ในห้องนอนมีโต๊ะทำงาน เดาว่าเธอคงนอนดึกโต๊ะของเธอจัดไว้สะอาดมาก หนังสือและเอกสารต่าง ๆ ถูกวางไว้ในแฟ้ม บนโต๊ะมีแค่คอมพิวเตอร์แล็ปท็อป เขาอยากรู้ว่าช่วงนี้เธอยุ่งเกี่ยวกับเรื่องอะไร ดังนั้นเขาจึงหยิบซองเอกสารสีน้ำตาลออกมาจากแฟ้ม บนซองเอกสารเขียนไว้ว่า ‘เอกสารข้อมูล’ เขาเปิดออกอย่างไม่รีบร้อน แล้วหยิบเอกสารด้านในออกมาปึกหนึ่ง “ฟู่สือถิง…” ทันใดนั้นเสียงของฉินอันอันดังขึ้นเบา ๆ จากด้านหลัง “คุณกำลังทำอะไรคะ?” เธอตื่นขึ้นอย่างกะทันหันแล้วเห็นร่างสูงของเขายืนอยู่หน้าโต๊ะราง ๆ เธอนึกว่าตัวเองเห็นภาพลวงตา เลยจ้องมองอยู่พักหนึ่ง หลังจากแน่ใจแล้วว่าไม่ได้ฝันไป เธอจึงผุดลุกขึ้นนั่งทันที เขารีบวางซองเอกสารกลับเข้าที่ “คุณไม่มีห้องหนังสือแยกไว้ต่างหากเหรอ?” เขารีบปรับอารมณ์แล้วเดินไปหาเธอ “ผมเพิ่งสังเกตว่ามีโต๊ะทำงานที่นี่” ฉินอันอันเอื้อมมือมาขยี้ตา “มีห้องหนังสือค่ะ แต่ว่าฉันชอบอยู่ในห้องนอนมากกว่า ถ้าเหนื่อยก็นอนพักผ่อนได้ทุกเมื่อ” “ผมปลุกคุณหรือเปล่า?” เขาขอโทษแล้วอธิบายว่า “ผมเพิ่งคุยสายกับไมค์ เขาบอกว่าแม่ของจื่ออี้เป็นลม” “ร้ายแรงขนาดนี้เลยเหรอคะ?” ฉินอันอันสูดหายใจ
เธออึ้งไปครู่หนึ่ง ดูเหมือนเขาไม่wfhตอบคำถามเมื่อกี้นี้ของเธอ? เมื่อแขนของเขาเหยียดออกมาเพื่อกอดเธอ แต่เธอผลักออก “ฉันเพิ่งถามว่าคุณทำได้ไหม ทำไมคุณไม่ตอบ? ถ้าคุณทำไม่ได้ก็อย่ากอดฉัน” ข้อเรียกร้องที่เธอยกขึ้นมาไม่ได้เกินไปเลย เพียงแค่ขอให้เขาใช้เวลากับลูกให้มากขึ้นเมื่อมีเวลาว่าง เธอทำได้ ทำไมเขาทำไม่ได้? ถ้าเรื่องง่ายขนาดนี้แล้วเขายังทำไม่ได้ เขอาจไม่ต้องการลูกก็ได้ “ลูกของผม ผมย่อมเต็มใจทำทุกอย่างเพื่อพวกเขา” เขากอดเอวเธอแน่น “คำถามของคุณ มันทำให้ผมละอายใจ” ได้ยินคำอธิบายของเขา เธอก็ถอนใจโล่งอก “ฟู่สือถิง ต่อจากนี้เวลาฉันถามคุณ ไม่ว่าจะถามเรื่องอะไร คุณต้องตอบฉันนะ” เธอมองหน้าเขาอย่างจริงจัง “คุณไม่ตอบ ฉันจะคิดฟุ้งซ่าน ถ้าเป็นกับคนอื่น ฉันมีเหตุผลมาก แต่กับคุณ ฉันสูญเสียการควบคุมอารมณ์ได้ง่ายมาก” “อื้ม” เขาไม่กล้าสบตาเธอจึงยกมือขึ้นเตรียมปิดไฟ “ฟู่สือถิง คุณมองฉันสิ” สองมือเธอจับหน้าเขาแล้วบังคับให้เขามองเธอ “ทำไมคุณต้องคอยหลบเลี่ยงด้วย? คุณไม่ได้ทำเรื่องน่าละอาย ทำไมคุณไม่กล้ามองฉัน?” จู่ ๆ อุณหภูมิร่างกายของเขาก็สูงขึ้น และการหายใจของเขาก็หนักแน่น “อันอัน ตอน
