คำพูดและการกระทำของจ้าวเสวียนจีครั้งนี้ ทำให้ทุกคนที่อยู่รอบข้างต่างตกตะลึงแต่ถึงอย่างนั้น องครักษ์ที่อยู่หน้าตำหนักเฟิ่งสี่ก็รู้สึกหนักใจพวกเขาย่อมไม่อาจชักดาบฟันจ้าวเสวียนจีได้ไม่เพียงแค่ฟันไม่ได้ แม้แต่ทำให้บาดเจ็บก็ไม่ได้เพราะอะไรน่ะหรือ? ก็เพราะสถานะของจ้าวเสวียนจีพิเศษเกินกว่าที่จะมีใครกล้าแตะต้องในขณะที่พวกองครักษ์กำลังลำบากใจ เสียงหัวเราะเย็นๆ ก็ดังแว่วมาจากด้านหลัง“ข้าก็คิดว่าใครกันแน่ที่กล้ามาเอะอะโวยวายในพระราชวังหลวง ที่แท้ก็เป็นผู้อาวุโสนี่เอง”เมื่อได้ยินเสียงนั้น องครักษ์ทั้งหมดก็โล่งอกกวางกงมาแล้วพวกเขาไม่ต้องเป็นคนตัดสินใจเองอีกต่อไปจ้าวเสวียนจีหยุดเดิน สีหน้าไร้ความรู้สึกขณะมองซานเป่าที่เดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้ม ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ว่ากันว่ากวางกงงานยุ่งจนแทบไม่มีเวลาพัก แต่ข้ามาได้เพียงครู่เดียว กวางกงก็ตามมาทันเสียแล้ว หรือว่ากวางกงจะว่างกว่าที่คิด?”ซานเป่าทำเหมือนไม่ได้ยินคำเสียดสีในประโยคนี้ เขายิ้มพลางกล่าวว่า “ผู้อาวุโสเข้าใจผิดแล้ว ข้าเพียงทำงานเล็กๆ น้อยๆ ให้กับองค์ชาย และบังเอิญได้เวลาว่างจึงผ่านมาได้ยินเสียงเอะอะ จึงมาดูว่าเกิดอะ
คำพูดเย็นเยียบของซานเป่า ราวกับค้อนหนักที่ฟาดลงมาโดยตรง ทำให้ใบหน้าขององครักษ์หลายคนซีดเผือดทันทีในฐานะที่พวกเขาเป็นองครักษ์เสื้อแพรที่ถูกส่งมาที่นี่ ย่อมรู้ดีว่าหากกวางกงโกรธ จะมีผลลัพธ์แบบใด"พวกเจ้ายังจำคำสั่งขององค์รัชทายาทได้หรือไม่?" ซานเป่าตวาดถามองครักษ์ผู้หนึ่งกัดฟันตอบอย่างฝืนใจว่า "จำได้ องค์ชายเคยตรัสไว้ว่า หากไม่มีราชโองการจากตำหนักบูรพา หากบุกรุกตำหนักเฟิ่งสี่ จะถือเป็นกบฏ ต้องประหารโดยไม่ละเว้น""แล้วพวกเจ้าทำอะไรกันเมื่อครู่!?"ซานเป่าด่ากราดว่า "จ้าวเสวียนจีกำลังลองเชิง หากชักอาวุธออกมาจริง คิดหรือว่าเขาจะยอมเสี่ยงชีวิต?""แต่พวกเจ้ากลับถอย ทำให้ผู้อื่นคิดว่าพวกเจ้าเกรงกลัว เปิดช่องให้ฉวยโอกาส! สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ พวกเจ้าฝ่าฝืนพระบัญชาขององค์ชาย"หลังจากด่ากราดไปพักใหญ่ ซานเป่ากล่าวว่า "เห็นแก่ความจงรักภักดีของพวกเจ้า ข้าจะไม่ลงโทษ แต่เปลี่ยนกำลังเฝ้ายาม ให้คนชุดใหม่มาแทน หากเรื่องนี้ถึงหูองค์ชาย พวกเจ้าอย่าหวังว่าจะได้เลื่อนยศในชาตินี้"พูดจบ ซานเป่าก็สะบัดแขนเสื้อแล้วเดินจากไปเหล่าองครักษ์มีสีหน้าหม่นหมอง แต่ไม่มีใครกล้าบ่นสักคำ ทุกคนต่างทำความเคารพอย่า
