“อ๋องเสวียน ตอนนี้ท่านอยู่ในกำมือของข้าแล้ว และตอนนี้ข้าจะมอบทางเลือกให้ท่านสองทาง”เย่เสวียนถิงเลิกคิ้วและในขณะที่ดื่มชา เขาก็เงี่ยหูและทำท่าทางตั้งใจฟังจากนั้นก็ได้ยินฮ่องเต้เฒ่าพูดต่อ "หนึ่ง จงเป็นตัวประกันและอยู่พระราชวังของข้าต่อไป แคว้นอู๋ตะวันตกและแคว้นหนานเย่จะลงนามสัญญาสงบศึก และภายในสิบปีนี้พวกเราจะไม่รุกรานกันและกัน สอง..ท่านและพระชายาผู้งดงามของท่านจะต้องตายอยู่ที่นี่!”ทั้งสองทางเลือกนี้ไม่มีทางไหนเป็นตัวเลือกที่ดีเลยวันแรกดูเหมือนไม่มีอะไรมาก แต่การอยู่ที่นี่หมายความว่าชีวิตของพวกเขาจะตกอยู่ในกำมือของอีกฝ่ายยิ่งไปกว่านั้น ในการลงนามสัญญาสงบศึก แคว้นอู๋ตะวันตกจะต้องเป็นฝ่ายได้เปรียบอย่างแน่นอนกล่าวอีกนัยหนึ่ง เหตุผลที่ฮ่องเต้แห่งแคว้นอู๋ตะวันตกต้อนรับพวกเขาด้วยอาหารและเครื่องดื่มรสเลิศแทนที่จะฆ่าพวกเขาไปเลย เพราะเขาต้องการใช้ชีวิตของพวกเขาเพื่อแลกกับผลประโยชน์ส่วนทางเลือกที่สองนั้นไม่ต้องพูดถึง มันเป็นหนทางไปสู่ความตายชัด ๆเย่เสวียนถิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและในที่สุดก็พูดว่า "กระหม่อมเลือกข้อสาม"เมื่อฮ่องเต้เฒ่าได้ยินเช่นนั้น เขาก็ตัวแข็งทื่อทันทีเมื่อได้
"ช้าก่อน"ช่างแปลกจริง ๆ ที่ได้ยินเสียงของสตรีพูดขึ้นมาอย่างกะทันหันเช่นนี้แม้แต่ความโกรธของฮ่องเต้เฒ่าก็ถูกระงับในขณะนี้ซูชิงอู่ยิ้มแย้ม จากนั้นก็มองไปที่ฮ่องเต้เฒ่าและพูดว่า "ที่ท่านอ๋องลงมือไปเมื่อครู่ ไม่ใช่เพื่อปลงพระชนม์ฝ่าบาท แต่เพื่อช่วยพระองค์เพคะ"ฮ่องเต้เฒ่าอดไม่ได้ที่จะยิ้มเยาะเมื่อเขาได้ยินคำพูดของซูชิงอู่ "สตรีเช่นเจ้ามาพูดอะไรไร้สาระ!"ซูชิงอู่หัวเราะ “ฝ่าบาท พระองค์อาจทรงไม่เชื่อ แต่หม่อมฉันขอทูลถามว่าช่วงนี้อาการปวดพระเศียรของพระองค์รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ใช่หรือไม่เพคะ? และต้องมีกุ้ยเฟยคอยอยู่ข้างกายเท่านั้นพระองค์ถึงจะบรรทมได้ใช่หรือไม่เพคะ?”คำพูดเหล่านี้ทำให้ฮ่องเต้เฒ่าหยุดชะงักซูชิงอู่ไม่ได้ให้เวลาเขาได้ไตร่ตรองอะไรมากกว่านี้ และโยนถุงหอมถุงหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ“กลิ่นนี่ เป็นกลิ่นประจำตัวของกุ้ยเฟยไม่ใช่หรือ?”ปรมาจารย์ที่อยู่ข้างหน้าฮ่องเต้เฒ่าเอาตัวบังถุงหอมถุงนั้นไว้หลังจากแน่ใจว่าไม่มีอันตราย เขาก็ส่งมันให้กับฮ่องเต้เฒ่าฮ่องเต้เฒ่านำมาสูดดมเบา ๆ หลังจากยืนยันกลิ่นของถุงหอมแล้ว ดวงตาของเขาก็ฉายแววประหลาดใจเล็กน้อย เขาอดไม่ได้ที่จะมองซูชิงอู่ด้วยสาย
