“มิผิด!”เหลียงจื่อฝูเท้าความด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย “สองปีก่อนเสด็จตาของเจ้าพระพลานามัยไม่สู้ดีนัก กอปรกับศึกภายในของราชวงศ์เหลียงรุนแรง ทำให้พระองค์ไม่สบายพระทัย ตอนนี้มิอาจลงจากแท่นบรรทมได้แล้ว!”“หา?! เสด็จตาของข้าลงจากแท่นบรรทมไม่ได้?”จังหวะที่ฉินอวิ๋นฟานได้ยินข่าวนี้ก็รู้ว่าแย่แล้ว สำหรับชายชราสูงวัยคนหนึ่ง ทันทีที่ลงจากเตียงนอนไม่ได้ เกรงว่าจะห่างจากวันที่วิญญาณออกจากร่างไม่ไกลแล้วแม้ฮ่องเต้ราชวงศ์ต้าเหลียงจะเป็นเสด็จตาที่เขาไม่เคยพบหน้ามาก่อน แต่อย่างไรเลือดข้นกว่าน้ำ ในความทรงจำมารดาจากไปเร็ว ไม่ว่าอะไรเขาก็ต้องรับกับสายสัมพันธ์นี้ และถือว่าแบกรับความรับผิดชอบแทนเจ้าของร่างด้วย!“ถูกต้อง!”เหลียงจื่อฝูส่ายหน้าอย่างจนใจ “พระองค์โปรดปรานเสด็จแม่ของเจ้ามาก ถึงเสด็จแม่ของเจ้าจะอภิเษกมาต้าเฉียนแล้ว แต่พระองค์มักคิดถึงอยู่เสมอ พอรู้ว่าเสด็จแม่ของเจ้าจากไปก็เศร้าโศกเสียพระทัยนัก ยังประชวรหนักหนหนึ่งอีก”“เวลานี้เจ้ามีความสามารถแล้ว ในตอนที่ยังมีพระชนม์อยู่ เสด็จตาของเจ้าอยากเจอเจ้าสักครั้ง และถือว่าทำความปรารถนาให้สำเร็จ”ฉินอวิ๋นฟานให้ความสำคัญกับมิตรภาพและจิตใจเสมอ เมื่อรู้ข
เหลียงจื่อฝูมองไปทางฉินอวิ๋นฟาน ในดวงตาเต็มไปด้วยความอิจฉา จุปากเนือง ๆฉินอวิ๋นฟานเห็นดังนั้นพลันชะงักงันอยู่กับที่ มุมปากกระตุกน้อย ๆ เดิมเสด็จน้าสิบสามก็เป็นสตรีผู้มีท่วงทำนองผู้ใหญ่เต็มเปี่ยม สาวใช้ก็เด็ดดวงเหมือนกัน นางคงไม่ได้ผิดปกติหรอกนะ?ยามนี้ จู่ ๆ ฉินอวิ๋นฟานก็มีความคิดหาญกล้าผุดขึ้นในใจ เสด็จน้าสิบสามคงไม่ใช่...“หลานชายอวิ๋นฟาน เจ้าเป็นอะไรไป?”เห็นฉินอวิ๋นฟานใจลอย เหลียงจื่อฝูจึงรีบขยับเข้าไปถามใกล้ ๆกลิ่นหอมฉุนปะทะมา ฉินอวิ๋นฟานตัวกระตุกตื่นพลัน ขวยเขินใบหน้าแดงซ่าน จากนั้นจึงรีบอธิบาย “เปล่า ไม่มีอะไร”“อย่างนั้นหรือ? ตอนที่ข้าพูดถึงสาวทำไมเจ้ากลับไม่มีปฏิกิริยาเลยเล่า? เจ้าคงไม่ใช่ว่าไม่สนใจผู้หญิงหรอกนะ?”เหลียงจื่อฝูมองฉินอวิ๋นฟานด้วยสีหน้าแปลกประหลาดพลางเอ่ยถาม“จะ จะเป็นไปได้ยังไง! ข้าคือผู้ชายทั้งแท่งเลยนะ มีหรือจะไม่สนใจผู้หญิง? ท่านอย่าพูดเลื่อนเปื้อน!”ฉินอวิ๋นฟานรีบอธิบาย“ออ? แล้วทำไมมู่หรงจิ่นอยู่กับเจ้ามาสองปีกว่า จนถึงวันนี้ก็ยังไม่ตั้งครรภ์? หรือว่าเจ้าไม่ไหว?”เหลียงจื่อฝูบีบคั้นต่อ“หา! เสด็จน้าสิบสาม ท่านพูดเพ้อเจ้ออะไร? ข้าอายุยังหนุ่มยั
