ในห้องนอนมีโต๊ะทำงาน เดาว่าเธอคงนอนดึกโต๊ะของเธอจัดไว้สะอาดมาก หนังสือและเอกสารต่าง ๆ ถูกวางไว้ในแฟ้ม บนโต๊ะมีแค่คอมพิวเตอร์แล็ปท็อป เขาอยากรู้ว่าช่วงนี้เธอยุ่งเกี่ยวกับเรื่องอะไร ดังนั้นเขาจึงหยิบซองเอกสารสีน้ำตาลออกมาจากแฟ้ม บนซองเอกสารเขียนไว้ว่า ‘เอกสารข้อมูล’ เขาเปิดออกอย่างไม่รีบร้อน แล้วหยิบเอกสารด้านในออกมาปึกหนึ่ง “ฟู่สือถิง…” ทันใดนั้นเสียงของฉินอันอันดังขึ้นเบา ๆ จากด้านหลัง “คุณกำลังทำอะไรคะ?” เธอตื่นขึ้นอย่างกะทันหันแล้วเห็นร่างสูงของเขายืนอยู่หน้าโต๊ะราง ๆ เธอนึกว่าตัวเองเห็นภาพลวงตา เลยจ้องมองอยู่พักหนึ่ง หลังจากแน่ใจแล้วว่าไม่ได้ฝันไป เธอจึงผุดลุกขึ้นนั่งทันที เขารีบวางซองเอกสารกลับเข้าที่ “คุณไม่มีห้องหนังสือแยกไว้ต่างหากเหรอ?” เขารีบปรับอารมณ์แล้วเดินไปหาเธอ “ผมเพิ่งสังเกตว่ามีโต๊ะทำงานที่นี่” ฉินอันอันเอื้อมมือมาขยี้ตา “มีห้องหนังสือค่ะ แต่ว่าฉันชอบอยู่ในห้องนอนมากกว่า ถ้าเหนื่อยก็นอนพักผ่อนได้ทุกเมื่อ” “ผมปลุกคุณหรือเปล่า?” เขาขอโทษแล้วอธิบายว่า “ผมเพิ่งคุยสายกับไมค์ เขาบอกว่าแม่ของจื่ออี้เป็นลม” “ร้ายแรงขนาดนี้เลยเหรอคะ?” ฉินอันอันสูดหายใจ
เธออึ้งไปครู่หนึ่ง ดูเหมือนเขาไม่wfhตอบคำถามเมื่อกี้นี้ของเธอ? เมื่อแขนของเขาเหยียดออกมาเพื่อกอดเธอ แต่เธอผลักออก “ฉันเพิ่งถามว่าคุณทำได้ไหม ทำไมคุณไม่ตอบ? ถ้าคุณทำไม่ได้ก็อย่ากอดฉัน” ข้อเรียกร้องที่เธอยกขึ้นมาไม่ได้เกินไปเลย เพียงแค่ขอให้เขาใช้เวลากับลูกให้มากขึ้นเมื่อมีเวลาว่าง เธอทำได้ ทำไมเขาทำไม่ได้? ถ้าเรื่องง่ายขนาดนี้แล้วเขายังทำไม่ได้ เขอาจไม่ต้องการลูกก็ได้ “ลูกของผม ผมย่อมเต็มใจทำทุกอย่างเพื่อพวกเขา” เขากอดเอวเธอแน่น “คำถามของคุณ มันทำให้ผมละอายใจ” ได้ยินคำอธิบายของเขา เธอก็ถอนใจโล่งอก “ฟู่สือถิง ต่อจากนี้เวลาฉันถามคุณ ไม่ว่าจะถามเรื่องอะไร คุณต้องตอบฉันนะ” เธอมองหน้าเขาอย่างจริงจัง “คุณไม่ตอบ ฉันจะคิดฟุ้งซ่าน ถ้าเป็นกับคนอื่น ฉันมีเหตุผลมาก แต่กับคุณ ฉันสูญเสียการควบคุมอารมณ์ได้ง่ายมาก” “อื้ม” เขาไม่กล้าสบตาเธอจึงยกมือขึ้นเตรียมปิดไฟ “ฟู่สือถิง คุณมองฉันสิ” สองมือเธอจับหน้าเขาแล้วบังคับให้เขามองเธอ “ทำไมคุณต้องคอยหลบเลี่ยงด้วย? คุณไม่ได้ทำเรื่องน่าละอาย ทำไมคุณไม่กล้ามองฉัน?” จู่ ๆ อุณหภูมิร่างกายของเขาก็สูงขึ้น และการหายใจของเขาก็หนักแน่น “อันอัน ตอน
