก หานซิ่นโพล่งขึ้นมาอย่างจริงจัง “เดิมทีนี่ก็คือฉากที่สร้างขึ้นมาเพื่อรัชทายาท ถ้ารัชทายาทไม่เข้าร่วม เช่นนั้นทั้งหมดนี่จะไร้ความหมาย”“ฮ่า ๆ ๆ!!!”เห็นหานซิ่นมีความตระหนักเช่นนี้ ฉินอวิ๋นฟานแหงนหน้าหัวเราะกับฟ้า “หานซิ่นพูดถูก ข้าต้องขึ้นเขาไปทลายรังโจรด้วยตัวเอง เช่นนี้จึงจะทำให้หลัวเทียนเป้าติดกับ พวกเราจึงจะรวบตัวพวกเขาทั้งหมดในคราวเดียวได้”“เหอะ หลัวเทียนเป้าอยากเอาข้าให้ถึงที่ตายมิใช่หรือ? แล้วทำไมข้าถึงเอาเขาให้ถึงที่ตายไม่ได้?”เห็นฉินอวิ๋นฟานแสดงท่าทีเช่นนี้แล้ว ที่เหลือจึงไม่พูดอะไรมากอีก เห็นเพียงหานซิ่นพูดต่อ
“เหอะ? ฉินอวิ๋นฟานช่างบ้าบิ่นนัก พาทหารสามพันคนก็กล้าคุยโตอย่างนี้แล้ว? เขารู้หรือไม่ว่าอักษรคำว่า ‘ตาย’ สะกดยังไง? หรือว่า... เขาไม่รู้ว่าฉินอวิ๋นฮุยเกือบถูกข้าฆ่าตายอยู่ในป่าลึกแล้ว?”หลัวเทียนเป้าที่รู้ข่าวรู้สึกดูถูกกับความผยองของฉินอวิ๋นฟานมาก ฉินอวิ๋นฮุยนำกำลังพลห้าหมื่นนาย อยู่ต่อหน้าเขายังไม่นับเป็นอะไร เจ้าฉินอวิ๋นฟานนำทหารมาแค่สามพันก็คิดจะกวาดล้างพวกโจร? นี่อย่างกับคนบ้านอนละเมอ!“ฉินอวิ๋นฟานจะไม่ทำเรื่องที่ไม่มั่นใจเสมอ แม่ทัพหลัวระวังหน่อยเป็นดี!”เพื่อสังเกตฉินอวิ๋นฟาน เพื่อให้อยู่ใกล้กับฉินอวิ๋นฟานอีกหน่อย เยียนอวี่เฉินไม่เคยไปจากเมืองหานกู่ การที่หลัวเทียนเป้าดูถูกฉินอวิ๋นฟานทำให้นางเกิดลางสังหรณ์ร้ายขึ้นมาทันที แต่นางก็บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าคืออะไร“ฮ่า ๆ ๆ องค์หญิงสาม ท่านคิดมากไปแล้ว!”หลัวเทียนเป้าแหงนหน้าหัวเราะกับท้องฟ้าทันที ก่อนจะพูดขึ้นว่า “สถานการณ์บนเขากับข้างนอกต่างกันสิ้นเชิง เมื่อทหารทำศึกต้าเฉียนพวกนั้นก้าวเข้าป่าแล้วจะปรับตัวไม่ได้ ยากจะวางแผนการรบที่เหมาะสม”“ที่สำคัญไปกว่านั้นคือ พวกเรามีสายข่าวจากองค์ชายใหญ่ต้าเฉียนฉินอวิ๋นคัง ร่วมมือทั้งในและนอก
