เป็นเวลาเดียวกัน ท่านผู้เฒ่าเริ่นก็ได้รับข่าวที่ส่งมาจากเมืองอู่โจวด้วย แต่เขาไม่รู้แผนการชั่วร้ายของหลัวเทียนเป้าที่ให้ฉินอวิ๋นคังขี่หลังเสือแล้วลงยาก ตกเป็นฝ่ายถูกกระทำอย่างหนัก ได้แต่เดินสู่เส้นทางดำมืด“ท่านผู้เฒ่า ดูเหมือนว่าแผนการของคังเอ๋อร์จะได้ผลนะ พวกเราจะทำยังไงกันดี? หรือว่าจะสละคังเอ๋อร์จริง?”ในห้องหนังสือเรียบง่ายและเก่าห้องหนึ่งของตระกูลเริ่น หลังจากได้ข่าวจากเมืองอู่โจว ฮั่วเจิ้นหลงก็รีบรุดไปยังตระกูลเริ่นทันที เขายืนพูดอย่างไม่ยินยอมอยู่ด้านข้าง “พวกเราประคับประคองคังเอ๋อร์มานานหลายปีเช่นนี้ ห่างจากเก้าอี้มังกรอีกแค่ก้าวเดียว ข้าตัดใจไม่ลงจริง ๆ”ฉินอวิ๋นคังคือลูกเขยของฮั่วเจิ้นหลง และเป็นขุนศึกห้าวหาญคนหนึ่ง แม้ด้านวางกลยุทธ์ของเขาจะแย่ไปหน่อย แต่... อุปนิสัยถือว่าไม่เลว ถ้าสละฉินอวิ๋นคังไปทั้งอย่างนี้ ฮั่วเจิ้นหลงตัดใจไม่ลงโดยแท้“เฮ้อ!”ท่านผู้เฒ่าเริ่นถอนหายใจหนัก ๆ ทีหนึ่ง เขาพูดอย่างจนใจ “จากสภาพของเราในตอนนี้ ต่อให้ไม่ทิ้งคังเอ๋อร์แล้วจะทำอะไรได้?!”“อีกไม่นาน พวกเราจะต้องเสียอำนาจในการควบคุมเกลือหลวงโดนสิ้นเชิง เมื่อไม่มีรายรับ จะมีสักกี่ตระกูล กี่ขั้วอิ
“ถูกต้อง!”ท่านผู้เฒ่าเริ่นพยักหน้าพูด “นี่ก็คือทำไมข้าบอกว่าไท่ซั่งหวงยิ่งแก่ก็ยิ่งตื่นรู้ ยิ่งแก่ก็ยิ่งร้าย ที่พระองค์กล้าทำอย่างนี้ ก็หมายถึงสถานการณ์ของต้าเฉียนยังอยู่ในการควบคุมของพระองค์เหมือนเดิม”“ขอเพียงพวกเรากล้าใช้กำลังขัดขืน ผลลัพธ์ในท้ายที่สุดเกรงว่าจะอนาถมาก!”“ดังนั้นพวกเรารอดูความเปลี่ยนแปลงอย่างสงบเถอะ ขืนทำลายแผนการของไท่ซั่งหวงในเวลานี้ ก็คือไม่มีหัวคิดมาก ทุกอย่างขึ้นอยู่กับดวงของพวกเขาสามคนแล้ว”“แต่ตอนนี้พวกเราเลือกก้มหัวอ่อนข้อกลับเป็นเรื่องดี เมื่อโอกาสเหมาะสมที่รอคอยมาถึง พวกเราลงมือเต็มกำลังอีกครั้งก็ใช่จะไม่มีโอกาสเสียทีเดียว”“ข้าเข้าใจแล้วขอรับ!”หลังจากท่านผู้เฒ่าเริ่นวิเคราะห์ ฮั่วเจิ้นหลงราวกับตื่นรู้ รู้จักกับไท่ซั่งหวงใหม่ทั้งหมด สุดท้ายเขาก็คือเสาหลักของต้าเฉียน คือประกายคมที่มิอาจโค่นล้มได้โดยง่าย......ในตำหนักเหยียนเหนียน ไท่ซั่งหวงกำลังฟังการรายงานของเฉาเจิ้งฉุนอย่างละเอียด!“อ้อ? จะยิ่งสนุกแล้วสิ ฮุยเอ๋อร์แพ้ราบคาบเช่นนี้ ดูท่านฝีมือและสติปัญญาของเขาเหมาะกับการเล่นกับอำนาจ พูดเรื่องทหารบนกระดาษมากกว่า”ไท่ซั่งหวงพูดอย่างประหลาดใจเล็กน้
