“จ้าวเหอซาน”จ้าวเสวียนจีจ้องมองไปที่จ้าวเหอซานซึ่งแสดงท่าทีไม่ถ่อมตัวและไม่หยิ่งผยองอย่างเย็นชา แล้วเค้นคำพูดออกมาทีละคำ “ดี ดีมาก!”“ทักษะทั้งหมดของเจ้าล้วนเป็นข้าที่สอนเจ้ามาเองกับมือ ตอนนี้เจ้ายืนอยู่ตรงหน้าข้า กล่าวถึงเรื่องความยุติธรรมในใจของผู้คนอย่างมั่นอกมั่นใจ? ทำไมเจ้าถึงคิดว่า สิ่งที่เจ้าทำมันคือความยุติธรรม?”ดวงตาของจ้าวเหอซานควบแน่นเป็นเส้นเดียว ก่อนจะมองไปยังใบหน้าอันแก่ชราของจ้าวเสวียนจี เขาตอบว่า “อะไรคือความยุติธรรม ทุกคนย่อมมีระดับอยู่ในใจอยู่แล้ว”“ท่านราชเลขากล่าวได้ถูกต้อง ความสามารถทั้งหมดของข้าน้อยนั้น ล้วนเป็นสิ่งที่ท่านราชเลขาสอนมาจริงๆ แต่มีเพียงสิ่งเดียวที่ไม่เป็นเช่นนั้น นั่นก็คือความสามารถในการแยกแยะถูกผิด”“ข้าน้อยรู้ว่าอะไรถูก อะไรผิด”จ้าวเสวียนจีหัวเราะด้วยความโกรธจัด “เยี่ยม เยี่ยมจริงๆ นี่สินะที่เขาเรียกว่าพรานเฒ่าถูกเหยี่ยวจิกตา” ตอนนี้เอง เสียงแหลมสูงก็ดังขึ้นมา ขัดจังหวะการเผชิญหน้าแบบตาต่อตาฟันต่อฟันระหว่างจ้าวเสวียนจีและจ้าวเหอซาน “องค์รัชทายาทเสด็จ!” พระที่นั่งไท่เหอมีประตูทั้งหมดแปดบานคู่ สิบหกบานประตู เมื่อเปิดออกพร้อมกันก็จะส
“กระหม่อมมีความขัดแย้งกับตระกูลหลง แต่ในท้ายที่สุดก็สามารถนำทหารเข้าไปในจวนตระกูลหลงได้ และค้นพบกับจดหมายที่ตระกูลหลงสมรู้ร่วมคิดกับกลุ่มกบฏได้สำเร็จ”“แม้จะเผชิญหน้ากับหลักฐานที่หักล้างไม่ได้ แต่ตระกูลหลงก็ยังคงปฏิเสธทุกวิถีทางที่เป็นไปได้ สุดท้ายเมื่อเห็นว่าสถานการณ์ไม่ถูกต้อง พวกเขาก็เริ่มต่อต้านด้วยอาวุธ โชคดีที่ตระกูลเหลยและอีกสองตระกูลคอยให้การสนับสนุน บวกกับความร่วมมือของหน่วยบูรพา ทุกคนในตระกูลหลงจึงถูกนำตัวเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม”พูดจบ จ้าวเหอซานก็ยกหมัดขึ้นและพูดว่า “ที่กล่าวมาข้างต้นคือเรื่องราวทั้งหมด กระหม่อมไม่ได้ปลอมแปลงหรือปิดบังแต่อย่างใด ทุกสิ่งที่กล่าวมาล้วนเป็นความจริง”หลี่เฉินหัวเราะอย่างเย็นชา ก่อนจะกล่าวกับขุนนางคนอื่นๆ ว่า “ได้ฟังมาหมดแล้ว เช่นนั้นก็มาคุยกันเถอะ ทุกท่านคิดอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้”พระที่นั่งไท่เหอพลันเงียบสนิทแม้แต่คนโง่ก็ยังมองออกว่ามือมืดที่อยู่เบื้องหลังของเรื่องนี้อยู่ในราชสำนัก อาจจะเป็นท่านราชเลขาหรือจ้าวอ๋องที่ยืนอยู่หัวแถว ไม่ก็องค์รัชทายาทแห่งตำหนักบูรพาที่ยืนอยู่ด้านบนสุดก็ได้ แม้ว่าพวกเขาแต่ละคนจะมีฝ่ายของตนเอง และมีจุดยืน