"ใครบอกว่าการวางยาเท่ากับการฆ่า?"จ้าวเสวียนจีขมวดคิ้วแน่น ตวาดเสียงเย็นว่า "นี่หรือคือวิธีที่เจ้าพูดกับพ่อ?"จ้าวชิงหลานรู้ตัวว่านางแสดงออกเกินไป นางสูดลมหายใจลึกก่อนจะถามว่า "ไม่ใช่การวางยาฆ่า แล้วท่านพ่อจะทำอะไร?"จ้าวเสวียนจีเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า "ข้าบอกไปแล้วว่า ข้าต้องการให้เมืองหลวงเกิดความวุ่นวาย และวิธีที่จะบรรลุเป้าหมายได้เร็วที่สุดตอนนี้ คือทำให้พระอาการของฮ่องเต้กำเริบอีกครั้ง""ยานี้จะทำให้ชีพจรของฮ่องเต้ปั่นป่วน และเพราะพระวรกายที่อ่อนแออยู่แล้ว อาจจะเกิดอาการแทรกซ้อนรุนแรงขึ้น แต่จะไม่ถึงตาย"จ้าวเสวียนจีจ้องมองจ้าวชิงหลานก่อนกล่าวว่า "และคนเดียวที่สามารถวางยาโดยไม่มีใครรู้เห็นได้ คือเจ้า""ไม่ได้!"จ้าวชิงหลานปฏิเสธทันทีโดยไม่ต้องคิดคำปฏิเสธนี้ทำให้จ้าวเสวียนจีรู้สึกแปลกใจบุตรสาวของเขา แม้จะเฉลียวฉลาด แต่ที่ผ่านมาไม่เคยขัดคำสั่งของเขาเลย แม้กระทั่งตอนที่เขาสั่งให้นางอภิเษกกับฮ่องเต้ เพื่อทำให้การอภิเษกทางการเมืองสำเร็จ ซึ่งเท่ากับฝังอนาคตของนางไปตลอดชีวิต นางก็ยังตอบรับโดยไม่มีคำถามและตลอดเวลาที่ผ่านมา นางก็เชื่อฟังคำของตนเสมอ ไม่ขัดใจเลยแม้แต่คราวเดี
"คนที่แม้กระทั่งหมดสติไปนานถึงหนึ่งปี ยังสามารถควบคุมสถานการณ์ในใต้หล้าได้อย่างรัดกุมทุกฝีก้าว ท่านพ่อคิดหรือว่าเขาจะไม่เตรียมแผนสำรองไว้ข้างกายเพื่อป้องกันเหตุไม่คาดฝัน?"คำพูดแต่ละประโยคของจ้าวชิงหลาน ทำให้สีหน้าของจ้าวเสวียนจีหมองคล้ำลงเรื่อยๆสิ่งที่จ้าวชิงหลานพูด ไม่ใช่เรื่องที่ยากเกินจะเข้าใจจ้าวเสวียนจีเองก็คิดถึงเรื่องนี้มานานแล้วเขารู้ดีว่าสิ่งที่เหมือนกับการประลองเชิงกับหลี่เฉินนั้น แท้จริงแล้วคือการต่อสู้ระหว่างอำนาจขุนนางกับอำนาจจักรพรรดิที่ดำเนินมายาวนานผู้ที่ประลองกับเขาจริงๆ กลับเป็นฮ่องเต้ผู้ที่นอนบนเตียงป่วย ราวกับจะสิ้นลมหายใจได้ทุกเมื่อแต่แม้จะเป็นเช่นนั้น จ้าวเสวียนจีก็ตัดสินใจแน่วแน่แล้ว เขาไม่ต้องการเปลี่ยนแผนของตนง่ายๆยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้เขามีเหตุผลเพิ่มเติมที่ทำให้เขายืนกรานต่อไปเขาอยากจะรู้ว่า บุตรสาวคนนี้ยังเป็นบุตรสาวผู้ว่านอนสอนง่ายเช่นเดิมหรือไม่"เรื่องทั้งหมดนี้ ข้าคิดมาแล้ว แผนของข้าไม่มีพลาดแน่นอน แม้ว่าเจ้าจะเสี่ยงบ้าง แต่ทุกอย่างยังอยู่ในขอบเขตที่ควบคุมได้ เจ้าทำตามที่ข้าสั่งก็พอ"พูดจบ จ้าวเสวียนจีก็หยิบถุงยาสีเหลืองออกมา ยื่นให้จ้าว