“องค์ชายใหญ่ สภาพการณ์ของเราในเวลานี้ไม่ใช่เวลาจะมาหัวเสียนะ ตอนนี้นอกจากจะร่วมมือกับหลัวเทียนเป้าก็ไม่มีทางอื่นอีกแล้ว!”ฮั่วจื้อจวินพูดด้วยความอึดอัดเหลือทนฉินอวิ๋นคังไฟโกรธท่วมท้นจนหน้าอกกระเพื่อมขึ้นลง ในราชสำนัก เขาถูกฉินอวิ๋นฮุยกดข่ม กว่าจะผงาดขึ้นมาระหว่างที่ฉินอวิ๋นฮุยต่อสู้กับฉินอวิ๋นฟาน กลับไม่เคยคิดเลย เขาเพิ่งจะโงหัวก็ต้องถูกฉินอวิ๋นฟานเหยียบอยู่ใต้เท้าบัดนี้ กว่าจะมีโอกาสวิเศษได้ปลดแอก กลับถูกไอ้บัดซบหลัวเทียนเป้าหลอก คิดแล้วช่างเป็นความโชคร้ายจริง ๆ ทำให้เขารู้สึกอึดอัดใจยิ่งนักเมื่อเห็นฉินอวิ๋นคังสงบใจได้เล็กน้อย ฮั่วจื้อจวินปาดเหงื่อบนหน้าผากแล้วพูดต่อ “องค์ชายใหญ่ ถึงเราจะถูกหลัวเทียนเป้าบีบบังคับ แต่สถานการณ์ก็ไม่ได้แย่อย่างที่คิดอย่างนั้น”“อ้อ? หมายความว่ายังไง?”ฉินอวิ๋นคังเลิกคิ้ว ยังทำหน้าบึ้งตึงเหมือนเดิม“ท่านคิดดูสิ ถึงเราจะถูกหลัวเทียนเป้าบังคับ แต่ก็ยังอยู่ในแผนการเราเหมือนเดิม องค์ชายรองหนีหัวซุกหัวซุนกลับไป นี่ก็คือผลที่เราต้องการมิใช่หรือ?”ฮั่วจื้อจวินเอ่ยเสียงหนัก “ในเมื่อหลัวเทียนเป้าต้องการมัดเราให้อยู่เรือลำเดียวกับเขาให้ได้ เช่นนั้นทำไมเร
ฮั่วจื้อจวินอมยิ้มยามนี้ สีหน้าของฉินอวิ๋นคังเปลี่ยนเป็นพิลึกขึ้นมา ถ้าทำตามแผนการนี้ของฮั่วจื้อจวิน จะสามารถทำให้เขาอยู่ในจุดที่ไม่แพ้ แม้สุดท้ายงานนี้จะล้มเหลว แต่ก็สามารถทำให้เขาถอนตัวออกมาได้อย่างสวยงาม“โอ้โฮ ฮั่วจื้อจวิน ข้าไม่ยักรู้นะว่าเจ้าจะหลักแหลมเพียงนี้ ทำให้ข้าเปิดหูเปิดตาโดยแท้ แผนการครั้งนี้ยกให้เป็นหน้าที่ของเจ้าแล้วกัน ทำให้ข้าวางใจได้มากจริง ๆ”ฉินอวิ๋นคังจ้องฮั่วจื้อจวินด้วยสายตาที่ต่างออกไป ในนั้นเต็มไปด้วยความชื่นชม แม่ทัพที่มีทั้งฝีมือและปัญญาวางแผนช่างหายากนัก เขาพึงพอใจกับการแสดงฝีมือความสามารถของฮั่วจื้อจวินมาก“เฮ้อ!”ฮั่วจื้อจวินถอนหายใจหนัก ๆ พลางส่ายหน้า “องค์ชายใหญ่ ไม่ขอปิดบัง นี่คือสิ่งที่ท่านกุนซือกำชับข้าก่อนจะไปเป็นการเฉพาะ”“เขาบอกว่าทุกอย่างอาจมีการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะการร่วมมือกับแม่ทัพแคว้นศัตรูอย่างหลัวเทียนเป้า ต้องป้องกันมากกว่าเดิม ดังนั้นเพื่อเผื่อเหลือเผื่อขาด เขาจึงแนะแนวการพูดหลังจากล้มเหลว และสุดท้ายเขาก็พูดถูกจริง ๆ!”“หา! นี่ นี่คือกลยุทธ์ที่หวังจื้อสอนเจ้าหรือ?”ฉินอวิ๋นคังตกตะลึงอย่างหนัก กระแสอุ่นแล่นพล่านทันที ทุกสิ่งทุกอย
