หลังจากที่ต้วนจิ่นเจียงพูดจบ เขาก็เดินไปยังทางลับก่อน “จะไปหรือไม่ ก็แล้วแต่เจ้า” ตอนนี้เอง เสียงฝีเท้าก็ใกล้เข้ามามากขึ้น หลงไหวอวี้รู้สึกหวาดกลัวเป็นอย่างมาก เขารู้ว่าต้วนจิ่นเจียงพูดถูก และคนข้างนอกก็มาที่นี่เพื่อฆ่าเขาจริงๆตามที่คาด เขาถูกจ้าวอ๋องทอดทิ้ง หลงไหวอวี้กัดฟัน และเดินตามต้วนจิ่นเจียงเข้าไปในถ้ำลับอันมืดมิด โดยไม่หันกลับมามอง หลังจากที่ทั้งสองเดินเข้าไปแล้ว ทางเดินลับก็ถูกปิดอีกครั้ง และเตียงก็กลับสู่ตำแหน่งเดิม แทบจะในเวลาเดียวกัน ทันทีที่พวกเขาจากไป ประตูห้องก็ถูกเตะเปิดหลี่อิ๋นหู่ซึ่งกลับมาจากการประชุมก็นำหน่วยบูรพาจำนวนมากบุกเข้ามา แต่ภายในห้องกลับว่างเปล่า ผู้นำขององครักษ์เสื้อแพรกวาดสายตามอง แล้วกล่าวเสียงดังว่า “คนล่ะ!?”หลี่อิ๋นหู่ก็ตัวชาเช่นกันเนื่องจากเขาตัดสินใจจะทิ้งหลงไหวอวี้ จึงไม่มีแผนที่จะเฝ้าระวังจริงๆ และไม่คิดจะส่งใครมาย้ายหลงไหวอวี้ล่วงหน้าอีกด้วย แต่สิ่งที่แปลกคือ หลงไหวอวี้กลับละเหยหายไปในอากาศ?เมื่อเห็นสายตาที่ไร้ความปราณีขององครักษ์เสื้อแพรคนนั้น หลี่อิ๋นหู่ก็คว้าคนรับใช้ในบ้านของเขา และกัดฟันพูดว่า “คนล่ะ!?”
ซานเป่าเห็นว่าหลี่เฉินค่อนข้างไม่พอใจ เขาจึงรีบพูดขึ้นมาทันทีว่า “บ่าวจะไปจัดการเดี๋ยวนี้”หลี่เฉินกล่าวเสียงเนิบนาบว่า “วันนี้เป็นวันส่งท้ายปีเก่า ตอนกลางวันข้าจะไปทานอาหารที่จวนแม่ทัพใหญ่ จากนั้นก็จะกลับมาที่ตำหนักในตอนเย็น และเข้าไปคารวะเสด็จพ่อที่วังหลัง มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ต้องทำ หวังว่าครั้งต่อไปที่ข้าพบเจ้า มันจะเป็นข่าวดี”ใบหน้าของซานเป่าพลันเครียดเกร็ง และพูดทันทีว่า “บ่าวเชื่อฟัง...เพียงแต่ว่าฝ่าบาทจะเสด็จออกจากพระตำหนัก จำเป็นต้องจัดขบวนทหารองค์รักษ์หน้าหลังหรือไม่?” “จัดการไปตามปกติก็พอ” หลี่เฉินกล่าวอย่างสบายๆ ว่า “ข้าไม่ชอบให้ใครติดตามข้ามากเกินไป” หลังจากที่ซานเป่าจากไปแล้ว หลี่เฉินก็เหลือบมองที่วั่นเจียวเจียวแล้วพูดว่า “ไปที่จวนแม่ทัพใหญ่กันเถอะ”หลังจากนั้นไม่นาน ทั้งสองคนในชุดธรรมดาก็เดินออกจากตำหนักบูรพาพร้อมกัน เหล่าหน่วยลับก็เริ่มล้อมรอบทั้งสองในทันที และตามพวกเขาไป เนื่องจากเป็นวันส่งท้ายปีเก่า ผู้คนบนท้องถนนจึงน้อยลง บางครั้งก็มีบางคนที่เร่งรีบกลับไปทำอาหารสำหรับปีใหม่ นอกจากนี้ยังมีเด็กๆ จำนวนมากวิ่งเล่นไปมาโดยสวมเสื้อนวมลายดอกไม้ ซึ่งเพิ