จ้าวชิงหลานยืนอยู่กับที่โดยไม่ขยับแม้แต่น้อย นางเงยหน้าขึ้นรอฝ่ามือของจ้าวเสวียนจีที่จะฟาดลงมาฝ่ามือของจ้าวเสวียนจีถูกยกขึ้นสูง แต่สุดท้ายมันก็ไม่ได้ตกลงมาเขามองดูจ้าวชิงหลานตรงหน้า ก่อนจะพูดว่า "เรื่องของน้องชายเจ้าถือเป็นความผิดของพ่อก็จริง แต่เจ้าก็ไม่ควรใช้เรื่องนี้มาเป็นเหตุผลในการขัดคำสั่ง วันนี้เจ้าต้องทำตามที่พ่อบอก"พูดจบ จ้าวเสวียนจีมองจ้าวชิงหลานด้วยความรู้สึกสะเทือนใจและพูดว่า "ชิงหลาน ตอนนี้คนที่พ่อไว้วางใจที่สุดก็มีแค่เจ้า ถึงสถานการณ์จะเป็นเช่นนี้ เจ้าก็ไม่คิดจะช่วยพ่อแล้วหรือ?"จ้าวชิงหลานมองจ้าวเสวียนจีที่อยู่ตรงหน้า ไม่เพียงแต่ไม่รู้สึกซาบซึ้ง นางกลับรู้สึกสิ้นหวังอย่างยิ่ง และแม้กระทั่งคิดว่ามันน่าขันเติบโตขึ้นมาภายใต้เงาของจ้าวเสวียนจี นางรู้จักเขาดีเกินไปหัวใจของเขาเป็นดั่งก้อนหินตลอดชีวิตเขาอยู่เพื่อชื่อเสียงและอำนาจเท่านั้นสิ่งที่เขาทำในตอนนี้ก็แค่ใช้ความสัมพันธ์ในครอบครัวมาเป็นเครื่องมือบังคับให้นางเชื่อฟังแม้แต่คนในครอบครัวก็สามารถถูกเขาใช้ประโยชน์ได้จ้าวชิงหลานยกมือรับถุงยา ท่ามกลางความยินดีของจ้าวเสวียนจี และกล่าวว่า "ท่านพ่ออยากให้เมืองหลวง
เรื่องที่จ้าวชิงหลานเกิดเหตุ หลี่เฉินไม่เคยคาดคิดมาก่อนแน่นอน ก่อนหน้านี้ที่จ้าวเสวียนจีไปที่ตำหนักเฟิ่งสี่ หลี่เฉินรับรู้เรื่องนี้อยู่แล้วมิฉะนั้น ซานเป่าจะบังเอิญผ่านมาพบจ้าวเสวียนจีได้อย่างไร?มิฉะนั้น ซานเป่าจะกล้าตัดสินใจเองให้จ้าวเสวียนจีเข้าไปในตำหนักเฟิ่งสี่ได้อย่างไร?หลี่เฉินไม่ได้ขัดขวางความสัมพันธ์ระหว่างจ้าวเสวียนจีกับจ้าวชิงหลานแต่ยังรู้สึกยินดีด้วยซ้ำเพราะตอนนี้จ้าวชิงหลานมีจุดยืนที่เปลี่ยนไป และหากจ้าวเสวียนจีมาหานาง ย่อมเป็นการพูดเรื่องสำคัญ ซึ่งเขาอาจมีโอกาสได้รู้แผนการขั้นต่อไปจากปากของจ้าวชิงหลานแต่ความยินดีนี้ต้องไม่แสดงออกชัดเจนจนเกินไป เพราะจิ้งจอกเฒ่าอย่างจ้าวเสวียนจีฉลาดเกินไปดังนั้น การเล่นกลยุทธิ์ยิ่งผลักยิ่งดึงครั้งนี้จึงเป็นการวางแผนอย่างพิถีพิถันของหลี่เฉินแต่สิ่งที่เขาไม่คาดคิดคือ เมื่อจ้าวเสวียนจีเพิ่งจากไป จ้าวชิงหลานก็ล้มหมดสติทันทีนี่เป็นความบังเอิญ หรือว่าจ้าวเสวียนจีรู้ความจริงอะไรบางอย่างแล้วลงมือกับบุตรสาวของตัวเอง?หลี่เฉินไม่เชื่อในเรื่องบังเอิญเช่นนี้ แต่เขาก็รู้ว่า ความเป็นไปได้ที่จ้าวเสวียนจีจะลงมือด้วยตัวเองนั้นก็แทบเป็นไป
ถูกวางยา!เมื่อคำนี้หลุดออกมา ใบหน้าของบรรดาขันทีและนางกำนัลที่รับใช้จ้าวชิงหลานภายในตำหนักเฟิ่งสี่ต่างซีดเผือดหากฮองเฮาถูกวางยาจริง พวกเขาย่อมต้องเป็นผู้รับผิดชอบคนแรกและโทษทัณฑ์นี้ย่อมไม่มีใครรอดชีวิตได้แต่หลี่เฉินในตอนนี้ยังไม่สนใจเรื่องการลงโทษ เขารีบถามต่อว่า "มีวิธีถอนพิษหรือไม่?"