แม้ฮ่องเต้เฒ่าจะรู้มานานแล้วว่าภูเขาศักดิ์สิทธิ์ไม่ประสงค์ดี แต่เขาก็ยังโกรธมากหลังจากได้รู้ความจริงนี้“ยาตัวนี้มีสรรพคุณอะไร?”“ทูลฝ่าบาท สาเหตุที่พระองค์ปวดพระเศียรก็เพราะได้รับการกระทบกระเทือนตรงบริเวณพระเศียรอย่างรุนแรง และยานี้ก็ให้ผลในการส่งเสริมการไหลเวียนโลหิต ผลลัพธ์ของมันมหัศจรรย์มาก ขนาดกระหม่อมเองก็ยังไม่เคยเห็นใครผสมยาเช่นนี้เลยพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่หากได้รับยานี้เป็นเวลานาน จะทำให้มีอาการประสาทหลอน ร้ายแรงที่สุดก็จะทำให้เสียสติและกลายเป็นคนวิกลจริตได้พ่ะย่ะค่ะ…”เมื่อได้ยินคำพูดของหมอหลวง สีหน้าของฮ่องเต้เฒ่าก็เคร่งขรึมมากเขาเงยหน้าจ้องมองซูชิงอู่และเย่เสวียนถิง เขาสามารถเห็นจุดประสงค์ของอีกฝ่ายในการหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว“หากจะใช้เรื่องนี้แลกกับสองชีวิตของพวกเจ้าก็คงน่าขันเกินไป ขนาดภูเขาศักดิ์สิทธิ์ข้ายังไม่เชื่อใจ แล้วข้าจะเชื่อพวกเจ้าได้อย่างไร?”สงครามระหว่างทั้งสองแคว้นเริ่มรุนแรงขึ้น ไม่มีที่ว่างสำหรับการเจรจาอย่างสันติจนกว่าจะตัดสินผู้ชนะได้ซูชิงอู่ส่ายหัวเล็กน้อย พลางหัวเราะเบา ๆ แล้วพูดว่า "ฝ่าบาทตรัสผิดไปนะเพคะ ท่านอ๋องกับหม่อมฉันไม่ได้ต้องก
นอกจากปรมาจารย์ที่คอยปกป้องฮ่องเต้อย่างลับ ๆ แล้ว บรรดานางกำนัลและขันทีในห้องต่างก็ก้มศีรษะและพากันออกไปกุ้ยเฟยนั่งอยู่ข้างเตียง กลิ่นบนตัวของนางอ่อนลงมากแล้วเพราะหลายวันมานี้นางไม่ได้เติมกลิ่นนั้นเลยฮ่องเต้เฒ่ายกมือคว้าชายเสื้อของกุ้ยเฟย แต่ครู่ต่อมาเขาก็ถูกกุ้ยเฟยผลักออกไป“ฝ่าบาท แม้พวกเราจะมีข้อตกลงกัน แต่พระองค์ก็ละเมิดข้อตกลงระหว่างพระองค์กับหม่อมฉันไปแล้วก่อนหน้านี้เพคะ…”“และไม่ใช่ว่าหม่อมฉันไม่ช่วยพระองค์ หม่อมฉันแค่ช่วยพระองค์ไม่ได้ เพราะยานั่นถูกไฟเผามอดไปหมดแล้ว ที่ตัวหม่อมฉันจึงเหลือยาเพียงหนึ่งชุดซึ่งเป็นยาที่ท่านอาจารย์มอบให้หม่อมฉันไว้เพคะ”กุ้ยเฟยตบเบา ๆ ตามรอยยับบนเสื้อผ้าของนาง จากนั้นก็หาที่นั่งนั่งลงอย่างนิ่งสงบ พลางมองฮ่องเต้เฒ่าที่นอนดิ้นรนอยู่ตามลำพังบนเตียงมังกรด้วยความเจ็บปวดท้องฟ้าค่อย ๆ มืดลงซูชิงอู่และเย่เสวียนถิงกำลังนั่งอยู่ในพระที่นั่งชิงอวิ๋น มีคนจากข้างนอกนำอาหารเย็นมาให้พวกเขาพวกเขาทั้งสองทานอาหารกันแบบสบาย ๆ จากนั้นจึงหาที่นั่งพักผ่อนดวงดาวส่องแสงเจิดจ้าอยู่บริเวณท้องฟ้าด้านนอก และทั่วทั้งพระราชวังของแคว้นอู๋ตะวันตกก็ค่อนข้างเงียบสงบ
