"อ้อค่ะ...งั้นคุณผู้หญิงต้องการดูชุดก่อนไหมคะ""ได้ค่ะ"นามิตอบไปก่อนจะยิ้มให้พนักงานและหันมายิ้มให้ฉันฉันก็ยิ้มแหยๆให้เธอ พนักงานของร้านก็เดินจากพวกเราสองคนไป นามิเธอก็เลือกที่จะเดินไปนั่งที่โซฟาและหยิบสมุดของชำร่วยของร้านออกมาดู ฉันก็ละสายตาจากเธอและหันมองไปรอบๆร้านแห่งนี้ ชุดราตรีชุดแต่งงานมากมายที่สวยสง่ารายล้อมรอบๆตัวฉัน ฉันไม่รู้ว่าชาตินี้ ฉันจะได้แต่งงานเหมือนกับผู้หญิงคนอื่นๆไหม และฉันจะแต่งกับใครล่ะ ในเมื่อฉันเป็นผู้หญิงที่ขึ้นชื่อว่าเป็นนางบำเรอไปแล้วจะมีผู้ชายดีๆที่ไหนมารักผู้หญิงที่เป็นของเหลือแบบฉัน"มาแล้วค่ะคุณผู้หญิง"เสียงหวานใสของพนักงานประจำร้านเอ่ยขึ้นพร้อมกับถือชุดทักซิโด้สีขาวในมือของเธอนามิก็ละสายตาจากของชำร่วยมามองยังพนักงานและผุดลุกขึ้นยืนและเดินตรงมาทางนี้อย่างไว"ว้าวสวยมากๆเลยค่ะ....เวลาพี่ขุนศึกใส่ต้องดูหล่อและดูดีดูเท่มากๆๆเลยพี่เอริว่าไหมคะ?"นามิพูดขึ้นพร้อมกับกุมมือไว้ตรงหน้าอกด้วยแววตาเป็นประกายก่อนจะหันมาขอความคิดเห็นของฉัน ว่าจะตรงกับเธอไหม ฉันก็มองชุดนั้น ฉันก็คิดว่าถ้าขุนศึกใส่ เขาต้องดูดีและดูหล่อ ดูเท่สุดๆไปเลยล่ะ"นามิครับ"เสียงทุ้มเข้มออกแนวหว
ครึ่งชั่วโมงต่อมาร้านชุดเจ้าสาวหรูในห้างสรรพสินค้าในเครือบริษัทAK"ไม่ทราบว่าคุณขุนศึกและคุณนามิเลือกร้านถ่ายพรีเวดดิ้งหรือยังคะ?"เสียงสุภาพเอ่ยขึ้นจากผู้หญิงที่แต่งตัวเรียบร้อยวัยกลางคนที่ยืนอยู่ด้านหลังของขุนศึกและนามิเธอคนนี้เป็นเจ้าของร้านน่ะ เธอถึงได้รู้จักขุนศึกและรู้ว่าเขาเป็นเจ้าของห้างสรรพสินค้าแห่งนี้ ซึ่งเป็นคนคนละคนกับที่มาบริการนามิตอนแรก"ยังเลยครับ.....หรือว่านามิดูๆไว้แล้วคะ?"ขุนศึกหันไปตอบเจ้าของร้านและหันกลับมามองหน้านามิเพื่อขอคำตอบจากเธออย่างสงสัย "ยังค่ะ....นามิว่าจะลองปรึกษาพี่เอริดูนะคะ....ว่าพี่เอริมีร้านแนะนำไหม?"นามิเธอกลับหามาขอความคิดเห็นจากฉันที่ยืนหลบมุมหลังเธออยู่อย่างเงียบๆ ฉันก็เงยหน้าขึ้นไปมองหน้าเธอพร้อมกับสบแววตาใสซื่อที่เธอมองฉัน ฉันก็ทำท่าทางอ้ำๆอึ้งๆ ฉันจะไปรู้ได้ยังไง ฉันไม่เคยแต่งงานนะ"เอ่อคือ....."ฉันทำท่ายึกยักอึกๆอักๆไม่รู้จะตอบนามิยังไง โดยมีสายตาของคนสี่คนจับจ้องมองมาที่ฉันเป็นจุดเดียวเพื่อคาดคั้นคำตอบจากฉันอย่างงั้นแหละ ว่าจริงๆเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับฉันเลยสักนิดนะ"ทางร้านมีบริการรับถ่ายพรีเวดดิ้งด้วยไหมครับคุณช่อผกา?"ขุนศึกเอ่ยขึ้นทำ
