บางทีอาจเป็นเพราะนางไม่กล้ามองรอยฝ่ามือที่เด่นชัดบนใบหน้าของหลี่เฉิน นางจึงเบือนสายตาหนี ราวกับรู้สึกผิดอยู่เล็กน้อยทั้งกลัวว่าหลี่เฉินจะโกรธเอาคืน และกลัวว่าเขาจะดีกับนางมากเกินไปเมื่อนึกถึงคำพูดก่อนหน้านี้ของเขาที่ถามว่านาง เหนื่อยหรือไม่ จ้าวชิงหลานก็รู้สึกสับสนวุ่นวายในใจถือโอกาสนี้ นางขยับไปนั่งอีกมุมหนึ่งของเกี้ยว และหลี่เฉินก็ไม่ได้รุกล้ำเข้ามาใกล้อีกตอนนี้พวกเขาสลับตำแหน่งกันแล้ว จ้าวชิงหลานนั่งตรงที่หลี่เฉินเคยนั่ง ส่วนหลี่เฉินกลับเอนตัวนอนสบายๆ บนบัลลังก์ภายในเกี้ยว"ข้าคาดว่า เสด็จพ่อของเจ้าจะลงมือในวันอภิเษกของข้า"คำพูดของหลี่เฉิน ทำให้หัวใจของจ้าวชิงหลานที่เพิ่งสงบลงกลับตึงเครียดอีกครั้ง"เจ้ามีหลักฐานหรือ?" จ้าวชิงหลานถาม"ไม่มี"หลี่เฉินส่ายหัว หัวเราะเบาๆ "แต่นี่เป็นความเข้าใจของคนระดับสูงที่รู้กันดี หากเจ้ารู้ก็รู้เอง จ้าวเสวียนจีตอนนี้รอไม่ไหวอีกแล้ว เขาไม่สามารถถ่วงเวลาได้อีกต่อไป เขาได้ผลักดันกระแสขึ้นมาแล้ว หากเขาลังเล กระแสนั้นจะย้อนกลับมาทำลายเขาเอง คนมากมายกำลังรอให้เขาขยับตัว""ดังนั้น ช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับเขา ก็มีเพียงวันอภิเษกของข้าเท่
นี่เป็นครั้งแรกที่หลี่เฉินได้ยินกงฮุยอวี่พูดยาวขนาดนี้ปกติแล้ว ไม่ว่าเขาจะพยายามแค่ไหน เวลาคุยกับกงฮุยอวี่ นางมักจะตอบกลับด้วยคำสั้นๆ อย่าง อืม ได้ ไม่ และไม่เคยเกินห้าคำแต่คราวนี้ เวลานางตอบโต้กับเจี้ยว่าง นางกลับพูดเสียยาวเหยียดแถมยังเจ็บแสบ แหลมคม และรุนแรงมากหลี่เฉินไม่ต้องมองก็จินตนาการได้เลยว่า สีหน้าของเจี้ยว่างในตอนนี้คงไม่สู้ดีนักเมื่อเดินเข้าไปในตำหนักบูรพา เขาโบกมือห้ามทหารรักษาการณ์ไม่ให้ทำความเคารพ การมาถึงของเขาดึงดูดสายตาของทั้งกงฮุยอวี่และเจี้ยว่างทันทีหรืออาจเป็นไปได้ว่าทั้งสองคนนั้นรับรู้ถึงตัวเขา ตั้งแต่ก่อนเขาเดินเข้ามาเสียอีก"ครึกครื้นเสียจริง"หลี่เฉินเดินเข้ามาอย่างใจเย็น ก่อนกล่าวขึ้น"อมิตาภพุทธ อาตมาถวายบังคมองค์รัชทายาท"เจี้ยว่างประสานมือคารวะเขาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น หลี่เฉินหัวเราะเบาๆ "ท่านอาจารย์มาถึงที่นี่โดยกะทันหัน เช่นนั้นแสดงว่าเรื่องที่ข้าถามไว้ก่อนหน้านี้ ท่านคงมีคำตอบแล้วสินะ?"เจี้ยว่างพยักหน้า "องค์ชายทรงเฉลียวฉลาดยิ่งนัก"หลี่เฉินหันไปมองกงฮุยอวี่บ้าง "ไม่เห็นหน้าเจ้าหลายวัน พอกลับมา ก็มีเรื่องทะเลาะกับแขกของข้าเสียแล้ว?"พอเ