“ถึงเขาฟังไม่ออก แต่คุณไม่รู้สึกอายเหรอ?” “ถ้าผมอาย เราจะมีเขาได้ไหมล่ะ?” เขาถามกลับ ทำให้ใบหน้าของเธอ ‘ฉาบ’ ด้วยสีแดงทันที เธอแต่งตัวเสร็จแล้วรีบเดินไปเข้าห้องน้ำเพื่อแปรงฟันล้างหน้า ที่ห้องนั่งเล่นชั้นล่าง หลีเสี่ยวเถียนกำลังกินขนมและคุยกับรุ่ยลา “พ่อของหนูไม่ต้อนรับป้าหรือเปล่า? พอป้ามา เขาก็ไม่ออกมาเลย” หลีเสี่ยวเถียนพูดแซะ รุ่ยลารีบส่ายหน้า “พ่อของหนูยินดีต้อนรับป้าอยู่แล้วค่ะ เขาจะต้องดูแม่หนูหลับอยู่ในห้องแน่ ๆ ค่ะ!” หลีเสี่ยวเถียน “แม่หนูหลับมีอะไรน่าสนใจขนาดนั้น? เขาไม่กลัวปลุกแม่หนูตื่นเหรอ?” รุ่ยลาใช้มือเล็ก ๆ เกาหัว คิดหาทางแก้ตัวให้พ่อ ตอนนี้เอง ฉินอันอันก็เดินเข้ามา “เสี่ยวเถียน เธอมาตั้งแต่เมื่อไหร่? เมื่อวานฉันเหนื่อยเกินไปก็เลยนอนตื่นสาย” เธอเดินมาหาหลีเสี่ยวเถียนเพื่ออธิบาย “แค่ออกไปดูพลุข้างนอก จะต้องเหนื่อยขนาดนี้เชียวเหรอ?” หลีเสี่ยวเถียนมองเธออย่างสนอกสนใจ “ฟู่สือถิงเป็นอะไร? เขาจงใจหลบหน้าฉันหรือเปล่า?”“เขาบอกว่ากลัวเธอเห็นเขาแล้วจะไม่สบายใจ เลยดูแลลูกอยู่ในห้อง” ฉินอันอันพูดเสียงกระซิบ “ไม่เข้าใจเลยว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่”“เหอ ๆ ฉันรู้ว่าเ
ป้าหงรีบยกแก้วน้ำยื่นให้เขาทันที ฉินอันอันเอื้อมมือไปตบหลังให้เขา “กินช้า ๆ ค่ะ อาหารติดหลอดลมหรือเปล่า?” หลีเสี่ยวเถียนจ้องเขาอย่างสงสัย รู้สึกว่าเขามีอะไรผิดปกติ สัมผัสที่หกของผู้หญิงทำให้เธอเอ่ยถามออกไป “ฟู่สือถิง ฉันรู้สึกว่าคุณกำลังรู้สึกผิด หรือว่าคู่หมั้นของเฮ่อจุ่นจือคนนี้ คุณเป็นคนจับคู่ให้?” หลังจากที่หลีเสี่ยวเถียนถามคำถามนี้ ฉินอันอันก็ดึงมือที่ตบหลังฟู่สือถิงกลับทันที ฟู่สือถิงที่ดื่มน้ำไปได้ครึ่งหนึ่งก็ถูกคำถามนี้บังคับให้หยุดดื่ม เขาฝืนกลืนน้ำลงไปในท้องและปฏิเสธ “เปล่าเลย… ผมไม่รู้จักคู่หมั้นของเขา…” “โอ้! งั้นคุณจะตื่นเต้นทำไม?” หลีเสี่ยวเถียนส่งเสียงฮึดฮัดแล้วมองไปทางฉินอันอัน “ถ้าฟู่สือถิงแต่งงานกับผู้หญิงคนอื่น ฉันไม่มีทางสงบสติอารมณ์ได้แน่! ฉันไม่ไปก่อกวนก็ถือว่าให้เกียรติเขาแล้ว!” ฉินอันอันพยักหน้า “ฉันรู้ ดังนั้นฉันจึงไม่สามารถมองดูเฮ่อจุ่นจือแต่งงานกับผู้หญิงคนอื่นเช่นกัน เสี่ยวเถียน ยกโทษให้ฉันเถอะนะ!” “สถานการณ์ของฟู่สือถิงและเฮ่อจุ่นจือนั้นต่างกัน” หลีเสี่ยวเถียนพูดอย่างจริงจัง “ฉันทิ้งเฮ่อจุ่นจือ ดังนั้นเฮ่อจุ่นจือเลยแต่งงานกับผู้หญิงคนอื่น