ตำราพิชัยสงครามไม่อาจสู้กับแผนการที่พลิกผันไปมา การปกครอง ไม่ใช่การเมืองคนที่มีเล่ห์เหลี่ยมและมีความคิดที่ลึกซึ้งอาจจะเหมาะกับการเมือง แต่ไม่ได้หมายความว่าจะต้องเป็นนักการเมืองที่มีคุณวุฒิอาจกล่าวได้ว่ากลอุบายกับทักษะทางการเมืองคือองค์ประกอบสำคัญสำหรับนักการเมือง แต่ไม่ใช่ทุกอย่างหลี่อิ๋นหู่ยังขาดประสบการณ์ในการต่อสู้ทางการเมือง เขารู้วิธีวางแผนการบางตามลำพัง เขามีความกล้าที่จะเสี่ยงทุกอย่าง และมีทักษะการแสดงที่จะซ่อนดาบของเขาไว้เบื้องหลังรอยยิ้มของเขา แต่เมื่อยืนอยู่ในพระที่นั่งไท่เหอเข้าจริงๆ โดยมีองค์รัชทายาทสวมเสื้อคลุมสีแดง และยืนถัดจากบัลลังก์มังกรอันรุ่งโรจน์ ก็ทำให้เขารู้สึกกดดันจนหายใจไม่ออก เมื่อเห็นว่าสถานการณ์เริ่มแย่ลง จ้าวเสวียนจีซึ่งยืนดูเหตุการณ์อยู่เฉยๆ จึงเปิดปากพูดขึ้นมา “ฝ่าบาท กระหม่อมมีคำถาม”จ้าวเสวียนจียกมือขึ้น มองไปทางจ้าวเหอซานและถามว่า “เนื่องจากตระกูลหลงได้สมรู้ร่วมคิดกับกลุ่มกบฏ แล้วเหตุใด อาชญากรรมร้ายแรงอย่างการประหารเก้าชั่วโคตรเช่นนี้ จึงทิ้งหลักฐานไว้ในบ้าน? ยิ่งไปกว่านั้น เรื่องนี้ก็ถูกรายงานในช่วงหัวหน้าตระกูลอย่างหลงเทียนเต๋อกับคุณช
ครึ่งแรกของประโยคนี้ก็ดูปกติ แต่สามคำสุดท้ายนี่สิ ที่ทำให้ทุกคนตกใจ แม้แต่หลี่อิ๋นหู่ก็มองจ้าวเหอซานเหมือนมองคนบ้าตั้งแต่จ้าวเสวียนจีกลายเป็นราชเลขา จนถึงตอนนี้ มีเพียงหลี่เฉินรวมถึงจักรพรรดิองค์ปัจจุบันเท่านั้น ที่สามารถดูถูกเขาในที่สาธารณชนได้ แต่วันนี้ จ้าวเหอซานเป็นคนที่สอง ใบหน้าของจ้าวเหอซานยังคงสงบนิ่ง ราวกับว่าเขาพูดอะไรบางอย่างที่ธรรมดามากเขากล่าวอย่างจริงจังด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “ทุกคนรู้ดีว่าคนปกติจะไม่ทิ้งจดหมายที่สามารถใช้เป็นหลักฐานเช่นนี้เอาไว้ แต่ใครจะพูดได้ว่าสามารถใช้ตรรกะของคนปกติมาคาดเดาตระกูลหลงได้ แค่นี้ก็สมเหตุผลสมผลแล้วไม่ใช่หรือ?” “สมรู้ร่วมคิดกับพวกกบฏ นี่มันอาชญากรรมอะไร? ก่อกบฏ!”“ราชสำนักคือศูนย์รวมของยอดหัวกะทิทั่วทั้งต้าฉิน เหล่าอัจฉริยะชั้นยอดต่างมารวมตัวกันอยู่ที่นี่ แล้วพวกท่านกล้าก่อกบฏหรือไม่? ไม่ แต่ตระกูลหลงกลับกล้า อาศัยแค่จุดนี้ ก็ไม่สามารถยกตรรกะของคนทั่วไปมาใช้กับตระกูลหลงได้”“ยิ่งไปกว่านั้น นอกจากจดหมายเหล่านี้ เรายังมีพยานที่เห็นเหตุการณ์ พยานรายงาน รวมถึงตระกูลเหลย ตระกูลเฉียน และตระกูลเจิ้ง ทั้งสามตระกูลนี้ล้วนมีพื้นเพอยู่ใ