นี่เป็นจังหวะที่เล็กน้อยมาก เพราะแค่พริบตาเดียวเขาก็กลับมาเป็นปกติ แม้ว่าต้วนจิ่นเจียงจะเสียชีวิตไปแล้ว แต่การสืบสวนเรื่องโศกนาฏกรรมดังกล่าวก็ยังไม่ยุติลง ซูเจิ้นถิงได้ติดตามเรื่องนี้มาตลอด และด้วยพลังที่หลี่เฉินได้รับจากการงัดข้อกับจ้าวเสวียนจีในราชสำนัก ทำให้ซูเจิ้นถิงค้นพบสิ่งต่างๆ มากมาย“พัวพันมากแค่ไหน?” หลี่เฉินถามอย่างใจเย็น “มากมายพ่ะย่ะค่ะ” แม้แต่ซูเจิ้นถิงก็ยังเผยสีหน้ายากลำบาก เขาเปิดปากพูดว่า “ถ้าเราขุดลึกกว่านี้ ทหารครึ่งหนึ่ง และขุนนางหนึ่งในสามจะต้องหายไป” หลี่เฉินคิ้วกระตุก โศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นเมื่อหลายปีก่อน กลับมีผู้คนมากมายเข้ามาเกี่ยวข้องเรียกได้ว่าทั้งฝ่ายราชสำนักและฝ่ายทหารล้วนมีส่วนเกี่ยวข้องแทบจะทุกส่วนทันใดนั้นหลี่เฉินก็เข้าใจทันที ว่าเหตุใดเสด็จพ่อถึงสอบสวนคดีนี้ไม่กระจ่างมาหลายปีแล้ว ไม่ใช่ว่าสอบสวนไม่กระจ่าง แต่ไม่สามารถทำให้กระจ่างได้มันพัวพันเป็นวงกว้างเช่นนี้ จะสอบสวนอย่างไร? ถ้าจัดการไม่ดี ก็จะเกิดรัฐประหารหรือการกบฏของทหารเอาได้แม้จะเป็นจักรพรรดิ แต่ก็มีบางสิ่งบางอย่างที่ทำไม่ได้ และต้องหลีกเลี่ยง เรื่องที่แม้แต่จัก
หลี่เฉินเหลือบมองซูจิ่นพ่าอย่างยิ้มๆ แล้วพูดว่า “เจ้ายังไม่เข้าใจอีกหรือ?”ซูจิ่นพ่าจ้องมองหลี่เฉินและส่งเสียงชิเบาๆ แต่ไม่ได้พูดอะไรที่เหมือนกับว่าจะไม่แต่งงานกับเจ้าอีก นางรู้ดีว่าถ้านางพูดคำดังกล่าวต่อหน้าพ่อของนาง นางจะได้รับบทเรียนในภายหลังอย่างแน่นอนแม้ว่าซูเจิ้นถิงจะตามใจลูกสาวตัวน้อยของเขา แต่เมื่อถึงเวลาที่ต้องลงโทษ เขาก็ไม่เคยแสดงความเมตตาเลย“ฝ่าบาท กระหม่อมมีธุระที่ต้องจัดการ ขอทูลลาก่อนพ่ะย่ะค่ะ เชิญฝ่าบาทตามสบาย”ซูเจิ้นถิงเป็นคนฉลาดทันคน เขาหาข้ออ้างขึ้นมาแล้วขอตัวจากไปก่อน จากนั้นก็มอบโอกาสและเวลาให้องค์รัชทายาทอยู่กับลูกสาวของเขาซูเจิ้นถิงเป็นคนมีไหวพริบมาก แน่นอนว่าหลี่เฉินจะไม่ปฏิเสธ “ท่านแม่ทัพเชิญตามสบาย ข้าจะทำตัวเหมือนอยู่บ้านตัวเอง” หลี่เฉินกล่าวยิ้มๆ หนึ่งเฒ่าหนึ่งหนุ่มมองหน้ากันและยิ้ม แต่ซูจิ่นพ่ากลับทำหน้ามุ่ยอย่างไม่มีความสุข หลังจากที่ซูเจิ้นถิงจากไปแล้ว หลี่เฉินก็เดินไปข้างหน้าโดยเอามือไพล่หลัง หลังจากเดินไปได้ไม่กี่ก้าว เขาก็เห็นว่าซูจิ่นพ่าไม่ได้ตามเขามา จึงพูดว่า “ทำไม ต้องการให้ข้าจูงเจ้าเดินไหม?” ซูจิ่นพ่าพูดด้วยความโกรธว่า “ข้า
ทั้งสองส่งเสียงดังพูดคุยกันไปจนถึงสวนหลังบ้านสวนด้านหลังของจวนแม่ทัพใหญ่ไม่สามารถเทียบกับตำหนักบูรพาได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงอุทยานหลวง แต่ถึงกระนั้น มันก็ยังคงได้รับการดูแลเป็นอย่างดี ดอกไม้และต้นไม้บางชนิดแม้ไม่ได้ล้ำค่าแต่ก็ถูกปลูกไว้ แม้จะอยู่ในช่วงกลางฤดูหนาว แต่ก็สามารถมองเห็นความเขียวขจีได้ “ข้าดูแลสวนนี้เองกับมือ”น้ำเสียงของซูจิ่นพ่าเต็มไปด้วยภาคภูมิใจและโอ้อวด นางกล่าวว่า “ในวันธรรมดาที่ไม่มีธุระอะไรต้องทำ ข้าชอบจัดการกับดอกไม้และพืชพรรณเหล่านี้ ข้ามักจะรู้สึกว่ามันเรียบง่าย และไม่ซับซ้อนเท่ากับการติดต่อกับผู้คนเช่นเจ้า”แม้จะเห็นว่าซูจิ่นพ่าชอบวกมาประชดใส่ตัวเอง แต่หลี่เฉินก็ไม่สนใจนางและพูดว่า “เจ้าชอบก็ดีแล้ว ในอนาคตที่ย้ายไปตำหนักบูรพา เจ้าจะได้ไม่รู้สึกเบื่อหรือเหงา” ทันใดนั้นซูจิ่นพ่าก็พูดไม่ออก นางได้แต่กระทืบเท้าด้วยความโมโห เพราะไม่สามารถทำอะไรกับหลี่เฉินได้ขณะที่หลี่เฉินยังคงหยอกล้อซูจิ่นพ่าในจวนแม่ทัพใหญ่ เพื่อปลูกฝังความรู้สึก กลุ่มคนภายนอกที่มุ่งเป้ามาที่เขา ก็เริ่มเตรียมการอย่างเข้มงวดในตรอกที่ธรรมดาแห่งหนึ่ง ชายคนหนึ่งแต่งตัวเหมือนคนธรรมดาอย่างเร่งรีบ
ย่าเมิ่งคิดอย่างรอบคอบอยู่พักหนึ่งแล้วพูดว่า “แผนนี้ดูเหมาะสมมาก” “ไม่เหมาะสม”จู่ๆ สตรีศักดิ์สิทธิ์ก็เปิดปากพูดขึ้นมา ทำให้ดึงดูดสายตาของทุกคนสตรีศักดิ์สิทธิ์พูดเบาๆ ว่า “พวกเรายังคิดได้ แล้วคนอื่นจะคิดไม่ได้หรือ การลอบสังหารองค์รัชทายาท พวกเราจะต้องประสบความสำเร็จ”“ถ้าหากมันล้มเหลว แทบจะไม่มีโอกาสเป็นครั้งที่สองเลย ดังนั้นพวกเราต้องเสี่ยง” ขณะที่พูด สตรีศักดิ์สิทธิ์ก็ชี้ไปที่แผนที่แล้วพูดว่า “ข้าคิดว่า ที่นี่เหมาะสมที่สุด” คนอื่นๆ มองไปที่จุดที่สตรีศักดิ์สิทธิ์ชี้ จากนั้นสีหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนไป ย่าเมิ่งพูด “สตรีศักดิ์สิทธิ์ ท่านจะซุ่มโจมตีองค์รัชทายาทที่หน้าทางเข้าตำหนักบูรพา?”“หน้าทางเข้าตำหนักบูรพา เป็นสถานที่ที่พวกเขาจะคลายความระมัดระวังได้ง่ายที่สุด และไม่มีใครคิดว่าพวกเราจะลงมือที่นี่”“ร้านอาหารที่กล่าวมาข้างต้นดูเหมือนจะอยู่ในทำเลที่เหมาะสม แต่มีร้านค้าและผู้คนมากมายอยู่รอบๆ จึงทำให้เกิดความวุ่นวายได้ง่าย”“หากเกิดความโกลาหลขึ้นมา องค์รัชทายาทก็มีโอกาสหนีรอดไปได้”“สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ทางเข้าตำหนักบูรพาอยู่ห่างจากหน่วยบูรพามากที่สุด ตราบใดที่ไม่มีซ
“ข้ารู้แล้ว” หลี่เฉินพูดเพียงสามคำแล้วจากไป ซูเจิ้นถิงก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกเช่นกัน อันที่จริงเขาเสี่ยงมากที่พูดแบบนี้ ไม่ใช่แค่ความเสี่ยงทางการเมืองเท่านั้นแต่ปฏิกิริยาของหลี่เฉิน ก็พิสูจน์แล้วว่าเขาเดินหมากได้ถูกต้องแล้ว“ท่านพ่อ เมื่อครู่ท่านพูดอะไรกับองค์รัชทายาท” ซูจิ่นพ่าถามอย่างสงสัยซูเจิ้นถิงเฝ้าดูรถม้าของหลี่เฉินที่เคลื่อนจากไป เขาไม่ตอบคำถามของซูจิ่นพ่า แต่พูดว่า “จิ่นพ่า หลังจากผ่านปีใหม่ไม่นาน ทางวังจะมาสู่ขอ พ่อวางแผนที่จะเคลื่อนไหวบางอย่าง โดยเลื่อนวันอภิเษกสมรสของเจ้ากับฝ่าบาทขึ้นมาเป็นเดือนที่หก”ซูจิ่นพ่าชะงัก และรีบถามว่า “ทำไมถึงรีบขนาดนี้?” ซูเจิ้นถิงกล่าวอย่างแฝงความนัยว่า “เจ้าคิดว่า ฝ่าบาทจะทรงยืนหยัดได้นานแค่ไหน?”