ในจัตุรัสหน้าทางเข้าหลักของตำหนักบูรพา เกล็ดหิมะปลิวไสวไปทุกที่ ราวกับปุยฝ้ายที่ยุ่งเหยิง ท่ามกลางสวรรค์และโลก มีเพียงจิตสังหารที่คุกรุ่นร่างกายของหลี่เฉินเย็นเฉียบ นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตทั้งสองชีวิต ที่หลี่เฉินเผชิญหน้ากับความตายการคุกคามด้วยความตายนั้นเปรียบดั่งงูพิษที่กำลังส่งเสียงขู่ และยังเหมือนกับงูเหลือมที่พันรอบเอวของเขา มันรัดร่างของหลี่เฉินไว้แน่น จนทำให้เขาหายใจไม่ออก เพียงชั่วพริบตา โลกที่อยู่ตรงหน้าของหลี่เฉินก็ช้าลงอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ราวกับว่ามันกำลังเล่นทีละเฟรมเหมือนหนังภาพยนตร์เขาสามารถมองเห็นมือที่ขาวสะอาดและอ่อนโยนของสตรีศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างชัดเจน นิ้วเรียวยาวดุจหยกใสนั้น สมบูรณ์แบบราวกับงานศิลปะ แต่กลับปล่อยจิตสังหารมาที่ตัวเอง เขากระทั่งมองเห็นเกล็ดหิมะที่ตกลงบนฝ่ามือของนางได้อย่างชัดเจน และละลายจนกลายเป็นโปร่งใส ตึกตักๆ นั่นคือเสียงเต้นของหัวใจของหลี่เฉินเอง เขารู้สึกได้ถึงเลือดที่ถูกสูบออกจากหัวใจและไหลไปตามหลอดเลือด เพื่อกระจายไปทั่วร่างกายของเขา ตาย? ความตาย? นี่ก็คือความตาย?ตอนนี้หลี่เฉินไม่ได้รู้สึกถึงอารมณ์ใดๆ แต่เขารู้สึกเส
นี่เป็นครั้งแรกที่หลี่เฉินรู้สึกว่า ซานเป่าที่มักจะระมัดระวังมากเกินไปเมื่ออยู่ต่อหน้าเขา มีพลังมากมายเช่นนี้ ก้าวหนึ่งก้าวก็เหมือนกับเหาะทะยานพื้นดินเข้ามาเขาดูเหมือนสัตว์ร้ายที่มีรูปร่างคล้ายมนุษย์ พุ่งทะยานมาข้างหน้าอย่างบ้าคลั่ง และนักฆ่าทุกคนที่ขวางทางเขาก็ถูกสับเป็นชิ้นๆ และโยนทิ้งไปเหมือนขยะเมื่อเห็นฉากนองเลือดที่น่าสะพรึงกลัวนี้ หลี่เฉินไม่เพียงแต่ไม่กลัวเท่านั้น แต่ยังรู้สึกประหลาดใจอีกด้วย ขันทีที่ดี! กลับไป จะตบรางวัลให้อย่างงาม!พูดช้ากว่าคิด ตั้งแต่ที่หลี่เฉินเห็นซานเป่า เขาก็นึกถึงรายการที่จะตบรางวัลให้กับซานเป่ายาวเป็นหางว่าว ซึ่งทั้งหมดนี้ เกิดขึ้นเพียงหนึ่งลมหายใจ เสียงคำรามดุจฟ้าร้องดังสนั่น ก่อนที่เงาร่างหนึ่งจะพุ่งไปด้านหน้าของหลี่เฉิน จากนั้นหลี่เฉินก็รู้สึกได้ถึงพลังอันอ่อนโยนที่ออกมาจากร่างกายของอีกฝ่าย ซึ่งผลักเขาไปอีกด้าน จากนั้นซานเป่าก็พุ่งไปหาสตรีศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ด้านหน้าเหมือนมังกรคลั่ง “ตาย!”ซานเป่าเป็นขันที และขันทีไม่ไว้หนวด ดังนั้นเขาจึงไม่มีหนวด แต่ผมสีดอกเหลากลับโบกสะบัดราวกับเกล็ดปีศาจ เขาสวมเครื่องแบบของกวางกง และร่างกายก็
