จิตใจของเขาสั่นไหว และอดไม่ได้ที่จะลูบหัวของซูชิงอู่ซูชิงอู่หันกลับมาทันที พลางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ตอนนี้ท่านคือองค์รัชทายาทแห่งแคว้นอู๋ตะวันตก อย่าลืมบรรดาคนที่อยู่รอบตัวเขา และพยายามอย่าสร้างปัญหาให้ตัวเอง”เย่เสวียนถิงตกตะลึงไปชั่วขณะ จากนั้นก็เข้าใจว่าซูชิงอู่หมายถึงอะไรเขาขมวดคิ้วและพูดเสียงเรียบ “ตัวตนนี้จะใช้ได้เพียงสองวันเท่านั้น”ซูชิงอู่รีบเดินออกจากประตู “เช่นนั้นข้าขอตัวกลับก่อน มีเรื่องอะไรค่อยหารือกันวันหลัง”นางพูดกับเย่เสวียนถิงเพียงไม่กี่คำ และไม่อยากเสียเวลาไปมากกว่านี้เย่เสวียนถิงมองตามหลังนางไปและส่ายหัวอย่างจนใจเมื่อเห็นซูชิงอู่ออกมา นางกำนัลอาวุโสที่เฝ้าดูอยู่ก็รีบไปส่งข่าวให้ชายารัชทายาททันที“ออกมาแล้วเพคะ นางนั่นไม่ได้อยู่ในห้องหนังสือ นางถูกองค์รัชทายาททรงไล่ออกมาเพคะ!”ดวงตาของชายารัชทายาทเป็นประกาย และนางก็ลุกขึ้นยืนทันทีนางถอนหายใจด้วยความโล่งอกแล้วพูดว่า “ดูเหมือนว่าองค์รัชทายาทจะทรงไม่ค่อยโปรดนางคนนั้นมากนัก”“พระชายา องค์รัชทายาทเสด็จกลับมาในครั้งนี้คงจะทรงอารมณ์ไม่ดีและต้องการความสงบ ท่านอย่าคิดมากไปเลยนะเพคะ…”ในที่สุดชายา
คนเหล่านั้นมาถึงอย่างเงียบ ๆ และไม่ทำให้องครักษ์ประจำตำหนักบูรพาสังเกตเห็นในตำหนักแห่งนี้องค์รัชทายาทไม่มีแม้แต่องครักษ์ลับคอยปกป้องชายชุดดำแงะกระเบื้องหลังคา ช่วงเวลาต่อมา ร่างหลายร่างรีบวิ่งตรงไปด้านหลังฉากกั้นในห้อง ก่อนที่พวกเขาจะเข้ามาใกล้ พวกเขาก็ปาอาวุธลับหลายอันในมือออกไปและอาวุธเหล่านั้นก็พุ่งไปที่กลางหน้าผากของเงาร่างหลังฉากกั้นลม“ปึง ปึง ปึง!”ทันใดนั้น ก็ได้ยินเสียงลูกดอกปักกระทบไม้ดังก้องอยู่ในหูเห็นได้ชัดว่าชายชุดดำหลายคนตกตะลึง หลังจากมองหน้ากัน ก็มีคนลดเสียงลงและพูดว่า “แย่แล้ว นี่มันกับดัก!”หนึ่งในนั้นเดินเข้าไปอย่างกล้าหาญและผลักหน้าฉากกั้นลมลง มีเพียงเสื้อผ้าชิ้นหนึ่งห้อยอยู่ด้านหลัง และไม่มีร่างขององค์รัชทายาทเลยเขาไม่ได้อยู่ที่นี่!คนที่คอยแอบดูไม่เห็นว่าองค์รัชทายาทออกไปข้างนอกด้วยซ้ำมีชายชุดดำเจ็ดคนที่บุกเข้ามาทั้งเจ็ดคนมองหน้ากันแล้วก็ตระหนักได้ว่าตนทำอะไรลงไป และคิดจะกลับไปยังเส้นทางเดิมที่อยู่บนหลังคาหากไม่สามารถสังหารได้ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว ก็เท่ากับเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่นแต่ทันใดนั้น ก็มีควันกระจายมาจากบริเวณโดยรอบเมื่อคนเหล