ในที่สุดเหมิงฉาก็รับไม่ไหว ร้องตะโกนคำที่แทบจะเป็นความอัปยศนั้นการแข่งขันทางบู๊นี้ก็ปิดฉากลงท่ามกลางความตกตะลึงพรึงเพริดของทุกคน...เรื่องหักเหจากการคาดหมายของทุกคนเหลียงจ้านอิงและเหลียงเทียนจื้อต่างคิดไม่ถึงว่าเหลียงเทียนอี้จะล้วงปืนสั้นออกมาพลิกสถานการณ์ในการแข่งขันด้านบู๊นี้กระทั่งว่าเหลียงเทียนจื้อไม่มีโอกาสจะได้ออกโรงเลย...เช่นละครอย่างไรอย่างนั้น เนื่องจากเหมิงฉากลัวสุดขีดจึงยกมือยอมแพ้ดังนั้นเหลียงเทียนอี้จึงคว้าชัยชนะการแข่งขันรอบนี้ได้อย่างง่ายดายโดยไม่เปลืองแรงภาพมหัศจรรย์เกิดให้แบบไม่มีการเปลี่ยนแปลงลุ้นระทึกและไม่มีเลือดร้อนพลุ่งพล่านที่ใครคาดหวัง!ถึงขั้นว่าลวงตามากแต่ผลลัพธ์เป็นของจริงแท้แน่นอน เหลียงเทียนอี้ชนะแล้ว......“ดูท่าครั้งนี้ฟานเอ๋อร์จะช่วยข้าได้มากอีกแล้ว”เหลียงเทียนอี้กลับมาถึงด้านในก็คืนปืนสั้นให้ฉินอวิ๋นฟานและพรูลมหนัก ๆ“เหอะ ๆ เสด็จน้าชมเกินไปแล้ว ทุกอย่างขึ้นอยู่กับกลยุทธ์ของท่านทั้งหมด ไม่เกี่ยวกับข้าสักหน่อย”ฉินอวิ๋นฟานยักไหล่ มิได้กล่าวอะไรอีกถ้าจะบอกว่าเขาทำอะไรเพื่อเหลียงเทียนอี้ นั่นก็แค่บอกเขาว่าความจริงการแข่งขันนี้สามาร
การกระทำของเหลียงเทียนอี้ทำให้ทุกคนในนั้นตกตะลึงแม้แต่เหลียงจ้านอิงที่อยู่บนปะรำก็ยังหยุดการดื่มน้ำชาไม่ได้ มองไปด้วยสีหน้าประหลาดใจ“เขาคิดจะทำอะไรกันแน่?”เหลียงเทียนจื้อมองเหลียงเทียนอี้ที่ปราศจากเครื่องป้องกันใด ๆ ด้านข้าง ใบหน้าแปลกใจนี่คือการแข่งขันบู๊นะ คือสถานที่ตีรันฟันแทง ถ้าไม่ระวังอาจต้องคมศาสตราได้จริง ๆ ศีรษะย้ายที่อยู่ หากไม่ใช่เพราะมั่นใจกับฝีมือของตัวเองมาก กอปรกับวางแผนร่วมกับทางซยงหนูดีแล้วเขาคงต้องสวมชุดเกราะหนักมารับมือกับการแข่งขันด้านบู๊วันนี้เหมือนกันทว่าการกระทำเช่นนี้ของเหลียงเทียนอี้ต่างจากการรนหาที่ตายอย่างไร?ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกแปลก เหลียงเทียนจื้อหน้าบิดเบี้ยวเล็กน้อย...ทั้งที่เขาควรดีใจกับเวลานี้ ถ้าเหลียงเทียนอี้เกิดอุบัติเหตุในการแข่งขันรอบนี้ เช่นนั้นบัลลังก์ต้องเป็นของเขาแน่แล้วแต่ใจกับกระวนกระวาย อย่างไรก็ไม่เป็นสุข“หรือว่าเขาแอบวางแผนอะไร?”ทันใดนั้นเหมิงฉาเริ่มบุกโจมตีก่อนแล้วร่างสูงใหญ่นั้นหวดขวานใหญ่หนักร้อยชั่งพลางเข้าใกล้เหลียงเทียนอี้อย่างต่อเนื่องภายใต้แสงสุริยา คมมีดนั้นน่ากลัวเช่นนี้ ราวกับแค่ถากเถือเบา ๆ ก็เฉือนศีรษ