เช้ามาเหอเซินก็จัดระเบียบทหารอยู่บริเวณเนินหิน จัดแถวทหารสี่หมื่นกว่าคนที่เหลือใหม่ ฝึกซ้อมหนักขึ้นอยู่กับที่ รอฟังข่าวเคลื่อนพล!การรอคอยนี้ดำเนินไปหนึ่งวันเต็ม ๆ พวกฉินอวิ๋นฮุยไม่อนาทรร้อนใจและไม่ได้ทำอะไร กลับพักผ่อนกันเสียอย่างนั้น นี่ทำเอาพวกจางหมาจื่อสับสนงงงวยกันเป็นแถว“พี่ใหญ่ ท่านว่าเจ้าฉินอวิ๋นฮุยนี่มันยังไงกัน ปักหลักอยู่ที่เดิม ไม่ไปไหน คงไม่ใช่ว่ากลัวเราแล้วกระมัง?”รองหัวหน้าของหมู่บ้านเฮยเฟิงถามด้วยความร้อนใจเล็กน้อย“ข้าก็ว่าแปลกเหมือนกัน พวกมันปักหลักอยู่กับที่มันหมายความว่ายังไงกันแน่? ถ้าเป็นแบบนี้ งั้นแผนที่เราเตรียมไว้ให้พวกมันก็ไม่ได้ใช้สิ?”จางหมาจื่อขมวดคิ้วพูดจางหมาจื่อก็สับสนเหมือนกัน ตามหลัก ฉินอวิ๋นฮุยถูกเขาหยามเกียรติแล้วน่าจะอายจนโกรธแล้วมุ่งหน้ามาสิ? ทำไมเฉยไปเสียได้?“เช่นนั้นตอนนี้เราจะทำยังไงดี? รอต่อหรือว่าจะโจมตีก่อน?”รองหัวหน้าร้อนใจนิด ๆ“โจมตีก่อน? เจ้าอยากตายรึ? ตอนนี้ฉินอวิ๋นฮุยยึดเนินหิน นอกจากจะมีวิสัยทัศน์กว้างขวาง ยังมีสิ่งกำบังเยอะ พวกเราบุกเข้าไปไม่ได้หรอก”จางหมาจื่อเอ่ยเสียงหนัก “อีกอย่าง ถ้าปะทะซึ่งหน้าพวกเราจะไม่ใช่คู่ต่อส
ขณะเดียวกัน ฉินอวิ๋นฮุย เหอเหวินเย่า เหอเซินและบุคคลฐานะไม่แน่ชัดอีกสี่คนกำลังนั่งอยู่ในกระโจม สีหน้าเคร่งขรึม กำลังฟังการรายงานของชายคนหนึ่งในนั้น“องค์ชายรอง หลังจากพวกเราพี่น้องสืบอย่างลับ ๆ หลายวันนี้ พบว่าหมู่บ้านเฮยเฟิงอยู่บนผาแห่งหนึ่ง มิดชิดมาก ค้นหาลำบากที่สุด”ชายวัยกลางคนลึกลับรายงาน “นี่เป็นแค่แหล่งกบดานแห่งเดียวของพวกเขา ละแวกนั้นยังมีอีกสามแห่ง เป็นลักษณะขนาบข้าง ระวังสังเกตกันและกัน มีคนเฝ้ายามมาก รูปร่างใหญ่กำยำ รู้สภาพในภาพเขาละเอียดลึกดุจฝ่ามือ รักษาง่าย โจมตียาก”“บ้าเอ๊ย! ไอ้โจรสมควรตายพวกนี้นี่ รอบคอบขนาดนี้เชียว แหล่งกบดานซ่อนเสียมิดชิด!”ฉินอวิ๋นฮุยพูดด้วยสีหน้าแค้นเคือง“ใช่ขอรับ ข้าน้อยยังเห็นว่าพวกเขาวางกับดักไว้ระหว่างทางที่เราจะไปหลายจุดด้วย ขุดหลุมมากมาย ถ้าตกลงไปต้องตายแน่นอน!”ขายวัยกลางคนผู้นั้นกล่าวต่อ“ฮะ?! ข้างหน้ายังมีกับดักอีก?”เมื่อได้ยินว่าข้างหน้ายังมีกับดัก หนังตาของฉินอวิ๋นฮุยกระตุกรัว ๆ เดิมพวกเขาก็ไม่รู้สภาพการณ์บนภูเขาอยู่แล้ว การมีกับดักอยู่ทั่วแทบจะเป็นฝันร้ายของพวกเขา“น้าสาม ตอนนี้ท่านมีความคิดอะไรดี ๆ หรือไม่?”ฉินอวิ๋นฮุยได้