"เสร็จแล้วค่ะและนามิก็คุยกับพี่ขุนศึกว่าจะพาพี่เอริไปทานข้าวกันนะคะ....เพื่อตอบแทนพี่เอริที่มาเป็นเพื่อนนามิในวันนี้"นามิพูดเสียงหวาน ก่อนจะหันไปยิ้มให้ขุนศึก ฉันก็มองหน้าขุนศึกและนามิสลับกัน "คือไม่เป็นไรดีกว่าค่ะ...ดิฉันไม่ค่อยหิวเท่าไหร่""คนเขาอุตส่าห์ชวน.....ไม่มีมารยาทเลย"เสียงห้วนดังขัดขึ้นมาจากผู้ชายหน้าหล่อร่างสูงที่ยืนอยู่ตรงหน้าฉัน ทำให้หัวใจของฉันสั่นไหวขึ้นมาเมื่อเขาพูดแต่ไม่มองสบตาฉันเหมือนกับว่าเขาพูดลอยๆใครจะรับก็รับ ไม่รับก็ไม่ต้องรับ"พี่ขุนศึกคะ"นามิหันไปเรียกขุนศึกเสียงแข็งอย่างออกแนวเชิงดุนิดๆที่ขุนศึกพูดจาแบบนั้นใส่ฉัน ซึ่งฉันคิดว่ามันค่อนข้างแรงนะ สำหรับเขาและฉันที่ก็รู้ดีว่าเราสองคนอยู่ในสถานะอะไรกันและมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกันแค่ไหน"ไม่เป็นไรหรอกค่ะคุณนามิอย่าว่าท่านประธานเลยนะคะ....ดิฉันผิดเองค่ะที่ปฏิเสธคำชวนของคุณนามิ""และจะเป็นอะไรไหมคะ....ถ้าดิฉันจะขอเปลี่ยนใจ"สิ้นคำพูดของฉันนามิก็ยิ้มกว้างขึ้นมาทันที ฉันก็ยิ้มให้เธอ ได้ในเมื่อคนสองคนนี้ต้องการเล่นละครสวมหน้ากากใส่ฉัน ฉันก็จะสวมหน้ากากเล่นกับพวกเขาดูสักตั้ง"ได้สิคะดีเลย.....งั้นเราไปกันดีกว่าค่ะ"นาม
พรึบ"เห้อ"ฉันโยนกระเป๋าสะพายทิ้งพร้อมกับทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟากลางห้องรับแขกอย่างหมดแรงและเหนื่อยล้าทั้งกายและใจก่อนจะหลับตาลงเพื่อให้สมองได้พักผ่อน วันนี้ทั้งวันฉันเสียเวลาไปกับเรื่องของคนอื่นโดยที่ไม่ใช่เรื่องของตัวฉันเองเลย แถมยังต้องไปนั่งช้ำใจเล่นดูความหวานของขุนศึกกับนามิอีกตั้งหาก พวกเขาชวนฉันไปทานข้าว ทานข้าวเสร็จก็พาฉันไปดูสถานที่ที่จะถ่ายทำพรีเวดดิ้ง โดยที่ไม่ถามความสมัครใจจริงๆของฉันเลยด้วยซ้ำว่าฉันเต็มใจที่อยากจะไปเป็นมือที่สามของพวกเขาด้วยหรือเปล่าและนี่ก็ทุ่มหนึ่งพอดีที่ขุนศึกขับรถมาส่งฉันโดยมีนามินั่งเคียงข้างเขามาด้วย ทุกสิ่งทุกอย่างที่ขุนศึกทำในวันนี้เหมือนเขาต้องการประชดประชันฉัน ให้ฉันโมโหหึงเขาเล่นสินะ ซึ่งมันได้ผลจริงๆ ไม่มีผู้หญิงคนไหนหรอกนะ ที่จะอดทนเห็นผู้ชายที่ตัวเองรักไปสนิทสนมหยอกเย้ากับผู้หญิงคนอื่นต่อหน้าอย่างใกล้ชิดแบบนี้ได้น่ะ"ทำไมขุนศึกไม่เห็นดูเป็นทุกข์เป็นร้อนเลยล่ะ.....หรือว่าเขาจะยังไม่เห็นอีเมลของฉัน?"ฉันพึมพำขึ้นมาในขณะที่สติของตัวเองกำลังจะดำดิ่งอยู่ในห้วงนิทรา ใจของฉันก็ยังจะอดเป็นห่วงเขาไม่ได้ เป็นห่วงขุนศึกและบริษัทที่ฉันทุ่มเทแรงกายแรงใจสร้า