“ข้าเอง!”ทันใดนั้นเหลียงเทียนอี้ก็ก้าวออกมาช้า ๆโง่อย่างที่คิด...เหลียงเทียนจื้อยืนยิ้มเยาะอยู่ในใจข้างหลังเขารู้นิสัยของพี่ชายดี และรู้ว่าเหลียงเทียนอี้เป็นคนดื้อรั้นมากเมื่อเจอกับสถานการณ์เช่นนี้ก็มักจะดาหน้าออกไปทันทีแม้เผชิญหน้ากับพันขุนศึกหมื่นอาชาก็ยังปราศจากความกลัวเกรง พลีตนจนตัวตาย...แต่พฤติกรรมวู่วามเช่นนี้ กลัวแต่ต้องจบอย่างอนาถในท้ายที่สุด“ฮ่า ๆ ๆ รัชทายาทกล้าหาญดังคาด!” เหมิงฉาหัวเราะเสียงดัง “ปกติยังนึกว่าท่านเป็นแต่สะบัดพู่กันขีดเขียน วันนี้ข้าอยากลองดูสิว่าฝีมือดาบกระบี่ของท่านจะล้ำลึกหรือไม่?”เพิ่งกล่าวจบ เหมิงฉาก็กวัดแกว่งขวานใหญ่พลางเดินประชิดไปทางเหลียงเทียนอี้ทีละก้าวรูปร่างใหญ่นั้น ร่างกายแข็งแรงนั้น แค่ยืนอยู่ก็สร้างแรงกดดันที่มองไม่เห็นแล้วทำให้หลาย ๆ คนเห็นแล้วอดเกิดใจกลัวอย่างหนึ่งขึ้นมาไม่ได้“อุ๊ย ท่านพี่จะเอาชนะสัตว์ประหลาดตัวนี้ยังไง?”เหลียงจื่อฝูที่อยู่บนปะรำหน้าทุกข์ร้อน สองมือบีบผ้าเช็ดหน้าแน่น สีหน้าซีดไปเล็กน้อยนางจ้องเหลียงเทียนอี้กลางลานฝึกซ้อม“ท่านพี่ไม่มีความสามารถด้านนี้เท่าไร ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเหมิงฉา!”ผู้เป็นน้องสาว
เหลียงเทียนอี้ขมวดคิ้วแน่น ใบหน้าราบเรียบ มองอารมณ์ไม่ออกแต่ในใจเขารู้ดี การต่อสู้ครั้งนี้ได้เปิดฉากอย่างเป็นทางการตั้งแต่เหมิงฉาเริ่มพูดแล้วนี่คือการหยามหน้า คือการหยามเหยียดอย่างชัดเจนไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาเลย“เป็นยังไง? องค์ชายสาม?”เหมิงฉาเมินเหลียงเทียนอี้ที่อยู่อีกทางหนึ่ง แล้วใช้สายตาท้าทายมองไปทางเหลียงเทียนจื้อ ก่อนจะเอ่ยเสียงเย็น “ได้ยินว่าฝีมือการใช้ดาบกระบี่ขององค์ชายสามค่อนข้างร้ายกาจ วันนี้ข้าขอท้าทายสักหน่อยเถิด”“มิเป็นไร” เหลียงเทียนจื้อฉีกยิ้ม ใบหน้าเปื้อนไปด้วยความกระหยิ่มใจจากนั้นก็ชักกระบี่ล้ำค่าคู่กายออกมาจากตรงเอวช้า ๆการต่อสู้ครั้งนี้ คือของเขาเท่านั้น!และเป็นเขาได้เท่านั้น!เขาต้องการให้ทุกคนรู้ว่าเขาเหลียงเทียนจื้อต่างหากที่เป็นผู้ชนะในท้ายที่สุดคนนั้น คือคนที่สามารถเอาชนะซยงหนูได้อย่างแท้จริง!......