หลังจากได้ยินสิ่งที่องค์รัชทายาทพูด บรรดาขุนนางก็ตกใจเป็นอย่างมากความหมายของคำพูดขององค์รัชทายาทไม่ต่างจากการยึดอำนาจโดยสมบูรณ์อำนาจที่ได้รับมามีหรือจะยอมส่งคืนโดยง่าย...ยังไม่ทันที่จะสิ้นเสียง องค์รัชทายาทก็เอ่ยขึ้นอีกครั้ง “เหยียนจั๋วพ่ายแพ้สงครามครั้งแล้วครั้งเล่า ซ้ำยังไม่ฟังคำสั่งของข้า ข้าสงสัยว่าอาจครอบครองกองกำลังไว้แต่เพียงผู้เดียวและท้าทายอำนาจราชสำนัก ดังนั้นตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เขาจะถูกปลดออกจากตำแหน่งแม่ทัพ และย้ายกลับเมืองหลวงเพื่อรอการลงโทษ!”ว่ากันว่าเมื่อขุนนางเข้ารับตำแหน่งต้องทำเรื่องที่เสี่ยงอันตรายเพื่อพิสูจน์ความสามารถ และเรื่องเสี่ยงอันตรายครั้งแรกนี้ก็ได้ทำให้เหยียนจั๋วเดือดร้อนจนได้ขุนนางทุกคนเข้าใจทันทีว่าองค์รัชทายาทต้องการจะเชือดไก่ให้ลิงดูทันทีที่องค์รัชทายาทเลิกว่าราชการก็นำองครักษ์ไปที่พระที่นั่งหย่างซินกุ้ยเฟยยังคงนั่งกินขนมอยู่ข้าง ๆ ในขณะที่ฮ่องเต้เฒ่าหลับไปแล้วเมื่อได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวนอกประตู กุ้ยเฟยก็สะดุ้งทันที และเห็นองค์รัชทายาทพาคนบุกเข้ามาด้วย“องค์รัชทายาท นี่ท่านมาทำอะไรเพคะ?”“ทหาร จงจับสตรีนางนี้เสีย!”บรรดาองครักษ์ก
หากฮ่องเต้เฒ่ายังมีสติอยู่ ก็คงจะดุด่าองค์รัชทายาทว่าอกตัญญูอย่างแน่นอนน่าเสียดายที่เขามีอาการปวดหัวอย่างรุนแรงจึงไม่สามารถตอบโต้อะไรได้องค์รัชทายาทก้าวออกจากประตูพระที่นั่งหย่างซิน และหันไปสั่งให้คนของตนเฝ้าหน้าประตูเอาไว้“หากมีการเคลื่อนไหวใด ๆ จากทางฝ่าบาท จงอย่าลืมแจ้งข้า หากไม่ได้รับอนุญาตจากข้า ห้ามใครเข้าเฝ้าฝ่าบาททั้งนั้น”“รับบัญชาพ่ะย่ะค่ะ!”เขาวางแผนที่จะจองจำฮ่องเต้เอาไว้ด้วยวิธีนี้ ถึงแม้เขาจะเป็นองค์รัชทายาท แต่เขาก็สามารถควบคุมแคว้นอู๋ตะวันตกได้อย่างสมบูรณ์รอให้เรื่องในภายภาคหน้าบรรลุผลสำเร็จและปล่อยให้ฮ่องเต้เฒ่าป่วยตายไปเท่านี้ก็พอแล้วในคืนเดียวกันกับที่กุ้ยเฟยถูกจับกุม องค์รัชทายาทก็ได้เชิญคนสองคนที่ยังคงถูกคุมขังในพระที่นั่งชิงอวิ๋นออกมาท่าทางของเขาสุภาพอ่อนน้อม และเขาก็มาพร้อมกับชายารัชทายาทฉางเหลียนในเวลานี้ทั้งสองคนแต่งตัวเรียบร้อย องค์รัชทายาทที่แต่งกายด้วยเครื่องแบบราชสำนักสีเหลืองสว่างกล่าวด้วยความเคารพ “ต้องขออภัยด้วยที่ทำให้ทั้งสองท่านต้องลำบากอยู่ที่นี่”ซูชิงอู่พูดขณะดื่มชา “ไม่หรอกเพคะ มีทั้งชาและของว่างคอยบริการไม่ขาด ท่านอ๋องกับหม่อมฉ
สงครามครั้งนี้กินเวลานานกว่าหนึ่งปีและจบลงด้วยความพ่ายแพ้ของแคว้นอู๋ตะวันตกในที่สุดบรรดาผู้คนที่เคยคิดว่าแคว้นหนานเย่ไม่เจียมตัวและยั่วยุแคว้นหนานเย่ต่างตกตะลึงทั้งสองแคว้นยุติการสู้รบ และองค์รัชทายาทแห่งแคว้นอู๋ตะวันตกซึ่งเป็นผู้ถืออำนาจได้ลงนามในสัญญาสงบศึกด้วยตนเองจากนี้ไป แคว้นอู๋ตะวันตกไม่เพียงแต่ส่งตัวเชลยกลับไปยังดินแดนของแคว้นหนานเย่เท่านั้น