“เช่นนั้นก็ดี หลงไหวอวี้มีส่วนร่วมในการกบฏ ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นสหายของเจ้า แต่กฎหมายจะต้องไม่ลำเอียง หน่วยบูรพาจะไปจับกุมเขาทันที เจ้าเข้าใจใช่ไหม?”หลี่อิ๋นหู่กล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “ฝ่าบาทมิต้องกังวล กระหม่อมถูกโจรกบฏผู้นี้หลอกลวง แน่นอนว่าจะไม่ทำผิดพลาดซ้ำอีก กระหม่อมจะร่วมมือกับคนของหน่วยบูรพาจับกุมคนผู้นั้นด้วยตัวเอง”หลี่เฉินมองหลี่อิ๋นหู่ด้วยสายตาที่ลึกซึ้ง ยิ่งองค์ชายแปดฉลาดมากเท่าไหร่ ความตั้งใจที่จะฆ่าของหลี่เฉินก็ยิ่งสูงมากขึ้นเท่านั้น คนแบบนี้จะเก็บไว้นานไม่ได้ หลี่เฉินสลับสายตามองระหว่างหลี่อิ๋นหู่กับจ้าวเสวียนจี จากนั้นก็กล่าวว่า “ดีมาก จ้าวอ๋องยังรู้จักเหตุผล”“หลังจบการประชุม กรมยุติธรรมทั้งสามฝ่ายจะส่งบุคลากรที่มีความสามารถไปยังมณฑลซีซานทันที เพื่อดำเนินการสืบสวนสอบสวนคดีตระกูลหลงให้ชัดเจน จากนั้นก็ประกาศให้ใต้หล้าได้ทราบ เพื่อทำหน้าที่เป็นคำเตือนแก่ผู้อื่น”“ประการที่สอง หลังการประชุม หน่วยบูรพาจะไปที่จวนจ้าวอ๋องเพื่อจับกุมหลงไหวอวี้ และนำตัวเขาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม จะต้องไม่มีข้อผิดพลาดใดๆ ” ในพระที่นั่งไท่เหอ พายุที่กำลังก่อตัวขึ้นก็ได้สิ้นสุดลงเม
หลงไหวอวี้เพิ่งมาถึง และก่อนที่เขาจะมา เขาก็มุ่งความสนใจไปที่การหาข้อมูลขององค์รัชทายาท จ้าวอ๋องและจ้าวเสวียนจี ดังนั้นเขาจะรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร เขาจึงส่ายหัวอย่างจริงใจเพื่อแสดงว่าเขาไม่รู้ชายชราพูดอย่างสงบว่า “เมื่อเดือนที่แล้ว ที่นี่คือจวนต้วน ซึ่งเป็นบ้านของข้า” เมื่อหลงไหวอวี้ได้ยินสิ่งนี้ ก็ไม่ได้ตอบสนองในทันทีแต่เมื่อคำว่าจวนต้วนสองคำนี้ดังสะท้อนอยู่ในใจของเขา ก็ทำให้เขานึกข้อมูลบางอย่างขึ้นมาได้และทำให้เขาชาไปทั่วทั้งตัว จวนต้วน!มหาอำมาตย์ตงเก๋อ ต้วนจิ่นเจียง!คนผู้นี้กุมอำนาจของกรมยุทธนาการมานานกว่าสิบปี แม้แต่ราชเลขาจ้าวเสวียนจีก็ล้มเหลวในการแทรกแซง สุดท้ายก็ทำได้แค่ประนีประนอมและร่วมมือกันเท่านั้นนายท่านของจวนต้วนจะยังเป็นใครไปได้อีก? ดวงตาของหลงไหวอวี้พลันตกตะลึงคดีของต้วนจิ่นเจียงนั้นทำให้คนทั้งประเทศต่างตกตะลึง จนถึงทุกวันนี้ ผู้คนยังไม่รู้ว่ามหาอำมาตย์ตงเก๋อต้วนจิ่นเจียง ขุนนางคนสำคัญซึ่งกุมอำนาจมหาศาลและเป็นแกนหลักของจักรวรรดิ ล่มสลายและเสียชีวิตในชั่วข้ามคืนได้อย่างไรหลงไหวอวี้รู้ว่ามันต้องเป็นความขัดแย้งที่เต็มไปด้วยความดำมืดและการแย่งชิงอำนาจ