คำพูดของหลี่เฉินชัดเจนและตรงไปตรงมา เจี้ยว่างแม้จะแก่ชรา แต่ไม่ได้เป็นคนสมองเสื่อม ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะเงียบ ไม่โต้แย้งองค์รัชทายาทในเรื่องนี้"ท่านอาจารย์ คนที่ข้าต้องการ ท่านพามาให้ข้าได้หรือไม่?" หลี่เฉินเอ่ยถามเจี้ยว่างสวดพุทธมนต์เบาๆ ก่อนกล่าวว่า "องค์ชาย วัดเส้าหลินเหนือและใต้รวมกันแล้ว จำนวนพระนักรบที่เข้าพิธีอุปสมบทอย่างเป็นทางการยังไม่ถึงสามพันรูป มิใช่ว่าเส้าหลินไม่ต้องการช่วย แต่เป็นเพราะไม่มีศักยภาพพอที่จะตอบสนองความต้องการขององค์ชายได้ อย่างไรก็ตาม พระนักรบที่แข็งแกร่งที่สุดจากเส้าหลินทั้งเหนือและใต้ รวมกันได้เพียงแปดร้อยรูป หากองค์ชายมีพระบัญชา พวกเขาสามารถเดินทางมาถึงเมืองหลวงได้ในเวลาอันสั้น"คิ้วของหลี่เฉินกระตุกขึ้นเล็กน้อย เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย "ข้าขอสามพัน ท่านอาจารย์กลับพามาแค่แปดร้อย แล้วบอกว่านี่เป็นข่าวดีอย่างนั้นหรือ?"เจี้ยว่างรีบอธิบายทันที "องค์ชาย แม้เส้าหลินจะเป็นวัดเก่าแก่ที่มีอายุนับพันปี แต่พระสงฆ์ก็แบ่งเป็นสายธรรมะและสายวรยุทธ์ มิใช่ว่าพระทุกรูปจะเป็นพระนักรบ พระนักรบมีหน้าที่เพียงปกป้องวัด ไม่ได้เป็นกลุ่มหลักของวัด ยิ่งไปกว่านั้น ภายใต้
"ดังนั้น นี่จึงเป็นเหตุผลที่ท่านอาจารย์ออกจากวัดและพยายามผลักดันให้เส้าหลินร่วมมือกับข้า?" หลี่เฉินถามเสียงเรียบเจี้ยว่างพนมมือก่อนโค้งตัวเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า "อาตมาใช้ชีวิตอย่างสูญเปล่ามาหลายร้อยปี นานจนมองความเป็นความตายเป็นเรื่องธรรมดา สำหรับศิษย์พุทธแล้ว ความตายเป็นเพียงการเริ่มต้นใหม่ของวัฏสงสาร หากยังไม่บรรลุธรรม ยังไม่สำเร็จเป็นพุทธะ ก็ต้องเวียนว่ายไปเพื่อแสวงหาตัวตนที่แท้จริงต่อไป""เพียงแต่ชีวิตนี้ของอาตมากำลังจะจบลง และจะเริ่มต้นใหม่อีกครั้งในชาติหน้าเท่านั้น""เมื่อนึกย้อนกลับไป อาตมาเติบโตขึ้นมาในวัดตั้งแต่ยังเด็ก ถูกทอดทิ้งจากพ่อแม่ ใช้ชีวิตไปวันๆ แม้ว่าจะสวดมนต์กินเจทุกวัน แต่ก็ไม่เคยเข้าใจสัจธรรมที่แท้จริง คิดแล้วก็รู้สึกละอาย""ตลอดชีวิตของอาตมา มิได้สร้างคุณูปการใดๆ ต่อบ้านเมือง มิได้เป็นประโยชน์ต่อแผ่นดิน มิได้ฝากผลงานใดไว้ให้พระศาสนา นอกจากมีฝีมือยุทธ์สูงส่ง แต่กลับได้รับการอุปถัมภ์จากวัดเรื่อยมา ในชาตินี้ถือว่าอาตมายังติดหนี้บุญคุณอยู่มากมาย ดังนั้น อาตมาจึงหวังว่า ในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต จะสามารถหาหนทางให้พระศาสนาอยู่รอดต่อไปได้""ช่างโชคดีนักที่องค์ชายทรงม