แต่ยังจะให้เมืองชายแดนทั้งสิบสองเมืองส่งเครื่องบรรณาการให้ทุกปีกองทัพเขตเจิ้นเป่ยได้รับชัยชนะครั้งยิ่งใหญ่ ไม่ช้าข่าวนี้ก็แพร่กระจายไปยังเมืองหลวงของแคว้นหนานเย่หลังจากที่เย่ชิวหมิงผู้เป็นฮ่องเต้ได้รับข่าว เขาก็สั่งแต่งตั้งอ๋องเสวียนให้เป็นผู้สำเร็จราชการแทนแม้ต้องแบ่งใต้หล้าให้เขาก็ยินดีหนึ่งเดือนต่อมา ซูชิงอู่และเย่เสวียนถิงนำชัยชนะกลับมายังราชสำนักพร้อมกับกองทัพเขตเจิ้นเป่ยบางส่วนและคนที่ติดตามซูชิงอู่กลับมาด้วยก็ยังมีซูเชียนหมิงพี่รองของนางหลังจากได้รับบาดเจ็บสาหัสในครั้งก่อน ซูเชียนหมิงก็ได้พักฟื้นอยู่ในกองทัพ ด้วยความที่เขายังหนุ่มแน่นสุขภาพดี ตอนนี้จึงฟื้นตัวกลับมาได้มากกว่าครึ่ง และไม่ส่งผลกระทบกับการเคลื่อนไหวที
ดวงตาของนางเปลี่ยนเป็นสีแดงรื้นทันที และนางก็รู้สึกอบอุ่นในหัวใจขึ้นมาเมื่อเห็นเด็กน้อยตัวอ้วนท้วมทั้งสองคน“สูงขึ้นถึงเพียงนี้แล้วสินะ อีกทั้งยังเดินได้ด้วย และเดินกันเก่งมาก!”ซูไทเฮาหัวเราะเบา ๆ และทันใดนั้นนางก็ก้มลงไปตบศีรษะเจ้าหนูคนโตและเจ้าหนูคนรองเบา ๆ “ไหน เรียกแม่ซิ”เด็กน้อยทั้งสองเงยหน้าขึ้น ดวงตากลมโตเหมือนลูกองุ่นสีเข้มเปล่งประกายสดใสเจ้าหนูคนโตมาหยุดอยู่ตรงหน้าซูชิงอู่พลางยกมือคว้าปอยผมยาวของนางเขาไม่ได้ออกแรงดึง เพียงแต่พูดด้วยความประหลาดใจ “แม่...จ๋วย…”เจ้าหนูคนรองปล่อยมือของซูไทเฮา จากนั้นเดินเตาะแตะทีละก้าวไปหาซูชิงอู่ พลางอ้าแขนกอดนาง“ตั้นแม่...”ดวงตาของซูชิงอู่เบิกกว้างด้วยความเหลือเชื่อเป็นครั้งแรกที่นางได้ยินเด็กน้อยทั้งสองพูดแม้จะพูดไม่ชัดแต่ก็สามารถเข้าใจได้อย่างชัดเจนนางรู้ว่าเด็ก ๆ กำลังบอกว่านางสวยซูชิงอู่อดไม่ได้ที่จะเลิกคิ้วและหัวเราะแต่ก็ความรู้สึกผิดผุดขึ้นในใจเช่นกันนางอุ้มลูกทั้งสองคนของตนไว้ในอ้อมแขน“แม่ขอโทษที่ไม่ได้มีเวลาอยู่กับพวกเจ้านะ”เมื่อได้ยินเช่นนั้น ซูไทเฮาก็กล่าวว่า “สำหรับเจ้าและเสวียนถิงแล้วมันไม่ง่ายเลย คราว
คนขายเนื้อทำสีหน้าหวาดกลัว “คนผู้นี้เลวทรามถึงเพียงนี้เลยรึ?”“เจ้าคอยระวังตัวเอาไว้ก็ไม่เป็นไรแล้ว ทางนั้นตรวจดูเสร็จรึยัง? ไปกันต่อเถิด!”เมื่อกองกำลังทำการค้นหาเสร็จเรียบร้อย คนขายเนื้อก็ยิ้มมุมปากเบา ๆเขาคิดไม่ถึงเลยว่าคนเหล่านี้จะพบเบาะแสทางตะวันตกของเมืองเร็วถึงเพียงนี้หากเขาไม่ได้เตรียมพร้อมมาก่อนหน้านี้และรีบปลอมตัวโดยไว เขาก็คงจะถูกจับได้ไปแล้วคนขายเนื้อรีบเข้าไปยังพื้นที่ด้านในสุดของร้านเขาเหลือบมองหนอนกู่ที่ซ่อนเอาไว้ในตู้ในหนึ่ง และเมื่อเปิดตู้ใบนั้น ดวงตาของเขาก็ฉายแววน่ากลัวออกมาผ่านมาหลายปี ดูเหมือนโลกภายนอกจะลืมความน่ากลัวของภูเขาศักดิ์สิทธิ์ไปแล้ว