เหอเหวินเย่าไม่ได้สนใจฉินอวิ๋นฮุยที่กำลังตวาดอยู่ แต่จุดเทียนในห้องให้สว่างเลย!ตามแสงเทียนที่สว่างมากขึ้นเรื่อย ๆ เห็นเพียงฉินอวิ๋นฮุยคุดคู้อยู่ในมุมหนึ่ง สยายผมกระเซอะกระเซิง ร่างกายยังสั่นเทา ทั้งคนดูหมดสารรูปดูไม่ได้“เสี่ยวฮุย นี่เจ้าเป็นอะไรไปน่ะ?”เหอเหวินเย่าเห็นสภาพแล้วปวดใจนัก นี่ยังใช่องค์ชายรองของต้าเฉียนผู้มีสง่าราศีวางแผนในกระโจมที่เขาเคยพบหรือไม่? ล้มเหลวแค่ครั้งเดียว ทำไมถึงหมดสภาพเช่นนี้?“น้า น้าสาม ใช่ท่านจริงหรือ? น้าสาม?”ยินเสียงของเหอเหวินเย่า ฉินอวิ๋นฮุยราวกับเห็นแสงสว่างดวงหนึ่ง เงยหน้าขึ้นฉับพลัน จังหวะที่เห็นเหอเหวินเย่า เขากระโจนตัวเข้าสู่อ้อมอกของอีกฝ่ายทันที ปล่อยโฮสะอื้นไห้ เจ็บปวดยากจะทน“ไม่เป็นไรแล้ว เสี่ยวฮุย มันผ่านไปแล้ว ทุกอย่างมันผ่านไปแล้ว!”เวลานี้เหอเหวินเย่ากรอบตาแดงเหมือนกัน เขาตบหลังของฉินอวิ๋นฮุยเบา ๆ เวทนายิ่งนัก ครั้งนี้สะเทือนใจพวกเขาหนักเกินไปจริง ๆ และอยู่เหนือความคาดหมายของพวกเขาโดยสิ้นเชิงผ่านไปครู่หนึ่ง ฉินอวิ๋นฮุยสงบสติอารมณ์ได้ เขาซึมกะทือไปทั้งคน ประหนึ่งมะเขือต้องน้ำค้างแข็ง นั่งกองอยู่กับพื้น“ใครก็ได้ ตักน้ำมาหน่อย!”
ฉินอวิ๋นคังเพิ่งขึ้นกำแพงเมืองก็หาเรื่องฉินอวิ๋นฟานทันที“ทำไม? ฝนจะตก แดดจะออก เกิดเรื่องแค่นี้ข้าก็ชื่นชมภูเขาลำน้ำสักหน่อยไม่ได้แล้วหรือ? การทลายรังโจรเกรงจะไม่ใช่เรื่องเร่งร้อนกระมัง?”ฉินอวิ๋นฟานเลิกคิ้วพูด“ไม่เร่งร้อน? น้องเจ็ด เจ้าไม่ได้ล้อเล่นกับข้ากระมัง?”ฉินอวิ๋นฮุยพูดจริงจัง “น้องรองถูกพวกโจรทำจนเป็นอย่างไรไปแล้ว พวกเราพี่น้องจะทนได้หรือ? พวกมันมิใช่กำลังหยามเกียรติของราชวงศ์ต้าเฉียนเราหรือ?!”“อ้อ?”ครั้นฉินอวิ๋นฟานได้ยินการพูดของฉินอวิ๋นคังก็ได้กลิ่นตุ ๆ ทันที เขาถามในแบบหยั่งเชิง “พี่ใหญ่ ท่านหมายความว่ายังไง?”“น้องเจ็ด ข้าขอพูดตามตรง ข้าแค่มาถามเจ้าว่าเรื่องทลายรังโจรที่เจ้าพูดเมื่อก่อนหน้านี้ยังจะถือเป็นจริงจังหรือไม่?”ฉินอวิ๋นคังเอ่ยเสียงหนัก“ลูกผู้ชายอกสามศอก ลั่นวาจาประหนึ่งน้ำที่สาดออก ในเมื่อข้าว่าจะทำ เช่นนั้นก็ต้องทำ นี่ยังมีอะไรไม่จริงจัง?”ฉินอวิ๋นฟานพูดอย่างจริงจัง“ดี มีคำพูดนี้ของเจ้า ข้าก็วางใจแล้ว!”ฉินอวิ๋นคังกล่าวต่อ “ตอนนี้น้องรองถูกพวกโจรโจมตีเละไม่เป็นท่า แทบถูกล้างบางทั้งกองทัพ ถ้าพวกเราพี่น้องไม่แสดงท่าทีสักหน่อย ไอ้โจรพวกนั้นจะยิ่ง
“ยุ ยุหรือ? น้องเจ็ด อาหารกินไปเรื่อยได้ แต่คำพูดจะพูดไปเรื่อยไม่ได้นะ เรื่องการทลายรังโจรเจ้าเป็นคนพูดเอง ข้าไม่ได้บังคับเจ้าสักหน่อย!”ฉินอวิ๋นคังสะดุ้งในใจ รีบอธิบายเป็นการใหญ่ “ถึงพวกเราสามคนพี่น้องจะเป็นคู่แข่งกัน แต่เราจะแอบกระหยิ่มยิ้มย่องกับการล้มเหลวของน้องรองไม่ได้ อย่างไรเสีย ที่ขายไม่ใช่แค่หน้าของน้องรอง แต่เป็นหน้าของราชวงศ์ต้าเฉียนเรานะ!”