หลังจากที่ต้วนจิ่นเจียงพูดจบ เขาก็เดินไปยังทางลับก่อน “จะไปหรือไม่ ก็แล้วแต่เจ้า” ตอนนี้เอง เสียงฝีเท้าก็ใกล้เข้ามามากขึ้น หลงไหวอวี้รู้สึกหวาดกลัวเป็นอย่างมาก เขารู้ว่าต้วนจิ่นเจียงพูดถูก และคนข้างนอกก็มาที่นี่เพื่อฆ่าเขาจริงๆตามที่คาด เขาถูกจ้าวอ๋องทอดทิ้ง หลงไหวอวี้กัดฟัน และเดินตามต้วนจิ่นเจียงเข้าไปในถ้ำลับอันมืดมิด โดยไม่หันกลับมามอง หลังจากที่ทั้งสองเดินเข้าไปแล้ว ทางเดินลับก็ถูกปิดอีกครั้ง และเตียงก็กลับสู่ตำแหน่งเดิม แทบจะในเวลาเดียวกัน ทันทีที่พวกเขาจากไป ประตูห้องก็ถูกเตะเปิดหลี่อิ๋นหู่ซึ่งกลับมาจากการประชุมก็นำหน่วยบูรพาจำนวนมากบุกเข้ามา แต่ภายในห้องกลับว่างเปล่า ผู้นำขององครักษ์เสื้อแพรกวาดสายตามอง แล้วกล่าวเสียงดังว่า “คนล่ะ!?”หลี่อิ๋นหู่ก็ตัวชาเช่นกันเนื่องจากเขาตัดสินใจจะทิ้งหลงไหวอวี้ จึงไม่มีแผนที่จะเฝ้าระวังจริงๆ และไม่คิดจะส่งใครมาย้ายหลงไหวอวี้ล่วงหน้าอีกด้วย แต่สิ่งที่แปลกคือ หลงไหวอวี้กลับละเหยหายไปในอากาศ?เมื่อเห็นสายตาที่ไร้ความปราณีขององครักษ์เสื้อแพรคนนั้น หลี่อิ๋นหู่ก็คว้าคนรับใช้ในบ้านของเขา และกัดฟันพูดว่า “คนล่ะ!?”
ซานเป่าเห็นว่าหลี่เฉินค่อนข้างไม่พอใจ เขาจึงรีบพูดขึ้นมาทันทีว่า “บ่าวจะไปจัดการเดี๋ยวนี้”หลี่เฉินกล่าวเสียงเนิบนาบว่า “วันนี้เป็นวันส่งท้ายปีเก่า ตอนกลางวันข้าจะไปทานอาหารที่จวนแม่ทัพใหญ่ จากนั้นก็จะกลับมาที่ตำหนักในตอนเย็น และเข้าไปคารวะเสด็จพ่อที่วังหลัง มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ต้องทำ หวังว่าครั้งต่อไปที่ข้าพบเจ้า มันจะเป็นข่าวดี”ใบหน้าของซานเป่าพลันเครียดเกร็ง และพูดทันทีว่า “บ่าวเชื่อฟัง...เพียงแต่ว่าฝ่าบาทจะเสด็จออกจากพระตำหนัก จำเป็นต้องจัดขบวนทหารองค์รักษ์หน้าหลังหรือไม่?” “จัดการไปตามปกติก็พอ” หลี่เฉินกล่าวอย่างสบายๆ ว่า “ข้าไม่ชอบให้ใครติดตามข้ามากเกินไป” หลังจากที่ซานเป่าจากไปแล้ว หลี่เฉินก็เหลือบมองที่วั่นเจียวเจียวแล้วพูดว่า “ไปที่จวนแม่ทัพใหญ่กันเถอะ”หลังจากนั้นไม่นาน ทั้งสองคนในชุดธรรมดาก็เดินออกจากตำหนักบูรพาพร้อมกัน เหล่าหน่วยลับก็เริ่มล้อมรอบทั้งสองในทันที และตามพวกเขาไป เนื่องจากเป็นวันส่งท้ายปีเก่า ผู้คนบนท้องถนนจึงน้อยลง บางครั้งก็มีบางคนที่เร่งรีบกลับไปทำอาหารสำหรับปีใหม่ นอกจากนี้ยังมีเด็กๆ จำนวนมากวิ่งเล่นไปมาโดยสวมเสื้อนวมลายดอกไม้ ซึ่งเพิ