จางเฮ่อจือตอบทันทีว่า "กระหม่อมจำเป็นต้องปรึกษากับหมอหลวงท่านอื่นๆ เพื่อรวบรวมความเห็นแล้ววางแผนการรักษา แต่โปรดวางใจ หากฮองเฮาถูกวางยาจริง พิษนี้ไม่น่าจะถึงแก่ชีวิตได้พ่ะย่ะค่ะ""ดีมาก"เมื่อได้ยินข่าวดีนี้ หลี่เฉินก็สั่งว่า "การรักษาฮองเฮาในขั้นต่อไป ขอให้ท่านเป็นผู้ดูแล"จากนั้นเขาปล่อยให้หมอหลวงไปปรึกษากันเอง ส่วนตัวเขาก็นั่งลงข้างแท่นหงส์ สายตามองดูจ้าวชิงหลานซึ่งยังคงมีอาการหายใจแผ่วเบาและอ่อนแรงเขาหันไปเรียก "พวกที่อยู่ในตำหนักเฟิ่งสี่ จงมาที่นี่"บรรดาขันทีและนางกำนัลที่หวาดกลัวพากันคุกเข่าลงข้างเท้าของเขา พลางก้มกราบไม่หยุด"วันนี้ฮองเฮาเสวยอะไร?" หลี่เฉินถามเขามีข้อสันนิษฐานอยู่แล้วว่าการวางยาน่าจะเกี่ยวข้องกับจ้าวเสวียนจี แต่ก็ต้องตัดประเด็นความเป็นไปได้อื่นออกก่อนนางกำนัลค
ว่างเปล่าทั้งสองนั้นหรือ?ข่าวนี้ทำให้หลี่เฉินแปลกใจไม่น้อยเขาคิดไว้ว่า หากสามจุดนี้มีหนึ่งจุดว่างเปล่า จุดนั้นน่าจะเป็นจุดที่ซ่อนคนทรยศแต่หากทั้งสามจุดว่างเปล่า ก็สามารถตัดคนอื่นออกไปได้หมด เพราะคนทรยศต้องอยู่ในกลุ่มคนที่รับผิดชอบสามจุดนี้แน่นอนแต่ผลที่ได้กลับเป็นสองจุดที่ว่างเปล่า และหนึ่งจุดสำเร็จ ซึ่งเป็นสิ่งที่หลี่เฉินไม่ได้คาดคิดไว้ซานเป่าก้มตัวเล็กน้อย ก่อนกระซิบที่ข้างหูหลี่เฉินว่า "องค์ชาย เรื่องนี้ดูจะผิดปกติพ่ะย่ะค่ะ""ใช่ ผิดปกติจริงๆ"หลี่เฉินหัวเราะเย็นชา "จ้าวเสวียนจีฉลาดเกินไป แต่ในที่สุดความฉลาดนั้นก็ย้อนมาทำให้เขาพลาดเอง เขาระแวงมากเกินไปจนทำอะไรเกินความจำเป็น"ไม่รอให้ซานเป่าถาม หลี่เฉินกล่าวต่อ "ไปเอาข้อมูลบรรพบุรุษของกวนจือเหวยย้อนหลังไปสิบแปดชั่วคนมาให้ข้า"ซานเป่ารู้ทันทีว่าองค์ชายมีเป้าหมายผู้ต้องสงสัยแล้วและมีความเป็นไปได้สูงว่ากวนจือเหวยจะไม่รอด"บ่าวจะจัดการทันทีพ่ะย่ะค่ะ"ซานเป่าจากไปอย่างรวดเร็วหลี่เฉินเพิ่งลุกขึ้นยืน จางเฮ่อจือก็เดินเข้ามา"องค์ชาย"หลังจากถวายคำนับแล้ว จางเฮ่อจือกล่าวว่า "กระหม่อมและหมอหลวงท่านอื่นได้ใช้ยาแก้พิษแบบอ่อ
ภายในพระที่นั่งสีเจิ้ง เมื่อหลี่เฉินทราบว่าสวีฉังชิงขอเข้าเฝ้า ก็อนุญาตให้เข้ามาทันที“กระหม่อมสวีฉังชิง ขอถวายบังคมองค์รัชทายาทพันปี...”“ไม่ต้องมากพิธี”หลี่เฉินนวดขมับเบาๆ แต่ความปวดหัวก็ยังไม่ทุเลา จึงโบกมือให้วั่นเจียวเจียวที่ยืนอยู่ด้านหลังเข้ามานวดผ่อนคลายให้ เขาหลับตาเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า “มีเรื่องอะไรหรือ?”สวีฉังชิงกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “องค์ชาย แม้เหวินอ๋องจะทำการอันไม่สมควร แต่จัดการเขาเสียก็พอ ขอองค์ชายอย่าได้โกรธจนเสียสุขภาพเลยพ่ะย่ะค่ะ”หลี่เฉินลืมตาขึ้น มองไปที่สวีฉังชิงพร้อมรอยยิ้ม “พวกเจ้ารู้ข่าวไวดีจริง วันนี้เพิ่งเกิดเรื่องก็ลือกันไปทั่วเมืองแล้ว”“หลานของเจ้าคงบอกเจ้าว่าข้าถูกเหวินอ๋องยั่วจนโกรธมาก แล้วกำลังอารมณ์ไม่ดีอยู่ใช่หรือไม่?”