“เอาลูกไปด้วยไหม?” ฟู่สือถิงถามคำถามนี้โดยอัตโนมัติ เธอมองหน้าเขาแล้วถามว่า “คุณอยากเอาลูกไปด้วยไหมล่ะคะ?” เธอไม่สามารถเห็นความคิดในใจเขาได้“ผมอยากพาไป” ถึงแม้ว่าการอุ้มลูกไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เขามีความสุขมากที่ได้อยู่กับลูกไม่แปลกใจที่คนจะพูดว่ากันการมีลูกคือภาระที่แสนหวาน “แต่วันนี้ฉันไม่อยากพาลูกไปค่ะ ฉันอยากพาคุณไป ที่ที่หนึ่ง” เธอคุยกับเขา“ไปไหนเหรอ?” เขาเอามือล้วงกระเป๋า “งั้นไปถามลูกสักหน่อย! ถ้าเธอไม่อยากไปกับพวกเรา ก็ไม่พาเธอไปด้วย ถ้าเธออยากออกไปข้างนอกกับพวกเราล่ะ?” “ไปมหาวิทยาลัยที่ฉันเรียนปริญญาโทค่ะ คุณรอฉันอยู่ที่นี่ ฉันจะไปคุยกับพวกเด็ก ๆ” หลังจากพูดจบเธอก็เดินไปที่ห้องเด็กจากนั้นครู่หนึ่ง เธอก็วิ่งเหยาะ ๆ กลับมาหาเขาและจับแขนของเขาไว้ “ลูกสาวขอให้พวกเราเอาของอร่อยกลับมาให้เธอ พวกเราไปกันเถอะค่ะ!” ฉินอันอันขับรถพาฟู่สือถิงไปมหาวิทยาลัยที่เธอมาเรียนต่อมหาวิทยาลัยนี้เป็นโรงเรียนแพทย์ที่มีชื่อเสียงระดับโลก“ตอนคุณมาเรียนที่นี่ คุณอยู่ในช่วงไตรมาสที่สามของการตั้งครรภ์แล้วใช่ไหม?” ฟู่สือถิงเดินกับเธอช้า ๆ บนถนนอันกว้างใหญ่ของมหาวิทยาลัยมีนักศึกษาปั่นจักรย
เธอมองดูแหวนเพชรที่เปล่งแสงประกายบนนิ้วของเธอ ดวงตาของเธอเปียกชื้นเและอารมณ์ของเธอก็ควบคุมไม่ได้เล็กน้อยเธอโผเข้าไปในอ้อมแขนเขาและกอดเขาไว้แน่น “คุณไปซื้อแหวนมาตอนไหนเหรอคะ? เราอยู่ด้วยกันทุกวัน ทำไมฉันไม่รู้ว่าคุณเตรียมของขวัญไว้ล่วงหน้า?” เธอคิดว่าเขาไม่รู้ว่าวันนี้เป็นวันวาเลนไทน์ตั้งแต่เช้าจนถึงตอนที่เธอเตือนเขาว่าวันนี้เป็นวันวาเลนไทน์ ในช่วงระหว่างนี้เขาไม่แสดงอาการใด ๆ เลย “ตอนที่ผมซื้อสร้อยคอให้คุณคราวก่อน ผมดูแหวนไว้ด้วย” เขาอธิบาย “ยากหน่อยที่จะไม่รู้ว่าวันนี้คือเทศกาลอะไร” ตั้งแต่ไม่กี่วันก่อน กิจกรรมการตลาดต่าง ๆ สำหรับวันวาเลนไทน์ได้เริ่มต้นขึ้นแล้วเช้าวันนี้เมื่อเขาเปิดโทรศัพท์ ข่าวที่เกี่ยวข้องกับวันวาเลนไทน์ก็ส่งมายังโทรศัพท์เขาเช่นกัน “ถ้าฉันไม่พูดถึงวันวาเลนไทน์เมื่อกี้ คุณตั้งใจจะให้แหวนฉันเมื่อไหร่เหรอ?” เธอปล่อยเขา และมองใบหน้าหล่อเหลาของเขาด้วยดวงตาแดงก่ำของเธอ เขามองเธออย่างรักใคร่แล้วพูดเสียงแหบพร่า “ผมรู้ว่าคุณอดไม่ได้ที่จะเตือนผม ผมรอตั้งแต่คุณดูปฏิทินตอนเที่ยงแล้ว” เธอหัวเราะพร้อมกับโกรธนิด ๆ “คุณเป็นฝ่ายเริ่มไม่ได้เลยรึไง? ต้องเป็นฉันที่พ
“พี่เป่ย! แม่ของผมป่วยจนเลอะเลือน! ที่เธอพูดเมื่อกี้ พี่ห้ามเผยแพร่ออกไปนะครับ!” โจวจื่ออี้แทบจะทรุดตัวลง “ถ้าเจ้านายรู้ เขาไล่ผมออกแน่!” เซิ่งเป่ยหัวเราะจนน้ำตาไหล “จื่ออี้ นายอย่าตื่นเต้นไป คุณป้ามีความคิดที่ชัดเจนมาก เธอคัดค้านไม่ให้นายกับไมค์คบกัน เพราะรังเกียจที่ไมค์ยากจน นายให้ไมค์หาเงินไว้เยอะ ๆ ก็พอแล้ว” โจวจื่ออี้ส่ายหัว “ผมคิดว่าไมค์เป็นเพื่อนได้แต่เป็นแฟนไม่ได้ เพราะเขาหน้าตาขี้โกง