“ไม่ค่ะ…”ฉันตอบคุณจอมพลไปเขาก็พยักหน้าให้ฉันผ่านเงาสะท้อนในกระจกและเขาก็ขยับย้ายร่างของเขาไปอีกฝั่งหนึ่งเพื่อจะใส่ต่างหูให้ฉันอีกข้างหนึ่งอย่างนุ่มนวลและแผ่วเบาเช่นเดิม ทำให้ฉันรู้สึกเห็นภาพซ้อนขึ้นมา เพราะขุนศึกมักจะทำแบบนี้ให้ฉันเป็นประจำ…พรึบ“เธอเหมาะกับเครื่องเพชรชุดนี้ดีนะ”เสียงของคุณจอมพลทำให้ฉันหลุดจากภวังค์ความคิด ฉันจึงรู้ตัวว่าคุณจอมพลใส่สร้อยเพชรหนักหลายกระรัตให้ฉันพร้อมต่างหูเสร็จเรียบร้อยแล้วพรึบ“สร้อยข้อมือ….”“นี่ก็เยอะมากแล้วนะคะ…”ฉันเอ่ยบอกคุณจอมพลไปทันทีที่เขาเอื้อมมือไปหยิบสร้อยข้อมือที่มีเพชรประดับไว้ทั้งเส้นขึ้นมาจากกล่องกำมะหยี่ที่วางอยู่โต๊ะเครื่องแป้งตรงหน้าฉัน“ถือว่าโปรโมตร้านที่ห้างเราไปในตัวไง…พวกคุณหญิงคุณนายจะได้เข้ามาซื้อที่ห้างเราเยอะๆ^_^”“ค่ะ…ก็ได้ค่ะ…”ฉันเลยต้องจำใจยอมใส่เพราะเหตุผลที่คุณจอมพลพูดมามีเหตุผลมากจริงๆ เพื่อบริษัทฉันยอมใส่และยอมทุกอย่างเพื่อพนักงานในบริษัท“เดี๋ยวพี่ใส่ให้….”คุณจอมพลเอ่ยตอกกลับมาทันทีที่ฉันเอื้อมมือหมายจะไปหยิบสร้อยข้อมือมาจากเขา แต่เขาก็ไม่ยอม ฉันจึงต้องจำใจยื่นแขนข้างขวาไปให้คุณจอมพลใส่สร้อยข้อมือให้ฉันพรึบ“เสร็จแ
งานจัดเลี้ยงต้อนรับ นามิ…..คฤหาสน์นามิ20:30น.แชะ แชะ แชะ แชะแสงแฟลชและเสียงกดรัวชัตเตอร์ของบรรดานักข่าวจากหลายสำนักพิมพ์กำลังตั้งอกตั้งใจรุมกันถ่ายภาพของชายหญิงที่ดูเด่นที่สุดในงานนี้ นักธุรกิจหนุ่มไฟแรงอย่างขุนณรงค์และคู่ควงของเขาในค่ำคืนนี้นามิกาสาวสวยดีกรีเด็กนักเรียนนอกลูกหลานตระกูลเก่าแก่และตระกูลดัง “คุณขุนณรงค์แนบชิดอีกนิดครับ….”เสียงของนักข่าวผู้ชายเอ่ยขึ้นด้วยถ้อยคำสุภาพพลางยิ้มกว้างอย่างดีใจและชื่นชมชายหญิงสองคนนี้ที่มีเคมีเข้ากันสุดๆผู้ชายก็หล่อดูดีผู้หญิงก็สวยสง่า พรึบ“ได้ครับ….”ขุนณรงค์ตอบรับคำเสียงอ่อนโยนพร้อมกับหันมายิ้มให้นามิกาและเขาก็โอบเอวเธอให้แน่นกว่าเดิมพร้อมกับขยับร่างหนาที่อยู่ในชุดสูทสีน้ำเงินปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตสีขาวด้านในสามเม็ดเพื่อแหวกโชว์แผงอกสุดล่ำบึกและขาวเนียน ทรงผมถูกเซตตั้งขึ้นเปิดเผยให้เห็นใบหน้าเรียวจมูกโด่งรับกันเป็นสันริมฝีปากสีชมพูอวบอิ่มหล่อเข้าขั้นเทพอย่างกับเบ้าหน้าฟ้าประทานพรึบ พรึบฮืฮฮาๆๆๆ“โอ้โฮ้….?”ทันใดนั้นทางประตูทางเข้าของหน้างานก็มีเสียงดังเอะอะโวยวายเกิดขึ้นของผู้คนที่พากันยืนถือเครื่องดื่มมึนเมาหลากหลายในมือคนละแก้ว ทำให้นั