เมื่อได้ยินเช่นนั้น สวีฉังชิงรีบพยายามจะอธิบายเพราะตอนนี้สวีจวินโหลวถือว่าเป็นคนใกล้ชิดในตำหนักบูรพา และในตำแหน่งที่ไวต่อทุกเรื่องเกี่ยวกับชีวิตประจำวันขององค์รัชทายาท การพูดจาไม่ระวังจะทำให้เกิดปัญหาได้ สวีฉังชิงจึงไม่อยากให้หลี่เฉินมีความเห็นไม่ดีต่อหลานของตน“ไม่ต้องอธิบาย”หลี่เฉินขัดคำพูดของสวีฉังชิง “มันเป็นเรื่องธร
แม้ว่าหลี่อิ๋นหู่จะเตรียมใจไว้แล้ว แต่เมื่อถึงเวลาที่ต้องลงมือจริง เขาก็ยังอดตื่นเต้นไม่ได้โดยเฉพาะเมื่อได้ยินคำว่า โจมตีครั้งเดียวต้องถึงตายจากจ้าวเสวียนจี ในหัวของเขาเริ่มจินตนาการถึงภาพตัวเองในชุดองค์รัชทายาทสีแดงลายมังกรทอง ยืนอยู่ข้างบัลลังก์มังกรในพระที่นั่งไท่เหอ แทนที่หลี่เฉินใบหน้าของหลี่อิ๋นหู่เริ่มขึ้นสีแดงเล็กน้อย เขาพยายามกดความตื่นเต้นนั้นลงก่อนจะกล่าวว่า “ดี ทุกเรื่อง ข้าจะทำตามที่ท่านทั้งสามวางแผนไว้โดยไม่ขัดขืน”จางปี้อู่ยิ้มเล็กน้อยก่อนจะกล่าวว่า “จ้าวอ๋องอย่าเพิ่งตื่นเต้นไป ทุกอย่างเพียงแค่เริ่มต้นเท่านั้น ตามที่เราคำนวณไว้ ไม่ว่าเราจะทำอะไรในราชสำนัก องค์รัชทายาทย่อมไม่มีทางยอมสละอำนาจและตำแหน่งด้วยตัวเอง”“ดังนั้น สุดท้ายแล้ว เราต้องอาศัยการกดดันด้วยกำลังทหาร”เมื่อได้ยินเช่นนั้น หลี่อิ๋นหู่ก็หันไปถามจ้าวเสวียนจีว่า “แล้วทางแคว้นเหลียวล่ะ?”“ไม่มีปัญหา”จ้าวเสวียนจีตอบด้วยน้ำเสียงเรียบๆ “เย่ลู่เสิ่นเสวียนได้ออกจากเขตแดนแล้ว และพร้อมจะเคลื่อนทัพได้ทุกเมื่อ ส่วนที่ด่านเย่ว์หยานั้น ข้าจะจัดการด้วยตัวเอง”รายละเอียดเกี่ยวกับการจัดการ จ้าวเสวียนจีไม่คิดจะบอก
แม้จักรวรรดิต้าฉินจะอยู่ในสภาพที่อ่อนแอ แต่ราษฎรก็ยังพอมีความหวังจักรวรรดิต้าฉินตั้งมั่นมาได้กว่า 360 ปีแล้ว แม้จะดูเสื่อมถอยและเก่าแก่ แต่ก็ยังไม่ถึงจุดที่จะล่มสลายในมุมมองของราษฎรทั่วไป พวกเขาเห็นว่าราชสำนักมีข้อบกพร่อง ขุนนางฉ้อราษฎร์บังหลวง และชีวิตความเป็นอยู่ลำบากแต่ตราบใดที่ยังมีข้าวให้กิน พวกเขาก็จะไม่ก่อกบฏนอกจากนี้ เมื่อปลายปีที่แล้ว การบรรเทาทุกข์ของราชสำนักก็ค่อนข้างได้ผล ภัยพิบัติผ่านพ้นไปแล้ว ราษฎรยังพอมองเห็นความหวังในการใช้ชีวิตต่อไปรากฐานของจักรวรรดิต้าฉินยังไม่ถึงขั้นเน่าเฟะจนต้องรื้อถอนสร้างใหม่ดังนั้น การก่อกบฏในช่วงเวลานี้จึงไม่มีโอกาสประสบความสำเร็จนี่คือเหตุผลหลักที่จ้าวเสวียนจีต้องการให้หลี่อิ๋นหู่เป็นผู้นำหน้าแม้จะเตรียมตัวไว้แล้ว แต่เมื่อถึงเวลาจริง หลี่อิ๋นหู่ก็อดตื่นเต้นไม่ได้เขาถามว่า “จะเริ่มด้วยข้ออ้างใด?”จ้าวเสวียนจี จางปี้อู่ และฟู่อวี้จือต่างยิ้มให้กัน ก่อนที่ฟู่อวี้จือจะเป็นผู้กล่าวตอบ “ในตอนแรก พวกเรายังลังเลว่าจะใช้ข้ออ้างใดที่เหมาะสมที่สุด เพราะตำหนักบูรพานั้นมีจุดให้โจมตีมากมาย ทั้งการใช้อำนาจตามอำเภอใจ ความโหดเหี้ยม และอื่นๆ แ