"ค่ะ"เธอหันมาตอบผมสั้นๆด้วยสีหน้าเบะๆอย่างงอนผม ผมก็ไม่ได้พูดอะไรต่อกลับรอให้เธอลงจากรถผมไปและปิดประตูให้ผม ผมก็ใส่เกียร์และขับออกมาจากบ้านของนามิอย่างไวผมหักพวงมาลัยขับมุ่งตรงไปยังบ้านของเอริที่ผมเพิ่งจะไปส่งเธอที่บ้าน วันนี้ผมแสดงความออดอ้อนออเซาะและดูรักใคร่นามิให้เอริเห็น ผมว่าเธอคงจะต้องเจ็บปวดอยู่บ้างล่ะ ที่ผู้ชายอย่างผมไม่ง้อเธอ แบบเมื่อก่อนอีกแล้วและเรื่องยาที่เธอถามหาว่าผมเป็นคนเอาไปหรือเปล่า แน่นอนว่าผมเอามาเองและผมก็เอาทิ้งทันทีที่รู้ว่ามันคือยาคุมฉุกเฉินและผู้หญิงที่บ้างานอย่างเอริ ก็คงจะไม่ไปซื้อมากินอีกแน่เพราะเธอน่ะ ขี้ลืม หรืออาจจะซื้อมาแต่ผมไม่เห็นผ่านสายตานะ แต่เธอก็มักจะซ่อนอะไรไม่มิดด้วย เพราะผมจะรู้ทันเธอทันทีว่าเธอซ่อนของมีค่าไว้ตรงไหน นั้นคือในกระเป๋าแบรนด์เนมนับหลายสิบใบที่ผมซื้อให้เธอเธอบอกผมว่า ที่ที่อันตรายที่สุดคือที่ที่ปลอดภัยที่สุด เธอจึงมักจะเก็บซ่อนของมีค่าสำหรับเธอไว้ที่กระเป๋าพวกนั้นส่วนเรื่องงานหมั้น พอถึงวันหมั้นผมจะบอกเรื่องคลิปนี้ให้คุณแม่ของผมได้รู้ ว่านามิเธอเป็นคนสร้างเรื่องขึ้นมาเพื่อจะแบล็คเมล์ผมให้ผมหมั้นกับเธอ ส่วนเรื่องที่ผมเคยนอนกับเธ
วันถ่ายพรีเวดดิ้งของขุนศึกและนามิเอริ ฐิติมน....."เห้อ"ฉันผ่อนลมหายใจออกมาเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ สายตาก็ทอดมองร่างของชายหญิงสองคนที่กำลังกอดแนบชิดอิงกายอย่างสนิทสนมกันอยู่ด้านหน้าของฉัน ที่ด้านหลังของพวกเขาทั้งสองคนเป็นวิวทะเลสีฟ้าครามสดใสและมีตากล้องพร้อมทีมงานมากมายคอยSetฉากเซ็ตผมSetเสื้อผ้าให้คู่รักที่มาถ่ายพรีเวดดิ้งในวันนี้ด้วยให้ทุกอย่างออกมาดีและเพอร์เฟคที่สุด โดยที่นามิก็ลากฉันมาด้วย ซึ่งฉันเองก็ไม่รู้ว่าเธอจะเอาฉันมาด้วยทำไม ในเมื่อมันไม่ใช่ธุระกงการอะไรเกี่ยวกับฉันเลยสักนิด"ขอน้ำหน่อยจ๊ะ"เสียงหวานของนามิเอ่ยขึ้นหลังจากที่ทางกองถ่ายให้เธอและขุนศึกหยุดพักการถ่ายหลังจากที่ถ่ายกันไปหลายท่าและหลายมุมแล้ว เธอก็เดินมานั่งในเต็นท์เดียวกับฉันพร้อมกับเอ่ยสั่งพนักงานที่คอยดูแลเธอให้เอาน้ำมาให้เธอดื่มด้วยท่าทางกระหายเพราะตอนนี้เป็นเวลาบ่ายแก่ๆเธอคงจะร้อนเพราะเห็นแต่ละฉากต้องใช้แสงจากแสงของดวงอาทิตย์เพื่อภาพให้ออกมาสวยตามแบบฉบับที่นามิต้องการ"ร้อนมากเลยนะคะพี่เอริ"นามิเอ่ยพูดกับฉันขึ้นหลังจากที่เธอดื่มน้ำเย็นๆจากพนักงานเสร็จแล้ว ฉันก็ยิ้มบางๆให้เธอก่อนจะตอบเธอไป"ใช่ค่ะร้อน