“ครับ….”พรึบขุนณรงค์ว่าเสียงอ่อนพร้อมกับคลี่ยิ้มบางๆให้แม่ของเขาและเอื้อมมือไปโอบเอวของคุณหญิงนฤมิตรเเละทั้งคู่ก็จับจ้องไปยังชายหญิงที่โดนนักข่าวรุมสัมภาษณ์และถ่ายรูปจนคนทั้งงานดูไร้ตัวตนไปหมด ขุนณรงค์รู้สึกโกรธและไม่พอใจขจรกิตเป็นอย่างมากแต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้…เพราะเขาไม่มีสิทธิ์หวงและทวงความเป็นเจ้าของผู้หญิงที่ขจรกิตควงมาในค่ำคืนนี้“คุณจอมพล…กำลังจะสละโสดเหรอคะ…?”“คำถามตรงไปหรือเปล่าครับ…^//^”ขจรกิตเอ่ยถามนักข่าวสาวที่เอ่ยถามเขามาด้วยสีหน้าเขินอายพวงแก้มเริ่มเเดงขึ้นเรื่อยๆทำให้เรียกเสียงแซวจากนักข่าวเป็นอย่างมาก “ผม…คงต้องให้เอริเป็นคนตอบนะครับ…”ขจรกิตเอ่ยขึ้นพร้อมกับหันไปมองโครงหน้าหวานของฐิติมนที่ยืนเคียงข้างเขาในค่ำคืนนี้ด้วยท่าทางสง่างามและชวนสะดุดตานักธุรกิจมากมายที่อยู่ในงานนี้เป็นอย่างมาก เพราะชื่อเสียงและความสามารถร่วมไปถึงหน้าตาของเธอเป็นที่รู้จักกันดีในแวดวงนักธุรกิจ“เป็นเกียรติของดิฉันมากค่ะ…ที่ได้ยืนอยู่ตรงนี้ในค่ำคืนนี้…”ฐิติมนตอบไปอย่างสงบเสงี่ยมและวางตัวดีเธอยิ้มหวานจนนักข่าวทั้งชายและหญิงต่างเคลิบเคลิ้มตามๆกันไป“ผมคงต้องขอตัวก่อนนะครับ…”ขจรกิตเอ่ยขอตัวนักข่าวเ
21:00น.เอริ ฐิติมน….พรึบ“ค็อกเทลครับ….”คุณจอมพลว่าพร้อมกับยื่นแก้วค็อกเทลสีฟ้าสวยใสส่งมาตรงหน้าของฉัน “ขอบคุณค่ะ^_^”ฉันเอ่ยขอบคุณคุณจอมพลพร้อมกับยื่นมือไปรับแก้วค็อกเทลที่นำมาเป็นเครื่องดื่มในงานนี้มาจากมือเขา “เชียร์ครับ…”“เชียร์ค่ะ…”ฉันยิ้มรับให้คุณจอมพลและค่อยๆยกแก้วค็อกเทลสีสวยขึ้นดื่ม ปกติฉันไม่ชอบดื่มพวกเครื่องดื่มผสมแอลกอฮอล์แบบนี้ แต่นี้เป็นงานฉันต้องทำ ดีนะแก้วนี้ที่ฉันดื่มไม่ผสมวอดก้าไม่งั้นปวดหัวแน่“อยากทานอะไรไหมคะ…เดี๋ยวพี่ไปเอามาให้…”คุณจอมพลเอ่ยกระซิบถามฉันด้วยน้ำเสียงสุภาพอ่อนโยน ฉันก็ลดแก้วค็อกเทลลงและหันไปมองหน้าคุณจอมพลแทบจะทันทีเพราะน้ำเสียงของเขาที่เอ่ยถามฉันเนี่ย ละมุนมากค่ะ“เอ่อ…ไม่ดีกว่าค่ะ…”ฉันตอบคุณจอมพลไปพลางยิ้มแห้งๆให้เขา เขาก็พยักหน้าและยิ้มละมุนให้ฉันก่อนที่เราทั้งคู่จะหันไปมองบนเวทีที่มีพิธีกรกำลังกล่าวเปิดงานและเรียนเชิญให้แขกผู้ใหญ่พวกบรรดาคุณหญิงคุณนายตระกูลเก่าแก่ได้ขึ้นไปอวยพรให้นามิตามแบบฉบับพวกคนรวย ฉันกับคุณจอมพลเลือกที่จะยืนอยู่ด้านหลังของงานไม่เข้าไปหน้าเวที แต่ตลอดเวลาที่ข้างกายของฉันมีคุณจอมพลยืนอยู่ด้วย ฉันก็รับรู้ได้ถึงสายตาคู่หนึ