สายตาหลบหลีกของฉินอวิ๋นคังยืนยันการสันนิษฐานของฉินอวิ๋นฟาน พี่ใหญ่มีปฏิกิริยาเช่นนี้ เห็นชัดว่ามีชนักติดหลัง ต่อหน้าทำเป็นยึดถือคุณธรรม ความจริงก็คือกลัวว่าเขาจะไม่ไปทลายรังโจรดูท่าหนทางการไปทลายรังโจรสายนี้ คงมีหลุมพรางใหญ่อยู่ รอให้เขากระโดดลงไปแต่ฉินอวิ๋นฟานไม่หลงกลง่ายอย่างนั้นหรอก ต่อให้ถูกยั่วยุหรือถูกด่าว่าเป็นเต่าหดหัวอย่างไร เขาก็จะไม่ล้อเล่นกับชีวิตพี่น้องในมือของตัวเองเป็นอันขาด ประสบการณ์การปฏิบัติภารกิจลับหลายปีบอกกับเขาว่าจะทำงานด้วยอารมณ์ไม่ได้เด็ดขาด ยิ่งห้ามทำเรื่องที่ไม่มั่นใจ“พอ พี่ใหญ่ ข้าเข้าใจความหมายของท่าน”ฉินอวิ๋นฟานเข้าใจความหมายในคำพูดของฉินอวิ๋นคังแล้ว และคร้านจะไร้สาระกับเขา เพียงพูดอย่างเฉยชา “ในเม
“มากันครบแล้ว หลิวเป้ย เจ้าเล่าข้อมูลที่ได้รวบรวมมาได้กับทุกคนอย่างละเอียดเถอะ!”คนในห้องโถงล้วนเป็นคนที่ฉินอวิ๋นฟานไว้เนื้อเชื่อใจมากที่สุด เพื่อให้การทลายรังโจรหนนี้สำเร็จ หลิวเป้ยได้ข้อมูลที่สำคัญมากมา เขาจำเป็นต้องรีบรวมทุกคนมาร่วมกันกำหนดแผนการสมบูรณ์แบบ“ได้! เป็นเช่นนี้...”หลิวเป้ยไม่หมกเม็ดใด ๆ เขาบอกข้อมูลที่ตนรวบรวมมาได้อย่างละเอียดรอบหนึ่ง ครั้งทุกคนได้ฟังเป็นต้องสูดลมเย็นเข้าปากเป็นแถว เหมือนกับที่พวกเขาสันนิษฐานไว้จริง ๆ ด้วย!“ดูท่า ภายใต้ผลประโยชน์อันยั่วยวน องค์ชายใหญ่ หลัวเทียนเป้าและจางหมาจื่อน่าจะบรรลุข้อตกลงอะไรกัน จงใจวางแผนนี้ขึ้น”หานซิ่นพูดด้วยสีหน้าขมึงทึง“เช่นนั้นตอนนี้เราควรทำยังไงดี? จะไปทลายรังโจรหรือไม่? เพราะนี่คือเส้นทางไปมีไปไม่มีกลับ”เซียวหยางค่อนข้างรู้เรื่องเมืองอู่โจวดี ในเมื่อบนเขามีการจัดวางหลุมพรางอยู่ เช่นนั้นถ้าพวกเขาทลายรังโจรต่อก็เท่ากับรนหาที่ตาย ต้องสูญเสียอย่างมหาศาล ไม่ค่อยเหมาะสมอย่างชัดเจน“ไม่ว่าจะยากยังไง เราก็ต้องกวาดล้างกองโจรพวกนี้ แค่ว่าเราต้องเปลี่ยนรูปแบบและวิธีการบางอย่างเท่านั้น!”ฉินอวิ๋นฟานพูดหน้าขรึม “หลิวเป้ย ส
ในที่สุดเหมิงฉาก็รับไม่ไหว ร้องตะโกนคำที่แทบจะเป็นความอัปยศนั้นการแข่งขันทางบู๊นี้ก็ปิดฉากลงท่ามกลางความตกตะลึงพรึงเพริดของทุกคน...เรื่องหักเหจากการคาดหมายของทุกคนเหลียงจ้านอิงและเหลียงเทียนจื้อต่างคิดไม่ถึงว่าเหลียงเทียนอี้จะล้วงปืนสั้นออกมาพลิกสถานการณ์ในการแข่งขันด้านบู๊นี้กระทั่งว่าเหลียงเทียนจื้อไม่มีโอกาสจะได้ออกโรงเลย...เช่นละครอย่างไรอย่างนั้น เนื่องจากเหมิงฉากลัวสุดขีดจึงยกมือยอมแพ้ดังนั้นเหลียงเทียนอี้จึงคว้าชัยชนะการแข่งขันรอบนี้ได้อย่างง่ายดายโดยไม่เปลืองแรงภาพมหัศจรรย์เกิดให้แบบไม่มีการเปลี่ยนแปลงลุ้นระทึกและไม่มีเลือดร้อนพลุ่งพล่านที่ใครคาดหวัง!