ไม่นานนัก เจี้ยว่างก็ออกจากตำหนักบูรพาหลี่เฉินนั่งเงียบอยู่ในพระที่นั่งสีเจิ้งครู่หนึ่ง จากนั้นไม่นาน กงฮุยอวี่ก็ปรากฏตัวขึ้นอย่างเงียบเชียบที่มุมหนึ่งของพระที่นั่งสีเจิ้ง บริเวณชั้นหนังสือที่ดูเหมือนจะกลายเป็นจุดประจำของนางนางคุ้นเคยกับที่นี่เป็นอย่างดี เอื้อมมือไปหยิบหนังสือเล่มหนึ่ง ก่อนจะเพิ่งเปิดอ่านไปได้ไม่นาน ก็ได้ยินเสียงของหลี่เฉินดังขึ้น"เจี้ยว่างมีชีวิตอยู่ได้ไม่นานแล้วใช่หรือไม่?""อืม"คำตอบของกงฮุยอวี่สั้นกระชับ เย็นชาเหมือนเคย หลี่เฉินกระแอมก่อนเอ่ยว่า "เจ้าพูดเพิ่มอีกสักคำไม่ได้หรือไง?"กงฮุยอวี่เงยหน้าขึ้น ดวงตาใสกระจ่างของนางจ้องตรงมาที่เขา ก่อนที่ริมฝีปากจะขยับเอ่ยออกมาเพียงหนึ่งคำ "อืม ได้"เพิ่มมาหนึ่งคำจริงๆหลี่เฉินหมดคำพูดไปทันทีเขาถอนหายใจ ก่อนจะถามต่อ "สภาพของเขาตอนนี้ ถ้าหากต้องลงมือสุดกำลังอีกครั้ง จะเป็นอย่างไร?""ตาย"กงฮุยอวี่ตอบโดยไม่ต้องคิดแม้แต่นิดเดียว นางนิ่งไปชั่วครู่ เหมือนนึกถึงคำขอของหลี่เฉินเมื่อครู่ แล้วจึงเสริมอีกหนึ่งคำ "ตายทันที""พลังชีวิตในร่างกายของเขาเหือดแห้งไปจนถึงขีดสุดแล้ว ตอนนี้ที่เขายังเดินพูดได้เหมือนคนปกติ เป็นเพร
"ใช่"หลี่เฉินไม่ได้ปิดบังหรือบ่ายเบี่ยง แต่ตอบรับตรงๆ"เจ้าได้ยินข่าวลือบางอย่างมาแล้ว?"กงฮุยอวี่กล่าว "เป็นข่าวจากฝ่ายในของข้า""มีหลายคนพูดว่าครั้งนี้ท่านจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้"หลี่เฉินหัวเราะเบาๆ "ดูเหมือนว่าผู้คนภายนอกจะรู้เรื่องในเมืองหลวงดีทีเดียว มีใครเปิดโต๊ะพนันไว้หรือยัง?"กงฮุยอวี่ขมวดคิ้ว "เรื่องใหญ่ขนาดนี้ ท่านไม่กังวลบ้างหรือ?""กังวลไปแล้วได้อะไร"หลี่เฉินยืดตัวแล้วกล่าวอย่างไม่แยแส "ต่อให้กังวลมากแค่ไหน มันก็ไม่ได้ช่วยอะไรอยู่ดี คนที่จะแพ้ อย่างไรก็ชนะไม่ได้ ส่วนคนที่ชนะ ต่อให้พยายามจะแพ้ ก็แพ้ยากอยู่ดี""สายของข้าพบว่ามีคนจำนวนมากทยอยเข้ามาในเมืองหลวงเป็นระลอกๆ ตอนนี้ เมืองหลวงกลายเป็นเขตหวงห้ามของยุทธภพไปแล้ว ไม่มีสำนักไหนอยากถูกดึงเข้าไปเกี่ยวข้อง แม้แต่พวกยอดฝีมือพเนจรก็พากันหนีออกไปหมด"กงฮุยอวี่มองหลี่เฉินด้วยแววตาเป็นประกาย "ท่านมั่นใจแค่ไหน?""ไม่มั่นใจ"หลี่เฉินตอบตามตรง "ในเมื่อพวกเขากล้าก่อกบฏ ก็หมายความว่าพวกเขาเตรียมตัวมานานกว่าข้าแน่นอน ข้าไม่รู้เลยว่าพวกเขามีไพ่ตายอะไรบ้าง จะเตรียมแผนมาขนาดไหน สิ่งที่ข้าทำได้คือรับมือไปตามสถานการณ์"กงฮุยอวี่พึ
"ปัญหาของตนเอง ก็ควรจัดการเอง ต่อให้ไปคร่ำครวญให้ผู้อื่นฟังก็ไร้ประโยชน์ ในเมื่อเป็นเช่นนั้น แล้วจะนำข่าวร้ายกลับมาเพื่ออะไร"หลี่เฉินตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะหันไปมองกงฮุยอวี่แล้วหัวเราะเบาๆ "เจ้าหึงรึ?"หึง?