หลี่เฉินมองหีบสีดำที่บรรจุซากเสือเน่าเปื่อยเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะโบกมือให้คนยกหีบพร้อมศพของหู่ข่ายและผู้ติดตามออกไปเพื่อเตรียมส่งกลับไปยังจินหลิง จากนั้นเขาก็หันหลังกลับไปยังพระที่นั่งสีเจิ้งไม่นานเรื่องของขวัญจากเหวินอ๋องก็แพร่กระจายไปทั่วเมืองหลวงเมื่อผู้คนได้ยินว่าเหวินอ๋องมอบซากเสือเน่าเปื่อยเป็นของขวัญในงานอภิเษกสมรสขององค์รัชทายาท แต่ละคนต่างมีสีหน้าที่เต็มไปด้วยความตกใจพวกเขาเคยเห็นการกระทำที่โหดร้ายมามาก แต่ไม่เคยเห็นใครทำได้โหดร้ายขนาดนี้ตามสายเลือด เหวินอ๋องเป็นลุงแท้ๆ ขององค์รัชทายาทแต่ในฐานะอ๋องแห่งแคว้น กลับมอบของขวัญที่เต็มไปด้วยหนอนเน่าให้หลานชายในวันสำคัญเช่นนี้ การกระทำนี้ทำให้ชื่อเสียงของเหวินอ๋องได้รับความเสียหายอย่างมากจักรวรรดิต้าฉินเป็นดินแดนที่ให้ความสำคัญกับมารยาทและคุณธรรม โดยมีวัฒนธรรมขงจื๊อเป็นหลักและในบรรดาคุณธรรมต่างๆ มารยาทถูกจัดวางไว้อันดับแรกการกระทำของเหวินอ๋องเช่นนี้จึงเป็นการทำลายชื่อเสียงของตัวเองเมื่อข่าวนี้ไปถึงจ้าวเสวียนจี เขาเพียงยิ้มเล็กน้อยโดยไม่ได้แสดงความเห็นใดๆ เพราะดูเหมือนว่าเขาเข้าใจเจตนาที่แท้จริงของเหวินอ๋องแต่เมื่อ
ภายใต้สายตาที่จับจ้องมาของหลี่เฉิน หู่ข่ายที่เมื่อครู่ยังดูมั่นใจ กลับรู้สึกหวาดหวั่นขึ้นมาทันทีเขารู้สึกเหมือนองค์รัชทายาทตรงหน้าเป็นเสือโคร่งดุร้าย กำลังเดินย่างกรายเข้ามาใกล้เขาช้าๆเสียงรองเท้าหนังที่ก้าวย่างช้าๆ แต่ละก้าวเหมือนกำลังเหยียบย่ำอยู่บนหัวใจของหู่ข่ายเมื่อจิตใจเริ่มสั่นคลอน หู่ข่ายก็พยายามระลึกถึงสถานะของตัวเอง ระลึกถึงเหวินอ๋องที่อยู่เบื้องหลัง แล้วรวบรวมความกล้าเอ่ยออกมาด้วยเสียงแข็ง “องค์ชาย กระหม่อมเพียงปฏิบัติตามคำสั่งของท่านอ๋อง ท่านอ๋องสั่งอย่างไร กระหม่อมก็ทำตามนั้น”คำพูดนี้แม้จะฟังดูเหมือนการเตือนหลี่เฉินว่ามีเหวินอ๋องอยู่เบื้องหลัง แต่ก็เผยให้เห็นถึงความหวาดกลัวของหู่ข่ายอย่างชัดเจนหลี่เฉินยืนนิ่งอยู่หน้าเกวียน ที่ตรงนั้นกลิ่นเหม็นเน่ายิ่งรุนแรงขึ้นเขากล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ดูเหมือนว่าการอภิเษกของข้า จะทำให้บางคนไม่พอใจสินะ”ทุกคนในที่นั้นต่างรู้ดีว่าหมายถึงใครหู่ข่ายกลืนน้ำลาย มองสบตากับผู้ติดตามที่มาด้วยกันพวกเขาเกรงกลัวบารมีของหลี่เฉิน ตอนนี้ต้องการเพียงแค่หนีออกจากตำหนักบูรพาให้เร็วที่สุด“องค์ชาย กระหม่อมทำหน้าที่เสร็จแล้ว ขออนุญาต