“ดูท่าทุกอย่างจะดำเนินไปตามแผนนะ”เหลียงจ้านอิงดื่มน้ำชาสบายใจเฉิบอยู่บนปะรำมองผลสะท้อนกลับอย่างอบอุ่นของเหล่าผู้ชม จิตใจยิ่งฮึกเหิมตื่นเต้นไม่พูดไม่ได้เลย ถ้อยคำนั้นของเหมิงฉาทำให้เกิดผลดีเยี่ยม สามารถชักจูงอารมณ์ของทุกคนได้ในพริบตาเขาเช
ตกลงไว้แต่แรกว่าเป็นการแข่งขันรูปแบบปิด และไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร นอกจากราชวงศ์จะมิมีผู้ใดล่วงรู้ทว่าตอนนี้กลับแข่งขันในลานกว้างต่อหน้าธารกำนัล?หากท่านพี่แพ้มิต้องเป็นที่หัวเราะไปทั่วหรือ?“นี่ก็คือผลลัพธ์ที่ทางเหลียงชินอ๋องต้องการกระมัง?”ฉินอวิ๋นฟานนั่งลงด้านข้าง ยิ้มพูดอย่างเฉยชา “ในฐานะที่เป็นละครฉายซ้ำของวันนี้ พวกเขาแค่ต้องการให้ทุกคนได้เห็นความประดักประเดิดของเสด็จน้าเท่านั้น”แต่แพ้จากการต่อสู้เช่นนั้นผลลัพธ์ต้องเทข้างแน่โอรสสวรรค์ของต้าเหลียงที่กล่าวขานกลับแพ้ให้กับคนป่าเถื่อน ทั้งความสามารถยังมิสู้องค์ชายสามเหลียงเทียนจื้อขอเพียงมีการพูดประเภทนี้ต่อไป ไม่นานอัตราการสนับสนุนเหลียงเทียนจื้อก็จะพุ่งสูงลูกไม้พรรค์นี้ช่างโหดเหี้ยมนัก“น่ารังเกียจจริง ๆ...” คิ้วงามเหลียงจื่อฝูย่นยู่เล็กน้อย อดกระตุกมุมปากไม่ได้ “ไม่เคยคิดเลยว่าพวกเขาจะใช้วิธีการต่ำช้าเช่นนี้”“เมื่อวานท่านพี่ชนะการแข่งขันด้านบุ๋นกับซยงหนูในท้องพระโรง พวกเขาไม่เห็นจะพูดกันเลย เลวทรามจริง ๆ!”ฉินอวิ๋นฟานหัวเราะอย่างไม่ออกความเห็นเขากลับไม่ใส่ใจว่าเมื่อวานจะชนะหรือแพ้ วันนี้ต่างหากที่เป็นส่วนสำค
สำหรับเหลียงเทียนอี้ การแข่งขันในวันนี้ค่อนข้างน่าตกใจแต่ยังดีที่สุดท้ายเขาสามารถคลี่คลายได้อย่างน่าอัศจรรย์ ทำให้พวกซยงหนูหน้าบึ้งตึง โจมตีจนพวกเขารับมือไม่ทันดูท่าปกติว่างเว้นจากการงานอ่านหนังสือให้มากจะมีประโยชน์...หลังประชุมเช้า เหลียงเทียนอี้ก็อดรนทนไม่ไหวบอกข่าวดีกับฉินอวิ๋นฟาน อยากแบ่งปันความสุขและความเปรมปรีดิ์ของตนแต่พอได้ยินฉินอวิ๋นฟานตอบกลับ เขาจึงตระหนักว่าเรื่องราวไม่ได้เรียบง่ายธรรมดาอย่างที่เขาคิดอย่างนั้น“การแข่งขันทางบู๊ในวันพรุ่งนี้จึงจะเป็นส่วนสำคัญอย่างแท้จริง”คำพูดราบเรียบประโยคหนึ่งของฉินอวิ๋นฟานทำให้ความยินดีปรีดาของเหลียงเทียนอี้ในแต่เดิมสูญสิ้น สีหน้าอึมครึมมากขึ้นเรื่อย ๆ“ข้าย่อมรู้ดี...