กงฮุยอวี่ไม่เข้าใจว่าหึงหมายถึงอะไรแต่ด้วยนิสัยของนาง แน่นอนว่านางไม่มีทางถามออกไป นางเพียงเหลือบมองหลี่เฉินด้วยสายตาเย็นชา ก่อนจะก้มหน้ากลับไปอ่านหนังสือของตนเองเหลืออีกเพียงหนึ่งวันก็จะถึงพิธีอภิเษกสมรสของตำหนักบูรพาไม่เพียงแค่ตำหนักบูรพา แม้แต่ทั่วทั้งพระราชวังหลวง ต่างเร่งเตรียมการสำหรับงานมหามงคลในวันพรุ่งนี้ตั้งแต่การตกแต่ง พิธีกรรม ความปลอดภัย ทุกกระบวนการถูกดูแลโดยกรมพิธีการและสำนักคุมประพฤติเนื่องจากการอภิเษกครั้งนี้ มีเจตนาเพื่อเป็นการเสริมมงคลให้กับต้าสิงฮ่องเต้ งานนี้จึงไม่ใช่เพียงเรื่องใหญ่ของตำหนักบูรพา แต่ยังเป็นเหตุการณ์สำคัญของทั้งเมืองหลวงทางการได้ส่งคนมากวาดล้างทำความสะอาดและตกแต่งถนนหนทางในเมืองหลวงล่วงหน้าหลายวัน ขณะที่ภายในพระราชวังหลวงเองก็ถูกปรับปรุงใหม่แทบทั้งหมด สิ่งที่ควรเปลี่ยนใหม่ก็เปลี่ยน สิ่งที่ควรซ่อมแซมก็เร่งซ่อม แม้แต่เหล่านางกำน
ไม่นานนัก ซูเจิ้นถิงเดินเข้ามาพร้อมกับแม่ทัพชราผู้หนึ่งที่มีท่าทีแข็งแกร่งและทรงอำนาจแม่ทัพผู้นี้แม้จะมีเส้นผมและเคราที่ขาวโพลน รูปร่างไม่สูงใหญ่หรือกำยำ แต่กิริยาท่าทางกลับสง่างามยิ่งนัก เดินเหินราวกับพยัคฆ์และมังกรที่ทรงพลัง ดวงตาคู่นั้นแม้จะชราภาพแต่ยังคงเฉียบคมดั่งเหยี่ยว ทำให้ผู้คนไม่อาจดูแคลนเขาได้"กระหม่อม ขอคารวะองค์ชาย""กระหม่อม หูซื่อฟาน ขอคารวะองค์รัชทายาท"เมื่อเปรียบเทียบกับซูเจิ้นถิงที่ดูผ่อนคลาย หูซื่อฟานซึ่งได้พบกับหลี่เฉินเป็นครั้งแรกกลับระมัดระวังและปฏิบัติตามมารยาทอย่างเคร่งครัดเขาประสานมือคำนับ พร้อมคุกเข่าลงข้างหนึ่ง ขณะที่พิธีกรรมทุกอย่างถูกปฏิบัติอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ไม่มีจุดบกพร่องแม้แต่น้อย"โปรดอภัยให้กระหม่อมที่ยังอยู่ในเครื่องแบบนักรบ จึงไม่อาจถวายคำนับเต็มพิธีได้"หลี่เฉินเดินเข้ามาประคองแขนของหูซื่อฟานให้ลุกขึ้น ก่อนจะกล่าวด้วยรอยยิ้ม "กฎของราชวงศ์เราระบุไว้ว่านายทหารในชุดเกราะสามารถถวายคำนับเพียงครึ่งเดียวได้ ท่านแม่ทัพช่างถ่อมตัวเกินไปแล้ว"สายตาของหลี่เฉินจับจ้องไปยังหูซื่อฟาน พลางกล่าวด้วยความชื่นชม "ท่านแม่ทัพได้นำทัพเหลียวตงต้านภัยหน
หลี่เฉินหันไปมองซูจิ่นพ่าที่อยู่ข้างกาย ยิ้มอ่อนเอ่ยว่า “เจ้าทำให้ข้ารู้สึกประหลาดใจมาก”ซูจิ่นพ่าไม่ได้ตอบ เพียงยอบกายทำความเคารพแบบสตรีผู้สูงศักดิ์อย่างอ่อนช้อยหลี่เฉินหลุดหัวเราะเบาๆ ก่อนจะหันไปกล่าวกับซูเจิ้นถิงว่า “แม่ทัพซู ลูกหลานตระกูลแม่ทัพเสือเจ้าฝีมือ เจ้าช่างมีบุตรีที่ดีนัก”ซูเจิ้นถิงก่อนหน้านี้อยู่หน้าประตูวัง เมื่อเขามาถึงพอดีกับที่ซูจิ่นพ่ากำลังตำหนีขุนนางพวกนั้น ด้วยสัญชาตญาณจึงไม่ได้รีบเข้าไป และการรอเพียงครู่เดียวนี้ ก็ทำให้เขาได้เห็นฝีมือกับสติปัญญาของบุตรสาวตัวเองอย่างชัดเจน นับว่ายอดเยี่ยมอย่างแท้จริง“ฝ่าบาทตรัสเกินไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”ซูเจิ้นถิงยกมือขึ้นคารวะ แล้วหันไปมองจางปี้อู่และขุนนางฝ่ายสำนักราชเลขาที่ใบหน้านิ่งสงบ จากนั้นกล่าวว่า “ฝ่าบาท ที่นี่ขอให้เป็นหน้าที่ของกระหม่อมกับท่านอาจารย์เถิดพ่ะย่ะค่ะ”ทหารย่อมต่อสู้กับทหาร แม่ทัพย่อมรับมือแม่ทัพบุคคลที่หลี่เฉินตั้งใจจะรับมือมาตลอด ไม่ใช่จางปี้อู่ และไม่ใช่ขุนนางทั้งหลายที่อยู่เบื้องหลังเขาเหล่านั้นแต่คือ...จ้าวเสวียนจี“ดี”หลี่เฉินพยักหน้าเบาๆ แล้วหมุนกาย มุ่งหน้าเข้าสู่พระที่นั่งไท่เหอในขณะที่หลี
ซูเจิ้นถิง ถานไถจิ้งจือ และสวีฉังชิง…เหล่าขุนนางสังกัดฝ่ายตำหนักบูรพาทยอยกันเดินเข้ามาอย่างเป็นระเบียบแม้แต่เหอคุน สวีจวินโหลว ฟู่หมิ่นชิง และโจวเฉิงหลงก็ปรากฏตัวพร้อมหน้าเมื่อเทียบกับเหล่าขุนนางสายสำนักราชเลขาที่มาถึงก่อน ตำหนักบูรพาดูด้อยกว่าทั้งในแง่จำนวน อายุ และตำแหน่งที่ครองอยู่แต่สิ่งเหล่านี้ เมื่อต้องอยู่ภายใต้การนำของซูเจิ้นถิงและถานไถจิ้งจือ กลับดูไม่มีความหมายอันใดอีกสองคนนี้ ได้ยกระดับทั้งฝ่ายขึ้นมาโดยพลันหลายคนในฝ่ายสำนักราชเลขา เมื่อเห็นถานไถจิ้งจือปรากฏตัว สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันทีพวกเขารู้ว่าถานไถจิ้งจือมีความใกล้ชิดกับตำหนักบูรพาอยู่บ้าง ทว่าที่ผ่านมาท่านผู้นี้ไม่เคยแสดงจุดยืน ไม่เคยแทรกแซงเรื่องการเมือง และไม่ข้องแวะกิจการบ้านเมืองใดๆแต่เวลานี้ ขณะที่สถานการณ์มาถึงจุดแตกหัก บุคคลผู้มีชื่อเสียงระดับบรมครูปรากฏตัวเคียงข้างซูเจิ้นถิง นั่นก็เท่ากับว่าเขาได้แสดงจุดยืนและท่าทีของตนอย่างชัดเจนแล้ว“ฝ่าบาท กระหม่อมมาช้าไป”ถานไถจิ้งจือคารวะหลี่เฉิน“ท่านอาจารย์กล่าวเกินไปแล้ว”หลี่เฉินเอ่ยอย่างอ่อนโยน “ที่ท่านมาได้ ก็เป็นเรื่องน่ายินดีแล้ว”“สายฝนแม้จะหนักหน
“นี่มันเรื่องอะไร?”ซูจิ่นพ่ากดดันต่อทันที “หากเจ้ามีเหตุผล ก็กล่าวมาเถิด ให้คนทั้งใต้หล้าได้ยินให้ชัดว่า องค์รัชทายาทนั้น ‘โง่งม’ อย่างไร?”เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ เสียงของซูจิ่นพ่าพลันเย็นเยียบลง “หากเจ้าพูดออกมาไม่ได้ เช่นนั้นก็คือการใส่ร้าย ใส่ร้ายองค์รัชทายาทผู้ครองแผ่นดิน ถือเป็นอาชญากรรม ต้องประหาร!”