“ถึงเขาฟังไม่ออก แต่คุณไม่รู้สึกอายเหรอ?” “ถ้าผมอาย เราจะมีเขาได้ไหมล่ะ?” เขาถามกลับ ทำให้ใบหน้าของเธอ ‘ฉาบ’ ด้วยสีแดงทันที เธอแต่งตัวเสร็จแล้วรีบเดินไปเข้าห้องน้ำเพื่อแปรงฟันล้างหน้า ที่ห้องนั่งเล่นชั้นล่าง หลีเสี่ยวเถียนกำลังกินขนมและคุยกับรุ่ยลา “พ่อของหนูไม่ต้อนรับป้าหรือเปล่า? พอป้ามา เขาก็ไม่ออกมาเลย” หลีเสี่ยวเถียนพูดแซะ รุ่ยลารีบส่ายหน้า “พ่อของหนูยินดีต้อนรับป้าอยู่แล้วค่ะ เขาจะต้องดูแม่หนูหลับอยู่ในห้องแน่ ๆ ค่ะ!” หลีเสี่ยวเถียน “แม่หนูหลับมีอะไรน่าสนใจขนาดนั้น? เขาไม่กลัวปลุกแม่หนูตื่นเหรอ?” รุ่ยลาใช้มือเล็ก ๆ เกาหัว คิดหาทางแก้ตัวให้พ่อ ตอนนี้เอง ฉินอันอันก็เดินเข้ามา “เสี่ยวเถียน เธอมาตั้งแต่เมื่อไหร่? เมื่อวานฉันเหนื่อยเกินไปก็เลยนอนตื่นสาย” เธอเดินมาหาหลีเสี่ยวเถียนเพื่ออธิบาย “แค่ออกไปดูพลุข้างนอก จะต้องเหนื่อยขนาดนี้เชียวเหรอ?” หลีเสี่ยวเถียนมองเธออย่างสนอกสนใจ “ฟู่สือถิงเป็นอะไร? เขาจงใจหลบหน้าฉันหรือเปล่า?”“เขาบอกว่ากลัวเธอเห็นเขาแล้วจะไม่สบายใจ เลยดูแลลูกอยู่ในห้อง” ฉินอันอันพูดเสียงกระซิบ “ไม่เข้าใจเลยว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่”“เหอ ๆ ฉันรู้ว่าเ
ป้าหงรีบยกแก้วน้ำยื่นให้เขาทันที ฉินอันอันเอื้อมมือไปตบหลังให้เขา “กินช้า ๆ ค่ะ อาหารติดหลอดลมหรือเปล่า?” หลีเสี่ยวเถียนจ้องเขาอย่างสงสัย รู้สึกว่าเขามีอะไรผิดปกติ สัมผัสที่หกของผู้หญิงทำให้เธอเอ่ยถามออกไป “ฟู่สือถิง ฉันรู้สึกว่าคุณกำลังรู้สึกผิด หรือว่าคู่หมั้นของเฮ่อจุ่นจือคนนี้ คุณเป็นคนจับคู่ให้?” หลังจากที่หลีเสี่ยวเถียนถามคำถามนี้ ฉินอันอันก็ดึงมือที่ตบหลังฟู่สือถิงกลับทันที ฟู่สือถิงที่ดื่มน้ำไปได้ครึ่งหนึ่งก็ถูกคำถามนี้บังคับให้หยุดดื่ม เขาฝืนกลืนน้ำลงไปในท้องและปฏิเสธ “เปล่าเลย… ผมไม่รู้จักคู่หมั้นของเขา…” “โอ้! งั้นคุณจะตื่นเต้นทำไม?” หลีเสี่ยวเถียนส่งเสียงฮึดฮัดแล้วมองไปทางฉินอันอัน “ถ้าฟู่สือถิงแต่งงานกับผู้หญิงคนอื่น ฉันไม่มีทางสงบสติอารมณ์ได้แน่! ฉันไม่ไปก่อกวนก็ถือว่าให้เกียรติเขาแล้ว!” ฉินอันอันพยักหน้า “ฉันรู้ ดังนั้นฉันจึงไม่สามารถมองดูเฮ่อจุ่นจือแต่งงานกับผู้หญิงคนอื่นเช่นกัน เสี่ยวเถียน ยกโทษให้ฉันเถอะนะ!” “สถานการณ์ของฟู่สือถิงและเฮ่อจุ่นจือนั้นต่างกัน” หลีเสี่ยวเถียนพูดอย่างจริงจัง “ฉันทิ้งเฮ่อจุ่นจือ ดังนั้นเฮ่อจุ่นจือเลยแต่งงานกับผู้หญิงคนอื่น