นี่คือคำพูดของแม่ผมจริง ๆ” “ฮ่า ๆ ๆ! นายบอกว่าแม่ของนายสับสน ฉันไม่เห็นว่าจะมีใครมีสติชัดเจนเท่าแม่นายแล้ว นายหยุดหน้านิ่วคิ้วขมวดได้แล้ว ดูแลเธอให้ดีก่อน” “อืม พี่เป่ย วันนี้พี่ว่างหรือเปล่า? ช่วยไปดูไมค์ให้หน่อยได้ไหม? ผมเมินเขามาสองวันแล้ว ผมคาดว่าเขาใกล้จะระเบิดแล้ว” โจวจื่ออี้ขมวดคิ้ว “ผมออกจากโรงพยาบาลไม่ได้ แล้วไม่รู้ว่าจะพูดอะไรกับเขาด้วย” “ไม่ต้องเป็นห่วง ฉันจะไปดูเขาให้เอง” เซิ่งเป่ยออกจากโรงพยาบาลแล้วขับรถไปสตาร์ริเวอร์วิลล่า เป็นไปตามที่เซิ่งเป่ยคาดไว้ ไมค์อยู่บ้านคนเดียวและใช้ชีวิตสลับกลางวันและกลางคืน “คุณไม่กลับไปประเทศบีเหรอ?” เซิ่งเป่ยเอาอาหารเช้าที่เขาเอามาด้วยวาง
เซิ่งเป่ยอ้าปากค้างด้วยความประหลาดใจ เขาระงับอารมณ์บ้าคลั่งในใจแล้วคว้าคอเสื้อของถังเชี่ยนพร้อมกับตะโกนถามเสียงดัง “ถังเชี่ยน! เธอพูดเรื่องเหลวไหลอะไร?! ทำไมสือถิงต้องแต่งงานกับเธอด้วย? ตอนนี้เขาอยู่กับฉินอันอัน! ถ้าเขาจะแต่งงานก็ต้องแต่งกับฉินอันอันสิ!” ถังเชี่ยนหัวเราะเบา ๆ “ฉันรู้ว่าตอนนี้เขาอยู่กับฉินอันอัน ถึงยังไงพวกเขาก็มีลูกที่ต้องดูแล แต่ฉันไม่สนใจหรอก ไม่ได้ใจเขา แต่ได้ตัวเขาก็พอแล้ว” เซิ่งเป่ยยิ้มเยาะแล้วปล่อยคอเสื้อของเธอ “ฉันคิดว่าเธอเสียโฉมจนจิตใจกระทบกระเทือน และทุกข์ทรมานจากอาการหลงผิดแล้วล่ะ! สือถิงจะแต่งงานกับเธอ ทำไมเรื่องสำคัญแบบนี้ฉันไม่รู้เรื่องเลย?” “เขาไม่ได้จะแต่งงานกับคุณ คุณไม่รู้มันก็เป็นเรื่องปกติไม่ใช่เหรอ?” ถังเชี่ยนวางแก้วเปล่าลงบนโต๊ะ น้ำเสียงสงบและควบคุมได้ “เซิ่งเป่ย ฉันถือว่าคุณเป็นเพื่อน ถึงได้พูดเรื่องนี้กับคุณ ฉันรู้ว่าตอนนี้คุณคิดว่าฉันไม่มีค่าพอจะเป็นเพื่อนของคุณ แต่ว่าในใจของฉัน คนคือคนสำคัญที่สุด…” “หุบปาก!” เซิ่งเป่ยตัดบทเธอ “เธอคิดว่าเธอจะทำให้ฉันประทับใจโดยพูดสิ่งเหล่านี้กับฉันหรือจะหลอกใช้ฉันอีกครั้งก็ได้ใช่ไหม?”ถังเชี่ยนยิ้มแล
ฉินอันอันที่นอนหลับเต็มอิ่มรู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่า แต่เพราะสายเรียกเข้านี้ทำให้ใจของเธอร้อนรนอีกครั้งหลังจากวางสายแล้ว เธอก็ได้รับที่อยู่ของมหาวิทยาลัยชิงซานที่รองประธานส่งมาต่อจากนี้เธอต้องจองตั๋วเครื่องบินแล้วรีบไปให้ทันขณะที่เธอกำลังเปิดแอปจองตั๋วเครื่องบินอยู่ จู่ ๆ หน้าจอโทรศัพท์ก็เด้งขึ้นมาเป็นโปรแกรมนาฬิกาปลุก ทำให้เธอเกือบจะปาโทรศัพท์ทิ้งเธอเอามือปิดหน้าอก หายใจเข้าลึก ๆทำไมต้องรีบร้อนขนาดนี้ด้วย?