คำว่า “ต้องประหาร” สิ้นสุดลงในวินาทีใด อำนาจและบารมีอันยิ่งใหญ่ก็ปกคลุมรอบทิศจนขุนนางผู้นั้นถึงกับทรุดตัวนั่งตูมลงกลางพื้นซึ่งชุ่มไปด้วยน้ำฝนเขาถึงกับหวาดกลัวจนหมดสติเมื่อร่างล้มลง มือทั้งสองย่อมต้องยันพื้นไว้โดยสัญชาตญาณ ทว่าเมื่อฝ่ามือเขายื่นออกไป กลับสัมผัสกับพื้นของทางเสด็จในพระราชวัง หน้าพระที่นั่งไท่เหอ มีทางเดินอยู่สามสายสายหนึ่งคือ “ทางสามัญ” สำหรับขุนนางเดินใช้สายหนึ่งคือ “ทางอ๋อง” สำหรับเจ้านาย ราชนิกูลและเชื้อพระวงศ์และอีกสายคือ “ทางจักรพรรดิ” หรือเรียกว่า “ทางเสด็จ” เป็นทางที่มีเพียงฮ่องเต้และองค์รัชทายาทเท่านั้นที่สามารถเดินผ่านได้ตามกฎหมาย แบ่งทางเดินแต่ละสายตามสถานะผู้เดินอย่างเคร่งครัด หากผู้ต่ำศักดิ์ละเมิด ย่อมถือว่าเป็นการล่วงละเมิดเบื้องสูง มีโทษฐานก
เสียงฟ้าผ่าดังสนั่นโดยไร้สัญญาณเตือน ทำให้ทุกคนในที่นั้นแลเห็นใบหน้าของหลี่เฉินอย่างชัดเจน ภายใต้สายฝนที่เทกระหน่ำและหลี่เฉินเองก็สามารถมองเห็นสีหน้าของเหล่าขุนนางได้ถนัดตาในสีหน้าพวกเหล่าขุนนาง บ้างจริงจัง บ้างเงียบงัน บ้างหวาดหวั่น ทว่ามากที่สุด...คือความเย็นชาไร้ซึ่งอารมณ์พวกเขาราวกับแน่ใจว่า คืนนี้องค์รัชทายาทจะต้องถูกบีบให้สละตำแหน่งอย่างแน่นอนเสียงตะโกนขอให้องค์รัชทายาทสละราชบัลลังก์ดังระงม ประหนึ่งคลื่นมหึมาที่ถาโถมกดทับอยู่บนร่างของหลี่เฉินซูจิ่นพ่าหันไปมองด้านข้างของหลี่เฉิน ใบหน้าของเขาเรียบเฉยไร้อารมณ์ แต่ด้วยความใกล้ชิด นางรู้ดีว่าร่างกายของบุรุษข้างกายกำลังสั่นไหวเล็กน้อยนั่นมิใช่ความหวาดกลัว แต่เป็นความโกรธในห้วงเวลานี้ ซูจิ่นพ่ารู้สึกเลือดลมพลุ่งพล่านจุกแน่นอยู่ในลำคอ ไม่อาจกลืนกลับไปได้อีกนางจำต้องกล่าวบางสิ่งออกมา“หยาบช้า!”เสียงตำหนิของซูจิ่นพ่าดังใสชัดเจน ในค่ำคืนอันเปียกชื้นอึมครึมนั้น เสียงของนางมิได้ละมุนดังเช่นทุกครั้ง ทว่าหนักแน่นเด็ดเดี่ยวอย่างน่าครั่นคร้ามดั่งเสียงขานแรกของนกฟีนิกซ์วัยเยาว์ แม้ยังไม่เติบโตเต็มที่ แต่ก็เผยแววสง่างามของสตรีผ
สายฝนเทกระหน่ำ ในห้วงฟ้าดินนั้น นอกจากเสียงเม็ดฝนกระทบพื้นอันอึกทึกแล้ว กลับไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมาอีกเลยทันใดนั้น เสียงขานราชาศัพท์กังวานลั่นไปทั่วสะพานจินสุ่ย“ฮองเฮาเสด็จ!”“องค์รัชทายาทเสด็จ!”“พระชายาองค์รัชทายาทเสด็จ!”เสียงขานรับเสด็จทั้งสามดังขึ้นติดกัน ทำให้เหล่าขุนนางหลายสิบคนเริ่มเคลื่อนไหวเล็กน้อย ทว่าจางปี้อู่ซึ่งยืนอยู่แถวหน้าสุดกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเย็นว่า “สงบปากสงบคำ”เพียงคำเดียว ทุกคนก็เงียบลงทันทีในเวลาไม่นาน ร่างสองร่างก็ปรากฏตัวเคียงข้างกันที่หน้าสะพานจินสุ่ยชุดแต่งงานสีแดงฉาน ภายใต้ม่านฝนและรัตติกาล กลับยิ่งสะดุดตาพร้อมกับการปรากฏตัวของพวกเขา คือเสียงฝีเท้าของเหล่าองครักษ์ที่เรียงรายอย่างเป็นระเบียบองครักษ์อวี่หลินเดินเข้าสู่ลานพิธีพวกเขากระจายตัวรายล้อมกำแพงแดงโดยรอบลานสะพานจินสุ่ย จนล้อมพื้นที่โดยรอบไว้ทั้งหมดเหล่าขุนนางเพียงแต่ยืนมองนิ่งๆ ไม่มีใครขัดขืน ไม่มีผู้ใดกล่าวคำหนึ่งคำราวกับรู้ดีว่า...ทหารเหล่านี้ ไร้ความหมายซานเป่าอยากจะกางร่มให้หลี่เฉินกับซูจิ่นพ่า ทว่าหลี่เฉินโบกมือ แล้วหยิบร่มไปกางเหนือศีรษะของซูจิ่นพ่า ส่วนตนกลับปล่อยให้ร่า