เริ่มแรกนั้นพวกเขาได้ครอบครองตำแหน่งระดับสูงของราชวงศ์ในแคว้นต่าง ๆ ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงตำแหน่งในนามแต่มันสามารถแทรกแซงแคว้นนั้น ๆ และพลิกสถานการณ์ได้ตอนนี้เรื่องที่สำคัญที่สุดคือการแอบเข้าไปในพระราชวังเพื่อช่วยเหลือเจียงเฟยเอ๋อร์หากต้องการเข้าไปในพระราชวังมีการคุ้มกันอย่างแน่นหนาได้ก็ต้องใช้วิธีที่ต่างออกไปบุรุษผู้นั้นออกจากร้านขายเนื้อหมูที่ถูกตรวจค้นเรียบร้อยแล้ว พร้อมกับปิดประตูร้านแสร้งทำเป็นออกไปทำธุร
หลังจากซูชิงอู่ส่งชิงอวี่ออกไปก็ยังคงตื่นเต้นอยู่เล็กน้อยซูชิงอู่หาคนมาวาดภาพเหมือนเจ้าอาวาสในปีที่แล้วและส่งต่อให้คนอื่น ๆ เพื่อช่วยกันค้นหา ซึ่งมันก็ผ่านมานานมากแล้ว และมีเพียงชิงอวี่เท่านั้นที่นำข่าวที่ได้รับการยืนยันกลับมาแจ้งนางแม้จะยังไม่ได้เจอคนผู้นั้น แต่ก็หมายความว่านางจะได้รู้ความจริงของการตายของท่านแม่เสียทีหลังจากสงบสติอารมณ์ได้ ซูชิงอู่ก็ตัดสินใจเดินทางไปทันทีนางอยากไปเจอจิ้งซินผู้นั้นด้วยตนเองและถามเขาว่าเหตุใดตอนนั้นเขาถึงฆ่าท่านแม่ของนาง!คืนเดียวกันนั้นซูชิงอู่ได้พูดคุยเรื่องนี้กับเย่เสวียนถิงเมื่อเย่เสวียนถิงได้รับรู้เรื่องราวก็พยักหน้าเบา ๆ และตัดสินใจอย่างทันทีว่า “ข้าจะส่งคนไปจับเขามาให้เจ้า”ซูชิงอู่ได้ยินอีกฝ่ายตอบง่าย ๆ และห้วนก็อดไม่ได้ที่จะตะลึงและหัวเราะ“ได้”ตอนนี้มีศิษย์พี่ของเจียงเฟยเอ๋อร์คอยจับตาดูอยู่ในเมืองหลวง ซูชิงอู่จึงไม่สามารถไปหาคนผู้นั้นพร้อมกับชิงอวี่ได้บรรยากาศในเมืองหลวงเริ่มตึงเครียดขึ้นเรื่อย ๆแม้แต่ฮ่องเต้เช่นเย่ชิวหมิงก็สังเกตเห็นสัญญาณของเหตุการณ์ร้ายแรงบางอย่างที่กำลังจะตามมาเขาเคยได้ยินซูชิงอู่พูดว่าศัตรูที่ซ่อนตัวอ
ไป๋เฟิงก้มหัวลงอย่างเชื่อฟัง ราวกับมันได้กลายเป็นแมวตัวใหญ่ไปแล้วซูชิงอู่อดหัวเราะไม่ได้ “เจ้าคงเหนื่อยแย่ วันนี้ทำได้ดีมาก”ในที่สุดก็ได้ใช้ประโยชน์จากไป๋เฟิง สมกับที่เลี้ยงมันมานานไป๋เฟิงยืนขึ้นและอ้าปากหาว ส่วนสิงโตขนทองคำที่อยู่ข้าง ๆ ย่องเข้ามาทางด้านหลังซูชิงอู่ และใช้หัวถูเอวของนางดูเหมือนว่ามันต้องการให้ซูชิงอู่ลูบมันด้วยคนอื่น ๆ มองไปยังซูชิงอู่ที่มีร่างกายบอบบางยืนอยู่ตรงหน้าสัตว์ดุร้ายทั้งสอง พวกเขาทั้งหมดก็พูดไม่ออกอยู่นานนี่มัน...ร้ายกาจเกินไปแล้ว!แม้แต่กลุ่มบุรุษร่างใหญ่เช่นพวกเขาก็ยังไม่กล้าเข้าใกล้สัตว์ดุร้ายทั้งสองแม้แต่ครึ่งก้าว ทว่าซูชิงอู่กลับสามารถมีปฏิสัมพันธ์กับพวกมันได้อย่างกลมกลืนเหมือนพวกมันเป็นสัตว์เลี้ยงของนางเมื่อไม่ถูกยุงกัดและกินยาสมุนไพรที่ผสมไว้แล้ว ม้าทุกตัวในสนามฝึกก็สงบลงและกลับสู่ภาวะปกติทันทีที่ซูชิงอู่กลับมาถึงตำหนัก ก็เห็นหรงหย่าวิ่งเข้ามา“พระชายา เมื่อครู่มีคนมาพบท่านและบอกว่ามีเรื่องด่วนต้องรายงาน”“มีเรื่องด่วนอะไรรึ?”หรงหย่าส่ายหัว “ข้าก็ไม่รู้เช่นกัน ท่านไปดูก่อนเถิด”ซูชิงอู่สั่งให้คนพาผู้ส่งข่าวเข้ามาทันทีนางจ้อง