“ยอด ยอดมาก!”ฉินอวิ๋นฮุยตื่นเต้นพูด “แผนนี้เรียกว่าการทำให้ศัตรูชะล่าใจ ทันทีที่พวกเขาผ่อนความระวัง พวกเราก็ฉวยตอนที่พวกเขาไม่ทันตั้งตัวโจมตีกะทันหัน พวกเขาต้องทำอะไรไม่ถูกแน่ ชัยชนะมิใช่แน่อย่างแช่แป้งหรือ?”ฉินอวิ๋นฮุยในตอนนี้ดีใจอย่างคาดไม่ถึง อดทนมานานอย่างนี้ ในที่สุดโอกาสก็มาถึงแล้ว!“เสี่ยวฮุย ปกติเจ้าคุ้นเคยกับหัวหน้าทหารพวกนี้ดี ประเดี๋ยวตอนกินข้าว เจ้าก็มอบหมายงานกับพวกเขาเองเถอะ เลือกมือดีที่สุดสองพันคนลอบโจมตี ทหารคนอื่น ๆ นอนต่อ รอถึงวันพรุ่งนี้เช้าแล้วค่อยเคลื่อนทัพไปโจมตีส่วนหลัก!”เหอเหวินเย่าเอ่ยเสียงหนัก“ได้ ข้ารู้แล้ว”ฉินอวิ๋นฮุยพยักหน้า“เพื่อป้องกันความผิดพลาด ท่านผู้นำตระกูลผัง ท่านต้องทำทุกวิถีทางคุ้มครองความปลอดภัยขององค์ชายรองให้ดี เรื่องนี้ต้องสำเร็จเท่านั้น เข้าใจหรือไม่?”เหอเหวินเย่าหันไปมองทางชายวัยกลางคนด้านข้างและเอ่ยเสียงเข้มชายวัยกลางคนผู้นี้มีชื่อเรียกว่าผังซื่อเต๋อ ผู้นำตระกูลผังอันเป็นตระกูลวิถียุทธ์เลื่องชื่อในยุทธภพเมืองจัว ความสามารถน่ากลัวอย่างยิ่ง เมื่อฉินอวิ๋นฮุยเพิ่งถึงเมืองจัว เขาก็อารักขาอยู่ข้างกายฉินอวิ๋นฮุยตลอดเวลา ประกันควา
ยามดึก!ฉินอวิ๋นฮุยถูกสาวใช้ในอ้อมกอดปลุกตื่น ถึงยังงัวเงียไม่ยินยอมมาก แต่เขาก็ยังฝืนใจลุกขึ้น เพราะเรื่องนี้ใหญ่หลวงนักยามนี้ หัวหน้าทหารร่างกำยำสิบคนรวมถึงเหอเซินยืนรออยู่หน้ากระโจมแล้ว“ให้พวกเจ้าแต่ละคนพาทหารฝีมือดีสองร้อยคนไปด้วย พวกเจ้าเตรียมพร้อมแล้วหรือ?”ฉินอวิ๋นฮุยที่มาถึงนอกกระโจมสติแจ่มชัดแล้ว ศึกนี้มีความหมายกับเขามาก ขอเพียงจับกุมโจรพวกนี้ได้ก็จะเป็นผลงานใหญ่ของเขา“เรียนองค์ชาย เตรียมพร้อมแล้วขอรับ รอแต่ท่านออกคำสั่ง!”เหอเซินพูดเสียงเบา กลัวทำให้ทหารคนอื่นตื่นและทำให้สายสืบของพวกโจรสังเกตเห็น“ออกเดินทาง!”ฉินอวิ๋นฮุยพูดเสียงเบาเหมือนกันกล่าวจบ ทหารฝีมือดีสองพันคนสวมชุดลำลอง พกอาวุธคล่องมือ พวกเขาเดินไปตามริมผนังหินป้องกันคนเห็นท่ามกลางราตรีมืดมิดไม่นานพวกเขาก็มาถึงทางไส้แกะ ด้วยการนำของหัวหน้าทหารสิบคน พวกเขาเร็วดังกระสวย แค่ครึ่งชั่วยามก็มาถึงจุดซุ่มโจมตีแล้วครอกฟี้ ๆ...พวกฉินอวิ๋นฮุยเพิ่งมาถึงละแวกนั้นก็ได้ยินเสียงกรนดังสะเทือนเลือนลั่นดังมาเป็นระยะจากในป่า ไม่ว่าใครก็รู้ว่ามันคืออะไร!ใกล้จะยามห้าแล้ว เป็นเวลาที่ทุกคนง่วงเหงาหาวนอนที่สุด คนที่เฝ้า
“ฮะ?! ทำไม ทำไมถึงมีทหารมากขนาดนี้ล่ะ!!!”จังหวะที่โจรคนหนึ่งร้องอุทานด้วยความตกใจ อึ้งจังงังตาค้าง รอบตัวกลับมีเงาดำนับไม่ถ้วน ทั้งยังมีกลิ่นคาวเลือดฉุนคละคลุ้ง ไม่ต้องใช้สมองก็รู้ได้ว่าเมื่อครู่เกิดอะไรขึ้น!“สวรรค์! ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้?”“พวกเราถูกลอบโจมตีแล้ว ไปตามคนมาเร็วเข้า!!!”......ชั่วขณะหนึ่ง บรรดาโจรสะดุ้งตื่นขึ้นมากันหมด พวกเขามองรอบ ๆ ด้วยความตื่นตะลึงตาค้าง แม้พวกเขาจะกรีดร้องส่งเสียงขอความช่วยเหลือแต่ก็ไร้ผล ชิ้ง!!!!