และพวกเราก็ออกเรือมาช่วงแปดโมง มาถึงนี่ก็เก้าโมงเช้าพอดี กว่าจะจัดเตรียมอะไรกว่าจะได้ถ่ายก็ปาเข้าไปบ่ายแก่แล้วฉันทิ้งตัวลงนั่งบนขอนไม้พร้อมกับทอดสายตามองไปยังท้องทะเลสีครามเบื้องหน้าที่มีแสงแดดกระทบส่องอยู่เสียงคลื่นพัดเข้าฝั่งทำให้ฉันรู้สึกสบายผ่อนคลายยังไงไม่รู้จึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดโลกโซเชียลดู เมื่อคืนคุณจอมพลไปหาฉันที่บ้านและเขาก็บอกฉันว่า นามิโทรมาลางานให้ฉัน โดยที่เธอบอกคุณจอมพลว่าอยากให้ฉันไปเที่ยวเปิดหูเปิดตาพักผ่อนซะบ้าง ซึ่งคุณจอมพลก็รู้ว่าฉันไม่ได้อยากมาแต่เขาเองก็ปฏิเสธนามิแทนฉันไม่ได้ เพราะเดี๋ยวนามิจะหาว่าเขาไม่ให้ฉันลางานและเป็นเจ้านายที่เคี้ยวเอาเปรียบลูกน้องอะไรทำนองนี่"ตลาดหุ้นเหรอ?"ฉันพึมพำขึ้นมาเมื่ออ่านข้อความจากไลน์ของคุณจอมพลที่ส่งมาให้ฉันเมื่อตอนช่วงสายๆของวันนี้แต่ฉันไม่ได้เปิดอ่านข้อความของเขา ซึ่งมันเป็นแบบนี้ประจำ ฉันมักจะไม่ค่อยอ่านข้อความจากคนอื่น นอกจากของคนคนเดียวเท่านั้น ที่ฉันแทบจะเปิดดูทันทีทุกครั้งที่มีเสียงการแจ้งเตือนเข้ามา แต่ฉันก็ต้องผิดหวังทุกครั้งไป เพราะขุนศึกไม่ส่งข้อความหาฉันอีกเลย ตั้งแต่เขากลับจากงานประกาศหมั้นของเขาและนามิ"คุณห
เอริ ฐิติมน......ชายหาดต่างจังหวัด18:45น.พรึบ"มืดแล้วหรือเนี่ย......ไม่รู้ตัวเลยแหะ"ฉันพึมพำขึ้นในขณะที่สายตามองไปยังเบื้องหน้าและบรรยากาศรอบๆของตัวเองในตอนนี้ที่พระอาทิตย์ได้ลาลับขอบฟ้าไปแล้วโดยที่ฉันนั่งมองพระอาทิตย์ที่คอยๆจมหายไปในท้องทะเลอย่างช้าๆโดยสติที่ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว หัวสมองฉันมันเต็มไปด้วยความสงสัยปัญหาหลายๆเรื่องมันรุมเร้าฉัน ไหนจะเรื่องบริษัทหุ้นของคุณหญิงนฤมิตร และไหนจะเรื่องการทุจริตเงินในบริษัทของขุนศึกอีก ไม่รู้ว่าขุนศึกอ่านเมลของฉันแล้วหรือยัง อีกสองวันก็จะถึงวันประชุมบอร์ดผู้บริหารประจำเดือนแล้วด้วยถ้ามีการสรุปยอดเงินล่ะก็ มีหรือที่บอร์ดผู้บริหารจะไม่สงสัยว่าเงินมันหายไปไหนน่ะและทีนี้ก็จะต้องเกิดเรื่องตรวจสอบเป็นเรื่องใหญ่โตขึ้นมา ฉันกลัวว่าขุนศึกจะหาวิธีรับมือและแก้ไม่ได้จนเขาต้องโดนตรวจสอบ ว่าเขาเป็นคนทุจริตเงินส่วนที่หายไปหรือเปล่า และเรื่องก็จะใหญ่โตเพิ่มขึ้นไปอีก ถึงแม้ว่าเขาจะอยู่ในสถานะท่านประธานและยังเป็นผู้ถือหุ้นสูงสุดอีก แต่ตำแหน่งไม่ได้การันตรีว่าเขาจะไม่หลุดจากเก้าอี้ท่านประธาน เพราะถ้าผู้ถือหุ้นอีกห้าสิบเปอร์เซ็นต์ที่เหลือขอถอนหุ้นออกหมดล่ะ
"และมีมันไว้ริจะได้อุ่นใจ""และอีกอย่าง....ไม่มีผู้หญิงคนไหนเต็มใจที่จะอยู่กับคนที่มีแต่ตัวอย่างขุนหรอก....