หลังจากการต่อสู้อันวุ่นวายระยะหนึ่ง มือสังหารทั้งหมดก็ถูกจับตัวไปไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่อยากหนี หรือทักษะการต่อสู้ของพวกเขาไม่แข็งแกร่งพอ แต่พวกเขาไม่ทันระวังระเบิดควันที่เย่เสวียนถิงทิ้งเอาไว้ชายชุดดำที่อยู่ในห้องสูดควันเข้าไปโดยไม่ได้ตั้งใจ หลังจากออกไปข้างนอก พวกเขารู้สึกว่ามือและเท้าของตนอ่อนแรงและไม่สามารถใช้กำลังได้นั่นเป็นสาเหตุที่พวกเขาถูกจับหลังจากการต่อสู้ไปได้ไม่เท่าไรชายารัชทายาทที่ทราบข่าวก็รีบลุกขึ้นจากเตียงแม้จะเป็นตอนกลางคืนเพื่อไปยังที่เกิดเหตุเมื่อเห็นชายชุดดำถูกจับ นางก็เข้าไปเดินดูรอบ ๆ และพบลูกดอกที่ปักอยู่ด้านหลังเก้าอี้ ใบหน้าของนางซีดลงในทันทีและแทบจะล้มลงกับพื้นสีหน้าซีดเผือดนั้นไม่สามารถปกปิดได้แม้จะใช้น้ำยาประทินผิวก็ตาม“พระชายา องค์รัชทายาทจะทรงไม่เป็นอะไรเพคะ โปรดอย่าได้กังวล…”นางกำนัลอาวุโสหลายคนพยายามปลอบใจนาง ซึ่งทำให้สีหน้าของชายารัชทายาทดีขึ้นเล็กน้อยหัวหน้าองครักษ์เหลือบมองมือสังหารที่ถูกจับมัดไว้และหันมาเอ่ยขอโทษด้วยเสียงทุ้มต่ำ “เป็นความผิดของกระหม่อมที่ทำหน้าที่คุ้มกันได้ไม่ดีและทำให้องค์รัชทายาททรงตกอยู่ในอันตราย ขอพระชายาโปรดลงโทษด้ว
“เสด็จพ่อ เรื่องสงครามก็ยังไม่เป็นที่แน่นอน อีกทั้งรากฐานของลูกก็ไม่มั่นคง การโจมตีองค์รัชทายาทในตอนนี้ไม่มีประโยชน์อะไรกับลูกเลย มีแต่จะเพิ่มความขัดแย้งในบ้านเมืองเท่านั้น อีกทั้งยังมีสงครามชายแดนที่แคว้นหนานเย่กำลังได้เปรียบฝ่ายเรา รวมไปถึงภัยพิบัติในปัจจุบันที่กำลังเกิดขึ้น การสูญเสียว่าที่ประมุขของแคว้นไปจึงสร้างความเสียหายอย่างมากให้กับแคว้นอู๋ตะวันตกของพวกเราและไม่มีประโยชน์อะไรเลยพ่ะย่ะค่ะ…”สุดท้ายคำพูดเหล่านี้ก็ทำให้ฮ่องเต้ประทับใจฮ่องเต้เฒ่าแห่งแคว้นอู๋ตะวันตกหรี่ตาลงและครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “เช่นนั้นเจ้าคิดว่าเป็นฝีมือของใคร?”เหยียนจั๋วคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วส่ายหัว “ตอนนี้ลูกเองก็ยังเดาไม่ออก และองค์รัชทายาทก็อาจถูกลักพาตัวไปแล้วด้วยพ่ะย่ะค่ะ”“เช่นนั้นจุดประสงค์ที่จับตัวเขาไปเล่า?”เมื่อเผชิญกับคำถามของฮ่องเต้เฒ่า เหยียนจั๋วก็รู้สึกกดดันเล็กน้อยแต่หากเขาอธิบายไม่ชัดเจน มันคงจะกระตุ้นความฉงนสงสัยของเสด็จพ่อของเขาอย่างแน่นอนฮ่องเต้เฒ่าพอใจกับโอรสนอกสมรสผู้นี้ของเขามาก หลังจากที่เขาเอาชนะเย่เสวียนถิงในการต่อสู้เมื่อไม่กี่ปีก่อน เขาก็มีชื่อเสียงและกลายเป็นบุคคลที่โด่งด