ฉันรีบคว้าเเขนของคุณจอมพลอย่างไวในขณะที่เขากำลังจะเดินไปหาเรื่องพนักงานเสิร์ฟคนนั้น ที่มองหน้าตาเหมือนน้องเขาน่าจะกำลังเรียนอยู่และมาทำงานพาร์ทไทม์ที่โรงแรมแห่งนี้เป็นแน่“ไม่เป็นไรค่ะ…ริยืนขวางทางน้องเขาเอง…พี่จอมอย่าโกรธน้องเขาเลยนะคะ…ถือว่าริขอ…”ฉันเอ่ยเสียงอ่อนอย่างจริงจังเป็นเชิงขอร้องคุณจอมพลไปในตัว เขาก็จ้องมองหน้าฉันก่อนจะพยักหน้าเบาๆเป็นการรับคำของฉัน“ขอบคุณค่ะ…..”ฉันเอ่ยขอบคุณคุณจอมพลไปและปล่อยข้อมือเขาก่อนจะหันไปหาน้องผู้ชายพนักงานเสิร์ฟคนนั้น ที่ทำหน้าเสียมองหน้าฉันอยู่ ใบหน้าของน้องเขาซีดเผือกแววตาสั่นไหวตัวของเขาสั่นเทาจนน่าเห็นใจ“ไม่เป็นไรนะคะ…พี่ไม่ได้โกรธน้อง…”“น้องไปทำงานต่อเถอะค่ะ…”“แต่…”น้องเขามองมาที่หน้าฉันพร้อมกับมองต่ำลงไปที่เสื้อผ้าของฉันที่เลอะคราบของค็อกเทลจนเป็นดวงๆฉันก็คลี่ยิ้มบางๆให้เขา“ไม่เป็นไรหรอกจ๊ะ…เดี๋ยวพี่จัดการเอง…น้องไปทำงานต่อเถอะ…”“ไปเถอะจ๊ะ…”“ครับ….ขอบคุณนะครับ..พี่…”“จ้า…ตั้งใจทำงานนะ^_^”ฉันเอ่ยให้กำลังใจน้องพร้อมกับยิ้มหวานให้เขาไป เขาก็ยิ้มให้ฉันก่อนจะยกมือไหว้ฉันกับคุณจอมพลและเดินออกไปจากที่ตรงนี้“ริว่า…ริไปล้างตัวก่อนดีกว่าค่ะ…เห
ย้อนกลับไปเมื่อแปดปีก่อนมหาลัย Eสนามกีฬาของมหาลัยพรึบ“วี๊ดดดดวิ๊ว….น้องแก้มหวานคนสวยของพี่^_^”เสียงเอ่ยแซวพร้อมกับแววตาเป็นประกายเอ่ยแซวผู้หญิงสวยสง่ารูปร่างสูงโปร่งอย่างกับนางแบบเธอมีผิวขาวเนียนผมยาวสีน้ำตาลอ่อนสยายไปตามแรงเดินของเธอ ริมฝีปากหยักสีชมพูพริ้มกรีดยิ้มให้บรรดารุ่นพี่จากต่างคณะอย่างเขินอาย “ยัยแก้มหวาน….แกนี่เด่นอยู่คนเดียว….”เสียงของเมลหญิงสาวผมสั้นหุ่นแซ่บเอ่ยแซวเพื่อนสาวจากคณะเดียวกัน ทำให้แก้มหวานที่เขินหน้าแดงถึงกับมองค้อนเมลอย่างน่ารักโดยที่ทั้งคู่ไม่รู้เลยว่ามีสายตาคู่คมสวยกำลังมองทั้งสองอยู่อย่างพึงพอใจ“คนผมสั้นชื่อน้องเมลคนผมยาวชื่อน้องแก้มหวาน…จากคณะนิเทศ…”หนุ่มรุ่นพี่หน้าตาตี๋ขาวสูงโปร่งชื่อทีภพเอ่ยบอกขุนณรงค์เจ้าของใบหน้าหล่อเหลาดวงตาคมเข้มจมูกโด่งเป็นสันผิวขาวละเอียดเนียนยิ่งกว่าผู้หญิงริมฝีปากของเขาสีชมพูระเรื่อค่อยๆกระตุกยิ้มมุมปากขึ้นแววตาคู่คมเป็นประกายเมื่อมองเรือนร่างเล็กที่ค่อยๆเดินผ่านหน้าเขาไปยังสนามของมหาลัยที่เป็นสถานฝึกซ้อมของคณะเชียร์ลีดเดอร์“น้องแก้มหวานเป็นดาวดวงใหม่ของมหาลัยเรา…”ฟิวหนุ่มหล่อนักกีฬาเอ่ยต่อจากเพื่อนของเขา ทำให้ขุนณรงค์มอง
2ชั่วโมงต่อมา…พรึบ“น้องแก้มหวานหรือเปล่าครับ…?”เสียงทุ้มนุ่มละมุนเอ่ยขึ้นตรงหน้าของแก้มหวานทำให้เธอค่อยๆเงยหน้าขึ้นไปมอง ก็พบกับเจ้าของใบหน้าหล่อละมุนเข้มแบบที่ตรงสเปคเธอ และเธอเองก็คิดว่าเขาคนนี้เหมาะสมกับเธอที่สุดแล้ว“ค่ะ…ใช่ค่ะ..มีอะไรหรือเปล่าคะ?”แก้มหวานเอ่ยถามหนุ่มรุ่นพี่คนนี้ไปอย่างสงสัยพร้อมกับมองหน้าหล่อของเขาไปด้วย “รถเป็นอะไรเหรอครับ?”