ริสบายใจได้"คำพูดของขุนศึกที่ดูมั่นอกมั่นใจทำให้ฉันต้องรีบเปิดเอกสารในซองสีน้ำตาลที่ขุนศึกเพิ่งจะยื่นให้ฉันเมื่อกี้เปิดดูทันทีเพราะคำพูดของเขามันแปลกๆเขาพูดเหมือนจะยกทุกอย่างที่เขามีให้เป็นของฉัน เพราะเขาพูดเหมือนเขาจะเหลือแต่ตัวและก็เป็นไปอย่างที่ฉันคิดจริงๆเอกสารที่เขายื่นให้ฉันเมื่อกี้นี้เป็นเอกสารโอนยกมรดกให้เป็นชื่อฉันแต่เพียงผู้เดียวทั้งบ้านหลังนี้ และบริษัทSMครึ่งหนึ่งที่เคยเป็นของคุณหญิงนฤมิตรแต่ก่อนหน้านี้คุณหญิงเพิ่งจะโอนให้เป็นของขุนศึกก็ถูกโอนให้มาเป็นของฉันและรวมถึงบริษัทAKด้วยที่ชื่อการจดทะเบียนบริษัทก็เป็นชื่อฉัน และยังดำรงตำแหน่งประธานบริษัทคนใหม่ให้อีกด้วย"ทุกอย่างในนี้คงจะเป็นเครื่องหมายการันตีให้ริเห็นแล้วใช่ไหม....ว่าขุนจริงใจกับริแค่ไหน""แต่ริไม่ต้องกังวลนะ...ขุนจะยังคงทำงานแบบเดิมเหมือนตอนที่ขุนยังคงดำรงตำแหน่งอยู่""ริทำใจให้สบายคอยเป็นที่ปรึกษาส่วนตัวให้ขุนและคอยรับเงินปันผลรายปีก็พอ"ขุนศึกเอ่ยออกมาพร้อมกับยิ้มกริ่มไปด้วยรอยยิ้มที่อิ่มเอมใจ เขาเต็มใ
"ริ.....ขอโทษนะขุน....แต่ริยังไม่พร้อม"เมื่อคำพูดออกจากปากฉัน ทุกอย่างรอบตัวก็ดูเหมือนจะเงียบลงไปผู้ชายที่คุกเข่าตรงหน้าฉันในตอนนี้ เขากลับยิ้มให้ฉันถึงมันจะเป็นรอยยิ้มที่แฝงไปด้วยความเศร้าก็เถอะแต่ทำไมเขายังยิ้มได้เหมือนเขาจะรู้ในคำตอบของฉันอยู่แล้วว่ามันจะออกมาเป็นแบบไหน"ริยังไม่อยากแต่งงานกับขุนก็ไม่เป็นไร.....แต่ขุนจะขอริแต่งงานแบบนี้ไปทุกๆปี""จนกว่าริจะยอมแต่งงานกับขุน"ขุนศึกเอ่ยออกมาเสียงเข้มหน้าตายิ้มแย้มอย่างมีความหวัง เขาค่อยๆยันตัวลุกขึ้นยืนเผชิญหน้ากับฉันฉันก็จ้องเขากลับไป ด้วยแววตาที่เรียบนิ่งไร้ความรู้สึกใดๆ"ริไม่อยากจะเชื่อในคำพูดของขุน....แต่ริจะขอคอยดูก็แล้วกันว่าขุนจะทำแบบที่ขุนพูดได้จริงๆ"ฉันเอ่ยออกไปตามความจริง ความที่ฉันยังไม่มั่นใจในคำพูดและตัวของเขาได้จริงๆ"ขุนรู้....ว่าที่่ผ่านมาขุนไม่เคยทำให้ริมีความสุข....ขุนเอาแต่คอยทำร้ายจิตใจริ....เอาแต่นอกกายริ""แต่ขุนไม่เคยนอกใจริสักครั้งหนึ่งเลยนะ....""เพราะขุนรู้.....ว่าไม่มีผู้หญิงคนไหน...ดีเท่ากับริอีกแล้ว""แต่ขุนก็รู้ตัวดีว่าขุนไม่พร้อมที่จะเสียริไปอีกแล้ว""ในวันนี้ถึงริยังไม่อยากแต่งงานกับขุน""แต่ขุนขอร
ติ๋งเมื่อลิฟท์มาถึงชั้นล่างของบ้านฉันก็เดินออกมาจากลิฟท์ก่อนจะเดินมุ่งตรงไปยังห้องครัวแต่พอเดินไปถึง ก็กลับพบว่า แก๊สที่ป้าบัวบอก ในขณะนี้มันไม่ได้ตั้งอะไรไว้เลยเสียด้วยซ้ำ"สงสัยป้าบัวแกคงจะลืม.....อย่างนี้ฉันควรมีเวลาให้แกได้พักผ่อนซะแล้ว"ฉันเอ่ยออกไปพลางส่ายศีรษะไปด้วยอย่างเป็นห่วงป้าบัว ที่เขาดูแลคนอื่นจนลืมที่จะดูแลตัวเอง"ไปนอนดูหนังที่ห้องนั่งเล่นสักชั่วโมงค่อยขึ้นห้องดีกว่า"ฉันพึมพำออกมาอย่างคนที่ขี้เกียจมากๆ ฉันรู้ตัวว่าตัวเองเปลี่ยนไปมาก จากเมื่อก่อน ขยับตัวทีก็งาน งานและก็งาน แต่ตอนนี้ขี้เกียจ และไม่อยากจะทำอะไรเลยนอกจากกินแล้วก็นอน"อะไรเนี่ย?"