หลังจากการล้มครั้งใหญ่ ก็จะกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้งช่วงเวลาขึ้นๆ ลงๆ มันกระตุ้นทั้งกายและจิตใจจนทำให้หลี่เฉินรู้สึกเหนื่อยล้าเหมือนแบกโลกไว้ทั้งใบ เมื่อลมหนาวอันเย็นเยือกพัดมา ก็ทำให้จิตใจของเขาแจ่มใสขึ้น แน่นอนว่าเขาจะไม่ลงโทษซานเป่าไม่ต้องพูดถึงการคุ้มกัน ก่อนหน้านี้เป็นเขาเองที่ส่งซานเป่าไปทำธุระ ดังนั้นไม่เพียงแต่จะไม่ลงโทษซานเป่า แต่อีกฝ่ายยังทำผลงานอันใหญ่หลวงอีกด้วย “ทุกคนลุกขึ้น” หลี่เฉินกัดฟัน และมองดูความยุ่งเหยิงในจตุรัสกว้าง หัวใจของเขาพองโตด้วยความโกรธแค้น “ปิดเมือง!”“คนของสำนักบัวขาวทุกคนล้วนได้รับบาดเจ็บ พวกเขาไม่สามารถหลบหนีไปได้ไกลมากนัก จงออกไปค้นหาตามบ้าน หรือต่อให้ขุดดินลึกสามฉื่อ ก็ต้องจับกลุ่มกบฏเหล่านี้ให้ได้!”ดวงตาของหลี่เฉินเย็นชาและมืดมน เขาพูดว่า “องครักษ์เสื้อแพรมีกำลังคนไม่เพียงพอ ดังนั้นข้าจะใช้ลายพระหัตถ์ของข้าเรียกหน่วยองครักษ์อวี่หลินเข้ามา ข้าไม่เชื่อว่าพวกมันจะบินหนีขึ้นไปบนฟ้าได้!”กล่าวจบ หลี่เฉินก็เรียกไห่ตงชิงซึ่งยังคงบินอยู่เหนือหัวของเขา และมอบมันที่บาดเจ็บที่กรงเล็บให้ซานเป่าอุ้ม จากนั้นหลี่เฉินก็อุ้มวั่นเจียวเจียวที่
ซานเป่าคิดอย่างรอบคอบอยู่พักหนึ่ง จากนั้นดวงตาของเขาก็สว่างขึ้น และพูดด้วยความยินดีว่า “ฝ่าบาททรงพระปรีชา บ่าวเลื่อมใสยิ่งนัก!”“ผู้ที่เรียกตัวเองว่าจอมยุทธ์คิดว่าพวกเขาสามารถใช้กำลังเพื่อละเมิดกฎหมายได้ วันๆ ก็ตะโกนใส่ราษฎรและก่นด่าราชสำนัก แต่คนโง่เหล่านี้กลับไม่รู้ว่าจะจัดการกับคนที่มีทักษะทางการเมืองในราชสำนักอย่างไร ในเมื่อพวกเขาเต็มใจที่จะไล่ตามชื่อเสียงและผลประโยชน์ เช่นนั้นก็มอบผลประโยชน์ให้กับพวกเขาและปล่อยให้พวกสุนัขกัดกันเอง”ยิ่งคิดหลี่เฉินก็ยิ่งโมโห “รีบจัดการเรื่องนี้ซะ ข้าจะไปที่ตำหนักเฉียนชิงเร็วๆ นี้ เจ้าจงนำคนออกค้นหาทั่วเมืองหลวง แต่อย่าแพร่กระจายข่าวเกี่ยวกับการลอบสังหารของข้า มันไม่เป็นผลดีต่อสถานการณ์”ซานเป่าประสานมือแล้วกล่าวว่า “ฝ่าบาท มีเรื่องหนึ่งที่บ่าวขอให้ฝ่าบาทพระราชทานพระราชานุญาต”“พูด” หลี่เฉินขมวดคิ้วกล่าวซานเป่ากล่าวเสียงจริงจังว่า “ข้างกายของฝ่าบาทในตอนนี้ มีเพียงวั่นเจียวเจียวคนเดียว แต่วั่นเจียวเจียว หากรับใช้พระองค์ในชีวิตประจำวัน ก็คงจะไม่เป็นไร แต่ถ้าหากเกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก นางจะไม่สามารถต้านทานได้ บ่าวจึงเสี่ยงชีวิต ขอให้ฝ่าบาทพระราชท