เลือดของแมลงวันติดอยู่ที่มือของซูชิงอู่ส่งกลิ่นแปลก ๆ ออกมาเมื่อซูชิงอู่มองชัด ๆ นางก็ได้รู้ว่ามันไม่ใช่แมลงวันแต่เป็น…แมลงมีปีกชนิดหนึ่งที่มีลักษณะคล้ายแมลงวันปากของแมลงมีความคมมาก สามารถเจาะทะลุขนของสัตว์บางชนิดได้ง่าย ทว่าแมลงมีปีกชนิดนี้ไม่สนใจมนุษย์และจะกัดเฉพาะสัตว์เท่านั้นที่แท้นี่คือสาเหตุหลักที่ทำให้สัตว์ในเมืองหลวงบ้าคลั่งในช่วงหลายวันนี้!ซูชิงอู่ยังสังเกตเห็นว่ายุงเหล่านี้ถูกพิษและเมื่อพวกมันแพร่พันธุ์ ในไข่ก็มีสารพิษดังกล่าวติดไปด้วยขอเพียงแมลงเหล่านี้ยังกัดสัตว์ต่อไป สารพิษก็จะค่อย ๆ สะสมทีละน้อยสุดท้ายก็ถึงขั้นทำให้เสียสติ!คนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้มีเจตนาชั่วร้ายหากนางไม่ค้นพบสิ่งนี้ก่อน เกรงว่าม้าศึกทั้งหมดจะต้องตายไปด้วยความบ้าคลั่งอีกทั้งยังไม่อาจทราบสาเหตุได้แน่นอนว่าม้าศึกเป็นส่วนสำคัญในกองทัพ หากทหารม้าเสียม้าไป ก็คงไม่ต่างไปจากคนอ่อนแอไร้ค่า...ซูชิงอู่ตัดสินใจอย่างรวดเร็ว“นำม้าทุกตัวไปไว้ในที่ปิดและหาทางฆ่าแมลงมีปีกเหล่านี้ให้สิ้นเสีย”รองแม่ทัพที่ติดตามนางมารีบจำคำสั่งนี้เอาไว้ทันที“รับทราบพ่ะย่ะค่ะพระชายา!”เขาก็รีบกระจายคำสั่งออก
เมื่อเย่เสวียนถิงได้ยินสิ่งที่ซูชิงอู่พูด สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นเยือกเย็น “ข้าจะส่งคนไปตรวจสอบ”ซูชิงอู่ส่ายหัวทันที “ยาพิษนี้คงไม่ได้อยู่ในอาหารสัตว์ อีกทั้งเมื่อมาลองคิดดู สัตว์ป่าจำนวนมากที่อยู่ใกล้เมืองหลวง รวมไปถึงม้าศึกล้วนติดพิษกันหมด มีเพียงมนุษย์เท่านั้นที่ไม่เป็นอะไร นี่เป็นเรื่องที่แปลกมาก และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือไม่มีใครสามารถวางยาพิษม้าศึกในเมืองหลวงได้อย่างเงียบ ๆ ”การวิเคราะห์ของซูชิงอู่นั้นสมเหตุสมผลมาก แม้แต่เย่เสวียนถิงเองก็ขมวดคิ้วขึ้นมาหากหาสาเหตุไม่พบก็แก้ปัญหาไม่ได้แม้จะรักษาม้าหนึ่งในนั้นจนหายขาด แต่ก็จะกลับมามีอาการเดิมในอีกไม่ช้าไม่ไกลกันนักก็มีนายทหารระดับสูงนายหนึ่งวิ่งเข้ามาเขาหอบหายใจและกล่าวว่า “ท่านอ๋อง ทำการตรวจสอบเสบียงอาหารแล้วไม่พบสิ่งผิดปกติพ่ะย่ะค่ะ”“น้ำล่ะ?”“ตรวจสอบน้ำแล้วเช่นกัน ไม่มีร่องรอยของการวางยาพิษเลยพ่ะย่ะค่ะ”เมื่อได้ยินรายงาน เย่เสวียนถิงก็ขมวดคิ้วหนักกว่าเก่าคราวนี้แย่แล้วสิซูชิงอู่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ช่วยทำให้ม้าทุกตัวสงบลงก่อนได้หรือไม่ เดี๋ยวข้าจะเข้าไปดูรางอาหารม้าเอง”“ได้พ่ะย่ะค่ะพระชายา กรุณารอสักครู่ ก