ฉันพึมพำออกมาเมื่อขาของตัวเองเดินย่างก้าวเข้าภายในห้องนั่งเล่นก็ต้องตกใจกับลูกโป่งสีชมพูสดใสที่ลอยอยู่กลางอากาศมากมายแต่ไม่ลอยจนติดเพดานบ้านเพราะถูกเชือกรั้งไว้ฉันก็ตื่นตาตื่นใจกับลูกโป่งสีชมพูอ่อนสวยสดใสก่อนที่จะยิ้มออกมาจนแด้มปริและเดินไปตามทางเรื่อยๆไม่รู้ว่าจะเดินไปไหนเพราะพื้นที่ทั้งห้องนี้เต็มไปด้วยลูกโป่งทั้งลูกเล็กและลูกใหญ่และฉันก็มาหยุดยืนเมื่อสิ้นสุดทางเดิน ที่ตรงหน้าของฉันเป็นกำแพงสีขาวแต่ข้อความบนกำแพงทำให้ฉันอึ้
วันต่อมา08:00น.บ้านชัชชัยวรรณ.....ห้องนอนเอริ เอริ ฐิติมน....."ชุดนี้น่ารักจังเลยนะคะป้าบัว"ฉันเอ่ยบอกป้าบัวไปในขณะที่ฉันกำลังหมุนรอบตัวเองเพื่อตรวจดูความเรียบร้อยที่ส่องกระจกฉายสะท้อนตัวเองกลับมา เป็นชุดมินิเดรสสีขาวแขนพองทรงเอประดับโบว์ไว้ที่ด้านหน้าของชุดตรงหน้าอกของฉัน ชุดเป็นลายดอกไม้ เป็นสไตล์ของยุโรป กระโปรงยาวเลยเข่าฉันมานิดหน่อยดูรวมๆแล้วมันก็สบายและน่ารัก ดี เหมือนเป็นชุดคลุมท้องเหมือนกันนะ"ป้าบัวเลือกเองหรือคะ?"ฉันเอ่ยถามป้าบัวไปอย่างสงสัย เพราะเมื่อกี้ก่อนหน้านี้ประมาณยี่สิบนาที ป้าบัวเดินถือเสื้อผ้าชุดนี้เข้ามาในห้องของฉันและบอกว่าท่านเป็นคนซื้อให้ ไม่รู้ว่าฉันจะชอบหรือเปล่า และฉันจะใส่ได้ไหม ท่านเลยให้ฉันลองใส่ดูก่อนผลก็ปรากฏว่าฉันใส่ได้ และฉันก็ชอบมันมาก มันดูน่ารักเป็นแนวสายแหวนดีนะสีก็ออกพาสเทลนิดๆดูน่ารักดี"ชะใช่จ๊ะ.....เป็นยังไงจ๊ะเอริชอบไหม?"ป้าบัวที่ยืนอยู่ด้านหลังของฉันที่คอยช่วยฉันจัดแจงชุดก็เอ่ยออกมาแต่น้ำเสียงและแววตาของท่านดูสั่นๆดูมีพิรุธนะถ้าเป็นคนอื่นอาจจะคิดว่าเขากำลังพูดโกหกอยู่แน่ แต่นี่เป็นป้าบัว ท่านจะโกหกฉันไปทำไมล่ะจริงไหม"ชอบนะคะป้าบั
ในวีดีโอมีผู้ชายอยู่หลายคนรวมๆห้าคนได้และสถานที่มืดๆที่มีไฟหลากหลายสีแบบนี้ก็คงจะเป็นผับที่ไหนสักแห่งหนึ่งในกรุงเทพนี้แหละฉันก็ตั้งใจมองก็พบว่ามีผู้ชายสามคนที่คุ้นตาฉัน หนึ่งคือฟิวสองคือทีและสามคือขุนศึกข้างกายของผู้ชายทุกคนจะมีผู้หญิงแต่งตัวโป๊ๆหน้าอกตู้มๆนั่งขนาบข้างแบบแทบจะสิงร่างกันโดยพวกเธอเป็นคนชงเหล้าให้เขาทั้งห้าคนและคอยปรนนิบัติพวกเขาอย่างใกล้ชิดและออดอ้อนออเซาะแต่จะมีผู้ชายอยู่คนหนึ่งที่นั่งเป็นคนสุดท้ายของเพื่อนที่มีสีหน้าเหมือนไม่ค่อยสบายใจแบบคนที่กำลังอมทุกข์และดูอึดอัดอะไรอยู่ในใจ(วันนี้หนุ่มๆเลือกอิหนูของเจ๊นี่ไปได้เลนนะคะ....น้องๆพวกนี้พร้อมดูแลจ๊ะ)เสียงหวานอย่างดัดให้เสียงเล็กลงจากปกติมากเอ่ยขึ้นมา ฉันว่าเธอคนที่พูดอยู่นี่น่าจะเป็นสาวสองและเป็นคนที่กำลังถ่ายวีดีโออยู่ในตอนนี้ด้วยนะ(มันแน่นอนอยู่แล้วครับเจ๊.....พวกผมน่ะจัดเต็มแน่)เป็นทีที่เอ่ยขึ้นมาพลางยิ้มกริ่มอย่างเจ้าชู้และเขาก็หันไปกอดรัดนัวเนียกับผู้หญิงข้างกายเขาอย่างไม่เอียงอายใคร(แล้วน้องคนนี้ล่ะจ๊ะ....สนใจอิหนูของเจ๊คนไหนเป็นพิเศษไหม?)เจ๊สาวสองแพลนกล้องไปจับยังขุนศึกที่นั่งอยู่ติดกับขอบเก้าอี้ด้านในสุดข