เสียงทุ้มหวานละมุนเอ่ยต่ออย่างสงสัยพลางมองไปที่รถคันเก่าของแก้มหวานที่เธอใช้ขับมาเรียน“ไม่รู้เหมือนกันค่ะ…ขับมาดีๆรถก็กระตุกและดับไป…”แก้มหวานตอบขุนณรงค์ไปแต่เธอก็แอบชำเลืองมองไปยังด้านหลังของเขาที่มีรถสปอร์ตรุ่นใหม่ล่าสุดที่เพิ่งจะเปิดตัวในประเทศไทยเมื่อสองวันก่อนจอดเปิดไฟของทางอยู่ด้านหลังรถของเธอ ขุนณรงค์ที่พยักหน้ารับรู้ถึงเหตุผลว่าทำไมเธอถึงจอดรถข้างทางเปลี่ยวแบบนี้อย่างเข้าใจเรื่องทุกอย่างแล้ว“อ้อ….สงสัยหม้อน้ำแห้งหรือไม่ก็ขัดข้องเสียตรงไหนสักที่…”“งั้นเอาแบบนี้ดีกว่าครับ…”“คะ?”แก้มหวานเลิกคิ้วหนาเรียงตัวสวยที่ถูกแต่งเติมมามองหน้าขุนณรงค์อย่างสงสัยและงุนงง“เดี๋ยวผมไปส่ง^_^”“จะดีเหรอคะ?”“แล้วน้องแก้มหวานคิดว่ายังไงอ่ะครับ?”“ก็
8ปีก่อนมหาลัย Eตึกคณะ บริหารธุรกิจม้าหินอ่อน ใต้อาคารเรียน14:30น.พรึบ“เห้อ….”เสียงหวานใสผ่อนลมหายใจออกมาด้วยท่าทางอิดโรยจากการอ่านหนังสือของตัวเองและไหนจะต้องติวหนังสือให้กับแฟนหนุ่มหล่อของเธออีกด้วย ตอนนี้ทั้งสองได้นั่งอยู่ใต้ต้นไม้บนโต๊ะม้าหินอ่อนที่อยู่ติดกับอาคารเรียนเพื่อติวหนังสือสอบปลายภาคกัน“เหนื่อยไหมครับ?”เสียงทุ้มเอ่ยกระซิบถามฐิติมนที่กำลังหลับตาพริ้มคู่สวยของเธอเพื่อพักสายตาอย่างเอ็นดูเธอ “มาก…”ฐิติมนตอบขุนณรงค์แฟนคนแรกของเธอไปด้วยน้ำเสียงเหนื่อยล้าและอ่อนเพลียแต่เธอยังไม่ได้ลืมตา ทำให้ขุนณรงค์ยิ้มกว้างก่อนจะขยับตัวเข้าไปใกล้ชิดเธอและค่อยๆเอนศีรษะก้มเอาใบหน้าด้านซ้ายซบลงไปบนหนังสือเล่มหนาที่อยู่เทียบเท่าเธอและเขาก็นอนมองใบหน้าหวานของฐิติมนพลางอมยิ้มออกมาหัวใจของเขาเต้นโครมครามรัวเร็วเมื่อเขาค่อยๆขยับริมฝีปากของเขาเข้าไปใกล้ๆคนตัวเล็กที่นอนหลับตาอยู่เรื่อยๆจนในที่สุด ริมฝีปากหนาก็แตะลงบนริมฝีปากนุ่มนิ่มอวบอิ่มสีชมพูระเรื่อของฐิติมนอย่างแผ่วเบาจุ๊ฟ“อื้ออ!”ฐิติมนครวญครางขึ้นอย่างตกใจพร้อมกับดีดตัวสปริงลุกขึ้นนั่งตัวตรงอย่างไวพร้อมกับยกมือขึ้นมาแตะที่ริมฝีปากของตัวเอ
"แค่ใช้การตรวจเลือดของคุณแม่ครับ.....ทางโรงพยาบาลของเรามีห้องแล็บที่ทันสมัยไม่ต้องเจาะน้ำคร่ำตรวจก็ทราบผลได้เหมือนกันครับ"คุณหมออธิบายมาพร้อมกับยิ้มแย้มให้เราทั้งคู่คุณหมอแนะนำดีมากเลยนะ ขุนศึกหันมามองหน้าฉันฉันก็มองหน้าเขาด้วยความสงสัย ว่าเขาจะมองหน้าฉันแล้วทำสายตาละห้อยทำไมกันนะ "ริยอมไหม....จะเจ็บหรือเปล่า?"ขุนศึกเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาแววตาห่วงใจ น้ำเสียงของเขาที่เอ่ยออกมันฟังดูอบอุ่นจัง และไหนจะสายตาที่มองฉันด้วยความเห็นใจอีกฉันจึงยิ้มให้ขุนศึกไป"ไม่เจ็บหรอก....