“ข้าเข้าใจแล้ว…เข้าใจหมดทุกอย่างแล้ว”หลี่อิ๋นหู่ระเบิดเสียงหัวเราะลั่น“ไม่แปลกใจเลย ไม่ว่าอย่างไร ข้าทำสิ่งใด เจ้าก็ล่วงรู้หมด ที่แท้เป็นเช่นนี้! เป็นเช่นนี้เอง!”หลี่เฉินมองหลี่อิ๋นหู่ที่หัวเราะจนหอบหายใจแทบไม่ทัน สีหน้าไร้อารมณ์เขาหันหลัง เดินตรงเข้าไปในศาลบูรพกษัตริย์ซานเป่ากลับไม่ได้หันตาม แต่เดินตรงไปทางหลี่อิ๋นหู่ด้านหลังหลี่เฉิน เสียงหัวเราะของหลี่อิ๋นหู่ยังไม่จางหาย เขาหัวเราะพลางตะโกนลั่น “หลี่เฉิน เจ้าอย่าได้ลำพองใจ เจ้ารู้หรือไม่ว่าจ้าวเสวียนจีร้ายกาจเพียงใด! เจ้ารู้หรือไม่ว่าแผ่นดินนี้มีคนอีกมากมายที่ปรารถนาให้เจ้าตาย! ข้าเป็นแค่หุ่นเชิดก็จริง แต่ข้าก็เป็นเพียงจุดเริ่มต้น!”“หากเจ้าฆ่าข้า คนพวกนั้นจะไม่อาจอยู่นิ่งได้ อาณาจักรที่เจ้าครอง จะไม่มีวันมั่นคงแน่นอน!”ฝีเท้าหลี่เฉินไม่หยุด ยังคงเดินไปข้างหน้า คำพูดของหลี่อิ๋นหู่ไม่มีผลใดๆ กับเขาเลยในเวลาเดียวกัน เสียงตวาดกร้าวของโจวสิงเจี่ยก็ดังขึ้น“เจ้าจะทำอะไร!”ไม่มีผู้ใดตอบต่อมาคือเสียงฟึ่บ! ของคลื่นลมที่ระเบิดออก ตามด้วยเสียงกรีดร้องอันน่าสยดสยองของโจวสิงเจี่ยถัดจากนั้น เสียงหัวเราะของหลี่อิ๋นหู่ก็เงียบห
หลี่อิ๋นหู่รู้ดีว่าหลี่เฉินจะต้องฆ่าตนทว่าเมื่อความตายมาปรากฏอยู่ตรงหน้าอย่างแท้จริง เขากลับหวาดกลัวขึ้นมาม่านตาหดแน่น ลำคอหลี่อิ๋นหู่แห้งผากจนลิ้นแทบขยับไม่ไหว“จ้าวเสวียนจีบางทีอาจกำลังรอให้เจ้าฆ่าข้าก็เป็นได้!” หลี่อิ๋นหู่พลันเอ่ยขึ้นมา“ไม่ผิด”หลี่เฉินยืนยันคำพูดของหลี่อิ๋นหู่อีกครั้ง“ความผิดของเจ้า คือเข่นฆ่าพี่น้องร่วมสายเลือด หากข้าฆ่าเจ้า เช่นนั้นข้าก็จะมีความผิดเดียวกับเจ้าอย่างเต็มประตู”“จ้าวเสวียนจีจะใช้ข้อหานี้ ประกาศไปทั่วแคว้น ทำให้ข้าเสื่อมเสียชื่อเสียง”หลี่อิ๋นหู่ราวกับคว้าได้หนึ่งในเส้นเชือกแห่งความหวัง จึงรีบกล่าวด้วยความร้อนรนว่า “เพราะฉะนั้นเจ้าก็ยิ่งห้ามหลงกลเขา!”“ข้าไม่กลัว”หลี่เฉินยิ้มอย่างอ่อนโยน “หลุมที่เจ้าก้าวลงไปแล้วต้องตาย ข้าเดินผ่านไป กลับสามารถถมให้ราบได้”สีหน้าหลี่อิ๋นหู่ชะงักนิ่งเขารู้สึกได้ว่าเส้นเชือกแห่งความหวังนั้น ค่อยๆ เลือนหายไป“อย่าฆ่าข้า!”หลี่อิ๋นหู่พลันทรุดตัวคุกเข่าลง สองเข่าติดพื้น ค่อยๆ คลานเข้าไปหาเขาหลี่เฉินไม่ได้พูดอะไร ไม่แม้แต่จะหลบหลีกปล่อยให้อีกฝ่ายคลานเข้ามาใกล้ พอเขาเอื้อมมือจะกอดขาหลี่เฉิน หลี่เฉินจึ