บ้านของเอริ20:30น.เอริ ฐิติมน.....ห้องนั่งเล่น......"ปกติแกกินข้าวเวลานี้ด้วยเหรอ?"เพลงขวัญเอ่ยถามฉันขึ้นในขณะที่เธอวางจานข้าวสวยร้อนๆลงตรงหน้าของฉันพร้อมกับต้มไก่ตุ๋นยาจีนต้นตำรับของคุณหญิงนฤมิตรที่ท่านสั่งให้ป้าบัวต้มไว้ให้ฉันทานบำรุงลูกๆทั้งสามในครรภ์ของฉัน"ตอนไม่ท้องก็กินบ้างไม่กินบ้าง....แต่พอท้องนี่แทบจะกินวันละหกเจ็ดมื้ออย่างต่ำอ่ะแก"ฉันเอ่ยบอกเพลงขวัญไปพลางใช้มือทั้งสองข้างหยิบช้อนกับส้อมขึ้นมาถือไว้พร้อมจะลงมือทานอาหารตรงหน้าที่มีกลิ่นหอมยั่วยวนด้วยแววตาที่เป็นประกายแพรวพราว"ไหนบอกว่าแกมีเรื่องไม่สบายใจ....?"เพลงขวัญเอ่ยถามฉันพลางเลิกคิ้วมองหน้าฉันอย่างสงสัยก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาตัวเดียวกันกับฉันฉันก็มองหน้าเธอนิ่งด้วยแววตาที่เป็นกังวลอยู่ในใจนั้นแหละ แต่ทำไงได้ ก็ท้องฉันมันหิวหนิ ขอกินก่อนล่ะกัน เรื่องอื่นค่อยว่ากัน"เดี๋ยวฉันขอกินก่อน....เดี๋ยวค่อยคุย""โอเคจ๊ะ.....งั้นเดี๋ยวฉันขอไปโทรหาลูกก่อนไม่รู้ว่าป่านนี้พ่อเขาเอาเข้านอนแล้วหรือยัง?""โอเคจ้า"ฉันยิ้มให้เพลงขวัญเธอก็ยิ้มให้ฉันก่อนจะหยิบโทรศัพท์ของเธอและเดินออกไปจากห้องนั่งเล่นเมื่อเธอไปแล้ว ฉันก็หันกลับมาให้ค
เหล้า บุหรี่ ก็ไม่หนักทุกวันแบบเมื่อก่อน แต่เรื่องผู้หญิง ฉันก็ยังคงไม่มั่นใจอยู่ดี เพราะเขาไม่เคยทำให้ฉันเชื่อใจเขาได้สักครั้ง....จริงๆกับเรื่องนี้ฉันรอขุนศึกไม่นานเขาก็กลับมาพร้อมกับรถวีลแชร์ เขายิ้มกว้างให้ฉันมาแต่ไกล ฉันก็ยิ้มให้เขากลับไป"เชิญครับคุณผู้หญิง""ขอบคุณค่ะคุณบุรุษพยาบาล"ฉันเอ่ยออกไปแกล้งขุนศึกที่เขาเข็นรถวีลแชร์มาหยุดตรงหน้าฉัน"ยินดีที่จะเป็นทุกอย่างให้เธอครับ""เลี่ยน"ฉันเอ่ยออกไปอย่างหมั่นใส่เขาก่อนจะลุกขึ้นยืนโดยมีร่างของขุนศึกที่ถลาเข้ามาช่วยประคองฉันไว้อย่างรวดเร็วเล่นเอาซะตกใจเลยแหะขุนศึกจัดการช่วยฉันทุกอย่าง โดยที่เขาทำอย่างเบามือและทะนุถนอมเหมือนกลัวว่าฉันจะเจ็บ"พร้อมออกตัวแล้วครับ""ค่ะไปได้เลยค่ะคุณบุรุษพยาบาล"ฉันแกล้งแซวขุนศึกต่อ เขาก็ยิ้มขำก่อนจะเข็นรถวีลแชร์ไปยังทิศทางออกของโรงพยาบาล โดยมุ่งตรงไปที่ลานจอดรถเมื่อมาถึงที่รถเขาก็จัดการประคองร่างของฉันขึ้นจากรถวีลแชร์ย้ายมานั่งบนรถของเขาอย่างเบามือเช่นเดิมแต่ที่ทำให้ฉันแปลกใจและรู้สึกประทับใจขุนศึกอีกอย่างหนึ่งก็คือตอนนี้เขากลับมามีทุกอย่างไม่ว่าจะเงินทองหรือชื่อเสียงแต่เขาก็ยังคงทำตัวเหมือนขุนศึกค