เริ่มแรกก็มีการปิดเมือง จากนั้นก็มีการตรวจค้น บรรยากาศปีใหม่อันอบอุ่นในตอนแรกก็หายไปในทันที คนธรรมดาทั่วไปยังดี พวกเขาซ่อนหรือต่อต้านไม่ได้ จึงให้ความร่วมมือแต่โดยดี แต่อย่างไรก็ตาม ขุนนางราชสำนักบางคนที่มีเจตนาแอบแฝงต่างรู้สึกหวาดกลัวมาก จนคิดว่าตำหนักบูรพาฉวยโอกาสนี้เพื่อทำการกวาดล้างครั้งใหญ่มีบางคนต่อต้านด้วยการพึ่งพาอำนาจและสถานะของพวกเขา ทำให้องครักษ์อวี่หลินเรียกคนของหน่วยบูรพามา ทันทีที่พวกเขาเห็นหน่วยบูรพา พวกเขาทั้งหมดก็เริ่มซื่อสัตย์ไม่มีขุนนางคนไหนไม่กลัวหน่วยบูรพา ยิ่งไปกว่านั้น คนที่อยู่เบื้องหลังของหน่วยบูรพาตอนนี้ ก็คือตำหนักบูรพาก่อนหน้านี้ก็มีตัวอย่างนองเลือดอยู่แล้ว ท่านนั้นของตำหนักบูรพาก็เคยตัดหัวขุนนางใหญ่มาแล้ว และคนที่ตายเพราะเขา ก็ไม่สามารถนับได้ด้วยมือข้างเดียว ขณะเดียวกัน ณ.กระท่อมไม้อันห่างไกลในเมืองหลวง “แค่ก!”ย่าเมิ่งเปิดปากเพื่อถ่มเลือดเสียออกมา จากนั้นก็พูดกับสตรีศักดิ์สิทธิ์ซึ่งกำลังรักษาอาการบาดเจ็บให้นางอยู่ด้านหลังว่า “สตรีศักดิ์สิทธิ์ ยายเฒ่าผู้นี้รู้สึกละอายใจต่อท่านเหลือเกิน” สตรีศักดิ์สิทธิ์พูดอย่างใจเย็นว่า “ตอนนี้ไ
ขันทีที่อยู่ข้างๆ จ้าวชิงหลานก็เดินเข้ามาถามด้วยเสียงที่แผ่วเบาว่า “พระนาง นี่ก็ดึกมากแล้ว มิสู้ให้บ่าวไปตำหนักบูรพาสักรอบดีหรือไม่?”จ้าวชิงหลานเหลือบมองสีของท้องฟ้าแล้วส่ายหน้า “รออีกหน่อยเถอะ เรื่องใหญ่เช่นนี้ องค์รัชทายาทไม่น่าจะล่าช้าได้” เมื่อเห็นจ้าวชิงหลานกล่าวเช่นนี้ ขันทีจึงถอยออกมาแต่เมื่อเวลาผ่านไป องค์รัชทายาทก็ไม่ปรากฏตัวสักที เวลานี้ แม้แต่นางสนมในวังหลังที่อยู่ด้านหลังของจ้าวชิงหลาน ก็เริ่มกระซิบกระซาบกันตอนนี้จักรพรรดิองค์ปัจจุบันกำลังประชวร และนอนหมดสติอยู่บนแท่นบรรทมในเวลานี้ ซึ่งการถวายพระพรองค์จักรพรรดิก็เป็นเรื่องใหญ่ แต่องค์รัชทายาทกลับมาสายขนาดนี้ จึงมีเหตุผลที่จะถูกวิพากษ์วิจารณ์และแล้วความอดทนของจ้าวชิงหลานก็ค่อยๆ หมดลง “จ้าวอ๋อง” จ้าวชิงหลานเรียกหลี่อิ๋นหู่ซึ่งยืนอยู่ข้างๆ ด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ก็เดินเข้ามาทันทีหลังจากได้ยินเสียงเรียก เมื่อคำนับจ้าวชิงหลานแล้ว เขาก็หลุบตาลงแล้วกล่าวว่า “เสด็จแม่ ลูกอยู่นี่แล้วพ่ะย่ะค่ะ” “เหตุใดองค์รัชทายาทจึงยังไม่มา?”หลี่อิ๋นหู่ชะงัก แต่ในใจกลับคิดว่าตอนนี้องค์รัชทายาทคงตายไปแล้ว เมื่อคิดถึงตรงนี้ เขา
ไม่ว่าจะเป็นจ้าวชิงหลานหรือหลี่อิ๋นหู่ สีหน้าของพวกเขาก็ไม่ได้ผิดปกติเลยความเงียบของหลี่อิ๋นหู่ และความไม่อดทนของจ้าวชิงหลาน ล้วนเป็นปฏิกิริยาปกติของพวกเขาในขณะนี้ “อันธพาล?” ใบหน้าของจ้าวชิงหลานเต็มไปด้วยความไม่เชื่อ นางกล่าวเสียงเรียบว่า “ถ้าอย่างนั้นพวกอันธพาลก็ใจกล้าจริงๆ พวกเขากล้าสร้างปัญหาให้กับองค์รัชทายาทในวันแบบนี้ได้ จัดการพวกมันเรียบร้อยแล้วหรือไม่?” “เรียบร้อยหมดจด”หลี่เฉินเหลือบมองหลี่อิ๋นหู่ ขณะกำลังจะเปิดปากพูด แต่ขันทีที่ยืนอยู่ข้างๆ มาตลอดก็เปิดปากพูดว่า “พระนาง จ้าวอ๋อง เวลาล่วงเลยมานานแล้ว พระองค์จะเสด็จเข้าไปถวายพระพรจักรพรรดิเลยหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”ประโยคนี้ เรียกจ้าวชิงหลาน เรียกหลี่อิ๋นหู่ แต่เพิกเฉยต่อหลี่เฉินหลี่เฉินขมวดคิ้ว หันศีรษะมาตวาดด้วยสีหน้าที่เย็นชา “บ่าวคนนี้ เจ้ากำลังตำหนิที่ข้ามาช้างั้นหรือ?”ขันทีคนนั้นถือดีว่าตัวเองเป็นคนของฮองเฮา จึงไม่กลัวหลี่เฉิน ซ้ำยังกล่าวอย่างอาจหาญว่า “วันนี้เป็นวันส่งท้ายปีเก่าจะต้องถวายพระพรองค์จักรพรรดิ หอดูดาวหลวงได้คำนวณฤกษ์ยามอย่างเคร่งครัด และไม่อาจผิดพลาดได้ พระนางกับท่านอื่นๆ ต่างมารอที่นี่นานแล
ทันทีที่คำพูดเหล่านี้หลุดออกมา ทุกคนที่อยู่ด้านหน้าของตำหนักเฉียนชิงก็เกิดอาการอ้าปากค้างการลอบสังหารองค์รัชทายาท ไม่ว่าจะเป็นราชวงศ์ใดหรือยุคใดก็ตาม ถือเป็นรองเพียงการลอบสังหารองค์จักรพรรดิเท่านั้น แต่ไม่ว่าจะเป็นการลอบสังหารองค์จักรพรรดิหรือว่าองค์รัชทายาท โทษสถานเดียวที่เหล่ามือสังหารจะได้รับก็คือ การประหารชีวิตเก้าชั่วโคตรไม่มีใครสงสัยสิ่งที่หลี่เฉินพูด เพราะเรื่องแบบนี้ไม่สามารถปลอมแปลงได้ในฐานะองค์รัชทายาท เป็นไปไม่ได้ที่จะแต่งเรื่องโกหกเช่นนี้ขึ้นมา ใบหน้าของจ้าวชิงหลานเต็มไปด้วยความตกใจ ปฏิกิริยาแรกของนางในตอนนี้ก็คือเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นได้อย่างไร ปฏิกิริยาที่สองคือเสียดาย...สำนักบัวขาวพวกนั้นไร้ประโยชน์จริงๆ ลงมือทั้งที ก็ดันล้มเหลวจนได้ เมื่อเห็นว่าองค์รัชทายาทพาองครักษ์อวี่หลินมา แทนที่จะเป็นทหารองค์รักษ์พระราชวัง ก็จะเห็นได้ชัดว่าการลอบสังหารที่เกิดขึ้นนั้นคงคุกคามองค์รัชทายาทเป็นอย่างมาก แต่ถึงกระนั้นก็ยังคงล้มเหลวอยู่ดีตั้งแต่หลี่เฉินปรากฏตัว หลี่อิ๋นหู่ที่เงียบงันอยู่ข้างๆ ก็คิ้วกระตุกอย่างรุนแรง แม้การปรากฏตัวของหลี่เฉินจะหมายความว่า ปฏิ
ราตรีล่วงเลยไปโคมไฟที่ถูกจุดขึ้นไม่รู้ตั้งแต่เมื่อใด เมื่อหลี่เฉินเสร็จสิ้นงานราชการของวันและเงยหน้าขึ้นมอง ท้องฟ้าภายนอกก็กลายเป็นสีดำสนิทวั่นเจียวเจียวสั่งให้คนเพิ่มแสงสว่างด้วยการจุดเทียนเพิ่มอีกสองสามเล่ม ก่อนที่นางจะไปนำถ้วยกระเบื้องเคลือบใส่น้ำบ๊วยแช่เย็นมาให้ด้วยตัวเองมือนุ่มขาวสะอาดของนางถือถ้วยกระเบื้องเคลือบส่งให้หลี่เฉิน พร้อมกล่าวว่า“องค์ชาย วันนี้อากาศร้อนขึ้นมาก ดื่มน้ำบ๊วยแช่เย็นสักหน่อยเถอะเพคะ จะได้คลายร้อนและแก้กระหาย”หลี่เฉินรับถ้วยมาดื่มสองอึก รสชาติหวานเย็นสดชื่นช่วยให้ความเหนื่อยล้าของเขาหายไปไม่น้อยเขารู้สึกคุ้นเคยกับการรับใช้ของวั่นเจียวเจียวมากขึ้นเรื่อยๆ จึงถามขึ้นว่า “เจ้ามักออกจากวังไปซื้อหนังสือคำกลอน เจ้าเคยเห็นว่าขายสบู่ในหมู่ชาวบ้านเป็นอย่างไรบ้าง?”