เหยียนจั๋วหัวเราะด้วยความโกรธ“คนเก่ง ๆ รึ? ไม่ทราบว่าคนที่องค์ชายสามกล่าวมานั้นจะเป็นคนที่ยอดเยี่ยมเพียงใดถึงสามารถนำทหารทั้งสามกองทัพเอาชนะแคว้นหนานเย่ได้!”องค์ชายสามเขิดคางขึ้น “พอดีที่ครั้งนี้เสด็จพ่อทรงเรียกลูกมา จึงให้คนมารออยู่ที่นอกประตูแล้ว ไม่ทราบว่าเสด็จพ่อทรงอยากพบกับเขาหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”ฮ่องเต้เฒ่าหรี่ตาลงเล็กน้อยเขาเป็นเหมือนผู้ชมที่มองดูเหตุการณ์อย่างไม่แยแส ด้วยท่าทางที่เคร่งขรึมและดวงตาที่สงบนิ่ง ราวกับเขาไม่สะทกสะท้านเลยไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น“เรียกมา”นอกประตูมีร่างหนึ่งก้าวเข้ามาคนผู้นั้นมีรูปร่างผอมแห้งดูเหมือนคนป่วย แต่หน้าตาที่หล่อเหลาของเขานั้นเป็นที่น่าพึงพอใจเขาเดินยิ้มมุมปากมาถึงกลางพระตำหนักและทำความเคารพ“ขอถวายบังคมฝ่าบาท กระหม่อม…ซูฉางเซิงพ่ะย่ะค่ะ”ไม่มีใครรู้จักชื่อซูฉางเซิงแม้หลายคนจะรู้ว่าตระกูลซูแห่งแคว้นหนานเย่มีคุณชายสองท่าน เป็นขุนนางราชสำนักหนึ่งคนและทหารหนึ่งคน แต่ชื่อของพี่น้องคนอื่น ๆ นั้นยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัดนอกจากนี้ยังมีหลายคนที่ไม่เคยเห็นคุณชายห้าของตระกูลซู และถึงกับคิดว่าคุณชายห้าผู้นั้นตายไปแล้วด้วยซ้ำดังนั้นซูฉางเซ
“หากไม่ได้ผลก็ฆ่าพวกเขาเสีย”ซูฉางเซิงตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบเหยียนจั๋วหรี่ตาลง “เจ้าเป็นเจ้าของความคิดนี้แท้ ๆ ไม่ต้องชดใช้อะไรเลยรึ”ซูฉางเซิงมองอีกฝ่ายด้วยความสับสน “ขอบังอาจเรียนถามท่านแม่ทัพ เมื่อครู่ฝ่าบาทตรัสถามข้าถึงวิธีแก้ปัญหา ข้าก็เสนอความคิดเห็นไป แล้วข้ายังต้องชดใช้อะไรอีกหรือ?”องค์ชายสามรีบรับคำ “สิ่งที่คุณชายซูพูดนั้นถูกต้องแล้วพ่ะย่ะค่ะ”เหยียนจั๋ว “...”เขาคิดว่าสมองของน้องสามของเขาผู้นี้คงถูกสุนัขกินไปแล้วถึงได้ให้ความเคารพและสุภาพต่อคนนอกเช่นนี้ฮ่องเต้เฒ่าโบกมือ “เหยียนจั๋ว อย่าไร้มารยาท”เขานั่งตัวตรงแล้วถามซูฉางเซิงว่า “ข้ารู้พฤติกรรมของพวกหลอกลวงเหล่านั้นดี และไม่เชื่อว่ามีวิธีการเช่นนี้จริง ๆ มิฉะนั้นแคว้นอู๋ตะวันตกคงจะมีลมมีฝนไปแล้ว”ซูฉางเซิงยิ้ม เขาทำท่าทางไม่แยแส และไม่ได้ใส่ใจกับฐานะของอีกฝ่ายที่เป็นถึงฮ่องเต้ด้วยซ้ำ“กระหม่อมก็แค่พูดไปอย่างนั้น ขอฝ่าบาทโปรดมองเป็นเรื่องขำขัน แต่การทำเช่นนี้ก็ใช่ว่าจะไร้ประโยชน์นะพ่ะย่ะค่ะ เพราะมันสามารถปลอบประโลมจิตใจของราษฎรได้”“มีเหตุผล พูดต่อซิ”“ปัญหาการขาดแคลนเสบียงสามารถแก้ไขได้พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมทำก
“ขุนนางระดับสูงในราชสำนักหลายคนคิดว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเจ้า”องค์ชายสามมีท่าทีแข็งค้างและตื่นตระหนกขึ้นมาเขาคุกเข่าลงกับพื้นและพูดว่า “เสด็จพ่อ ลูกถูกใส่ร้าย แม้ลูกจะห้าวหาญมาจากไหน ก็มิอาจกล้าทำอะไรเสด็จพี่รัชทายาทได้พ่ะย่ะค่ะ!"ฮ๋องเต้เฒ่ามองสีหน้าของอีกฝ่ายอย่างพินิจจากนั้นเขาก็พูดว่า “ข้าเหนื่อยแล้ว ทุกคนออกไปเถิด”เขาไม่ถามอะไรอีกต่อไป และทำเพียงไล่ทุกคนในห้องออกไปเหยียนจั๋ว องค์ชายสามและซูฉางเซิงออกมาจากพระที่นั่งหย่างซินด้วยกัน ใบหน้าขององค์ชายสามยังคงซีดเซียว และเขาก็กัดฟันและพูดด้วยความโกรธ “เสด็จพ่อทรงคิดจะเอาเรื่องที่เสด็จพี่หายตัวไปโยนความผิดมาให้ข้าอย่างนั้นรึ พี่ซูดูสิ นี่มันไม่มีเหตุผลเลย!”ซูฉางเซิงยิ้มเล็กน้อย จากนั้นก็พูดปลอบใจเขา “องค์ชายสามไม่ต้องกังวลนะพ่ะย่ะค่ะ การที่ฮ่องเต้ตรัสถามต่อหน้าเช่นนี้ ก็แสดงว่าพระองค์เพียงแค่สงสัยเท่านั้น แต่ไม่ได้ทรงคิดว่าเป็นฝีมือของท่านหรอกพ่ะย่ะค่ะ”องค์ชายสามถอนหายใจด้วยความโล่งอก "ที่ท่านพูดก็ถูก แต่ข้าต้องระวังให้มากกว่านี้ ไม่เช่นนั้นอาจจะถูกผู้อื่นจับจุดอ่อนเอาได้ หน้าที่รับผิดชอบเรื่องเสบียงนี้ต่อไปก็ขอฝากพี่ซู
ชายารัชทายาทตกใจเมื่อได้ยินเช่นนั้น “กุ้ยเฟยมาทำอะไรที่นี่?”“อาจจะเพราะได้ยินว่าท่านป่วย พระนางจึงมาเยี่ยมท่านเพคะ”นางกำนัลอาวุโสที่อยู่ข้าง ๆ ตอบกลับชายารัชทายาทยกมือ “ช่วยประคองข้าลุกขึ้นหน่อย ข้าจะไปพบพระสนม”นางมาที่ประตูด้วยใบหน้าซีดเซียวและต้อนรับกุ้ยเฟยด้วยตัวเองซูชิงอู่ตามไปอย่างเงียบ ๆนางมาที่ประตูและเห็นเรือนร่างที่แต่งตัวหรูหราเดินลงมาจากเกี้ยวในขบวนมีนางกำนัลผู้น้อยและอาวุโสเป็นจำนวนมากยืนรอปรนนิบัติรับใช้หลังจากสตรีสวมเครื่องประดับมุกและอัญมณีทั่วทั้งตัวถูกประคองลงมา ก็ค่อย ๆ เงยหน้ามองมาทางชายารัชทายาทแล้วยิ้มบาง ๆเมื่อเห็นใบหน้าของสตรีนางนั้นอย่างชัดเจน ซูชิงอู่ก็รู้สึกว่าร่างกายของนางตึงเครียดขึ้น ภาพในความทรงจำเมื่อนานมาแล้วของนางดูเหมือนจะถูกดึงออกมาเพราะใบหน้าของกุ้ยเฟยนั้นมีความคล้ายคลึงกับใบหน้าของมารดาของนางมากกว่าครึ่งโดยเฉพาะดวงตาที่อบอุ่นราวกับสายน้ำในฤดูใบไม้ร่วง แทบจะถูกแกะสลักมาจากแม่พิมพ์เดียวกันนางมองกุ้ยเฟยด้วยความเหลือเชื่อ จนนางลืมที่จะมองไปทางอื่นชั่วขณะกุ้ยเฟยอยู่ในวัยสี่สิบ แต่นางดูไม่แก่ไปกว่าคนอายุสามสิบเลย นางงดงามราวกับกล