“เมื่อจักรพรรดิสิ้นพระชนม์ องค์รัชทายาทจะต้องไว้ทุกข์เป็นเวลาหนึ่งปี และไม่สามารถแต่งงานได้ภายในหนึ่งปี ใครจะรู้ว่าในหนึ่งปีนั้นจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นมากมาย ดังนั้นเจ้าต้องแต่งงานล่วงหน้า”ซูจิ่นพ่ากล่าวด้วยความโกรธว่า “ในสายตาของท่าน ผลประโยชน์ของตระกูลสำคัญกว่าความสุขตลอดชีวิตของลูกสาวท่านงั้นเหรอ? ท่านแทบรอไม่ไหวที่จะให้ข้าแต่
“หลังจากแดดออกไม่ถึงสองวัน หิมะก็เริ่มตกอีกครั้ง” หลี่เฉินขมวดคิ้ว วั่นเจียวเจียวซึ่งนั่งอยู่ข้างนอก ยื่นมือออกมาและดูเกล็ดหิมะละลายบนฝ่ามือ นางหันศีรษะกลับมาอย่างมีความสุขแล้วพูดว่า “ฝ่าบาท หิมะนี้เป็นเรื่องดี”“ว่ากันว่า หิมะในวันส่งท้ายปีเก่าหมายถึงหิมะที่เป็นมงคล ซึ่งบ่งบอกถึงปีที่มีความอุดมสมบูรณ์ และจะมีการเก็บเกี่ยวที่ดีในปีหน้าอย่างแน่นอน” หลี่เฉินหัวเราะเบาๆ แล้วพูดว่า “ข้าก็หวังเช่นนั้น”หิมะมงคลบ่งบอกถึงปีที่มีความอุดมสมบูรณ์ ความจริงแล้วเรื่องนี้ก็พื้นฐานความจริงอยู่บ้างเมื่อมีหิมะตกหนักในฤดูหนาว หิมะจะปกคลุมคันนา ทำให้คันนาเน่าเปื่อยในดินช้าลง ทำให้ดินอุดมสมบูรณ์มากขึ้น ด้วยวิธีนี้ เมื่อหว่านเมล็ดพืชในฤดูใบไม้ผลิของปีหน้า การเก็บเกี่ยวก็จะดีขึ้นเป็นธรรมดาเพียงแต่ว่าภัยพิบัติทางธรรมชาติเกิดขึ้นมาหลายปีแล้ว และน้ำท่วมก็ได้ท่วมทุ่งนานับไม่ถ้วน ไม่ต้องพูดถึงการเก็บเกี่ยวในปีหน้า ไม่รู้ว่าจะมีสักกี่คนที่สามารถอยู่รอดในฤดูหนาวที่หนาวเย็นนี้ได้เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ หลี่เฉินก็ตั้งตารอมันเทศที่ปลูกทดลองในพื้นที่ล่าสัตว์ของราชวงศ์ตราบใดที่ทุกอย่างเป็นไปด้วยดี ปีหน้าเ
ตามคำอธิบายและเรื่องราวของฮ่องเต้ต้าสิง หลี่เฉินก็เริ่มมองเห็นถึงเบื้องลึกในจิตใจที่แท้จริงของฮ่องเต้พระองค์นี้ สิ่งที่พระองค์ต้องการ คือการสืบทอดราชบัลลังก์โดยไม่ให้เกิดข้อผิดพลาด เพราะเรื่องนี้เกี่ยวพันถึงรากฐานของบ้านเมือง และขุนนางชั่วอย่างจ้าวเสวียนจี ก็คือประกันภัยอีกชั้นหนึ่งที่พระองค์วางไว้ ตราบใดที่จ้าวเสวียนจียังอยู่ เขาก็จะกระหายอำนาจ และต้องพยายามลดบทบาทของฮ่องเต้แน่นอน แต่การลดบทบาทของฮ่องเต้หาใช่ปัญหาไม่ ขอเพียงฮ่องเต้ยังคงดำรงอยู่ อ๋องแห่งแคว้นย่อมไม่อาจก่อหวอด