ถึงขั้นว่าลวงตามากแต่ผลลัพธ์เป็นของจริงแท้แน่นอน เหลียงเทียนอี้ชนะแล้ว......“ดูท่าครั้งนี้ฟานเอ๋อร์จะช่วยข้าได้มากอีกแล้ว”เหลียงเทียนอี้กลับมาถึงด้านในก็คืนปืนสั้นให้ฉินอวิ๋นฟานและพรูลมหนัก ๆ“เหอะ ๆ เสด็จน้าชมเกินไปแล้ว ทุกอย่างขึ้นอยู่กับกลยุทธ์ของท่านทั้งหมด ไม่เกี่ยวกับข้าสักหน่อย”ฉินอวิ๋นฟานยักไหล่ มิได้กล่าวอะไรอีกถ้าจะบอกว่าเขาทำอะไรเพื่อเหลียงเทียนอี้ นั่นก็แค่บอกเขาว่าความจริงการแข่งขันนี้สามาร
การกระทำของเหลียงเทียนอี้ทำให้ทุกคนในนั้นตกตะลึงแม้แต่เหลียงจ้านอิงที่อยู่บนปะรำก็ยังหยุดการดื่มน้ำชาไม่ได้ มองไปด้วยสีหน้าประหลาดใจ“เขาคิดจะทำอะไรกันแน่?”เหลียงเทียนจื้อมองเหลียงเทียนอี้ที่ปราศจากเครื่องป้องกันใด ๆ ด้านข้าง ใบหน้าแปลกใจนี่คือการแข่งขันบู๊นะ คือสถานที่ตีรันฟันแทง ถ้าไม่ระวังอาจต้องคมศาสตราได้จริง ๆ ศีรษะย้ายที่อยู่ หากไม่ใช่เพราะมั่นใจกับฝีมือของตัวเองมาก กอปรกับวางแผนร่วมกับทางซยงหนูดีแล้วเขาคงต้องสวมชุดเกราะหนักมารับมือกับการแข่งขันด้านบู๊วันนี้เหมือนกันทว่าการกระทำเช่นนี้ของเหลียงเทียนอี้ต่างจากการรนหาที่ตายอย่างไร?ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกแปลก เหลียงเทียนจื้อหน้าบิดเบี้ยวเล็กน้อย...ทั้งที่เขาควรดีใจกับเวลานี้ ถ้าเหลียงเทียนอี้เกิดอุบัติเหตุในการแข่งขันรอบนี้ เช่นนั้นบัลลังก์ต้องเป็นของเขาแน่แล้วแต่ใจกับกระวนกระวาย อย่างไรก็ไม่เป็นสุข“หรือว่าเขาแอบวางแผนอะไร?”ทันใดนั้นเหมิงฉาเริ่มบุกโจมตีก่อนแล้วร่างสูงใหญ่นั้นหวดขวานใหญ่หนักร้อยชั่งพลางเข้าใกล้เหลียงเทียนอี้อย่างต่อเนื่องภายใต้แสงสุริยา คมมีดนั้นน่ากลัวเช่นนี้ ราวกับแค่ถากเถือเบา ๆ ก็เฉือนศีรษ
“ข้าเอง!”ทันใดนั้นเหลียงเทียนอี้ก็ก้าวออกมาช้า ๆโง่อย่างที่คิด...เหลียงเทียนจื้อยืนยิ้มเยาะอยู่ในใจข้างหลังเขารู้นิสัยของพี่ชายดี และรู้ว่าเหลียงเทียนอี้เป็นคนดื้อรั้นมากเมื่อเจอกับสถานการณ์เช่นนี้ก็มักจะดาหน้าออกไปทันทีแม้เผชิญหน้ากับพันขุนศึกหมื่นอาชาก็ยังปราศจากความกลัวเกรง พลีตนจนตัวตาย...แต่พฤติกรรมวู่วามเช่นนี้ กลัวแต่ต้องจบอย่างอนาถในท้ายที่สุด“ฮ่า ๆ ๆ รัชทายาทกล้าหาญดังคาด!” เหมิงฉาหัวเราะเสียงดัง “ปกติยังนึกว่าท่านเป็นแต่สะบัดพู่กันขีดเขียน วันนี้ข้าอยากลองดูสิว่าฝีมือดาบกระบี่ของท่านจะล้ำลึกหรือไม่?”