แต่ปกติ คนที่จะชนะในการแข่งขันทางบู๊คงจะเป็นน้องสาม”เกี่ยวกับจุดนี้แทบไม่มีอะไรให้ลุ้นเพราะเหลียงเทียนจื้อร่ำเรียนกับเหลียงจ้านอิงแต่เล็ก อีกทั้งยังเคยเข้าสนามรบฟาดฟันกับศัตรู ด้านประสบการณ์การรบ จึงมีความคล่องมากกว่าเป็นธรรมดาเช่นนี้ หากคิดจะชิงคะแนนหนึ่งมาจากมือของเหลียงเทียนจื้อ คาดว่าต้องยากเป็นพิเศษเมื่อเห็นเหลียงเทียนอี้มีท่าทางปราศจากใจฮึดสู้ ฉินอวิ
“พันทุบหมื่นเจาะจึงได้แผ่นดิน ไฟโหมเผาไหม้เป็นอาจิณ ร่างแหลกกายเหลวมิหวั่น คงไว้ซึ่งความบริสุทธิ์ในโลกา”ฝุ่นหินหนึ่งบททำให้หลิ่วเหวินเซี่ยมั่นใจมากขึ้นไม่น้อยครั้งนี้เขาไม่ออมมืออีก ทั้งยังท่องออกมาจนจบ ไม่เปิดโอกาสใด ๆ ให้กับเหลียงเทียนอี้เช่นเดียวกัน เขาทำนอกเหนือแผนเดิม ไม่คิดสนใจความรู้สึกของเหลียงเทียนจื้ออีก“นี่ นี่มันกลอนอะไร?”เหลียงเทียนจื้อที่อยู่ด้านหลังเหงื่อตก ในหัวถึงขั้นว่าไม่มีความทรงจำอะไรเกี่ยวกับกลอนบทนี้แน่นอน ด้วยความทึ่มทื่อของเขาจะต่อกลอนได้อย่างไร ได้แต่เกาหลังศีรษะยิก ๆทว่าเหลียงเทียนอี้ยังใจเย็นเหมือนเดิม เพียงครู่เดียวก็ตอบ“หวงคะนึงความทุกข์เข็ญในการสอบ บัดนี้ไฟสงครามสงบผ่านพ้นสี่ปี”“บ้างเมืองไหวเอนดังกิ่งหลิว ใครเล่ามิใช่ผิวน้ำฝนซัดสาด”“หวงข่งทานปราชัยพรั่นพรึงถึงวันนี้ หลิงติงหยางอ้างว้างถอนหายใจ”“นับแต่โบราณใครบ้างมิดับสูญ เหลือใจรักชาติในพงศาวดาร”ครั้นกล่าวออกมาก็ได้รีบเสียงปรบมือดังสนั่นขุนนางบุ๋นบู๊ที่ชมละครฉากเด็ดในแต่เดิม ยามนี้ยอมสยบกับความสามารถทางวรรณกรรมของเหลียงเทียนอี้แล้วไม่ว่าจะเป็นกลอนในสมัยใด เหลียงเทียนอี้ก็เหมือน