สถานการณ์ก็จะยังดำเนินต่อไปได้ กล่าวได้ว่า ฮ่องเต้ต้าสิงได้วางหมากไว้สองทาง ทางแรก คือหวังว่าจะมีบุตรผู้หนึ่งสามารถเติบโตขึ้นมาเป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ มีสติปัญญาและความสามารถลึกซึ้ง กอบกู้สถานการณ์ได้ แต่เรื่องนี้ยากเกินไป อย่างน้อยในขณะวางแผน ฮ่องเต้ต้าสิงเองก็มองไม่เห็นความหวัง ดังนั้นพระองค์จึงเตรียมทางที่สอง ผลักดันให้เกิดขุนนางชั่วคนหนึ่ง เพื่อรักษาความมั่นคงของการถ่ายโอนอำนาจ แม้ฮ่องเต้จะเป็นเพียงหุ่นเชิด ตราบใดที่ยังเป็นบุตรของฮ่องเต้ต้าสิง แผ่นดินก็จะไม่ล่มสลาย ส่วนอำนาจนั้
“เขาวางแผนมาอย่างยาวนาน บัดนี้ลูกกับเขาก็ถึงคราวแตกหัก ต่อให้มิใช่จ้าวเสวียนจี ลูกก็ไม่อาจอยู่อย่างสงบได้อีกแล้วพ่ะย่ะค่ะ!” หลี่เฉินเงยหน้าขึ้นอย่างกล้าหาญ จ้องสบสายพระเนตรของฮ่องเต้เบื้องหน้า แม้พระวรกายจะซูบผอมดั่งน้ำมันหมดไส้เทียนใกล้มอด แต่ก็ยังเปี่ยมด้วยพลังสุดท้าย แล้วกล่าวสิ่งที่อยู่ในใจออกไป ฮ่องเต้ต้าสิงทรงฟังด้วยรอยยิ้ม รอจนหลี่เฉินพูดจบจึงเอ่ยว่า “ข้ากล่าวไปแล้ว เขา มิใช่สิ่งที่ควรกังวล” “เจ้าจะฆ่าเขาก็ได้ แต่ไม่ใช่เวลานี้” หลี่เฉินขมวดคิ้ว สีหน้างุนงงยิ่งนัก ฮ่องเต้ต้าสิงทอดถอนใจเบาๆ แล้วตรัสว่า “สามารถเดินมาถึงจุดนี้ เจ้าก็เกินกว่าความคาดหวังเดิมของข้าไปมาก แม้แต่อีกหลายการจัดวางที่ข้าวางไว้แต่แรก ข้าก็ไม่คิดว่าเจ้าจะได้ใช้จริง แต่ก้าวแล้วก้าวเล่า เจ้าก็ผ่านมาได้ทั้งหมด” “เจ้าควรรู้ว่า บางแผนที่ข้าวางไว้นั้น เริ่มตั้งแต่เมื่อครานานมาแล้ว” หลี่เฉินนึกถึงพี่น้องสกุลอู๋ จึงพยักหน้า “พ่ะย่ะค่ะ เสด็จพ่อทรงวางแผนอย่างลึกซึ้ง ลูกนับถือยิ่งนัก” “รอจนเจ้าได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้ เจ้าก็จะเข้าใจเอง” ฮ่องเต้ต้าสิงตรัสเสียงเรียบ “ข้าวางแผนไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ เจ้าคิดว่
จ้าวหรุ่ยเงยหน้าขึ้น แม้ใบหน้ายังคงซีดเซียวอ่อนแรง แต่กลับมีสีเลือดระเรื่อขึ้นเล็กน้อย “ฝ่าบาท รีบเสด็จเข้าไปเถิด” จ้าวหรุ่ยกล่าวจบ ก็หลีกทางไปด้านข้าง หลี่เฉินจับมือของจ้าวหรุ่ยแน่น แล้วจึงก้าวเข้าไปภายใน จ้าวเสวียนจีตามเข้าไปติดๆ นี่เป็นครั้งแรกที่จ้าวเสวียนจีสนทนากับจ้าวหรุ่ยหลังจากจ้าวหรุ่ยทรยศ “เจ้าคุกเข่าจนฮ่องเต้ทรงฟื้นคืนหรือ?” จ้าวเสวียนจีกล่าวเสียงเรียบ จ้าวหรุ่ยก้มหน้า ไม่กล้ามองจ้าวเสวียนจี เอ่ยเสียงแผ่วเบา “ฮ่องเต้ทรงมีฟ้าคุ้มครองเพคะ” “ข้าไม่คาดคิดเลยจริงๆ” จ้าวเสวียนจีทิ้งประโยคหนึ่งอย่างมีนัย แล้วจึงติดตามหลี่เฉินเข้าไป จ้าวหรุ่ยเม้มริมฝีปาก ก้มหน้าถอยออกจากประตูตำหนักบรรทม ภายในตำหนักเฉียนชิง หลี่เฉินเห็นฮ่องเต้ต้าสิง...