เพิ่งกล่าวจบ เหมิงฉาก็กวัดแกว่งขวานใหญ่พลางเดินประชิดไปทางเหลียงเทียนอี้ทีละก้าวรูปร่างใหญ่นั้น ร่างกายแข็งแรงนั้น แค่ยืนอยู่ก็สร้างแรงกดดันที่มองไม่เห็นแล้วทำให้หลาย ๆ คนเห็นแล้วอดเกิดใจกลัวอย่างหนึ่งขึ้นมาไม่ได้“อุ๊ย ท่านพี่จะเอาชนะสัตว์ประหลาดตัวนี้ยังไง?”เหลียงจื่อฝูที่อยู่บนปะรำหน้าทุกข์ร้อน สองมือบีบผ้าเช็ดหน้าแน่น สีหน้าซีดไปเล็กน้อยนางจ้องเหลียงเทียนอี้กลางลานฝึกซ้อม“ท่านพี่ไม่มีความสามารถด้านนี้เท่าไร ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเหมิงฉา!”ผู้เป็นน้องสาว
เหลียงเทียนอี้ขมวดคิ้วแน่น ใบหน้าราบเรียบ มองอารมณ์ไม่ออกแต่ในใจเขารู้ดี การต่อสู้ครั้งนี้ได้เปิดฉากอย่างเป็นทางการตั้งแต่เหมิงฉาเริ่มพูดแล้วนี่คือการหยามหน้า คือการหยามเหยียดอย่างชัดเจนไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาเลย“เป็นยังไง? องค์ชายสาม?”เหมิงฉาเมินเหลียงเทียนอี้ที่อยู่อีกทางหนึ่ง แล้วใช้สายตาท้าทายมองไปทางเหลียงเทียนจื้อ ก่อนจะเอ่ยเสียงเย็น “ได้ยินว่าฝีมือการใช้ดาบกระบี่ขององค์ชายสามค่อนข้างร้ายกาจ วันนี้ข้าขอท้าทายสักหน่อยเถิด”“มิเป็นไร” เหลียงเทียนจื้อฉีกยิ้ม ใบหน้าเปื้อนไปด้วยความกระหยิ่มใจจากนั้นก็ชักกระบี่ล้ำค่าคู่กายออกมาจากตรงเอวช้า ๆการต่อสู้ครั้งนี้ คือของเขาเท่านั้น!และเป็นเขาได้เท่านั้น!เขาต้องการให้ทุกคนรู้ว่าเขาเหลียงเทียนจื้อต่างหากที่เป็นผู้ชนะในท้ายที่สุดคนนั้น คือคนที่สามารถเอาชนะซยงหนูได้อย่างแท้จริง!......“ดูท่าทุกอย่างจะดำเนินไปตามแผนนะ”เหลียงจ้านอิงดื่มน้ำชาสบายใจเฉิบอยู่บนปะรำมองผลสะท้อนกลับอย่างอบอุ่นของเหล่าผู้ชม จิตใจยิ่งฮึกเหิมตื่นเต้นไม่พูดไม่ได้เลย ถ้อยคำนั้นของเหมิงฉาทำให้เกิดผลดีเยี่ยม สามารถชักจูงอารมณ์ของทุกคนได้ในพริบตาเขาเช
ตกลงไว้แต่แรกว่าเป็นการแข่งขันรูปแบบปิด และไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร นอกจากราชวงศ์จะมิมีผู้ใดล่วงรู้ทว่าตอนนี้กลับแข่งขันในลานกว้างต่อหน้าธารกำนัล?หากท่านพี่แพ้มิต้องเป็นที่หัวเราะไปทั่วหรือ?“นี่ก็คือผลลัพธ์ที่ทางเหลียงชินอ๋องต้องการกระมัง?”ฉินอวิ๋นฟานนั่งลงด้านข้าง ยิ้มพูดอย่างเฉยชา “ในฐานะที่เป็นละครฉายซ้ำของวันนี้ พวกเขาแค่ต้องการให้ทุกคนได้เห็นความประดักประเดิดของเสด็จน้าเท่านั้น”แต่แพ้จากการต่อสู้เช่นนั้นผลลัพธ์ต้องเทข้างแน่โอรสสวรรค์ของต้าเหลียงที่กล่าวขานกลับแพ้ให้กับคนป่าเถื่อน ทั้งความสามารถยังมิสู้องค์ชายสามเหลียงเทียนจื้อขอเพียงมีการพูดประเภทนี้ต่อไป ไม่นานอัตราการสนับสนุนเหลียงเทียนจื้อก็จะพุ่งสูงลูกไม้พรรค์นี้ช่างโหดเหี้ยมนัก“น่ารังเกียจจริง ๆ...” คิ้วงามเหลียงจื่อฝูย่นยู่เล็กน้อย อดกระตุกมุมปากไม่ได้ “ไม่เคยคิดเลยว่าพวกเขาจะใช้วิธีการต่ำช้าเช่นนี้”“เมื่อวานท่านพี่ชนะการแข่งขันด้านบุ๋นกับซยงหนูในท้องพระโรง พวกเขาไม่เห็นจะพูดกันเลย เลวทรามจริง ๆ!”ฉินอวิ๋นฟานหัวเราะอย่างไม่ออกความเห็นเขากลับไม่ใส่ใจว่าเมื่อวานจะชนะหรือแพ้ วันนี้ต่างหากที่เป็นส่วนสำค
สำหรับเหลียงเทียนอี้ การแข่งขันในวันนี้ค่อนข้างน่าตกใจแต่ยังดีที่สุดท้ายเขาสามารถคลี่คลายได้อย่างน่าอัศจรรย์ ทำให้พวกซยงหนูหน้าบึ้งตึง โจมตีจนพวกเขารับมือไม่ทันดูท่าปกติว่างเว้นจากการงานอ่านหนังสือให้มากจะมีประโยชน์...หลังประชุมเช้า เหลียงเทียนอี้ก็อดรนทนไม่ไหวบอกข่าวดีกับฉินอวิ๋นฟาน อยากแบ่งปันความสุขและความเปรมปรีดิ์ของตนแต่พอได้ยินฉินอวิ๋นฟานตอบกลับ เขาจึงตระหนักว่าเรื่องราวไม่ได้เรียบง่ายธรรมดาอย่างที่เขาคิดอย่างนั้น“การแข่งขันทางบู๊ในวันพรุ่งนี้จึงจะเป็นส่วนสำคัญอย่างแท้จริง”คำพูดราบเรียบประโยคหนึ่งของฉินอวิ๋นฟานทำให้ความยินดีปรีดาของเหลียงเทียนอี้ในแต่เดิมสูญสิ้น สีหน้าอึมครึมมากขึ้นเรื่อย ๆ“ข้าย่อมรู้ดี...แต่ปกติ คนที่จะชนะในการแข่งขันทางบู๊คงจะเป็นน้องสาม”เกี่ยวกับจุดนี้แทบไม่มีอะไรให้ลุ้นเพราะเหลียงเทียนจื้อร่ำเรียนกับเหลียงจ้านอิงแต่เล็ก อีกทั้งยังเคยเข้าสนามรบฟาดฟันกับศัตรู ด้านประสบการณ์การรบ จึงมีความคล่องมากกว่าเป็นธรรมดาเช่นนี้ หากคิดจะชิงคะแนนหนึ่งมาจากมือของเหลียงเทียนจื้อ คาดว่าต้องยากเป็นพิเศษเมื่อเห็นเหลียงเทียนอี้มีท่าทางปราศจากใจฮึดสู้ ฉินอวิ
“พันทุบหมื่นเจาะจึงได้แผ่นดิน ไฟโหมเผาไหม้เป็นอาจิณ ร่างแหลกกายเหลวมิหวั่น คงไว้ซึ่งความบริสุทธิ์ในโลกา”ฝุ่นหินหนึ่งบททำให้หลิ่วเหวินเซี่ยมั่นใจมากขึ้นไม่น้อยครั้งนี้เขาไม่ออมมืออีก ทั้งยังท่องออกมาจนจบ ไม่เปิดโอกาสใด ๆ ให้กับเหลียงเทียนอี้เช่นเดียวกัน เขาทำนอกเหนือแผนเดิม ไม่คิดสนใจความรู้สึกของเหลียงเทียนจื้ออีก“นี่ นี่มันกลอนอะไร?”เหลียงเทียนจื้อที่อยู่ด้านหลังเหงื่อตก ในหัวถึงขั้นว่าไม่มีความทรงจำอะไรเกี่ยวกับกลอนบทนี้แน่นอน ด้วยความทึ่มทื่อของเขาจะต่อกลอนได้อย่างไร ได้แต่เกาหลังศีรษะยิก ๆทว่าเหลียงเทียนอี้ยังใจเย็นเหมือนเดิม เพียงครู่เดียวก็ตอบ“หวงคะนึงความทุกข์เข็ญในการสอบ บัดนี้ไฟสงครามสงบผ่านพ้นสี่ปี”“บ้างเมืองไหวเอนดังกิ่งหลิว ใครเล่ามิใช่ผิวน้ำฝนซัดสาด”“หวงข่งทานปราชัยพรั่นพรึงถึงวันนี้ หลิงติงหยางอ้างว้างถอนหายใจ”“นับแต่โบราณใครบ้างมิดับสูญ เหลือใจรักชาติในพงศาวดาร”ครั้นกล่าวออกมาก็ได้รีบเสียงปรบมือดังสนั่นขุนนางบุ๋นบู๊ที่ชมละครฉากเด็ดในแต่เดิม ยามนี้ยอมสยบกับความสามารถทางวรรณกรรมของเหลียงเทียนอี้แล้วไม่ว่าจะเป็นกลอนในสมัยใด เหลียงเทียนอี้ก็เหมือน