วั่นเจียวเจียวที่ตั้งใจจะอธิบายว่าไม่ได้ออกไปบ่อยนัก แต่ก็เลือกตอบอย่างตรงไปตรงมาว่า “ขายดีมากเลยเพคะ ตอนนี้ร้านหลานเยว่เสวียน อ้อ ก็คือร้านของตระกูลหลิวที่ทำตามคำสั่งขององค์ชาย ได้พัฒนาสบู่สูตรธรรมดาที่คนทั่วไปสามารถซื้อได้ ทุกวันนี้บ้านที่มีฐานะในเมืองหลวงก็มักจะซื้อติดบ้านไว้”“บ่าวยังได้ยินม
เหอคุนไม่ได้พูดอะไรมากนัก ทิ้งเวลาให้เซียวเทียนหนานและสือเซวียนเหว่ยได้ไตร่ตรองทั้งสองมองตากันหลายครั้ง ก่อนจะพบว่าในสายตาของอีกฝ่ายเต็มไปด้วยความลังเลพูดตามตรง เหอคุนพูดถูกในสถานการณ์ตอนนี้ หากมองจากมุมที่กว้างออกไป มันคือคำถามที่มีตัวเลือกเดียวคือตกลง หรือปฏิเสธถ้าตกลง ยังมีโอกาสรอดถ้าปฎิเสธ พวกเขาไม่มีข้อสงสัยเลยว่าเหอคุนที่ดูเป็นมิตรและรักสหายฝูงจะพลิกโฉมหน้าได้ในทันทีการขึ้นเรือโจรนั้นง่าย แต่จะลงจากเรือนั้นไม่ง่ายเลยท่ามกลางความลังเล เซียวเทียนหนานจึงกระซิบพูดคุยกับสือเซวียนเหว่ยอย่างรวดเร็ว หลังจากสนทนาสั้นๆ เซียวเทียนหนานก็พูดกับเหอคุนว่า “ทองคำ เราขอเพิ่มเป็นสองเท่า!”เหอคุนได้ยินดังนั้น ก็ยิ้มพร้อมตอบตกลงทันที “ไม่มีปัญหา ทองคำไม่ใช่สิ่งที่ข้าผู้แซ่เหอให้ความสำคัญนัก เดี๋ยวจะส่งมาให้ในทันที”“ตกลง”เซียวเทียนหนานกัดฟันพูด “เจ้าถามมาเถอะ อยากรู้อะไร เราจะบอกทุกอย่าง”พวกเขาคิดว่าเหอคุนจะถามเพียงไม่กี่คำถาม แต่เหอคุนกลับหยิบกระดาษที่เต็มไปด้วยคำถามมากมายออกมา และเริ่มซักถามทีละข้อพร้อมกับจดบันทึก...ครึ่งชั่วยามต่อมา หลี่เฉินมองข้อมูลลับสุดยอดของแคว้นเหลียว
ไม่ว่าในยุคสมัยใดหรือสถานที่ใด หลักการหลายอย่างก็ยังคงเป็นจริงเสมอ เช่น โลกนี้ไม่มีอาหารกลางวันฟรี และไม่มีโชคหล่นลงมาจากฟ้าเซียวเทียนหนานและสือเซวียนเหว่ยไม่ใช่คนโง่พวกเขารู้ดีว่าเหอคุนต้องการใช้ประโยชน์จากพวกเขาอย่างแน่นอนเรื่องนี้พวกเขาได้คุยกันมาก่อนแล้วดังนั้นเมื่อเหอคุนเปิดเผยเจตนาออกมา พวกเขาก็ไม่ได้แปลกใจนัก เพราะผลประโยชน์ที่เหอคุนยื่นให้มันยากเกินกว่าจะปฏิเสธได้ ทั้งสองจึงตั้งใจฟังว่าเหอคุนต้องการอะไรสำหรับเหอคุน การแสดงละครจัดเต็ม ตั้งแต่การเลี้ยงดูอย่างดี ซื้อของขวัญ พาหญิงสาวมาบริการ และสุดท้ายยังยื่นทองคำให้ทุกอย่างนี้นับว่าเป็นแผนการที่ลงทุนอย่างมากและในที่สุดแผนการนี้ก็มาถึงจุดที่ผลลัพธ์จะปรากฏ เหอคุนรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อยเรื่องมาถึงจุดนี้แล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องปิดบังอีกต่อไป เหอคุนเรียบเรียงความคิด และตัดสินใจพูดออกมาตรงๆ“จริงๆ แล้วเรื่องที่ข้าต้องการให้พวกท่านช่วยมันง่ายมาก สำหรับพวกท่านแทบไม่ต้องลงแรง และไม่มีความเสี่ยงอะไรเลย เพียงแค่บอกข้อมูลเกี่ยวกับแคว้นเหลียว และรายงานการเคลื่อนไหวขององค์รัชทายาทเย่ลู่เสินเสวียนในเมืองหลวงให้ข้าทราบเท่านั้น”
เมื่อได้พบกับเหอคุนอีกครั้ง เซียวเทียนหนานและสือเซวียนเหว่ยมีท่าทีที่เป็นกันเองมากขึ้น“พอใจ พอใจ พอใจมาก”สือเซวียนเหว่ยหัวเราะเสียงดัง ก่อนขยิบตาให้เหอคุน “ของพวกนี้ คงไม่ถูกใช่หรือไม่?” มารดามันเถอะ ไร้สาระสิ้นดี พวกแม่นางเหล่านี้ล้วนแต่เป็นอันดับต้นๆ ของเมืองหลวง ข้าต้องเสียเงินไปถึงหนึ่งพันตำลึงเงิน แถมยังต้องให้องครักษ์เสื้อแพรจากหน่วยบูรพาไปกดหัวแม่นางเจ้าของหอนางโลมให้ยอมส่งสาวๆ มาที่นี่ ข้าเองยังไม่ได้ลิ้มลองด้วยซ้ำ!”ในใจเหอคุนสบถเงียบๆ แม้ในใจจะคิดเช่นนั้น แต่สีหน้าของเหอคุนกลับเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูใจกว้าง “พูดถึงค่าใช้จ่ายก็ไม่สมควรนัก ในโลกนี้ ความเป็นมิตรภาพระหว่างสหายคือสิ่งที่เงินซื้อไม่ได้”“จริงด้วย จริงด้วย”เซียวเทียนหนานพยักหน้าเห็นด้วย ขณะในใจครุ่นคิดถึงวิธีที่จะขอพาหญิงสาวสองคนนี้กลับไปยังแคว้นเหลียวคนโง่ก็รู้ว่าผู้หญิงที่มีคุณภาพเช่นนี้ไม่ใช่ของราคาถูกการจะพาตัวกลับไปย่อมต้องใช้เงินจำนวนมากแต่หลังจากได้ลิ้มรสความงดงามนี้แล้ว การจะกลับไปหาผู้หญิงที่แข็งแรงเหมือนวัวแกะในแคว้นเหลียวคงเป็นเรื่องยากสำหรับเขาเหอคุนมองแวบเดียวก็รู้
เมื่อเข้าใจสิ่งต่างๆ ได้ชัดเจนขึ้น จ้าวเสวียนจีก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมากต้าสิงฮ่องเต้จะสิ้นพระชนม์เมื่อใดก็ได้ แต่ไม่ใช่ตอนนี้หลังจากจัดระเบียบความคิดของตัวเอง จ้าวเสวียนจีก็หันมามองหลี่อิ๋นหู่ แม้ว่าภายในใจจะเบาใจขึ้น แต่สีหน้ากลับยังคงเคร่งเครียด“ดูเหมือนสถานการณ์จะพัฒนาไปในทิศทางที่เลวร้ายที่สุดแล้ว”จ้าวเสวียนจีถอนหายใจยาว สีหน้าที่หม่นหมองของเขาสร้างแรงกดดันให้หลี่อิ๋นหู่มากยิ่งขึ้นเห็นได้ชัดว่า จ้าวเสวียนจีเช่นนี้ ทำให้หลี่อิ๋นหู่กดดันยิ่งกว่าเดิม“ท่านผู้อาวุโส พวกเราไม่สามารถนั่งรอความตายได้!”หลี่อิ๋นหู่กล่าวอย่างเร่งร้อน จ้าวเสวียนจีพยักหน้า “ถูกต้อง เราไม่สามารถนั่งรอเฉยๆ ได้”“จากนี้ไป ข้าจะเริ่มรวบรวมกำลังคน ติดต่อขุนนางและพรรคพวกในแต่ละพื้นที่ เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม เราจะยกทัพทันที”หลี่อิ๋นหู่รู้สึกหัวใจเต้นแรง ถามด้วยเสียงสั่น “ท่านผู้อาวุโส หมายถึงเมื่อใด?”จ้าวเสวียนจีหรี่ตาลงเล็กน้อย ก่อนตอบว่า “สิบวันจากนี้ พิธีอภิเษกสมรสขององค์รัชทายาท”สิบวัน!เหลือเวลาเพียงสิบวันเท่านั้นหลี่อิ๋นหู่กลืนน้ำลาย สีหน้าเริ่มแดงระเรื่อเขารู้สึกตื่นเต้น แต่ในขณะเดียวกั