ทรงยืนขึ้นแล้ว พระองค์ทรงสวมเสื้อชั้นในสีเหลืองอ่อนที่เพิ่งผลัดเปลี่ยนใหม่ ซึ่งอาจนับเป็นชุดนอนหรือชุดชั้นในก็ได้ หลี่เฉินไม่รู้สึกแปลกตากับฉลองพระองค์ชุดนี้นัก ขณะฮ่องเต้ต้าสิงบรรทมบนเตียง ก็ทรงสวมเช่นนี้ แต่หลังจากเขาข้ามมิติมา ก็เป็นครั้งแรกที่เห็นฮ่องเต้ทรงมีสติและยืนอยู่ “อย่างไรหรือ เห็นข้าแล้ว ถึงกับลืมคำ
ประโยคเดียวว่าฮ่องเต้ทรงฟื้นแล้วสร้างแรงสะเทือนใจแก่ทุกผู้คนยิ่งกว่าเสียงฟ้าร้องเหนือศีรษะแม้กระทั่งทหารที่ไล่ตามขันทีน้อยมาแต่แรกยังถึงกับตื่นตะลึงถ้อยคำของขันทีน้อยยังไม่ทันจบประโยค เงาร่างสายหนึ่งพลันแวบขึ้นตรงหน้าเขา ซานเป่าได้คว้าตัวเขาไว้แล้ว“เจ้าว่าอะไรนะ?!”ขันทีน้อยผู้นั้นเป็นเพียงขันทีระดับต่ำสุด เคยเห็นซานเป่าจากที่ไกลๆ เท่านั้น หากแต่ความแตกต่างระหว่างฐานะของทั้งสองทำให้เขาไม่เคยมีสิทธิแม้แต่จะกล่าวคำกับซานเป่ายังไม่ทันตั้งสติจากแรงกดดันของซานเป่า ซูเจิ้นถิงและเหล่าขุนนางใหญ่น้อยก็พากันล้อมเขาไว้หมดแล้ว“บ่าว...บ่าวกล่าวว่า...ฮ่อง...ฮ่องเต้ทรงฟื้นแล้วพ่ะย่ะค่ะ”ขันทีน้อยตัวสั่นระริก พูดติดขัดแทบจับใจความไม่ได้ โชคยังดีที่เขายังจำหน้าที่ของตนเองได้“ฮ่องเต้ทรงมีรับสั่ง ขอให้องค์รัชทายาทและสำนักราชเลขาเข้าเฝ้าทันที”ซานเป่ากับซูเจิ้นถิงสบตากัน แล้วก็ตัดสินใจได้ทันควัน“ไม่ได้!”จางปี้อู่ตะโกนลั่น “ใครจะรู้ว่านั่นไม่ใช่ราชโองการปลอมล่ะ!”“เจ้าบังอาจแอบอ้างหาบรรพบุรุษงั้นรึ!”ซูเจิ้นถิงสบถกลับด้วยความโกรธ แล้วซัดหมัดหนักเข้าที่ใบหน้าของจางปี้อู่อย่างจังจางปี้
“จ้าวเสวียนจี เจ้าทำเรื่องมากมาย วางแผนมานักหนา ท้ายที่สุดแล้วก็เพื่อสิ่งใดกันแน่”หลี่เฉินชี้ไปยังบัลลังก์มังกร ถามว่า “เพื่อจะได้ขึ้นนั่งบนนั้นหรือ”จ้าวเสวียนจีมองตามนิ้วของหลี่เฉินไปยังบัลลังก์มังกร กล่าวอย่างราบเรียบว่า “มิใช่ หากกระหม่อมประสงค์จะขึ้นนั่งบัลลังก์ กระหม่อมสามารถลงมือได้ตั้งแต่เมื่อปีกลายแล้ว แม้แต่ก่อนหน้านั้น กระหม่อมก็ยังมีโอกาสดีกว่านี้อีกมาก จะต้องรอให้ฝ่าบาททรงมีอำนาจมั่นคงก่อนแล้วจึงลงมือไปเพื่ออันใดกันเล่า”“หรือมิใช่เพราะเจ้าคิดว่าควบคุมตัวข้าได้ยาก จึงต้องเสี่ยงเอาดาบเข้าวัดอย่างนั้นหรือ” หลี่เฉินหัวเราะเย็นชาจ้าวเสวียนจีถอนหายใจเบาๆ สีหน้ากลับแฝงด้วยความหดหู่ยิ่งนัก กล่าวว่า “ฝ่าบาท พระองค์มิใช่กระหม่อม ย่อมไม่รู้ความลำบากของกระหม่อม”“บัลลังก์นั้น นั่งแล้วสบายหรือ ไม่เลย”จ้าวเสวียนจีหันหน้ากลับมามองหลี่เฉิน กล่าวว่า “กระหม่อมแทบจะเฝ้าดูฮ่องเต้ขึ้นครองบัลลังก์กับตาตนเอง ตลอดหลายปีมานี้ ในท้ายที่สุด ฮ่องเต้ได้อะไรกลับมาบ้าง”“กระหม่อมชราภาพแล้ว ไม่รู้ว่ายังจะมีชีวิตอยู่ได้อีกกี่ปี อีกทั้งบุตรหลานของกระหม่อมก็สูญสิ้นไร้ร่องรอย หากกระหม่อมขึ้นไปนั่ง