เสียงกระบี่แหลมคมดังขึ้นอีกครั้ง เพียงชั่วเสี้ยววินาที โจรหลายร้อยคนถูกสังหารเรียบ ไม่เหลือรอดแม้แต่คนเดียว ฉินอวิ๋นฮุยและคนอื่น ๆ ปฏิบัติการเด็ดขาดฉับไวปานสายฟ้าแลบในสถานการณ์ที่ไม่เสียกำลังคนแม้แต่คนเดียว กำจัดกองโจรทั้งหมดได้อย่างมีประสิทธิภาพ“ยอดเยี่ยม!”ฉินอวิ๋นฮุยมุมปากกระตุกและพูด “เอาไว้กลับไปแล้ว ตกรางวัลทุกคนสามร้อยตำลึง!”“ขอบคุณองค์ชายรอง!”เมื่อเหล่าทหารได้ยินพลันดีใจลิงโลด ตื่นเต้นที่สุด สำหรับพวกเขา สามร้อยตำลึงคือรายรับก้อนโต เทียบเท่ากับเบี้ยหวัดสามปีของพวกเขาเลยทีเดียว“ทุกคนรีบตรวจสอบกับดัก ทำสัญลักษณ์เอาไว้ให้ดี แล้ว
เมื่อได้ยินสายรายงาน จางหมาจื่อผุดลุกขึ้นยืนทันที สีหน้ามืดสว่างสลับสับเปลี่ยน ลางร้ายแวบเข้ามาในสมองไม่รอให้เขาทันตอบสนอง สมุนโจรคนหนึ่งวิ่งหน้าตื่นมา ปากตะโกนไม่หยุด “แย่แล้ว ค่ายหลัก เกิดเรื่องแล้ว เกิดเรื่องใหญ่แล้ว!”ครั้นจางหมาจื่อได้ยินการรายงานน่าตกใจนี้ก็นิ่งนอนใจไม่ได้แล้ว เขาสาวเท้าออกไปคว้าคอเสื้อของลูกสมุนผู้นั้นและตะคอกถามว่า “พูด! มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?!”ลูกสมุนผู้นั้นตกใจขวัญเสีย ตอบติดอ่าง “ทัพ ทัพ ทัพใหญ่มาแล้ว อย่างมากอีกหนึ่งชั่วยามพวกเขาก็จะถึงหมู่บ้านแล้วขอรับ!”“ทำไมเร็วอย่างนี้ล่ะ?!”จางหมาจื่อเซไปเล็กน้อย เกือบก้นจ้ำเบ้าลงกับพื้น พวกเขาเตรียมตัวพร้อมขนาดนี้ ในเวลาสำคัญอย่างนี้ ทำไมจู่ ๆ ก็เกิดช่องโหว่ได้ล่ะ? เขาไม่เข้าใจเลยจริง ๆ!“น้องรองล่ะ! เขาอยู่ที่ไหน!”จางหมาจื่อตะคอกกับทุกคนที่กำลังแตกตื่น ทุกคนต่างเกรงกลัวอำนาจของรองหัวหน้า ก้มหน้างุด สั่นพั่บ ๆ ไม่มีใครกล้าปริปาก “มีอะไรหรือพี่ใหญ่ เรื่องใหญ่แค่ไหนกันเชียว? ต้องโมโหขนาดนี้เลย?”ตอนนี้เอง รองหัวหน้าเดินเข้ามาด้วยใบหน้าอิ่มเอม สองขาอ่อนเปลี้ย เขาไม่รู้เลยว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ยังนั่งไขว่ห้าง
ในที่สุดเหมิงฉาก็รับไม่ไหว ร้องตะโกนคำที่แทบจะเป็นความอัปยศนั้นการแข่งขันทางบู๊นี้ก็ปิดฉากลงท่ามกลางความตกตะลึงพรึงเพริดของทุกคน...เรื่องหักเหจากการคาดหมายของทุกคนเหลียงจ้านอิงและเหลียงเทียนจื้อต่างคิดไม่ถึงว่าเหลียงเทียนอี้จะล้วงปืนสั้นออกมาพลิกสถานการณ์ในการแข่งขันด้านบู๊นี้กระทั่งว่าเหลียงเทียนจื้อไม่มีโอกาสจะได้ออกโรงเลย...เช่นละครอย่างไรอย่างนั้น เนื่องจากเหมิงฉากลัวสุดขีดจึงยกมือยอมแพ้ดังนั้นเหลียงเทียนอี้จึงคว้าชัยชนะการแข่งขันรอบนี้ได้อย่างง่ายดายโดยไม่เปลืองแรงภาพมหัศจรรย์เกิดให้แบบไม่มีการเปลี่ยนแปลงลุ้นระทึกและไม่มีเลือดร้อนพลุ่งพล่านที่ใครคาดหวัง!