แค่การฝึกอบรมครั้งเดียว ถึงจะไปสายหน่อยก็ไม่เห็นเป็นไรสมัยเรียนเธอก็ไปสายตั้งบ่อย นี่เธอไม่ได้เป็นนักศึกษาแล้วนี่นาแถมนี่ก็ไม่ใช่การฝึกอบรมที่เธอสมัครเอง แค่ตอบตกลงว่าจะไปก็ถือว่าทำดีที่สุดแล้ว ทำไมต้องทำให้ตัวเองเครียดขนาดนี้ด้วย?คิดได้ดังนั้น เธอก็ล้มตัวนอนลงบนเตียง ตั้งใจจะนอนต่อสักหน่อยเธอเปิดโทรศัพท์ขึ้นมาส่งข้อความหาหลีเสี่ยวเถียน : เสี่ยวเถียน ฉันต้องออกไปธุระไกล ๆ ประมาณหนึ่งสัปดาห์ถึงจะกลับ สองวันนี้หลังจากที่ไปพบจิตแพทย์แล้ว อย่าลืมมาบอกฉันด้วยนะตอนนี้ยังเช้ามาก เธอคิดว่าหลีเสี่ยวเถียนคงยังนอนอยู่ ดังนั้นหลังจากส่งข้อความเสร็จแล้ว เธอก็วางโทรศัพท์ลง
“อันอัน คุณคงเหนื่อยมากเลย!” ป้าจางพูดกับเธอ “ฉันมาบอกคุณว่า ของขวัญที่เสี่ยวหานและรุ่ยลาได้รับวันนี้ ฉันเอาไปเก็บไว้ที่โกดังชั้นหนึ่งแล้วนะคะ”“ค่ะ พรุ่งนี้ฉันค่อยไปจัดการ” ฉินอันอันลูบศีรษะทุยของจื่อชิวเบา ๆ “ลูกรัก วันนี้สนุกไหมจ๊ะ? พอครบหนึ่งขวบเมื่อไหร่ แม่จะจัดงานวันเกิดให้ลูกนะ”ป้าจางพูดด้วยรอยยิ้ม “เวลาผ่านไปเร็วจริง ๆ แป๊บเดียวจื่อชิวก็ครึ่งขวบแล้ว!”“ค่ะ”“อันอัน รีบกลับห้องไปอาบน้ำพักผ่อนเถอะค่ะ! พรุ่งนี้ต้องกลับไปทำงานแล้ว!” ป้าจางเตือนฉินอันอันพยักหน้าแล้วเดินไปที่ห้อง เธอตั้งใจจะอาบน้ำก่อนนอน แต่พอเข้าไปในห้อง เตียงนอนขนาดใหญ่ดูเหมือนจะมีเวทมนตร์ดึงดูดเธอเธอมองไปที่เตียงแล้วล้มตัวนอนลง ตั้งใจจะพักสักหน่อย พอมีแรงแล้วค่อยลุกไปอาบน้ำ แต่หลังจากนอนลงไม่นาน เธอก็นอนหลับสนิทปกติแล้วเธอมีนิสัยชอบฝันร้าย ไม่ว่าจะพยายามปรับยังไงก็ปรับไม่ได้ ภาพที่เธอฝันถึงบ่อยที่สุดก็มีอยู่ไม่กี่อย่างอย่างแรกคือตอนที่พ่อเสียชีวิต พ่อจับมือเธออยู่ในห้อง ขอโทษเธอและขอให้เธอให้อภัย ก่อนที่เธอจะได้พูดอะไร พ่อก็สิ้นใจไปเสียก่อน กลายเป็นความเสียใจตลอดชีวิตของเธออย่างที่สองคือแม่ประสบอุบั
ตลอดชีวิตที่ผ่านมา อวิ๋นซื่อเจี๋ยไม่เคยกลัวอะไรเลยแต่ตอนนี้ เมื่อเขาเห็นใบหน้าเย็นชาและดุร้ายของฟู่สือถิง เขากลับรู้สึกกลัวเป็นครั้งแรก!รู้สึกว่าถ้าเขาทำให้ฟู่สือถิงโกรธมากขึ้นไปอีก เขาคงถูกทุบตีจนตายอยู่ที่นี่แน่ ๆคำพูดที่กำลังจะหลุดออกมาจากปากถูกกลืนลงไปอย่างยากลำบากเขาทำพลาดไป! ประเมินอารมณ์ของฟู่สือถิงผิดถนัด! เขาไม่ควรมาที่นี่อย่างประมาทเช่นนี้ตอนนี้เขาอยากแค่หนีรอดออกไปให้ได้“ป้าหง! กระดูกซี่โครงผมหัก! รีบโทรเรียกรถพยาบาลให้ผมหน่อย!” เขาไม่กล้าพูดกับฟู่สือถิง จึงตะโกนเรียกป้าหงเสียงดังป้าหงเห็นเขาเลือดอาบ นอนอยู่บนพื้นและกระตุกเกร็งอย่างควบคุมไม่ได้ ด้วยความตกใจ เธอรีบคว้าโทรศัพท์เพื่อโทรแจ้งเหตุฉุกเฉิน“ป้าหง อย่าใจอ่อนกับพวกกากเดนประเภทนี้!” ฟู่สือถิงตะโกนห้ามป้าหงได้สติกลับคืนมาทันที “คุณผู้ชาย สั่งให้บอดี้การ์ดจับเขาโยนออกไปเถอะค่ะ! ต่อไปนี้ฉันจะไม่ให้เขาก้าวเข้ามาในบ้านอีกเด็ดขาด!”ฟู่สือถิงส่งสัญญาณให้บอดี้การ์ด บอดี้การ์ดจึงคว้าแขนอวิ๋นซื่อเจี๋ยแล้วลากเขาออกไปฟู่สือถิงมองดูสภาพที่ยับเยินของอวิ๋นซื่อเจี๋ย สั่งบอดี้การ์ดเสียงเย็นเยียบว่า “เอาตัวไปทิ้งให้ไ