เพื่อลูกริทำได้ทุกอย่าง""ริเชื่อนะว่าลูกของเราจะต้องเกิดมาครบสามสิบสองแน่นอน"ฉันเอ่ยออกไปอย่างให้กำลังใจขุนศึกและตัวเองขุนศึกก็ยิ้มกว้างให้ฉันก่อนจะพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของฉัน"ฉันพร้อมที่จะเจาะเลือดเลยค่ะคุณหมอ"ฉันละสายตาจากขุนศึกหันไปบอกคุณหมอที่นั่งอยู่ตรงหน้าของฉัน คุณหมอก็ยิ้มอย่างสุภาพให้ฉัน"โอเคครับ....งั้นเดี๋ยวหลังจากคุณฐิติมนออกจากห้องตรวจผมจะให้พยาบาลพาคุณฐิติมนไปย้งห้อวเจาะเลือดนะครับ""ได้ค่ะ....""งั้นขอเชิญที่เตียงครับ....หมอจะขอดูทารกในครรภ์เสียหน่อย"คุณหมอเอ่ยขึ้นพร้อมกับผายมือเชื้อเชิญให้ฉ
"ผลเลือดของคุณพ่อกับคุณแม่ผ่านนะครับ.....เท่าที่ผมดูไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง""สามารถให้คุณแม่ตั้งครรภ์ต่อไปได้ครับ""จะมีก็แต่เลือดของคุณแม่ที่ค่อนข้างจางนิดหน่อยแต่ไม่มากครับเอาเป็นว่าเดี๋ยวหมอจะจัดยาบำรุงเลือดไปให้นะครับ""ทานก่อนนอน.....ห้ามทานพร้อมนมนะครับเดี๋ยวประสิทธิภาพของยาจะไม่ได้ผล"คุณหมอจุณภพเอ่ยขึ้นหลังจากที่เขาเงยหน้าขึ้นมาจากแผ่นกระดาษสี่เหลี่ยมตรงหน้าของเขาที่เป็นผลเลือดของฉันกับขุนศึกเมื่อได้ยินหมอพูดแบบนั้นว่าเลือดของเราทั้งคู้ผ่านฉันก็หันไปมองหน้าขุนศึก ขุนศึกก็ห้นมามองหน้าฉันก่อนที่เราสองคนจะยิ้มออกมาให้กันด้วยสายตาที่ดีใจมันมีความสุขอย่างบอกไม่ถูกแต่ผลเลือดของฉันจางนิดหน่อย คงไม่เป็นอะไร คุณหมอก็บอกเองหนิฉันพยักหน้าให้คุณหมอที่เขาอธิบายการกินยาบำรุงเลือดให้ฉันฟัง "ตอนนี้คุณฐิติมนก็ตั้งครรภ์เข้าสัปดาห์ที่สิบเอ็ดของการตั้งครรภ์แล้วนะครับ""ถ้านับเป็นเดือนก็จะสามเดือนแล้วครับ""ผมอยากจะสอบถามว่าคุณฐิติมนกับคุณขุนณรงค์สนใจอยากจะตรวจคัดกรองดาวซินโดรมไหมครับ""ลูกฉันมีความเสี่ยงเหรอคะ?"ฉันเอ่ยถามคุณหมอไปด้วยน้ำเสี่ยงสั่นๆอย่างเป็นกังวลขุนศึกที่ได้ยินนำ้เสียงของฉันไม่สู
ฉันทำเป็นไม่ยืนมองรถแต่กลับรีบเดินจ้ำอ้าวเข้าไปในโรงพยาบาลแทน ก็มีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคอยยืนทักทายอยู่ตรงประตูเปิดอัตโนมัติด้านหน้าทางเข้าโรงพยาบาลฉันก็โค้งตัวให้เขาพร้อมกับยิ้มทักทายให้เขาก่อนจะรีบหันหลังเดินกลับมาที่ที่ฉันลงรถนั่นคือที่หน้าโรงพยาบาลฉันก็มองหารถเก๋งคันนั้นที่เลขทะเบียนฉันจำได้ขึ้นใจ ก็พบว่ามันขึ้นไปที่ชั้นจอดรถด้านบน ซึ่งโรงพยาบาลนี้มีทั้งหมดห้าชั้นสี่ตึก ถ้าเป็นคนที่ฉันคิดว่าใช่ รถเก๋งสี่ประตูคันนี้จะต้องไปจอดที่ชั้นสองแน่นอนเมื่อคิดได้อย่างนั้นฉันก็รีบเดินเข้าโรงพยาบาลตรงดิ่งไปที่ลิฟต์และขึ้นไปยังชั้นสองของโรงพยาบาลทันทีเดินไปดักหน้าประตูทางเข้า โชคดีที่เขาทำทางออกแค่ทางเดียว