“เอาลูกไปด้วยไหม?” ฟู่สือถิงถามคำถามนี้โดยอัตโนมัติ เธอมองหน้าเขาแล้วถามว่า “คุณอยากเอาลูกไปด้วยไหมล่ะคะ?” เธอไม่สามารถเห็นความคิดในใจเขาได้“ผมอยากพาไป” ถึงแม้ว่าการอุ้มลูกไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เขามีความสุขมากที่ได้อยู่กับลูกไม่แปลกใจที่คนจะพูดว่ากันการมีลูกคือภาระที่แสนหวาน “แต่วันนี้ฉันไม่อยากพาลูกไปค่ะ ฉันอยากพาคุณไป ที่ที่หนึ่ง” เธอคุยกับเขา“ไปไหนเหรอ?” เขาเอามือล้วงกระเป๋า “งั้นไปถามลูกสักหน่อย! ถ้าเธอไม่อยากไปกับพวกเรา ก็ไม่พาเธอไปด้วย ถ้าเธออยากออกไปข้างนอกกับพวกเราล่ะ?” “ไปมหาวิทยาลัยที่ฉันเรียนปริญญาโทค่ะ คุณรอฉันอยู่ที่นี่ ฉันจะไปคุยกับพวกเด็ก ๆ” หลังจากพูดจบเธอก็เดินไปที่ห้องเด็กจากนั้นครู่หนึ่ง เธอก็วิ่งเหยาะ ๆ กลับมาหาเขาและจับแขนของเขาไว้ “ลูกสาวขอให้พวกเราเอาของอร่อยกลับมาให้เธอ พวกเราไปกันเถอะค่ะ!” ฉินอันอันขับรถพาฟู่สือถิงไปมหาวิทยาลัยที่เธอมาเรียนต่อมหาวิทยาลัยนี้เป็นโรงเรียนแพทย์ที่มีชื่อเสียงระดับโลก“ตอนคุณมาเรียนที่นี่ คุณอยู่ในช่วงไตรมาสที่สามของการตั้งครรภ์แล้วใช่ไหม?” ฟู่สือถิงเดินกับเธอช้า ๆ บนถนนอันกว้างใหญ่ของมหาวิทยาลัยมีนักศึกษาปั่นจักรย
เธอมองดูแหวนเพชรที่เปล่งแสงประกายบนนิ้วของเธอ ดวงตาของเธอเปียกชื้นเและอารมณ์ของเธอก็ควบคุมไม่ได้เล็กน้อยเธอโผเข้าไปในอ้อมแขนเขาและกอดเขาไว้แน่น “คุณไปซื้อแหวนมาตอนไหนเหรอคะ? เราอยู่ด้วยกันทุกวัน ทำไมฉันไม่รู้ว่าคุณเตรียมของขวัญไว้ล่วงหน้า?” เธอคิดว่าเขาไม่รู้ว่าวันนี้เป็นวันวาเลนไทน์ตั้งแต่เช้าจนถึงตอนที่เธอเตือนเขาว่าวันนี้เป็นวันวาเลนไทน์ ในช่วงระหว่างนี้เขาไม่แสดงอาการใด ๆ เลย “ตอนที่ผมซื้อสร้อยคอให้คุณคราวก่อน ผมดูแหวนไว้ด้วย” เขาอธิบาย “ยากหน่อยที่จะไม่รู้ว่าวันนี้คือเทศกาลอะไร” ตั้งแต่ไม่กี่วันก่อน กิจกรรมการตลาดต่าง ๆ สำหรับวันวาเลนไทน์ได้เริ่มต้นขึ้นแล้วเช้าวันนี้เมื่อเขาเปิดโทรศัพท์ ข่าวที่เกี่ยวข้องกับวันวาเลนไทน์ก็ส่งมายังโทรศัพท์เขาเช่นกัน “ถ้าฉันไม่พูดถึงวันวาเลนไทน์เมื่อกี้ คุณตั้งใจจะให้แหวนฉันเมื่อไหร่เหรอ?” เธอปล่อยเขา และมองใบหน้าหล่อเหลาของเขาด้วยดวงตาแดงก่ำของเธอ เขามองเธออย่างรักใคร่แล้วพูดเสียงแหบพร่า “ผมรู้ว่าคุณอดไม่ได้ที่จะเตือนผม ผมรอตั้งแต่คุณดูปฏิทินตอนเที่ยงแล้ว” เธอหัวเราะพร้อมกับโกรธนิด ๆ “คุณเป็นฝ่ายเริ่มไม่ได้เลยรึไง? ต้องเป็นฉันที่พ