คนขายเนื้อทำสีหน้าหวาดกลัว “คนผู้นี้เลวทรามถึงเพียงนี้เลยรึ?”“เจ้าคอยระวังตัวเอาไว้ก็ไม่เป็นไรแล้ว ทางนั้นตรวจดูเสร็จรึยัง? ไปกันต่อเถิด!”เมื่อกองกำลังทำการค้นหาเสร็จเรียบร้อย คนขายเนื้อก็ยิ้มมุมปากเบา ๆเขาคิดไม่ถึงเลยว่าคนเหล่านี้จะพบเบาะแสทางตะวันตกของเมืองเร็วถึงเพียงนี้หากเขาไม่ได้เตรียมพร้อมมาก่อนหน้านี้และรีบปลอมตัวโดยไว เขาก็คงจะถูกจับได้ไปแล้วคนขายเนื้อรีบเข้าไปยังพื้นที่ด้านในสุดของร้านเขาเหลือบมองหนอนกู่ที่ซ่อนเอาไว้ในตู้ในหนึ่ง และเมื่อเปิดตู้ใบนั้น ดวงตาของเขาก็ฉายแววน่ากลัวออกมาผ่านมาหลายปี ดูเหมือนโลกภายนอกจะลืมความน่ากลัวของภูเขาศักดิ์สิทธิ์ไปแล้ว เริ่มแรกนั้นพวกเขาได้ครอบครองตำแหน่งระดับสูงของราชวงศ์ในแคว้นต่าง ๆ ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงตำแหน่งในนามแต่มันสามารถแทรกแซงแคว้นนั้น ๆ และพลิกสถานการณ์ได้ตอนนี้เรื่องที่สำคัญที่สุดคือการแอบเข้าไปในพระราชวังเพื่อช่วยเหลือเจียงเฟยเอ๋อร์หากต้องการเข้าไปในพระราชวังมีการคุ้มกันอย่างแน่นหนาได้ก็ต้องใช้วิธีที่ต่างออกไปบุรุษผู้นั้นออกจากร้านขายเนื้อหมูที่ถูกตรวจค้นเรียบร้อยแล้ว พร้อมกับปิดประตูร้านแสร้งทำเป็นออกไปทำธุร
หลังจากซูชิงอู่ส่งชิงอวี่ออกไปก็ยังคงตื่นเต้นอยู่เล็กน้อยซูชิงอู่หาคนมาวาดภาพเหมือนเจ้าอาวาสในปีที่แล้วและส่งต่อให้คนอื่น ๆ เพื่อช่วยกันค้นหา ซึ่งมันก็ผ่านมานานมากแล้ว และมีเพียงชิงอวี่เท่านั้นที่นำข่าวที่ได้รับการยืนยันกลับมาแจ้งนางแม้จะยังไม่ได้เจอคนผู้นั้น แต่ก็หมายความว่านางจะได้รู้ความจริงของการตายของท่านแม่เสียทีหลังจากสงบสติอารมณ์ได้ ซูชิงอู่ก็ตัดสินใจเดินทางไปทันทีนางอยากไปเจอจิ้งซินผู้นั้นด้วยตนเองและถามเขาว่าเหตุใดตอนนั้นเขาถึงฆ่าท่านแม่ของนาง!คืนเดียวกันนั้นซูชิงอู่ได้พูดคุยเรื่องนี้กับเย่เสวียนถิงเมื่อเย่เสวียนถิงได้รับรู้เรื่องราวก็พยักหน้าเบา ๆ และตัดสินใจอย่างทันทีว่า “ข้าจะส่งคนไปจับเขามาให้เจ้า”ซูชิงอู่ได้ยินอีกฝ่ายตอบง่าย ๆ และห้วนก็อดไม่ได้ที่จะตะลึงและหัวเราะ“ได้”ตอนนี้มีศิษย์พี่ของเจียงเฟยเอ๋อร์คอยจับตาดูอยู่ในเมืองหลวง ซูชิงอู่จึงไม่สามารถไปหาคนผู้นั้นพร้อมกับชิงอวี่ได้บรรยากาศในเมืองหลวงเริ่มตึงเครียดขึ้นเรื่อย ๆแม้แต่ฮ่องเต้เช่นเย่ชิวหมิงก็สังเกตเห็นสัญญาณของเหตุการณ์ร้ายแรงบางอย่างที่กำลังจะตามมาเขาเคยได้ยินซูชิงอู่พูดว่าศัตรูที่ซ่อนตัวอ