"แฝดทั้งสามคนปลอดภัยและเติมโตตามวัยครับ...ออกจะโตอย่างรวดเร็วเสียด้วยซ้ำ""เพราะเขาโตเกินเกณฑ์อายุเขาจริงๆไปหนึ่งสัปดาห์ครับคุณฐิติมนและคุณขุนณรงค์"คุณหมอเอ่ยขึ้นในขณะที่เขาอธิบายรายละเอียดรูปร่างของเจ้าแฝดทั้งสามคนของฉันผ่านหน้าจอสี่เหลี่ยมจากการอัลตร้าซาวด์หน้าท้องของฉันทำให้ฉันที่เห็นการเจริญเติบโตของลูกๆทั้งสามฉันทุกอาทิตย์ถึงกับยิ้มไม่หุบและมันตื้นตันอยู่ในใจของฉันจนบรรยายออกมาเป็นคำพูดไม่ได้เลยล่ะเมื่อคุณหมอตรวจเสร็จก็กลับไปนั่งที่โต๊ะตรวจของเขาและฉันก็ลุกขึ้นจากเตียงอัลตร้าซาวด์โดยมีขุนศึกคอยประคองร่างฉันตลอดเวลาไม่ว่าฉันจะเดินหรือลุกนั่งก็ต้องมีเขาคอยประคองอยู่ตลอดเวลาเลยถึงตอนนี้ฉันจะท้องได้แค่สี่เดือนแต่ท้องของฉันเริ่มจะใหญ่กว่าคนท้องสาวทั่วไปถึงสองเท่าเพราะในท้องของฉันมีเด็กน้อยอยู่ตั้งสามคนแหนะจะไม่ให้ใหญ่เกินคนท้องสาวทั่วไปได้ยังไงล่ะเมื่อฉันกับขุนศึกมานั่งที่โต๊ะตรวจในห้องของหมอได้คุณหมอก็เอ่ยขึ้นบอกเราถึงกำหนดคลอดทันที"และกำหนดคลอดคืออีกยี่สิบหกสัปดาห์ข้างหน้า....แต่ครรภ์ของคุณฐิติในเป็นครรภ์แฝดสามคน....หมอกลัวว่าอาจจะมีโอกาสเกิดภาวะครรภ์เป็นพิษเกิดขึ้นได้แทบจะตลอด
"ไม่รู้ว่าช่องในเจดีย์ของแม่เธอจะพอใส่อัฐิของพ่อเธอได้อีกอันไหม?"คุณแม่ของผมเอ่ยขึ้นพร้อมกับยิ้มบางๆให้พี่จอมก่อนจะยื่นโกศสีขาวนวลที่ด้านในบรรจุเถ้ากระดูกของพ่อผมยื่นไปตรงหน้าของพี่จอมพี่จอมพลก็มองโกศในมือแม่ผมสลับกับมองหน้าผมด้วยแววตาแปลกใจและดูจะอึ้งไปนิดๆเหมือนเขาคิดไม่ถึงว่าคุณแม่ผมจะทำเรื่องแบบนี้ได้"ตอนนั้นคุณเป็นคนยืนกรานเองว่าจะเอาเถ้ากระดูกของพ่อไปเก็บไว้แต่ทำไมวันนี้กลับเอามาให้ผมเสียง่ายดายแบบนี้ได้ล่ะครับ....ทั้งที่ในตอนที่ผมกับแม่ของผมร้องขอคุณแทบจะกราบเท้า?"พี่จอมพลเอ่ยถามแม่ผมกลับมาเสียงเรียบ ในตาจ้องเขม่นมาที่แม่ผมอย่างต้องการคำตอบ"ในตอนนั้นที่ฉันไม่ให้อัฐิของพ่อให้แม่เธอก็เพราะตอนนั้นฉันมีทั้งอารมณ์โกรธอารมณ์เกลียดอยู่เต็มในอก""ฉันคิดได้อย่างเดียวคือว่า....ไม่ว่าพ่อของเธอจะเป็นหรือตายฉันก็จะไม่มีทางให้สองคนนี้ได้อยู่ด้วยกันเด็ดขาด""ฉันรู้ตัวว่าฉันมันแย่....กว่าจะมารู้ว่าความคิดของฉันมันไม่ดีต่อใครเลยรวมถึงตัวฉันเองด่วย....ก็เกือบจะสายไป""และฉันก็อยากจะขอบคุณเธอนะ....ที่ช่วยฉันออกมาจากกองเพลิงในวันนั้น""ถึงเธอจะไม่เต็มใจก็เถอะ....แต่ฉันก็อยากจะขอบคุณเธอ....และข