ชั่วขณะ ท้องพระโรงเงียบกริบ สายตาของทุกคนรวมศูนย์อยู่กับตัวของเหลียงเทียนอี้แทบทั้งหมดในดวงตาเต็มไปด้วยความประหลาดใจและความยินดีหลังจากหลิ่วเหวินเซี่ยร่ายกลอนท่อนแรกออกมา เหลียงเทียนอี้กลับสามารถตอบสนองทันควันพร้อมต่อท่อนหลังความเร็วเช่นนี้เรียกว่าเร็วยิ่ง!“อวิ๋นเฉ่าสาทรฤดูมีเขียวแห่งวสันต์ของกวีราชวงศ์ซ่ง คือยอดบทกวีโดยแท้!”เหลียงเทียนอี้พยักหน้าอย่างสง่างาม ใบหน้าประดับรอยยิ้มมั่นใจงานนี้ทำให้เหลียงเทียนจื้อที่อยู่ข้างล่างหน้าตึงฉับพลันเหลียงจ้านอิงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ยิ่งหนักกว่า สายตาที่มองมาราวกับมีไฟพุ่งออกมาได้“บ้าเอ๊ย...ถูกชิงตัดหน้าไปก่อน!”เหลียงเทียนจื้อกัดฟันกรอด ในใจกรุ่นโกรธไม่หยุดทั้งที่เขาทำการบ้านมาล่วงหน้า ไม่ว่าหลิ่วเหวินเซี่ยจะท่องกลอนบทใดเขาก็เตรียมเอาไว้หมดแล้วแต่ในสถานการณ์เช่นนี้ เขากลับเร็วสู้เหลียงเทียนอี้ไม่ได้!และไม่รู้ว่าตัวเองโง่เขลาหรือเหลียงเทียนอี้เก่งจริงกันแน่!“รัชทายาททรงภูมิแท้ ข้าน้อยเลื่อมใส!”หลิ่วเหวินเซี่ยพยักหน้าด้วยสีหน้าคงเดิมทว่าในใจกลับไม่พอใจเล็กน้อยแล้วคิดไม่ถึงว่าเหลียงเทียนอี้ผู้นี้จะมีฝีมือ เขาจงใจเลือกบทกวี
การกระทำเช่นนี้คือการแสดงความยโสหยิ่งผยองของซยงหนูอย่างมิต้องสงสัย“เหมิงฉา คารวะรัชทายาท”“หลิ่วเหวินเซี่ย คารวะรัชทายาท”คนอื่น ๆ ก็ทักทายตามด้วยเหมือนกัน เมื่อนั้นเหลียงเทียนอี้จึงรู้ฐานะของพวกเขาดูแล้วหนึ่งคนในนั้นก็คือบุตรชายของเหมิงเก๋อเอ่อร์ หรือก็คือคนที่มาท้าทายเขาในครั้งนี้อย่างที่เหลียงจ้านอิงบอก การมาครั้งนี้ของเหมิงเก๋อเอ่อร์ก็เพื่อหยั่งเชิงเขาโดยอ้างเหตุผลเยี่ยมเยือนฮ่องเต้ต้าเหลียง ดังนั้นเรื่องที่เริ่มสนทนาในท้องพระโรงจึงเกี่ยวกับสุขภาพของฮ่องเต้ต้าเหลียงแทบจะทั้งหมดทว่าทุกคนในที่นั้นต่างรู้ดี จุดประสงค์ของผู้นิยมสุรามิได้อยู่ที่สุรานี่อย่างไร ครั้นเปลี่ยนเรื่อง เหมิงเก๋อเอ่อร์ก็กล่าวถึงการแข่งขันเลย“ได้ยินว่ารัชทายาทและองค์ชายสามเก่งทั้งบุ๋นแล้วบู๊มานาน คืออัจฉริยะของต้าเหลียง การมาเยือนต้าเหลียงครั้งนี้ นอกจากจะเยี่ยมฮ่องเต้ต้าเหลียงสหายเก่าท่านนี้ ก็อยากให้บุตรชายได้ประมือกับรัชทายาทและองค์ชายสักหน่อย”เหมิงเก๋อเอ่อร์สีหน้าขึงขัง ในที่สุดก็เข้าประเด็นชั่วขณะ ทุกคนในท้องพระโรงหัวใจจะหลุดออกมาอยู่แล้ว ต่างสังเกตสีหน้าเหลียงเทียนอี้อย่างแนบเนียนทว่าเ