หลี่เฉินไม่ได้สนใจหู่ข่ายแต่หันไปมองหีบขนาดใหญ่บนเกวียนแทนโดยปกติ ของขวัญแสดงความยินดีในงานอภิเษกจะมีการตกแต่งอย่างสวยงามบ้างก็ใช้ผ้าแดงคลุม บ้างก็ติดสัญลักษณ์มงคลแต่หีบสีดำใบนี้ดูเรียบง่ายเกินไป แถมเพราะความยาวที่ผิดปกติ จนดูคล้ายกับโลงศพเสียมากกว่าทุกคนที่อยู่ในที่นั้นล้วนเป็นคนมีประสบการณ์ เพียงแค่เห็นครั้งแรกก็รู้ได้ทันทีว่ามีปัญหาของขวัญที่เหวินอ๋องส่งมาไม่ใช่แค่ไม่ใส่ใจ แต่ยังมีเจตนาท้าทายอย่างชัดเจนเหอคุนมองหน้าหลี่เฉิน ก่อนจะตัดสินใจยืนขึ้นมาเผชิญหน้ากับหู่ข่าย “ของขวัญจากเหวินอ๋องมีรายการบรรยายหรือไม่?”หู่ข่ายตอบด้วยท่าทีไม่เกรงกลัว แถมยังแฝงไปด้วยความเยาะเย้ยเล็กน้อย “ของขวัญมีเพียงหนึ่งเดียว ไม่จำเป็นต้องมีรายการบรรยาย”เหอคุนขมวดคิ้ว รู้สึกไม่พอใจอย่างมากของที่เหวินอ๋องส่งมาชัดเจนว่าไม่ใช่ของดี แต่ในเมื่อองค์รัชทายาทยังไม่พูดอะไร ในฐานะผู้ใต้บังคับบัญชา เขาจึงต้องแสดงออกถึงความไม่พอใจแทนเขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “แม้ไม่มีรายการบรรยาย อย่างน้อยก็ควรจะมีการบอกวัตถุประสงค์ ของขวัญในงานอภิเษกสมรสองค์รัชทายาทคือเรื่องที่ทุกคนในแผ่นดินร่วมยินดี การที่บ้านของท่
การปรากฏตัวของเจี้ยว่าง ในที่สุดแล้วก็เป็นเพียงการเพิ่มความเป็นไปได้ที่ดูเหมือนจะเป็นผลดีต่อหลี่เฉินในสถานการณ์ที่ซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงได้ตลอดแต่อะไรก็ยังไม่แน่นอนสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ หลี่เฉินรู้จักธรรมชาติที่แท้จริงของจิตใจมนุษย์ ซึ่งเต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมและความไม่แน่นอนเจี้ยว่างดูเหมือนจะมีจิตใจที่ซื่อสัตย์ ต้องการทำสิ่งที่ดีที่สุดเพื่อเส้าหลินแต่ปัญหาคือ เส้าหลินฝ่ายใต้และฝ่ายเหนือแยกกันมากว่าร้อยปีแล้ว แต่ละฝ่ายมีเจ้าอาวาสและระบบการปกครองของตัวเองหากเจี้ยว่างยังคงอยู่ในฐานะที่เป็นดั่งสัญลักษณ์มงคล ทั้งสองฝ่ายก็พร้อมจะเคารพนับถือแต่ถ้าเขาก้าวขึ้นมาเพื่อจะเป็นผู้นำของทั้งสองฝ่าย นั่นจะกลายเป็นปัญหาที่ไม่ง่ายเลยแม้หลี่เฉินจะไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรง แต่เขาก็รู้ว่ามันมีความเสี่ยงสูงดังนั้นเขาจึงไม่ได้คาดหวังอะไรมากนักเพราะตอนนี้ เขายังมีสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าต้องทำ นั่นคือพิธีอภิเษกสมรสกับซูจิ่นพ่า ซึ่งกำลังจะเกิดขึ้นในอีกห้าวันข้างหน้า"เหลือเวลาอีกห้าวัน"ในเช้าวันถัดมา หลี่เฉินเรียกเหอคุนเข้ามาในพระที่นั่งสีเจิ้ง “อีกห้าวันก็จะถึงวันอภิเษกแล้ว ของขวัญแสดงความยินดีที