มันจึงง่ายสำหรับที่จะแอบจับผิดใครสักคนฉันยืนมองจนสายตาไปเจอเข้ากับรถยนต์เจ้าปัญหาและก็พบกับผู้ชายที่อยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวพร้อมสวมใส่กางเกงยีนส์เปิดประตูลงมาจากรถคันที่มาส่งฉันฉันจึงหลบมุมทางเข้าทันทีเพื่อรอเขาคนนั้นให้เดินเข้ามาและฉันก็รอไม่นาน ผู้ชายคนนั้นก็เดินเข้ามาที่ประตู ฉันจึงก้าวขาออกไปขวางทางเขาได้จังหวะทำให้เขาที่ก้มหน้าก้มตาเดินอย่างเร่งรีบเกือบชนฉันจนเขาต้องหยุ
วันเดียวกัน....."วันนี้ฉันขอลางานครึ่งวันนะคะ"ฉันเอ่ยบอกคุณเควินไปหลังจากที่ฉันวางหนังสือการลาของฉันลงตรงหน้าของเขาแล้วคุณเควินก็มองหน้าฉันสักพักก่อนจะเปิดซองเอกสารของฉันดูที่ข้างในเป็นจดหมายลางานอย่างกระทันหันเพราะฉันลืมไปว่าวันนี้มีนัดกับคุณหมอเพื่อตรวจดูการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ของฉันว่าเป็นไปตามเกณท์ไหมและมีอะไรผิดพลาดหรือเปล่ารวมถึงฟังผลเลือดที่ตรวจเมื่ออาทิตย์ก่อนด้วย"ลางานปุ๊บปั๊บแบบนี้มันผิดกฎของบริษัทนะครับ"คุณเควินเอ่ยขึ้นพร้อมกับสบตาฉันด้วยแววตามีเลศนัยเมื่อคืนฉันก็ไปดินเนอร์กับเขากลับเกือบห้าทุ่มแหนะ ก็เขาน่ะสิ ชวนฉันคุยเรื่องงาน พอเป็นเรื่องงานเลยยาวเลยทีนี้เขาคงจะรู้ว่า ฉันยินดีที่จะคุยกับเขาแค่เรื่องงานเท่านั้น ไม่ยินดีที่จะคุยเรื่องส่วนตัว เขาจึงคุยกับฉันแค่เรื่องงานไม่มีเรื่องอื่นมาสอดแทรกเลยสักนิด ซึ่งฉันก็ว่ามันดี สบายใจดีน่ะซึ่งมันก็ดี มันไม่ทำให้ฉันอึดอัดดีน่ะ ว่าจริงๆคุณเควินก็ดีนะ พูดรอบเดียวเข้าใจและรู้เรื่อง เขาทั้งหล่อทั้งเก่งและฉลาดมากผู้หญิงคนไหนที่ได้ใจของคุณเควินไปครอง เธอคนนั้นต้องโชคดีมากแน่ๆฉันมั่นใจ"ฉันรู้ค่ะ.....แต่มันจำเป็นจริงๆให้ฉันทำง
"เพื่อทำการฟอกเงินที่ถูกโกงมาจากประเทศทางเอเชียใต้ทั้งหมด""แกรู้เรื่องนี้ได้ยังไง?"นันฤดีเอ่ยออกมาเสียงแข็งแววตาสั่นไหว สีหน้าไม่พอใจที่นามิการู้มากอย่างนี้ "ฉันยังรู้มากกว่านี้อีกว่าไอ้บริษัทเทรดหุ้นที่เธอเสนอให้คุณหญิงนฤมิตรมันเป็นแค่ฉากบังหน้า.....เธอต้องการจะหลอกเอาเงินพวกคนโง่ที่โลภมากอยู่แล้ว""เธอรอรับเงินส่วนแบ่งอย่างสบายปล่อยให้ยัยคุณหญิงฟน้าโง่นั้นออกหน้าอยู่คนเดียวและพอโดนจับก็โดนจับคนเดียว""ฉันได้ยินมาว่าตอนนี้ขุนศึกมันได้รับประกันตัวไปแล้วตอนนี้อยู่ระหว่างการต่อสู้คดี.....แต่มันยังไม่ชนะเพราะพวกมันไม่มีหลักฐาน""ถ้าฉันเอาเรื่องนี้ไปบอกตำรวจและขอให้ตำรวจกันฉันไว้เป็นพยานมีหวังไอ้ขุนศึกมันชนะแน่และทีนี้ตำรวจก็จะพุ่งเป้ามาที่เธอแทน""คนที่ผิดจริงๆก็คือเธอ"นามิการ่ายยาวออกมาโดยเรื่องที่เธอพูดมามันคือเรื่องจริงทั้งหมด นันฤดีได้แต่คิดในใจว่านามิการู้เรื่องนี้ได้ยังไง ทั้งที่เธอไม่ได้บอก เธอบอกแค่ให้สองคนแม่ลูกนี้ไปพาคุณหญิงมาให้เธอรู้จัก เพื่อแลกกับเงินหนึ่งก้อนโตและไม่ได้บอกรายละเอียดอะไรทุกอย่างให้นามิกาหรือคุณหญิงนวลปรางรู้เลยด้วยซ้ำ"แกจะเอาเท่าไหร่ว่ามา?"นันฤดีกดเสียงต่