เพื่อนร่วมงานได้รับข้อความแล้วตอบกลับทันทีว่า “ทราบแล้วเปลี่ยน! ลงมือเลย!”ประมาณห้านาทีต่อมา เสียงต่อยตีและเสียงร้องโหยหวนของผู้ชายดังมาจากนอกบ้าน!ป้าหงได้ยินเสียงดังนั้นจึงรีบวิ่งออกมาดูเห็นบอดี้การ์ดสองคนกำลังทำร้ายร่างกายผู้ชายคนหนึ่ง จึงถามว่า “เกิดอะไรขึ้น? คนคนนี้เป็นใคร?”“ป้าหง คนคนนี้แหละคือนักถ้ำมองเมื่อคืน! เขาทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ อยู่แถวกำแพง ถึงแม้เขาไม่ได้คิดจะทำเรื่องไม่ดี แต่ก็ต้องจัดการเขาซะ!” บอดี้การ์ดคนหนึ่งหยุดมือ แล้วอธิบายให้ป้าหงฟัง “ไม่งั้นเขาจะมาทุกวัน เจ้านายต้องไม่พอใจแน่ ๆ”“อ้อ…” ป้าหงมองดูชายวัยกลางคนคนนั้นที่กำลังนอนอยู่บนพื้นอย่างระมัดระวัง“ป้าหง จำผมได้ไหม?” ชายวัยกลางคนคนนั้นเงยหน้าขึ้น สะบัดผมที่หน้าผากออก ดวงตาที่เฉียบคมและแดงก่ำจ้องมองป้าหงอย่างตรงไปตรงมาบอดี้การ์ดได้ยินชายวัยกลางคนคนนั้นพูดกับป้าหง จึงหยุดทำร้ายเขาทันทีคนคนนี้รู้จักกับป้าหงงั้นเหรอ? ถ้ารู้จักป้าหงทำไมไม่บอกตั้งแต่แรก?“คุณคือ…” แสงสลัวทำให้ป้าหงมองใบหน้าของเขาไม่ชัด จึงจำไม่ได้เลยแม้แต่น้อย“คุณอาจจะจำผมไม่ได้ ผมเคยทำงานที่บ้านเดิมกับคุณ” อวิ๋นซื่อเจี๋ยยิ้มแล้วลุกขึ้นจ
ฟู่สือถิงจ้องมองภาพถ่ายของชายวัยกลางคนอีกครั้ง แต่จนแล้วจนเล่าก็ยังไม่เข้าใจเขาไม่เคยเห็นคนคนนี้มาก่อนอาจเป็นไปได้ว่าชายคนนี้มีปัญหาทางจิต จึงมาปรากฏตัวอยู่ใกล้บ้านเขาเมื่อคืนแล้วฉีกยิ้มใส่ฟู่สือถิงขยำกระดาษทิ้งลงถังขยะ เดินเข้าห้องน้ำอย่างรวดเร็วแล้วปิดประตูในครัว ป้าหงเห็นฟู่สือถิงขึ้นไปชั้นบนแล้ว จึงรีบโทรหาป้าจาง“ได้ยินว่าคุณผู้ชายกับจิ้นซือเหนียนทะเลาะกัน” ป้าจางกล่าว “แต่ไม่ใช่เขาที่เริ่มก่อน ทะเลาะกันเสร็จแล้วทั้งคู่ก็แยกย้ายกันไป”ป้าหง “อ๋อ มิน่าล่ะถึงได้กลับมาเร็วขนาดนี้”“คุณผู้ชายอารมณ์เป็นยังไงบ้าง?” ป้าจางถามด้วยความเป็นห่วง“ไม่ค่อยดี แต่ก็ยังพอถูไถ” ป้าหงถามต่อ “วันนี้เขาอยู่กับลูก ๆ แล้วเป็นยังไงบ้าง?”ป้าจางหัวเราะทางโทรศัพท์ “วันนี้เขาไม่ได้อยู่คลุกคลีกับเด็ก ๆ หรอก เขาคอยต้อนรับแขกในงานทั้งวัน อันอันเป็นคนกำชับให้เขาคอยอยู่กับแขก”ป้าหงหน้าแดง “ดูเหมือนว่าทั้งคู่จะดูใกล้ชิดกันมากขึ้นนะ”“ใช่! ดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่จะดีขึ้นกว่าเดิมมากแล้ว หวังว่าต่อไปจะไม่ทะเลาะกันอีก” ป้าจางพูดด้วยความเป็นห่วง “ไม่งั้นลูก ๆ ทั้งสามคนคงน่าสงสารมาก”“อืม ฉั