เริ่มแรก เขาสงสัยในเรื่องที่ซูชิงอู่เคยพูดจนเกิดความคิดจินตนาการบางส่วนขึ้นมา เรียกได้ว่าตอนกลางวันก็เอาแต่นึกถึง ตกกลางคืนก็เก็บมาฝันอีกแต่เขาไม่เคยได้ยินซูชิงอู่พูดถึงเรื่องนี้มาก่อนเลยจริง ๆเนื่องจากความฝันนั้นมันดูเพ้อเจ้อเกินไป เย่เสวียนถิงจึงไม่พูดออกมา เพราะกลัวว่ามันจะเป็นการเพิ่มภาระให้กับซูชิงอู่อย่างไม่มีเหตุผลหลายวันมานี้ซูชิงอู่อาศัยอยู่กับลูกน้อยทั้งสามของนางเพื่อชดเชยช่วงเวลาที่นางห่างพวกเขาไปนานเด็ก ๆ ที่เพิ่งจะอายุได้ไม่กี่เดือนแต่กลับต้องห่างจากอ้อมอกของพ่อแม่ นั่นทำให้ซูชิงอู่รู้สึกผิดขึ้นมาดังนั้นนางจึงไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องภายนอกมากนักทันใดนั้นนางก็นึกอะไรออกและถามว่า “เสวียนถิง ช่วงนี้หมาป่าเหล่านั้นที่อยู่ข้างนอกเป็นอย่างไรบ้าง?”เย่เสวียนถิงเงยหน้าขึ้นและพูดว่า “ไม่ได้มีเพียงสัตว์ร้าย แต่ยังกระทบไปถึงม้าศึกด้วย ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงเริ่มไม่เชื่อฟังคำสั่งกัน”“เดี๋ยวข้าจะไปตรวจสอบเรื่องนี้เสียหน่อย”ซูชิงอู่รู้สึกได้โดยไม่รู้ตัวว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องเกี่ยวกับเรื่องนี้แม้เรื่องจะดูเป็นเรื่องเล็กน้อยและไม่มีผลกระทบกับมนุษย์มากนัก แต่นางก็รู้สึกอ
ทันใดนั้นหมอหลวงซุนก็เหมือนจะคิดอะไรออก “เหมือนกับตอนที่พระชายาใช้ดอกไม้ชนิดหนึ่งเพื่อทำให้ม้าพยศคลั่งใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”“อืม ทำนองนั้นแหละ”สิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งที่นางพบในเภสัชตำรับ และหากใช้มัน ผลลัพธ์ที่ได้จะน่าทึ่งมากแม้ลงมือไปอย่างกะทันหัน แต่ก็ไม่มีใครจับได้ปรมาจารย์มือวางพิษที่แท้จริงคือผู้ที่วางยาพิษโดยไม่ทิ้งหลักฐานใด ๆ เอาไว้“ขอบพระทัยพระชายาสำหรับคำชี้แนะ หลังจากที่ได้พูดคุยกับท่าน กระหม่อมก็เข้าใจอย่างกระจ่างแจ้งแล้วพ่ะย่ะค่ะ”ซูชิงอู่ปิดเภสัชตำรับ “ข้าท่องเภสัชตำรับนี้จนจำขึ้นใจ และเข้าใจเนื้อหาด้านในได้คร่าว ๆ เพียงแต่ยังไม่พบวิธีที่จะไขความลับที่อยู่ในนั้น หวังว่าท่านจะช่วยเรื่องนี้ได้”คราวนี้ ทุกคนเชื่อมั่นในคำพูดของซูชิงอู่สิ่งที่พวกเขาไม่ได้สนใจ แต่พระชายากลับนำมาใช้งานได้ถึงขั้นนี้ ยังมีอะไรที่ต้องพูดกันอีกหรือ?ตาแก่เช่นพวกเขาที่อาศัยว่าตนอายุมากทำตัวอาวุโสดูถูกผู้อื่นนั้นเทียบเทียมพระชายาไม่ได้เลย!หลังจากที่ซูชิงอู่อธิบายเรื่องนี้จบ นางก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกและแอบหลบออกมาทางประตูใหญ่นางกลัวว่าคนเหล่านั้นจะถามนางว่านางศึกษาเรียนรู้ทักษะทางการ