ถึงขั้นว่าลวงตามากแต่ผลลัพธ์เป็นของจริงแท้แน่นอน เหลียงเทียนอี้ชนะแล้ว......“ดูท่าครั้งนี้ฟานเอ๋อร์จะช่วยข้าได้มากอีกแล้ว”เหลียงเทียนอี้กลับมาถึงด้านในก็คืนปืนสั้นให้ฉินอวิ๋นฟานและพรูลมหนัก ๆ“เหอะ ๆ เสด็จน้าชมเกินไปแล้ว ทุกอย่างขึ้นอยู่กับกลยุทธ์ของท่านทั้งหมด ไม่เกี่ยวกับข้าสักหน่อย”ฉินอวิ๋นฟานยักไหล่ มิได้กล่าวอะไรอีกถ้าจะบอกว่าเขาทำอะไรเพื่อเหลียงเทียนอี้ นั่นก็แค่บอกเขาว่าความจริงการแข่งขันนี้สามาร
การกระทำของเหลียงเทียนอี้ทำให้ทุกคนในนั้นตกตะลึงแม้แต่เหลียงจ้านอิงที่อยู่บนปะรำก็ยังหยุดการดื่มน้ำชาไม่ได้ มองไปด้วยสีหน้าประหลาดใจ“เขาคิดจะทำอะไรกันแน่?”เหลียงเทียนจื้อมองเหลียงเทียนอี้ที่ปราศจากเครื่องป้องกันใด ๆ ด้านข้าง ใบหน้าแปลกใจนี่คือการแข่งขันบู๊นะ คือสถานที่ตีรันฟันแทง ถ้าไม่ระวังอาจต้องคมศาสตราได้จริง ๆ ศีรษะย้ายที่อยู่ หากไม่ใช่เพราะมั่นใจกับฝีมือของตัวเองมาก กอปรกับวางแผนร่วมกับทางซยงหนูดีแล้วเขาคงต้องสวมชุดเกราะหนักมารับมือกับการแข่งขันด้านบู๊วันนี้เหมือนกันทว่าการกระทำเช่นนี้ของเหลียงเทียนอี้ต่างจากการรนหาที่ตายอย่างไร?ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกแปลก เหลียงเทียนจื้อหน้าบิดเบี้ยวเล็กน้อย...ทั้งที่เขาควรดีใจกับเวลานี้ ถ้าเหลียงเทียนอี้เกิดอุบัติเหตุในการแข่งขันรอบนี้ เช่นนั้นบัลลังก์ต้องเป็นของเขาแน่แล้วแต่ใจกับกระวนกระวาย อย่างไรก็ไม่เป็นสุข“หรือว่าเขาแอบวางแผนอะไร?”ทันใดนั้นเหมิงฉาเริ่มบุกโจมตีก่อนแล้วร่างสูงใหญ่นั้นหวดขวานใหญ่หนักร้อยชั่งพลางเข้าใกล้เหลียงเทียนอี้อย่างต่อเนื่องภายใต้แสงสุริยา คมมีดนั้นน่ากลัวเช่นนี้ ราวกับแค่ถากเถือเบา ๆ ก็เฉือนศีรษ
“ข้าเอง!”ทันใดนั้นเหลียงเทียนอี้ก็ก้าวออกมาช้า ๆโง่อย่างที่คิด...เหลียงเทียนจื้อยืนยิ้มเยาะอยู่ในใจข้างหลังเขารู้นิสัยของพี่ชายดี และรู้ว่าเหลียงเทียนอี้เป็นคนดื้อรั้นมากเมื่อเจอกับสถานการณ์เช่นนี้ก็มักจะดาหน้าออกไปทันทีแม้เผชิญหน้ากับพันขุนศึกหมื่นอาชาก็ยังปราศจากความกลัวเกรง พลีตนจนตัวตาย...แต่พฤติกรรมวู่วามเช่นนี้ กลัวแต่ต้องจบอย่างอนาถในท้ายที่สุด“ฮ่า ๆ ๆ รัชทายาทกล้าหาญดังคาด!” เหมิงฉาหัวเราะเสียงดัง “ปกติยังนึกว่าท่านเป็นแต่สะบัดพู่กันขีดเขียน วันนี้ข้าอยากลองดูสิว่าฝีมือดาบกระบี่ของท่านจะล้ำลึกหรือไม่?”