ฉินอันอันรู้ดีว่าฟู่สือถิงและจิ้นซือเหนียนมีความสัมพันธ์ที่ไม่ค่อยดีนัก ดังนั้นเมื่อเห็นทั้งสองคนยืนอยู่ด้วยกัน เธอจึงรู้สึกแปลก ๆ“ไม่ได้คุยอะไรกันหรอก” ฟู่สือถิงมองจิ้นซือเหนียนอย่างเย็นชา ตอบฉินอันอัน “จิ้นซือเหนียนแค่เป็นห่วงความสุขของคุณ เลยเตือนผมให้ออกกำลังกายมากขึ้นหน่อย”“พวกคุณนี่ลามกกันจริง ๆ!” ฉินอันอันหน้าแดง เดินหนีไปด้วยความโกรธจิ้นซือเหนียนเห็นฉินอันอันโกรธ ความสงบสุขบนใบหน้าของเขาก็หายไป “ฟู่สือถิง คุณนี่มันไร้ยางอายจริงๆ!”ฟู่สือถิงพูดอย่างไม่รีบร้อน “ผมว่าคุณนั่นแหละที่ไร้ยางอาย ผู้ชายจะไหวหรือไม่ไหว ไม่ได้อยู่ที่ปาก ไม่ต้องทำมาเป็นห่วงหรอกว่าผมจะไหวหรือไม่ไหว รีบไปหาผู้หญิงสักคนมาพิสูจน์ว่าคุณไม่ได้ด้อยเรื่องนี้ให้ได้ก่อนเถอะ”จิ้นซือเหนียนโกรธจนเดินหนีไปดื้อ ๆ!“คุณตายแน่” ไมค์พูดกับฟู่สือถิง “เดี๋ยวถ้ารุ่ยลารู้ว่าคุณทำให้จิ้นซือเหนียนโกรธ เธอก็จะพาลมาโกรธคุณอีก!”ฟู่สือถิงปวดหัวทันทีเขาไม่สามารถตามจิ้นซือเหนียนกลับมาได้แต่เขาก็ไม่อยากทำให้รุ่ยลาโกรธ“ผมมีวิธีหนึ่ง” ไมค์คิดแผนขึ้นมาทันที “คุณกลับไปก่อน แบบนี้รุ่ยลาก็จะไม่โกรธคุณ”ฟู่สือถิงขมวดคิ้วเข
“คุยอะไร ตอนนี้ไม่สะดวกคุยเหรอ?” เธอโพล่งถามออกไป ทั้งที่ในใจรู้ดีอยู่แล้วความเข้าใจผิดระหว่างเธอกับเขานั้นได้คลี่คลายไปแล้ว สิ่งที่เขาต้องการคุยก็คือการขอโอกาสอีกครั้งจากเธอครั้งก่อนเธอปฏิเสธเขาไปอย่างสุภาพ ตอนนี้เธอก็ยังไม่สามารถตอบตกลงได้ไม่ใช่ว่าเธอเกลียดเขา แต่เธอรู้สึกว่าตัวเองยังไม่หนักแน่นพออีกทั้งตอนนี้ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาก็ดีอยู่แล้ว ต่างคนต่างให้เกียรติซึ่งกันและกัน ไม่ได้สนิทสนมหรือห่างเหินเกินไป แบบนี้ก็ดีอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ?“คุยตอนนี้คงไม่ได้ผลหรอก” เพียงแค่ดูสีหน้าของเธอก็เดาได้แล้วว่าเธอคิดอะไรอยู่“คุณคิดว่าพอกลับมาจากต่างเมือง พอคุยกันแล้วจะได้ผลเหรอ?” ฉินอันอันถามอย่างไม่เข้าใจ “คุณจะไปนานแค่ไหน?”“หนึ่งอาทิตย์”“อ๋อ งั้นอีกหนึ่งอาทิตย์ค่อยว่ากันใหม่!” เธอก้มหน้าลง มองไปที่มือของเขาที่กำลังจับแขนเธออยู่ “คุณเพิ่งเล่นไพ่เสร็จ ยังไม่รีบไปล้างมืออีก?”เธอรู้สึกว่ามือเขาสกปรกเขาอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนจะดึงเธอไปที่ห้องน้ำ “งั้นเราไปล้างมือด้วยกัน!”ทั้งสองคนเดินผ่านห้องจัดเลี้ยงไปท่ามกลางสายตาของผู้คนมากมาย“คุณสังเกตไหมว่าวันนี้ความสัมพันธ์ของพวกเขาสองค