ชั่วขณะ ท้องพระโรงเงียบกริบ สายตาของทุกคนรวมศูนย์อยู่กับตัวของเหลียงเทียนอี้แทบทั้งหมดในดวงตาเต็มไปด้วยความประหลาดใจและความยินดีหลังจากหลิ่วเหวินเซี่ยร่ายกลอนท่อนแรกออกมา เหลียงเทียนอี้กลับสามารถตอบสนองทันควันพร้อมต่อท่อนหลังความเร็วเช่นนี้เรียกว่าเร็วยิ่ง!“อวิ๋นเฉ่าสาทรฤดูมีเขียวแห่งวสันต์ของกวีราชวงศ์ซ่ง คือยอดบทกวีโดยแท้!”เหลียงเทียนอี้พยักหน้าอย่างสง่างาม ใบหน้าประดับรอยยิ้มมั่นใจงานนี้ทำให้เหลียงเทียนจื้อที่อยู่ข้างล่างหน้าตึงฉับพลันเหลียงจ้านอิงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ยิ่งหนักกว่า สายตาที่มองมาราวกับมีไฟพุ่งออกมาได้“บ้าเอ๊ย...ถูกชิงตัดหน้าไปก่อน!”เหลียงเทียนจื้อกัดฟันกรอด ในใจกรุ่นโกรธไม่หยุดทั้งที่เขาทำการบ้านมาล่วงหน้า ไม่ว่าหลิ่วเหวินเซี่ยจะท่องกลอนบทใดเขาก็เตรียมเอาไว้หมดแล้วแต่ในสถานการณ์เช่นนี้ เขากลับเร็วสู้เหลียงเทียนอี้ไม่ได้!และไม่รู้ว่าตัวเองโง่เขลาหรือเหลียงเทียนอี้เก่งจริงกันแน่!“รัชทายาททรงภูมิแท้ ข้าน้อยเลื่อมใส!”หลิ่วเหวินเซี่ยพยักหน้าด้วยสีหน้าคงเดิมทว่าในใจกลับไม่พอใจเล็กน้อยแล้วคิดไม่ถึงว่าเหลียงเทียนอี้ผู้นี้จะมีฝีมือ เขาจงใจเลือกบทกวี
การกระทำเช่นนี้คือการแสดงความยโสหยิ่งผยองของซยงหนูอย่างมิต้องสงสัย“เหมิงฉา คารวะรัชทายาท”“หลิ่วเหวินเซี่ย คารวะรัชทายาท”คนอื่น ๆ ก็ทักทายตามด้วยเหมือนกัน เมื่อนั้นเหลียงเทียนอี้จึงรู้ฐานะของพวกเขาดูแล้วหนึ่งคนในนั้นก็คือบุตรชายของเหมิงเก๋อเอ่อร์ หรือก็คือคนที่มาท้าทายเขาในครั้งนี้อย่างที่เหลียงจ้านอิงบอก การมาครั้งนี้ของเหมิงเก๋อเอ่อร์ก็เพื่อหยั่งเชิงเขาโดยอ้างเหตุผลเยี่ยมเยือนฮ่องเต้ต้าเหลียง ดังนั้นเรื่องที่เริ่มสนทนาในท้องพระโรงจึงเกี่ยวกับสุขภาพของฮ่องเต้ต้าเหลียงแทบจะทั้งหมดทว่าทุกคนในที่นั้นต่างรู้ดี จุดประสงค์ของผู้นิยมสุรามิได้อยู่ที่สุรานี่อย่างไร ครั้นเปลี่ยนเรื่อง เหมิงเก๋อเอ่อร์ก็กล่าวถึงการแข่งขันเลย“ได้ยินว่ารัชทายาทและองค์ชายสามเก่งทั้งบุ๋นแล้วบู๊มานาน คืออัจฉริยะของต้าเหลียง การมาเยือนต้าเหลียงครั้งนี้ นอกจากจะเยี่ยมฮ่องเต้ต้าเหลียงสหายเก่าท่านนี้ ก็อยากให้บุตรชายได้ประมือกับรัชทายาทและองค์ชายสักหน่อย”เหมิงเก๋อเอ่อร์สีหน้าขึงขัง ในที่สุดก็เข้าประเด็นชั่วขณะ ทุกคนในท้องพระโรงหัวใจจะหลุดออกมาอยู่แล้ว ต่างสังเกตสีหน้าเหลียงเทียนอี้อย่างแนบเนียนทว่าเ