“พี่เป่ย! แม่ของผมป่วยจนเลอะเลือน! ที่เธอพูดเมื่อกี้ พี่ห้ามเผยแพร่ออกไปนะครับ!” โจวจื่ออี้แทบจะทรุดตัวลง “ถ้าเจ้านายรู้ เขาไล่ผมออกแน่!” เซิ่งเป่ยหัวเราะจนน้ำตาไหล “จื่ออี้ นายอย่าตื่นเต้นไป คุณป้ามีความคิดที่ชัดเจนมาก เธอคัดค้านไม่ให้นายกับไมค์คบกัน เพราะรังเกียจที่ไมค์ยากจน นายให้ไมค์หาเงินไว้เยอะ ๆ ก็พอแล้ว” โจวจื่ออี้ส่ายหัว “ผมคิดว่าไมค์เป็นเพื่อนได้แต่เป็นแฟนไม่ได้ เพราะเขาหน้าตาขี้โกง นี่คือคำพูดของแม่ผมจริง ๆ” “ฮ่า ๆ ๆ! นายบอกว่าแม่ของนายสับสน ฉันไม่เห็นว่าจะมีใครมีสติชัดเจนเท่าแม่นายแล้ว นายหยุดหน้านิ่วคิ้วขมวดได้แล้ว ดูแลเธอให้ดีก่อน” “อืม พี่เป่ย วันนี้พี่ว่างหรือเปล่า? ช่วยไปดูไมค์ให้หน่อยได้ไหม? ผมเมินเขามาสองวันแล้ว ผมคาดว่าเขาใกล้จะระเบิดแล้ว” โจวจื่ออี้ขมวดคิ้ว “ผมออกจากโรงพยาบาลไม่ได้ แล้วไม่รู้ว่าจะพูดอะไรกับเขาด้วย” “ไม่ต้องเป็นห่วง ฉันจะไปดูเขาให้เอง” เซิ่งเป่ยออกจากโรงพยาบาลแล้วขับรถไปสตาร์ริเวอร์วิลล่า เป็นไปตามที่เซิ่งเป่ยคาดไว้ ไมค์อยู่บ้านคนเดียวและใช้ชีวิตสลับกลางวันและกลางคืน “คุณไม่กลับไปประเทศบีเหรอ?” เซิ่งเป่ยเอาอาหารเช้าที่เขาเอามาด้วยวาง
เซิ่งเป่ยอ้าปากค้างด้วยความประหลาดใจ เขาระงับอารมณ์บ้าคลั่งในใจแล้วคว้าคอเสื้อของถังเชี่ยนพร้อมกับตะโกนถามเสียงดัง “ถังเชี่ยน! เธอพูดเรื่องเหลวไหลอะไร?! ทำไมสือถิงต้องแต่งงานกับเธอด้วย? ตอนนี้เขาอยู่กับฉินอันอัน! ถ้าเขาจะแต่งงานก็ต้องแต่งกับฉินอันอันสิ!” ถังเชี่ยนหัวเราะเบา ๆ “ฉันรู้ว่าตอนนี้เขาอยู่กับฉินอันอัน ถึงยังไงพวกเขาก็มีลูกที่ต้องดูแล แต่ฉันไม่สนใจหรอก ไม่ได้ใจเขา แต่ได้ตัวเขาก็พอแล้ว” เซิ่งเป่ยยิ้มเยาะแล้วปล่อยคอเสื้อของเธอ “ฉันคิดว่าเธอเสียโฉมจนจิตใจกระทบกระเทือน และทุกข์ทรมานจากอาการหลงผิดแล้วล่ะ! สือถิงจะแต่งงานกับเธอ ทำไมเรื่องสำคัญแบบนี้ฉันไม่รู้เรื่องเลย?” “เขาไม่ได้จะแต่งงานกับคุณ คุณไม่รู้มันก็เป็นเรื่องปกติไม่ใช่เหรอ?” ถังเชี่ยนวางแก้วเปล่าลงบนโต๊ะ น้ำเสียงสงบและควบคุมได้ “เซิ่งเป่ย ฉันถือว่าคุณเป็นเพื่อน ถึงได้พูดเรื่องนี้กับคุณ ฉันรู้ว่าตอนนี้คุณคิดว่าฉันไม่มีค่าพอจะเป็นเพื่อนของคุณ แต่ว่าในใจของฉัน คนคือคนสำคัญที่สุด…” “หุบปาก!” เซิ่งเป่ยตัดบทเธอ “เธอคิดว่าเธอจะทำให้ฉันประทับใจโดยพูดสิ่งเหล่านี้กับฉันหรือจะหลอกใช้ฉันอีกครั้งก็ได้ใช่ไหม?”ถังเชี่ยนยิ้มแล