เสี่ยวตง “พ่อเธอยังไม่มาอีกเหรอ?”รุ่ยลา “มาแล้ว! ตอนนี้ก็ยังอยู่ในห้องจัดเลี้ยง!”เสี่ยวตงขมวดคิ้ว มองไปรอบ ๆ“พ่อเธอคนไหนล่ะ? ทำไมเขาไม่เห็นมาเล่นกับพวกเธอเลย? เขาขี้เกียจทำงานใช่ไหม? เลยทำให้แม่เธอไม่ยอมคบกับเขา และทำให้พวกเธอไม่ชอบเขาด้วยใช่ไหม?” เสี่ยวตงคิดไปเรื่อยเปื่อยรุ่ยลาตกใจ แต่เธอก็ไม่ยอมบอกความจริงกับเสี่ยวตง “พ่อฉันเปล่าขี้เกียจทำงานซะหน่อย! ฉันไม่บอกหรอกว่าพ่อเป็นใคร พี่บอกว่าพี่เก่งกว่าพี่ชาย งั้นพี่ก็ไปหาเองสิ!”ไมค์หัวเราะ “เสี่ยวตง ทำไมเธอดูอยากรู้จังเลยล่ะว่าพ่อของเสี่ยวหานกับรุ่ยลาเป็นใคร?”เสี่ยวตง “ผมก็แค่อยากรู้! แม่ผมบอกว่าพ่อของเสี่ยวหานก็คือฟู่สือถิง แต่พ่อผมบอกว่าไม่ใช่ พวกเขาทะเลาะกันเรื่องนี้หลายครั้งแล้ว”ไมค์หัวเราะจนท้องคัดท้องแข็ง “งั้นเธอเชื่อแม่หรือว่าเชื่อพ่อล่ะ?”“ผมเชื่อพ่อ เพราะพ่อผมดีกับผมมากกว่า” เสี่ยวตงพูดอย่างมั่นใจ “ถ้าพ่อของเสี่ยวหานเป็นฟู่สือถิงจริง ๆ เสี่ยวหานคงไม่เมินพ่อของเขาแบบนั้นแน่! ฟู่สือถิงน่ะเก่งมากเลย! เขาเป็นไอดอลของผม!”เสี่ยวหานได้ยินที่เสี่ยวตงพูดก็ไม่สนใจที่จะโต้เถียง เดินออกไปเงียบ ๆไม่นาน เสียงเปียโนอันไพเราะ
เสียงหัวเราะดังขึ้นจากกลุ่มคนรอบข้าง “ผู้ช่วยของคุณฟู่ไปเอาเงินสดมาแล้วล่ะครับ ดูเหมือนวันนี้คุณฟู่จะตั้งใจจะทุ่มสุดตัวเลยนะ!” ทุกคนหัวเราะคิกคักใบหน้าของฉินอันอันขึ้นสีเล็กน้อย ไม่คิดว่าฟู่สือถิงจะพยายามขนาดนี้เพื่อสร้างความบันเทิงกับแขก“พวกคุณอย่าเล่นกันจริงจังเกินไปนะคะ” เธอเตือน“อันอัน เพิ่งเริ่มเองนะ คุณก็เริ่มห่วงกระเป๋าเงินของคุณฟู่แล้วเหรอ?” เสียงหัวเราะดังขึ้นอีกครั้งฟู่สือถิงมองเธอด้วยแววตาสนใจ แล้วถามว่า “หรือว่าคุณจะมานั่งข้าง ๆ คอยเป็นที่ปรึกษาให้ผมดีล่ะ?”ฉินอันอันหลบสายตาที่ลึกซึ้งของเขา แล้วพูดกับคนอื่น ๆ ว่า “พวกคุณเล่นกันเต็มที่เลยค่ะ ไม่ต้องไว้หน้าเขาหรอก”พูดจบเธอก็อุ้มลูกเดินออกไปเฮ่อจุ่นจือถือจานอาหารเดินมาจากโซนบุฟเฟ่ต์“อันอัน อย่าห่วงพี่สือถิงเลย เขาไม่ล้มละลายหรอก”ฉินอันอันแก้ตัวเสียงแข็ง “ฉันไม่ได้ห่วงเขา”“แล้วทำไมเมื่อกี้พวกเขาถึงหัวเราะกันเสียงดังขนาดนั้นล่ะ?” เฮ่อจุ่นจือพูดแทงใจดำเธออย่างไม่ไว้หน้า “เมื่อกี้หลีเสี่ยวเถียนพูดอะไรกับคุณตอนอยู่ข้างนอกบ้างเหรอ? หรือว่าพูดถึงเรื่องเมื่อคืนของพวกเรา?”เฮ่อจุ่นจือรู้สึกอายเล็กน้อยเกี่ยวกับเรื่อง