ไป๋เฟิงก้มหัวลงอย่างเชื่อฟัง ราวกับมันได้กลายเป็นแมวตัวใหญ่ไปแล้วซูชิงอู่อดหัวเราะไม่ได้ “เจ้าคงเหนื่อยแย่ วันนี้ทำได้ดีมาก”ในที่สุดก็ได้ใช้ประโยชน์จากไป๋เฟิง สมกับที่เลี้ยงมันมานานไป๋เฟิงยืนขึ้นและอ้าปากหาว ส่วนสิงโตขนทองคำที่อยู่ข้าง ๆ ย่องเข้ามาทางด้านหลังซูชิงอู่ และใช้หัวถูเอวของนางดูเหมือนว่ามันต้องการให้ซูชิงอู่ลูบมันด้วยคนอื่น ๆ มองไปยังซูชิงอู่ที่มีร่างกายบอบบางยืนอยู่ตรงหน้าสัตว์ดุร้ายทั้งสอง พวกเขาทั้งหมดก็พูดไม่ออกอยู่นานนี่มัน...ร้ายกาจเกินไปแล้ว!แม้แต่กลุ่มบุรุษร่างใหญ่เช่นพวกเขาก็ยังไม่กล้าเข้าใกล้สัตว์ดุร้ายทั้งสองแม้แต่ครึ่งก้าว ทว่าซูชิงอู่กลับสามารถมีปฏิสัมพันธ์กับพวกมันได้อย่างกลมกลืนเหมือนพวกมันเป็นสัตว์เลี้ยงของนางเมื่อไม่ถูกยุงกัดและกินยาสมุนไพรที่ผสมไว้แล้ว ม้าทุกตัวในสนามฝึกก็สงบลงและกลับสู่ภาวะปกติทันทีที่ซูชิงอู่กลับมาถึงตำหนัก ก็เห็นหรงหย่าวิ่งเข้ามา“พระชายา เมื่อครู่มีคนมาพบท่านและบอกว่ามีเรื่องด่วนต้องรายงาน”“มีเรื่องด่วนอะไรรึ?”หรงหย่าส่ายหัว “ข้าก็ไม่รู้เช่นกัน ท่านไปดูก่อนเถิด”ซูชิงอู่สั่งให้คนพาผู้ส่งข่าวเข้ามาทันทีนางจ้อง
เลือดของแมลงวันติดอยู่ที่มือของซูชิงอู่ส่งกลิ่นแปลก ๆ ออกมาเมื่อซูชิงอู่มองชัด ๆ นางก็ได้รู้ว่ามันไม่ใช่แมลงวันแต่เป็น…แมลงมีปีกชนิดหนึ่งที่มีลักษณะคล้ายแมลงวันปากของแมลงมีความคมมาก สามารถเจาะทะลุขนของสัตว์บางชนิดได้ง่าย ทว่าแมลงมีปีกชนิดนี้ไม่สนใจมนุษย์และจะกัดเฉพาะสัตว์เท่านั้นที่แท้นี่คือสาเหตุหลักที่ทำให้สัตว์ในเมืองหลวงบ้าคลั่งในช่วงหลายวันนี้!ซูชิงอู่ยังสังเกตเห็นว่ายุงเหล่านี้ถูกพิษและเมื่อพวกมันแพร่พันธุ์ ในไข่ก็มีสารพิษดังกล่าวติดไปด้วยขอเพียงแมลงเหล่านี้ยังกัดสัตว์ต่อไป สารพิษก็จะค่อย ๆ สะสมทีละน้อยสุดท้ายก็ถึงขั้นทำให้เสียสติ!คนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้มีเจตนาชั่วร้ายหากนางไม่ค้นพบสิ่งนี้ก่อน เกรงว่าม้าศึกทั้งหมดจะต้องตายไปด้วยความบ้าคลั่งอีกทั้งยังไม่อาจทราบสาเหตุได้แน่นอนว่าม้าศึกเป็นส่วนสำคัญในกองทัพ หากทหารม้าเสียม้าไป ก็คงไม่ต่างไปจากคนอ่อนแอไร้ค่า...ซูชิงอู่ตัดสินใจอย่างรวดเร็ว“นำม้าทุกตัวไปไว้ในที่ปิดและหาทางฆ่าแมลงมีปีกเหล่านี้ให้สิ้นเสีย”รองแม่ทัพที่ติดตามนางมารีบจำคำสั่งนี้เอาไว้ทันที“รับทราบพ่ะย่ะค่ะพระชายา!”เขาก็รีบกระจายคำสั่งออก