วันต่อมาบริษัทของแก้มหวาน"คุณจะมาปล่อยเราสองคนแม่ลูกทิ้งกลางทางแบบนี้ไม่ได้นะคะ"เสียงแหลมที่โวยวายออกมาอย่างไม่พอใจดังขึ้นทำให้ผู้หญิงที่สวยสง่าและวางตัวดีที่นั่งประจำตำแหน่งของท่านประธานบริษัทยักษ์ใหญ่นี้ถึงกับเงยหน้าขึ้นไปมองสองคนแม่ลูกที่เอาแต่พูดเสียงแว้ดๆจนน่ารำคาญอยู่ได้อย่างไม่พอใจและเบื่อหน่าย"ก็พวกคุณทำงานพลาดเอง......ไปไม่ถึงวันแต่ง.....""แล้วฉันผิดคำพูดตรงไหน.....เธอทำตามที่เราตกลงกันไว้ไม่ได้เองนะ"นันฤดีเอ่ยออกไปพลางทำสีหน้าที่เหนือชั้นกว่า ทำให้สองคนแม่ลูกอย่างคุณหญิงนวลปรางและนามิกาหันมองหน้ากันแทบจะทันทีที่เธอสองคนไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมของผู้หญิงคนนี้ ผู้หญิงอย่างนันฤดีที่เธอวางมาดราวกับเธอเป็นคนที่สูงส่งที่มาหลอกให้เธอสองคนแม่ลูกเข้าไปทำความสนิทและทำยังไงก็ได้ให้ขุนณรงค์หลงรักและแต่งงานกับนามิกาให้ได้และถ้าขุนณรงค์แต่งงานกับนามิกาแล้ว ก็ให้นามิกายกเลิกงานแต่งงานและบอกเลิกขุนณรงค์ซะแต่สองคนแม่ลูกก็ทำไม่สำเร็จเพราะครอบครัวของขุนณรงค์มามีปัญหาถูกจับเสียก่อนและแถมขุนณรงค์ยังเป็นฝ่ายยกเลิกงานแต่งงานกับนามิกาอีกทำให้นันฤดีไม่พอใจสองคนแม่ลูกที่ทำงานไม่ได้เรื่องนี้อย่างมา
แต่จะให้ฉันคาดคั้นอะไรเขาได้ในเมื่อเราสองคนมีสถานะแค่พ่อกับแม่ของลูกแค่นั้นไม่ใช่สามีภรรยากัน"คุณเอริใช่ไหมครับ?"เสียงทุ้มที่ฟังดูสุภาพเอ่ยขึ้นทันทีที่มีผู้ชายวัยกลางคนสวมใส่ชุดสูทสีดำลงมาจากรถตู้หรูคันสีดำเงาวับแถมป้ายแดงที่เพิ่งจะแล่นเข้ามาจอดลงตรงหน้าของฉันกับขุนศึก"อ้อใช่ค่ะ"ฉันตอบเขาไปพลางทำสีหน้างงๆและหันไปมองหน้าขุนศึกที่ยืนอยู่ข้างๆฉันเขาเองก็มองหน้าฉันกลับด้วยแววตาสงสัยไม่ต่างจากฉันเช่นกัน"คุณเควินให้ผมมารับคุณเอริครับ""อ้อค่ะ"ฉันพยักหน้าเข้าใจทันที ที่แท้ก็คุณเควินส่งคนมารับฉันนี่เอง ฉันจึงหันกลับมามองหน้าขุนศึกอีกครั้ง"งั้นเราไปก่อนนะ......ไว้เจอกัน"ฉันเอ่ยบอกขุนศึกไปพร้อมกับยกมือลาเขาตามประสาเพื่อนที่นัดเจอกันพอจะกลับบ้านก็ยกมือโบกลากัน"เค"ขุนศึกตอบรับรู้ก่อนจะยกมือตอบกลับฉัน ฉันยิ้มน้อยๆให้ขุนศึกก่อนจะเดินไปยังรถตู้สุดหรูที่จอดรอรับฉันอยู่โดยมีคนบริการเปิดปิดกระตูให้ประหนึ่งว่าฉันเป็นเซเลบคนรวยคนหนึ่งเลยล่ะฉันมองไปยังด้านหลังของรถอย่างชะเง้อกลับไปเมื่อรถแล่นมาถึงทางเลี้ยวที่จะออกจากคอนโดแล้วก็พบว่าขุนศึกยังคงยืนมองอยู่แบบนั้น แววตาที่เศร้าสร้อยของเขา มันทำให้ฉัน