เพิ่งกล่าวจบ เหมิงฉาก็กวัดแกว่งขวานใหญ่พลางเดินประชิดไปทางเหลียงเทียนอี้ทีละก้าวรูปร่างใหญ่นั้น ร่างกายแข็งแรงนั้น แค่ยืนอยู่ก็สร้างแรงกดดันที่มองไม่เห็นแล้วทำให้หลาย ๆ คนเห็นแล้วอดเกิดใจกลัวอย่างหนึ่งขึ้นมาไม่ได้“อุ๊ย ท่านพี่จะเอาชนะสัตว์ประหลาดตัวนี้ยังไง?”เหลียงจื่อฝูที่อยู่บนปะรำหน้าทุกข์ร้อน สองมือบีบผ้าเช็ดหน้าแน่น สีหน้าซีดไปเล็กน้อยนางจ้องเหลียงเทียนอี้กลางลานฝึกซ้อม“ท่านพี่ไม่มีความสามารถด้านนี้เท่าไร ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเหมิงฉา!”ผู้เป็นน้องสาว
เหลียงเทียนอี้ขมวดคิ้วแน่น ใบหน้าราบเรียบ มองอารมณ์ไม่ออกแต่ในใจเขารู้ดี การต่อสู้ครั้งนี้ได้เปิดฉากอย่างเป็นทางการตั้งแต่เหมิงฉาเริ่มพูดแล้วนี่คือการหยามหน้า คือการหยามเหยียดอย่างชัดเจนไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาเลย“เป็นยังไง? องค์ชายสาม?”เหมิงฉาเมินเหลียงเทียนอี้ที่อยู่อีกทางหนึ่ง แล้วใช้สายตาท้าทายมองไปทางเหลียงเทียนจื้อ ก่อนจะเอ่ยเสียงเย็น “ได้ยินว่าฝีมือการใช้ดาบกระบี่ขององค์ชายสามค่อนข้างร้ายกาจ วันนี้ข้าขอท้าทายสักหน่อยเถิด”“มิเป็นไร” เหลียงเทียนจื้อฉีกยิ้ม ใบหน้าเปื้อนไปด้วยความกระหยิ่มใจจากนั้นก็ชักกระบี่ล้ำค่าคู่กายออกมาจากตรงเอวช้า ๆการต่อสู้ครั้งนี้ คือของเขาเท่านั้น!และเป็นเขาได้เท่านั้น!เขาต้องการให้ทุกคนรู้ว่าเขาเหลียงเทียนจื้อต่างหากที่เป็นผู้ชนะในท้ายที่สุดคนนั้น คือคนที่สามารถเอาชนะซยงหนูได้อย่างแท้จริง!......“ดูท่าทุกอย่างจะดำเนินไปตามแผนนะ”เหลียงจ้านอิงดื่มน้ำชาสบายใจเฉิบอยู่บนปะรำมองผลสะท้อนกลับอย่างอบอุ่นของเหล่าผู้ชม จิตใจยิ่งฮึกเหิมตื่นเต้นไม่พูดไม่ได้เลย ถ้อยคำนั้นของเหมิงฉาทำให้เกิดผลดีเยี่ยม สามารถชักจูงอารมณ์ของทุกคนได้ในพริบตาเขาเช
ตกลงไว้แต่แรกว่าเป็นการแข่งขันรูปแบบปิด และไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร นอกจากราชวงศ์จะมิมีผู้ใดล่วงรู้ทว่าตอนนี้กลับแข่งขันในลานกว้างต่อหน้าธารกำนัล?หากท่านพี่แพ้มิต้องเป็นที่หัวเราะไปทั่วหรือ?“นี่ก็คือผลลัพธ์ที่ทางเหลียงชินอ๋องต้องการกระมัง?”ฉินอวิ๋นฟานนั่งลงด้านข้าง ยิ้มพูดอย่างเฉยชา “ในฐานะที่เป็นละครฉายซ้ำของวันนี้ พวกเขาแค่ต้องการให้ทุกคนได้เห็นความประดักประเดิดของเสด็จน้าเท่านั้น”แต่แพ้จากการต่อสู้เช่นนั้นผลลัพธ์ต้องเทข้างแน่โอรสสวรรค์ของต้าเหลียงที่กล่าวขานกลับแพ้ให้กับคนป่าเถื่อน ทั้งความสามารถยังมิสู้องค์ชายสามเหลียงเทียนจื้อขอเพียงมีการพูดประเภทนี้ต่อไป ไม่นานอัตราการสนับสนุนเหลียงเทียนจื้อก็จะพุ่งสูงลูกไม้พรรค์นี้ช่างโหดเหี้ยมนัก“น่ารังเกียจจริง ๆ...” คิ้วงามเหลียงจื่อฝูย่นยู่เล็กน้อย อดกระตุกมุมปากไม่ได้ “ไม่เคยคิดเลยว่าพวกเขาจะใช้วิธีการต่ำช้าเช่นนี้”“เมื่อวานท่านพี่ชนะการแข่งขันด้านบุ๋นกับซยงหนูในท้องพระโรง พวกเขาไม่เห็นจะพูดกันเลย เลวทรามจริง ๆ!”ฉินอวิ๋นฟานหัวเราะอย่างไม่ออกความเห็นเขากลับไม่ใส่ใจว่าเมื่อวานจะชนะหรือแพ้ วันนี้ต่างหากที่เป็นส่วนสำค