การระเบิดของระเบิดเทพต้าฉินทั้งสี่ระลอก ทำให้ผู้คนล้มตายไปหลายพันคน ทำลายขวัญกำลังใจของทัพกบฏจนราบคาบ ยังผลให้หลี่อิ๋นหู่ตื่นจากความฝันอันแสนหวานควันดินปืนยังลอยฟุ้งอยู่ทั่ว เปลวเพลิงที่ระเบิดทิ้งไว้ยังคงลุกไหม้ ธงรบที่ขาดวิ่นไหวระริกในสายลมยามโพล้เพล้ เสียงเปลวไฟแตกดังเปรี๊ยะๆ กับเสียงคร่ำครวญของบาดเจ็บที่ยังไม่สิ้นลมหายใจ ดังอยู่ไม่ขาดสายหลี่เฉินออกคำสั่ง ให้ทหารที่ยังมีแรงเหลือออกไปกวาดล้างสนามรบ“ฝ่าบาท พวกกบฏที่ยังรอดชีวิตอยู่ จะทรงให้ประหารหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”ซานเป่าใช้ความเคยชินในฐานะจางกงแห่งตงฉ่าง เห็นว่าศัตรูก็ต้องฆ่าให้สิ้นซาก จึงเอ่ยถาม“หากผู้ใดพอมีหวังรอดชีวิต ก็ให้รักษาไว้”หลี่เฉินปรายตามองซานเป่า เอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “พวกเขาเลือกจุดยืนทางการเมืองไม่ได้ เรื่องนั้นเป็นของผู้ใหญ่ข้างบน ทหารเหล่านี้ ก็แค่สู้เพื่อค่าจ้างหนึ่งมื้อเท่านั้น ตั้งแต่ตำแหน่งแม่ทัพร้อยคนขึ้นไป ฆ่าให้หมด”การตัดสินใจที่ใหญ่ปล่อยเล็กเช่นนี้ แสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์และความใจกว้างของผู้เป็นกษัตริย์ซานเป่าค้อมกายรับคำ “ฝ่าบาททรงเปี่ยมด้วยเมตตา บ่าวขอรับพระโอวาทไว้”เมื่อซานเป่านำรับสั่งไ
มนุษย์ ย่อมหวาดกลัวต่อภัยอันไม่อาจหยั่งรู้ได้นี่คือสันดานดิบของมนุษย์ เป็นสัญชาตญาณที่เปลี่ยนแปลงมิได้ก่อนหน้านี้ เว้นแต่บุคคลส่วนน้อยอย่างหลี่เฉิน ก็แทบไม่มีผู้ใดเคยเห็นระเบิดเทพต้าฉินมาก่อนเลยเพราะฉะนั้น เมื่อมันแสดงโฉมหน้าดุร้ายในฐานะอาวุธสงครามออกมาเป็นครั้งแรกต่อหน้าฝูงชน ทุกผู้คน รวมทั้งทหารองครักษ์ที่เหลืออยู่เพียงไม่กี่ร้อยนาย ต่างก็พากันตื่นตะลึงจนตาแตกเสียงระเบิดที่ดังกึกก้อง อานุภาพของมันรุนแรงจนชวนให้ผู้คนคิดว่าหรือจะเป็นเทพพิโรธที่ฟ้าดินบันดาลลงมาแม้แต่หลี่เฉินเอง ก็เพิ่งเคยเห็นผลของระเบิดเทพต้าฉินในสนามรบจริงเป็นครั้งแรกเช่นกันเขารู้สึกพึงใจอย่างยิ่งต่ออานุภาพของระเบิดเทพต้าฉิน ทว่าในใจกลับเจ็บราวกับมีเลือดซึมออกมาเหตุใดน่ะหรือ ก็เพราะทุกเสียงระเบิดนั้น ล้วนแปลเป็นเงินทั้งสิ้นตามต้นทุนในปัจจุบัน ระเบิดระเบิดเทพต้าฉินหนึ่งลูกมีค่าใช้จ่ายราวสองร้อยตำลึงเงินแท้จริงแล้ว ปืนใหญ่หนึ่งนัดเท่ากับทองคำหมื่นตำลึงยิ่งไปกว่านั้น คนที่สามารถสร้างมันได้ ในต้าฉินเวลานี้ก็มีเพียงซ่งอิงซิงคนเดียวเท่านั้น แม้เขาจะพยายามฝึกฝนผู้อื่นอยู่ แต่ของสิ่งนี้กลับต้องใช้พรสวรรค์ อ