กงฮุยอวี่กล่าวเพียงคำเดียว ก่อนวางหนังสือในมือและก้าวออกจากพระที่นั่งสีเจิ้ง ร่างของนางหายไปในพริบตาหลี่เฉินที่รู้สึกถึงกลิ่นหอมบางเบาพัดผ่านใบหน้า และเมื่อกระพริบตาอีกครั้งก็ไม่เห็นร่างของกงฮุยอวี่ ทำให้เขาอดอิจฉาไม่ได้เหล่ายอดฝีมือทั้งหลายล้วนมีความสามารถที่ดูเหมือนจะหายตัวได้ หากเขาไม่ได้ถามซานเป่ามาก่อนว่าการฝึกเช่นนี้ต้องเริ่มตั้งแต่เจ็ดแปดขวบ และใช้เวลาสองสามสิบปีจึงจะสำเร็จ หลี่เฉินคงอยากลองฝึกดูบ้างเมื่อกงฮุยอวี่ออกไป วั่นเจียวเจียวก็รีบวิ่งไปหยิบหนังสือที่กงฮุยอวี่ทิ้งไว้ แล้วซ่อนมันไว้อย่างรวดเร็วเมื่อหันกลับมาเห็นหลี่เฉินที่มองมาด้วยสายตายิ้มๆ วั่นเจียวเจียวหน้าแดงก่ำจากนั้นนางก็นึกขึ้นได้ว่านั่นคือหนังสือที่ตนหามาอย่างยากลำบาก จึงกระทืบเท้าแล้วกล่าวว่า “องค์ชาย ท่านดูสิ หญิงคนนั้น นางชอบแย่งหนังสือของบ่าวไปอ่าน! บ่าวขอคืนนางยังไม่สนใจเลย นางช่างหยิ่งยโสนัก!”หลี่เฉินมองดูวั่นเจียวเจียวที่พยายามฟ้องอย่างน่าสงสาร ทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาก เขาหัวเราะออกมา “ถ้าเจ้าเก่งจริง ก็ไปแย่งคืนมาเองสิ มาฟ้องข้าไม่มีประโยชน์หรอก เจ้าไม่เห็นหรือว่าข้าเองยังต้องต่อรองกับนางเล
ความดื้อรั้นของหลี่อิ๋นหู่ทำให้หลี่เฉินเกิดความสงสัยเขาหรี่ตาจ้องมองหลี่อิ๋นหู่ สังเกตเห็นว่าความพยายามของหลี่อิ๋นหู่นั้นย่อมมีจุดประสงค์บางอย่างแต่การพบจ้าวชิงหลานหรือฮ่องเต้ หลี่อิ๋นหู่จะมีจุดประสงค์ใดได้เล่า?หลี่เฉินมิใช่เซียนผู้หยั่งรู้ความคิดคนอื่นได้ แม้จะพยายามคาดเดาหลายประการในใจ แต่ในที่สุดเขาก็ยังหาคำตอบไม่ได้ว่าทำไมหลี่อิ๋นหู่ถึงยืนกรานที่จะพบจ้าวชิงหลานและฮ่องเต้เช่นนี้ในเมื่อคิดไม่ออก หลี่เฉินก็ตัดสินใจ...“ข้ากำลังยุ่ง เจ้ากลับไปก่อนเถิด”คำพูดของหลี่เฉินทำให้หัวใจของหลี่อิ๋นหู่ร่วงลงสู่ก้นเหวในสายตาของเขา นั่นหมายความว่าเสด็จพ่อคงเกิดเหตุไม่ดีขึ้นแน่ ไม่เช่นนั้นองค์รัชทายาทคงไม่ขัดขวางเขาเช่นนี้หลี่อิ๋นหู่กัดฟันแน่น ราวกับอยากพูดบางสิ่งแต่เมื่อเงยหน้าขึ้นเห็นสีหน้าเย็นชาของหลี่เฉิน คำพูดทั้งหมดก็จมหายไป“จ้าวอ๋องมีเรื่องอื่นอีกหรือ?”สายตาเย็นยะเยือกนั้นทำให้คำพูดของหลี่อิ๋นหู่ถูกกลืนกลับไปเขาก้มหน้าลง ไม่กล้าสบตาหลี่เฉิน ก่อนกล่าวว่า “น้อง ไม่มีเรื่องใดแล้ว”“ถ้าเช่นนั้นก็กลับไปพักผ่อนเสีย”“น้อง...ขอลา”แม้จะรู้สึกไม่พอใจ หลี่อิ๋นหู่ก็ต้องยอมจำนน