สำหรับเหลียงเทียนอี้ การแข่งขันในวันนี้ค่อนข้างน่าตกใจแต่ยังดีที่สุดท้ายเขาสามารถคลี่คลายได้อย่างน่าอัศจรรย์ ทำให้พวกซยงหนูหน้าบึ้งตึง โจมตีจนพวกเขารับมือไม่ทันดูท่าปกติว่างเว้นจากการงานอ่านหนังสือให้มากจะมีประโยชน์...หลังประชุมเช้า เหลียงเทียนอี้ก็อดรนทนไม่ไหวบอกข่าวดีกับฉินอวิ๋นฟาน อยากแบ่งปันความสุขและความเปรมปรีดิ์ของตนแต่พอได้ยินฉินอวิ๋นฟานตอบกลับ เขาจึงตระหนักว่าเรื่องราวไม่ได้เรียบง่ายธรรมดาอย่างที่เขาคิดอย่างนั้น“การแข่งขันทางบู๊ในวันพรุ่งนี้จึงจะเป็นส่วนสำคัญอย่างแท้จริง”คำพูดราบเรียบประโยคหนึ่งของฉินอวิ๋นฟานทำให้ความยินดีปรีดาของเหลียงเทียนอี้ในแต่เดิมสูญสิ้น สีหน้าอึมครึมมากขึ้นเรื่อย ๆ“ข้าย่อมรู้ดี...แต่ปกติ คนที่จะชนะในการแข่งขันทางบู๊คงจะเป็นน้องสาม”เกี่ยวกับจุดนี้แทบไม่มีอะไรให้ลุ้นเพราะเหลียงเทียนจื้อร่ำเรียนกับเหลียงจ้านอิงแต่เล็ก อีกทั้งยังเคยเข้าสนามรบฟาดฟันกับศัตรู ด้านประสบการณ์การรบ จึงมีความคล่องมากกว่าเป็นธรรมดาเช่นนี้ หากคิดจะชิงคะแนนหนึ่งมาจากมือของเหลียงเทียนจื้อ คาดว่าต้องยากเป็นพิเศษเมื่อเห็นเหลียงเทียนอี้มีท่าทางปราศจากใจฮึดสู้ ฉินอวิ
“พันทุบหมื่นเจาะจึงได้แผ่นดิน ไฟโหมเผาไหม้เป็นอาจิณ ร่างแหลกกายเหลวมิหวั่น คงไว้ซึ่งความบริสุทธิ์ในโลกา”ฝุ่นหินหนึ่งบททำให้หลิ่วเหวินเซี่ยมั่นใจมากขึ้นไม่น้อยครั้งนี้เขาไม่ออมมืออีก ทั้งยังท่องออกมาจนจบ ไม่เปิดโอกาสใด ๆ ให้กับเหลียงเทียนอี้เช่นเดียวกัน เขาทำนอกเหนือแผนเดิม ไม่คิดสนใจความรู้สึกของเหลียงเทียนจื้ออีก“นี่ นี่มันกลอนอะไร?”เหลียงเทียนจื้อที่อยู่ด้านหลังเหงื่อตก ในหัวถึงขั้นว่าไม่มีความทรงจำอะไรเกี่ยวกับกลอนบทนี้แน่นอน ด้วยความทึ่มทื่อของเขาจะต่อกลอนได้อย่างไร ได้แต่เกาหลังศีรษะยิก ๆทว่าเหลียงเทียนอี้ยังใจเย็นเหมือนเดิม เพียงครู่เดียวก็ตอบ“หวงคะนึงความทุกข์เข็ญในการสอบ บัดนี้ไฟสงครามสงบผ่านพ้นสี่ปี”“บ้างเมืองไหวเอนดังกิ่งหลิว ใครเล่ามิใช่ผิวน้ำฝนซัดสาด”“หวงข่งทานปราชัยพรั่นพรึงถึงวันนี้ หลิงติงหยางอ้างว้างถอนหายใจ”“นับแต่โบราณใครบ้างมิดับสูญ เหลือใจรักชาติในพงศาวดาร”ครั้นกล่าวออกมาก็ได้รีบเสียงปรบมือดังสนั่นขุนนางบุ๋นบู๊ที่ชมละครฉากเด็ดในแต่เดิม ยามนี้ยอมสยบกับความสามารถทางวรรณกรรมของเหลียงเทียนอี้แล้วไม่ว่าจะเป็นกลอนในสมัยใด เหลียงเทียนอี้ก็เหมือน