"จะไปไหนเหรอเอริ?"เสียงอบอุ่นเอ่ยถามฉันขึ้นอย่างเป็นห่วงจากทางด้านหลังของฉันที่ฉันกำลังมุ่งหน้าออกจากห้องนี้ทำให้ฉันต้องหยุดชะงักฝีเท้าลงและหันไปมองยังต้นเสียงที่เอ่ยถามฉันทันที"จะไปทานข้าวนะคะป้าบัว"ฉันเอ่ยตอบป้าบัวไปพร้อมกับยิ้มให้ท่านไปด้วย"กับคุณเควินน่ะเหรอ?""ใช่ค่ะ""จ้างั้นไปเถอะป้าไม่กวนแล้ว""ค่ะป้า....ว่าแต่หมอทำกายภาพบำบัดของคุณหญิงคนนี้โอเคไหมคะ?""คุณหญิงมีอาการดีขึ้นไหมคะ?""ก็ดีขึ้นนะ....เริ่มขยับนิ้วเองได้เริ่มอ้าปากทำเสียงได้บ้างแล้ว""คุณหมอแกรับประกันว่าไม่เกินปีคุณหญิงต้องกลับมาพูดได้และเดินได้แน่นอนค่ะ"ฉันเอ่ยบอกป้าบัวไปอย่างมั่นใจป้าบัวก็ยิ้มให้ฉันพร้อมกับพยักหน้ารับรู้"ป้าก็ขอให้เป็นแบบที่เอริพูดนะ....สงสารคุณหญิงท่านน่ะ....ไหนจะเรื่องคดีไหนจะต้องมาล้มป่วยแบบนี้แถมเดินไม่ได้อีกตั้งหาก"ป้าบัวเอ่ยออกมาเสียงเศร้า แววตาสั่นไหวอย่างสงสารและเห็นใจคุณหญิงจากใจจริง"ค่ะ....ริจะพยายามเท่าที่ริช่วยได้นะคะป้า....""จ้าขอบใจริมากนะที่ไม่ทิ้งคุณขุนศึกและคุณหญิง""ค่ะ.....ว่าแต่นี่ขุนไปไหนเหรอคะ?"ฉันเอ่ยถามป้าบัวไปพลางชะโงกหน้ามองไปรอบๆห้องเพื่อหาขุนศึกที่ฉันไม่เจอหน้าเ
"มีอะไรกันหรือเปล่าครับ.....คุณเอริ?"เสียงทุ้มเข้มเอ่ยออกมาจากทางด้านหลังฉัน ฉันจึงละสายตาจากไรเดอร์ตรงหน้าหันกลับไปมองที่ด้านหลังของฉันก็พบกับผู้ชายรูปร่างสูงโปร่งหน้าตาหล่อเหลาอยู่ในชุดสูทสีดำกำลังฉีกยิ้มให้ฉันอยู่แววตาสงสัยจ้องมองมาที่ฉันพร้อมกับเดินตรงดิ่งมาหาฉัน"เปล่าค่ะ....พอดีริสั่งของแล้วไรเดอร์เขาเหมือนจะไม่รับเงินจากริ"ฉันเอ่ยบอกคุณเควินไปเขาก็ขมวดคิ้วงุนงงและสงสัยก่อนจะหันไปมองที่ไรเดอร์คนนั้นสลับกับมองหน้าฉัน"ทำไมเขาถึงจะไม่รับเงินจากคุณเอริล่ะครับ""ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ"ฉันตอบคุณเควินไปพลางหันกลับมามองที่ไรเดอร์พรึบ"ไม่ต้องทอนนะครับ.....รับไว้เถอะครับ"คุณเควินเอ่ยเสียงละมุนพร้อมกับยื่นธนบัตรหนึ่งพันบาทให้ไรเดอร์ไปเขาก็ทำท่ายึกยักๆเหมือนจะลังเลว่าเขาจะรับดีไหม"เอาไปเถอะครับ......ค่าอาหารของคุณเอริ"คุณเควินว่าพร้อมกับยัดเงินแบงค์พันใส่กระเป๋าเสื้อด้านหน้าของไรเดอร์คนนั้นไปโดยที่ไรเดอร์ไม่ทันตั้งตัว"ผมหวังว่าคุณเอริจะไม่ลืมดินเนอร์ของเราคืนนี้นะครับ....ผมให้คนเอาเสื้อผ้าไปให้คุณเอริแล้วที่ห้อง"คุณเควินเอ่ยขึ้นมาขัดในขณะที่ไรเดอร์กำลังจะเอาเงินคืนคุณเควินแต่เขากลับทำเ