หลี่เฉินหันขวับกลับมาเผชิญหน้าจ้าวเสวียนจี ดวงตาเย็นเยียบดั่งน้ำแข็งจ้าวเสวียนจีเงยหน้าขึ้น ยืนตัวตรง มาดอ่อนน้อมเมื่อครู่พลันสลาย เหลือเพียงท่วงท่าท้าทายอย่างเปิดเผยหลี่เฉินเอ่ยเรียบเย็น “ข้าเพิ่งรู้ว่า...ขุนนางอาวุโส สูงไม่น้อยเลยทีเดียว”จ้าวเสวียนจีตอบ “กระหม่อม...แค่เคยชินกับการโค้งก้มเท่านั้น แต่ครั้งนี้...กระหม่อมไม่อยากก้มอีกแล้ว”เขายกมือชี้ออกไปทางประตูพระที่นั่งไท่เหอ ก่อนกล่าวว่า “ทหารมีดดาบชั้นยอดจำนวนสามพันนาย บัดนี้อยู่ภายนอกพระที่นั่งไท่เหอเรียบร้อยแล้ว”“กระหม่อมรู้ดีว่า ฝ่าบาทมีปืนไฟ และอาวุธที่ระเบิดเทพต้าฉินทรงพลังยิ่ง หากให้เวลาพัฒนา คงกลายเป็นอาวุธสังหารอันน่าสะพรึงกลัวในอนาคต แต่เวลานี้ ฝ่าบาทมีน้อยเกินไป อีกทั้งในค่ำคืนที่ฝนตกหนักเช่นนี้ อานุภาพของอาวุธไฟก็จะลดลงจนเหลือน้อยนิด”“ที่สำคัญที่สุดก็คือ... ทหารทั้งสามพันนายของกระหม่อม ล้วนเป็นยอดฝีมือระดับแนวหน้าแห่งยุทธภพ สามารถกวาดล้างกองทัพปกติหนึ่งหมื่นนายได้ภายในเวลาอันสั้น”จ้าวเสวียนจีหัวเราะเบาๆ ราวกับได้พลิกไพ่ลับที่เตรียมไว้มาเนิ่นนาน มีความภูมิใจอย่างปิดไม่มิด “ที่สำคัญที่สุดคือ… ทหารสามพันนี้ มิใ
คำพูดของจ้าวเสวียนจี ได้เผยให้เห็นสถานการณ์ที่น่าอึดอัดที่สุดของหลี่เฉินอย่างหมดเปลือก ไม่มีแม้แต่นิดเดียวที่หลงเหลือให้ปิดบังหลี่เฉินในตอนนี้ แม้จะเป็นองค์รัชทายาท แม้จะทำหน้าที่สำเร็จราชการแทนพระองค์ แต่สิทธิอำนาจในมือของเขา โดยรากแท้แล้วยังคงเป็นสิ่งที่ฮ่องเต้ประทานให้ตราบใดที่หลี่เฉินยังไม่ขึ้นครองราชย์ ไม่ได้สวมชุดมังกร เช่นนั้นเขาก็ไม่อาจครอบครองราชอำนาจแท้จริงได้เลยต่อบรรดาข้าราชการท้องถิ่นแล้ว พวกเขายอมรับแค่สิ่งเดียว...ราชโองการ ยอมรับแค่บุคคลเดียว...ฮ่องเต้นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมพายุการเมืองในครั้งนี้ ถึงเรียกได้เพียงว่า "พายุการเมือง" มิใช่การชิงราชสมบัติในสายตาของปวงชนแผ่นดิน สิ่งที่พวกเขาเห็น ก็แค่ความขัดแย้งระหว่างองค์รัชทายาทกับฝ่ายสำนักราชเลขาที่รุนแรงจนถึงขั้นยกทัพใส่กัน มิใช่การกบฏแย่งชิงราชบัลลังก์ของสำนักราชเลขาสองสิ่งนี้...แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงหากหลี่เฉินคือฮ่องเต้จริงๆ การกระทำของจ้าวเสวียนจีทั้งหมดนี้ ก็จะกลายเป็นการชิงบัลลังก์อย่างชัดเจน และจะก่อให้เกิดความโกลาหลไปทั่วทั้งแผ่นดิน ขุนนางในทุกหัวระแหงที่ยังมีความจงรักภักดีและสำนึกในคุณธรรม ย่อมต้องลุ
“ด้านนอกลมฝนรุนแรง ฝ่าบาททรงเปียกโชกทั้งตัว ดูก็รู้ว่าเส้นทางที่ก้าวเข้ามา ไม่ได้ราบรื่นเลยแม้แต่น้อย”จ้าวเสวียนจีมองหลี่เฉินด้วยแววตาสงบนิ่ง เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ใบหน้าแลดูใจดีอ่อนโยนอย่างไม่น่าเชื่อ“ลมฝนหนักเช่นนี้ มีใครเล่าจะก้าวเดินได้อย่างสบาย?”หลี่เฉินพลิกมือปิดประตูพระที่นั่ง ลมฝนภายนอกถูกสกัดไว้ทันที ความสงบและอบอุ่นจึงกลับคืนสู่ท้องพระโรงอีกครั้ง“หากเพียงต้องการมุมหนึ่งอันสงบสุข ก็แค่ปิดประตูเท่านั้น ความสงบก็จะอยู่กับเราแล้วไม่ใช่หรือ?”จ้าวเสวียนจีกล่าว “ดี ฝ่าบาทตรัสได้ถูกต้องอย่างยิ่ง”หลี่เฉินย่างเท้าเข้าสู่พระที่นั่งไท่เหอด้วยฝีเท้าหนักแน่น หยุดยืนอยู่เบื้องล่างบัลลังก์ หันไปมองเก้าอี้มังกรแล้วเอ่ยกับจ้าวเสวียนจีข้างกาย “เก้าอี้ตัวนี้ ช่างเย้ายวนใจนักใช่หรือไม่?”จ้าวเสวียนจีก็มองไปยังเก้าอี้มังกรร่วมกับหลี่เฉินเขาไม่ได้ตอบคำถามของหลี่เฉิน กลับกล่าวเพียงว่า “ฝ่าบาท ถอยเถิด”หลี่เฉินหัวเราะเบาๆ ไม่ขยับสายตา ไม่ตอบคำใด“กระหม่อมให้คำมั่น ว่าจะปกป้องฝ่าบาทให้ปลอดภัยไปตลอดชีวิต คำมั่นของกระหม่อมนี้ ฝ่าบาทเชื่อถือได้แน่นอน”หลี่เฉินพยักหน้า “ฟังดูจริงใจดี”
หลี่เฉินหันไปมองซูจิ่นพ่าที่อยู่ข้างกาย ยิ้มอ่อนเอ่ยว่า “เจ้าทำให้ข้ารู้สึกประหลาดใจมาก”ซูจิ่นพ่าไม่ได้ตอบ เพียงยอบกายทำความเคารพแบบสตรีผู้สูงศักดิ์อย่างอ่อนช้อยหลี่เฉินหลุดหัวเราะเบาๆ ก่อนจะหันไปกล่าวกับซูเจิ้นถิงว่า “แม่ทัพซู ลูกหลานตระกูลแม่ทัพเสือเจ้าฝีมือ เจ้าช่างมีบุตรีที่ดีนัก”ซูเจิ้นถิงก่อนหน้านี้อยู่หน้าประตูวัง เมื่อเขามาถึงพอดีกับที่ซูจิ่นพ่ากำลังตำหนีขุนนางพวกนั้น ด้วยสัญชาตญาณจึงไม่ได้รีบเข้าไป และการรอเพียงครู่เดียวนี้ ก็ทำให้เขาได้เห็นฝีมือกับสติปัญญาของบุตรสาวตัวเองอย่างชัดเจน นับว่ายอดเยี่ยมอย่างแท้จริง“ฝ่าบาทตรัสเกินไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”ซูเจิ้นถิงยกมือขึ้นคารวะ แล้วหันไปมองจางปี้อู่และขุนนางฝ่ายสำนักราชเลขาที่ใบหน้านิ่งสงบ จากนั้นกล่าวว่า “ฝ่าบาท ที่นี่ขอให้เป็นหน้าที่ของกระหม่อมกับท่านอาจารย์เถิดพ่ะย่ะค่ะ”ทหารย่อมต่อสู้กับทหาร แม่ทัพย่อมรับมือแม่ทัพบุคคลที่หลี่เฉินตั้งใจจะรับมือมาตลอด ไม่ใช่จางปี้อู่ และไม่ใช่ขุนนางทั้งหลายที่อยู่เบื้องหลังเขาเหล่านั้นแต่คือ...จ้าวเสวียนจี“ดี”หลี่เฉินพยักหน้าเบาๆ แล้วหมุนกาย มุ่งหน้าเข้าสู่พระที่นั่งไท่เหอในขณะที่หลี