หมอหลวงซุนขมวดคิ้วเล็กน้อย“อย่าพูดไร้สาระ นั่นจะเป็นไปได้อย่างไร? พระชายาไม่จำเป็นต้องโกหกพวกเราเลย โกหกพวกเราไปแล้วนางจะได้ประโยชน์อะไร?”คำพูดนี้ก็ถือว่ามีเหตุผลทุกคนต่างพูดไม่ออกทำได้แค่นั่งเงียบ ๆ แล้วพลิกหน้าอ่านต่อไปพลิกหน้ากระดาษตั้งแต่เช้าจรดค่ำ และอ่านจนถึงเช้าวันรุ่งขึ้นตำราทั้งเล่มถูกอ่านจนจบอย่างรวดเร็ว ทุกคนในสำนักหมอหลวงไม่ได้นอนมาสองวันสองคืน และตอนนี้ทุกคนดูเหนื่อยและมีสีหน้าทรุดโทรมเมื่ออ่านหน้าจนถึงสุดท้าย แม้แต่หมอหลวงซุนก็ตกอยู่ในความเงียบเพราะเภสัชตำรับเล่มนี้บันทึกเฉพาะโรคและวัตถุดิบยาที่ธรรดาทั่วไปมาก ๆ บางส่วนเท่านั้นข้อแตกต่างเพียงหนึ่งเดียวคือผู้อาวุโสเช่นพวกเขาได้เรียนรู้เกี่ยวกับวัตถุดิบยาหลายประเภทและพัฒนาแนวคิดใหม่ ๆแม้จะไม่ไร้ประโยชน์ แต่ความคาดหวังกับผลลัพธ์ก็แตกต่างกันมากเลยทีเดียวถึงขั้นทำให้พวกเขาขาดความมั่นใจและอดไม่ได้ที่จะคิดว่านี่น่ะหรือคือเภสัชตำรับที่ตระกูลฟางเฝ้าหวงแหนมานานหลายปี?ดวงตาของหมอหลวงซุนเต็มไปด้วยสีแดงก่ำที่เกิดจากการอดนอน“ในเมื่อเภสัชตำรับของตระกูลฟางไร้ประโยชน์ เช่นนั้นพระชายาไปเรียนรู้ทักษะด้านการแพทย์มา
“นี่คือวัตถุดิบยาและปริมาณที่คนผู้นั้นทำการวางยา ที่สำนักหมอหลวงของพวกท่านมีสิ่งนี้อยู่แล้ว หากจะทำยาถอนพิษก็คงไม่ใช่เรื่องยากกระมัง”“ไม่ยากพ่ะย่ะค่ะ ไม่ยาก!”หมอหลวงซุนยิ้มร่าราวกับได้รับสมบัติเขามองซูชิงอู่ที่ยังอยู่ในวัยหนุ่มสาว แต่กลับเก่งกาจกว่าเหล่าคนชราเช่นพวกเขาเมื่อรวมกับเภสัชตำรับของตระกูลฟางที่ซูชิงอู่พูดถึง หมอหลวงเฒ่าก็ดีใจจนเนื้อเต้นหากได้เรียนรู้และกลายเป็นคนที่เก่งกาจเหมือนพระชายา ระดับความรู้ของเขาก็จะเพิ่มขึ้นไปด้วยหรือไม่?แต่หมอหลวงซุนไม่เคยรู้เลยว่าทุกสิ่งที่ซูชิงอู่เรียนรู้ไม่ได้มาจากเภสัชตำรับของตระกูลฟางในเภสัชตำรับเล่มนั้นมีความแตกต่างตรงจุดไหน ตัวซูชิงอู่ในตอนนี้ก็ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำแม้ตอนตายไปในชาติก่อน เภสัชตำรับก็ถูกทำลายและไม่มีใครเห็นความลับที่ซ่อนอยู่ในนั้นจุดเด่นเพียงหนึ่งเดียวของเภสัชตำรับเล่มนั้นคือบันทึกข้อมูลวัตถุดิบยาจำนวนมากที่คนทั่วไปไม่ทราบและสรรพคุณลับบางส่วนบรรดาผู้อาวุโสของสำนักหมอหลวงพากันมาช่วยคิดค้นยาถอนพิษเพื่อที่จะได้อ่านเภสัชตำรับนั้นเร็ว ๆในที่สุดเช้าวันรุ่งขึ้นยาที่สามารถฟื้นฟูสติของสัตว์ร้ายได้ก็ถูกส่งมาให้ฮ่องเต้