แม้เจี้ยว่างจะมีศักดิ์สูงและเป็นยอดฝีมือระดับเซียนบนดิน ไม่ว่าใครในเส้าหลินต่างก็ต้องให้เกียรติเขาแต่ก็ใช่ว่าเขาจะสามารถตัดสินใจทุกเรื่องแทนเส้าหลินได้ยังคงมีคนในสำนักที่มีความเห็นต่างและหากเรื่องราวดำเนินไปผิดพลาด อาจกลายเป็นความขัดแย้งครั้งใหญ่เหมือนกับการแยกฝ่ายระหว่างเส้าหลินฝ่ายใต้ฝ่ายเหนือในอดีตความฝันตลอดชีวิตของเจี้ยว่างคือการทำให้พุทธศาสนาในเส้าหลินรุ่งเรือง จึงไม่กล้าที่จะเสี่ยงแม้จะมีพลังมากเพียงใด แต่ก็ไม่สามารถจัดการทุกเรื่องได้เมื่อเห็นท่าทีลำบากใจของเจี้ยว่าง หลี่เฉินกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ว่า “เงื่อนไขได้ถูกวางไว้แล้ว ท่านอาจารย์จะเป็นคนแรกที่ก้าวออกไปข้างหน้า หรือจะกลับไปตีไม้ปลุกระฆังอย่างสงบในวัด ทุกอย่างขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของท่านเอง”เจี้ยว่างถอนหายใจเบาๆ ก่อนตอบว่า “เรื่องนี้ยากยิ่งนัก มิใช่สิ่งที่อาตมาจะตัดสินใจได้โดยลำพัง ขอองค์ชายโปรดให้เวลาอาตมาพิจารณา”“เป็นธรรมดา”หลี่เฉินพยักหน้า “แต่ข้ามีเวลาให้แค่สามวันเท่านั้น ภายในสามวันนี้ ท่านต้องให้คำตอบ หากไม่มีข่าวใดๆ ข้าจะถือว่าท่านได้ปฏิเสธข้อเสนอของข้าแล้ว”เจี้ยว่างถอนหายใจอีกครั้งก่อนกล่าวว่
"นอกจากนี้ หากชายหญิงผู้มีศรัทธาแรงกล้าประสงค์จะบวช ทางการก็จะไม่ขัดขวาง""และสุดท้าย เส้าหลินสามารถเป็นตัวแทนราชสำนักในการควบคุมบรรดาสำนักในยุทธภพได้"ทันทีที่คำพูดสุดท้ายหลุดจากปาก สีหน้าของเจี้ยว่างที่ดูสงบไม่สะทกสะท้านมาตลอดก็พลันเปลี่ยนไป เขาเงยหน้ามองหลี่เฉินทันทีการตอบสนองของเจี้ยว่างนั้น หลี่เฉินล้วนคาดการณ์ไว้แล้ว เขาไม่กังวลเลยว่าเจี้ยว่างจะไม่สนใจข้อเสนอการได้เป็นผู้นำในยุทธภพเป็นสิ่งที่บรรดาสำนักใหญ่ต่างใฝ่ฝันและแย่งชิงกันมาหลายร้อยปีแม้เส้าหลินจะเป็นสำนักที่มีบารมีสูงส่งในหมู่สำนักต่างๆ แต่หากประกาศตัวเองว่าเป็นอันดับหนึ่งในยุทธภพ คงถูกบรรดาสำนักอื่นๆ รุมประณามสำนักในยุทธภพล้วนมีประวัติยาวนานเป็นร้อยปี ไม่มีใครยอมรับว่าเส้าหลินเหนือกว่าตนแต่หากราชสำนักมอบตำแหน่งที่มีการรับรองอย่างเป็นทางการให้เส้าหลินในการควบคุมยุทธภพ แม้จะถูกหัวเราะเยาะ แต่ก็คงเป็นเพียงพวกที่อิจฉาเท่านั้นยิ่งไปกว่านั้น สำหรับเส้าหลิน การมีตำแหน่งอย่างเป็นทางการจะช่วยเพิ่มโอกาสในการรับศิษย์และผู้ศรัทธาใหม่ๆการสืบทอดและการบำรุงศาสนจักร เป็นสิ่งที่เส้าหลินต้องการมากที่สุดในตอนนี้ดังนั้น ข้อ