หลี่อิ๋นหู่มีท่าทีตื่นตัวทันที ก่อนกล่าวว่า “น้องเพิ่งไปที่ตำหนักเฟิ่งสี่เพื่อจะเข้าไปถวายบังคมเสด็จแม่ แต่ขันทีที่นั่นกลับกล้าขัดขวางน้อง แถมยังพูดจาไม่เหมาะสม น้องจึงมาขอพระบัญชาองค์ชาย เพื่อให้น้องเข้าไปถวายบังคมเสด็จแม่ พร้อมทั้งลงโทษขันทีผู้นั้นด้วย”หลี่เฉินฟังคำกล่าวโดยไม่แสดงสีหน้าใดๆ ก่อนจะกล่าวขึ้นว่า “จ้าวอ๋องดูจะมีโทสะไม่น้อย เจ้าหมายความว่าขันทีผู้นั้นสมควรตายหรือ? เขาทำสิ่งใดให้เจ้า?”หลี่อิ๋นหู่รีบเสริมว่า “ขันทีผู้นั้นไม่เพียงแต่ขัดขวางน้อง แต่ยังพูดจาเสียดสีน้อง อย่างไรน้องก็คือองค์ชาย เป็นพระญาติราชวงศ์ ไฉนเลยขันทีจะมีสิทธิ์มาดูหมิ่นน้อง? ดังนั้นขอองค์ชายช่วยน้องจัดการเรื่องนี้ด้วย”หลี่เฉินถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ข้าถามว่า เขาดูหมิ่นเจ้าด้วยวิธีใดหรือ? เขาด่าเจ้าหรือ เขาเยาะเย้ยเจ้าหรือ?”หลี่อิ๋นหู่สะดุ้งเล็กน้อย เงยหน้าขึ้นเห็นสีหน้าของหลี่เฉินที่ไร้อารมณ์ใดๆแม้แต่คนโง่ก็ยังดูออกว่า หลี่เฉินกำลังโกรธหลี่อิ๋นหู่รู้สึกหวาดกลัวและอึดอัดความทรงจำอันเลวร้ายในอดีตผุดขึ้นในใจ เขาเคยถูกหลี่เฉินดุด่าจนกลัวหัวหดหลี่เฉินตบโต๊ะอย่างแรง ก่อนดุด่าว่า “คนทั้งตำหนักเฟิ
หลี่อิ๋นหู่เดินออกจากจวนจ้าวด้วยความตื่นเต้นในใจ และมุ่งหน้าสู่พระราชวังหลวงองครักษ์ของพระราชวังหลวงไม่ได้ขัดขวางเขา แต่เมื่อเขาไปถึงตำหนักเฟิ่งสี่กลับถูกปฏิเสธไม่ให้เข้า“บังอาจนัก!”หลี่อิ๋นหู่ตวาดใส่ขันทีที่ยืนขวางหน้า “เจ้าคนไร้ค่า กล้าขวางทางข้า? ข้าจะเข้าไปถวายบังคมต่อฮองเฮา เจ้าเป็นใครถึงกล้ามาสั่งข้า?”ขันทีค้อมศีรษะด้วยความเคารพ แต่ยังยืนนิ่งไม่ขยับ กล่าวด้วยน้ำเสียงสุภาพ “จ้าวอ๋องโปรดอภัย องค์ชายสั่งไว้ว่า หากไม่มีพระบัญชา ผู้ใดก็มิอาจเข้าเฝ้าฮองเฮาได้ หากท่านอ๋องต้องการเข้า โปรดแสดงพระบัญชาขององค์ชายด้วยพ่ะย่ะค่ะ”หลี่อิ๋นหู่หรี่ตาลง ขันทีผู้นี้ยกองค์รัชทายาทขึ้นมาเป็นเกราะป้องกัน ทำให้เขาไม่กล้าทำอะไรเกินเลยหลี่อิ๋นหู่กัดฟันแน่นกล่าวว่า “ข้าเพียงต้องการเข้าไปถวายบังคมต่อเสด็จแม่ และจะออกมาโดยไม่ทำให้เจ้าเดือดร้อน”พูดจบ เขาหยิบตั๋วเงินจากอกเสื้อออกมา ยื่นให้พร้อมกล่าว “กงกง ช่วยอำนวยความสะดวกให้ข้าสักครั้งเถิด”การที่หลี่อิ๋นหู่ในฐานะอ๋องต้องลดตัวลงมาส่งสินบนให้ขันทีนั้นนับเป็นการเสียศักดิ์ศรีอย่างมาก แต่ขันทีกลับถอยหลังคุกเข่าลงทันทีพร้อมกล่าวด้วยความกลัว “ท่านอ๋