ชั่วขณะ ท้องพระโรงเงียบกริบ สายตาของทุกคนรวมศูนย์อยู่กับตัวของเหลียงเทียนอี้แทบทั้งหมดในดวงตาเต็มไปด้วยความประหลาดใจและความยินดีหลังจากหลิ่วเหวินเซี่ยร่ายกลอนท่อนแรกออกมา เหลียงเทียนอี้กลับสามารถตอบสนองทันควันพร้อมต่อท่อนหลังความเร็วเช่นนี้เรียกว่าเร็วยิ่ง!“อวิ๋นเฉ่าสาทรฤดูมีเขียวแห่งวสันต์ของกวีราชวงศ์ซ่ง คือยอดบทกวีโดยแท้!”เหลียงเทียนอี้พยักหน้าอย่างสง่างาม ใบหน้าประดับรอยยิ้มมั่นใจงานนี้ทำให้เหลียงเทียนจื้อที่อยู่ข้างล่างหน้าตึงฉับพลันเหลียงจ้านอิงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ยิ่งหนักกว่า สายตาที่มองมาราวกับมีไฟพุ่งออกมาได้“บ้าเอ๊ย...ถูกชิงตัดหน้าไปก่อน!”เหลียงเทียนจื้อกัดฟันกรอด ในใจกรุ่นโกรธไม่หยุดทั้งที่เขาทำการบ้านมาล่วงหน้า ไม่ว่าหลิ่วเหวินเซี่ยจะท่องกลอนบทใดเขาก็เตรียมเอาไว้หมดแล้วแต่ในสถานการณ์เช่นนี้ เขากลับเร็วสู้เหลียงเทียนอี้ไม่ได้!และไม่รู้ว่าตัวเองโง่เขลาหรือเหลียงเทียนอี้เก่งจริงกันแน่!“รัชทายาททรงภูมิแท้ ข้าน้อยเลื่อมใส!”หลิ่วเหวินเซี่ยพยักหน้าด้วยสีหน้าคงเดิมทว่าในใจกลับไม่พอใจเล็กน้อยแล้วคิดไม่ถึงว่าเหลียงเทียนอี้ผู้นี้จะมีฝีมือ เขาจงใจเลือกบทกวี
การกระทำเช่นนี้คือการแสดงความยโสหยิ่งผยองของซยงหนูอย่างมิต้องสงสัย“เหมิงฉา คารวะรัชทายาท”“หลิ่วเหวินเซี่ย คารวะรัชทายาท”คนอื่น ๆ ก็ทักทายตามด้วยเหมือนกัน เมื่อนั้นเหลียงเทียนอี้จึงรู้ฐานะของพวกเขาดูแล้วหนึ่งคนในนั้นก็คือบุตรชายของเหมิงเก๋อเอ่อร์ หรือก็คือคนที่มาท้าทายเขาในครั้งนี้อย่างที่เหลียงจ้านอิงบอก การมาครั้งนี้ของเหมิงเก๋อเอ่อร์ก็เพื่อหยั่งเชิงเขาโดยอ้างเหตุผลเยี่ยมเยือนฮ่องเต้ต้าเหลียง ดังนั้นเรื่องที่เริ่มสนทนาในท้องพระโรงจึงเกี่ยวกับสุขภาพของฮ่องเต้ต้าเหลียงแทบจะทั้งหมดทว่าทุกคนในที่นั้นต่างรู้ดี จุดประสงค์ของผู้นิยมสุรามิได้อยู่ที่สุรานี่อย่างไร ครั้นเปลี่ยนเรื่อง เหมิงเก๋อเอ่อร์ก็กล่าวถึงการแข่งขันเลย“ได้ยินว่ารัชทายาทและองค์ชายสามเก่งทั้งบุ๋นแล้วบู๊มานาน คืออัจฉริยะของต้าเหลียง การมาเยือนต้าเหลียงครั้งนี้ นอกจากจะเยี่ยมฮ่องเต้ต้าเหลียงสหายเก่าท่านนี้ ก็อยากให้บุตรชายได้ประมือกับรัชทายาทและองค์ชายสักหน่อย”เหมิงเก๋อเอ่อร์สีหน้าขึงขัง ในที่สุดก็เข้าประเด็นชั่วขณะ ทุกคนในท้องพระโรงหัวใจจะหลุดออกมาอยู่แล้ว ต่างสังเกตสีหน้าเหลียงเทียนอี้อย่างแนบเนียนทว่าเ