เมื่อเย่เสวียนถิงได้ยินสิ่งที่ซูชิงอู่พูด สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นเยือกเย็น “ข้าจะส่งคนไปตรวจสอบ”ซูชิงอู่ส่ายหัวทันที “ยาพิษนี้คงไม่ได้อยู่ในอาหารสัตว์ อีกทั้งเมื่อมาลองคิดดู สัตว์ป่าจำนวนมากที่อยู่ใกล้เมืองหลวง รวมไปถึงม้าศึกล้วนติดพิษกันหมด มีเพียงมนุษย์เท่านั้นที่ไม่เป็นอะไร นี่เป็นเรื่องที่แปลกมาก และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือไม่มีใครสามารถวางยาพิษม้าศึกในเมืองหลวงได้อย่างเงียบ ๆ ”การวิเคราะห์ของซูชิงอู่นั้นสมเหตุสมผลมาก แม้แต่เย่เสวียนถิงเองก็ขมวดคิ้วขึ้นมาหากหาสาเหตุไม่พบก็แก้ปัญหาไม่ได้แม้จะรักษาม้าหนึ่งในนั้นจนหายขาด แต่ก็จะกลับมามีอาการเดิมในอีกไม่ช้าไม่ไกลกันนักก็มีนายทหารระดับสูงนายหนึ่งวิ่งเข้ามาเขาหอบหายใจและกล่าวว่า “ท่านอ๋อง ทำการตรวจสอบเสบียงอาหารแล้วไม่พบสิ่งผิดปกติพ่ะย่ะค่ะ”“น้ำล่ะ?”“ตรวจสอบน้ำแล้วเช่นกัน ไม่มีร่องรอยของการวางยาพิษเลยพ่ะย่ะค่ะ”เมื่อได้ยินรายงาน เย่เสวียนถิงก็ขมวดคิ้วหนักกว่าเก่าคราวนี้แย่แล้วสิซูชิงอู่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ช่วยทำให้ม้าทุกตัวสงบลงก่อนได้หรือไม่ เดี๋ยวข้าจะเข้าไปดูรางอาหารม้าเอง”“ได้พ่ะย่ะค่ะพระชายา กรุณารอสักครู่ ก
เริ่มแรก เขาสงสัยในเรื่องที่ซูชิงอู่เคยพูดจนเกิดความคิดจินตนาการบางส่วนขึ้นมา เรียกได้ว่าตอนกลางวันก็เอาแต่นึกถึง ตกกลางคืนก็เก็บมาฝันอีกแต่เขาไม่เคยได้ยินซูชิงอู่พูดถึงเรื่องนี้มาก่อนเลยจริง ๆเนื่องจากความฝันนั้นมันดูเพ้อเจ้อเกินไป เย่เสวียนถิงจึงไม่พูดออกมา เพราะกลัวว่ามันจะเป็นการเพิ่มภาระให้กับซูชิงอู่อย่างไม่มีเหตุผลหลายวันมานี้ซูชิงอู่อาศัยอยู่กับลูกน้อยทั้งสามของนางเพื่อชดเชยช่วงเวลาที่นางห่างพวกเขาไปนานเด็ก ๆ ที่เพิ่งจะอายุได้ไม่กี่เดือนแต่กลับต้องห่างจากอ้อมอกของพ่อแม่ นั่นทำให้ซูชิงอู่รู้สึกผิดขึ้นมาดังนั้นนางจึงไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องภายนอกมากนักทันใดนั้นนางก็นึกอะไรออกและถามว่า “เสวียนถิง ช่วงนี้หมาป่าเหล่านั้นที่อยู่ข้างนอกเป็นอย่างไรบ้าง?”เย่เสวียนถิงเงยหน้าขึ้นและพูดว่า “ไม่ได้มีเพียงสัตว์ร้าย แต่ยังกระทบไปถึงม้าศึกด้วย ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงเริ่มไม่เชื่อฟังคำสั่งกัน”“เดี๋ยวข้าจะไปตรวจสอบเรื่องนี้เสียหน่อย”ซูชิงอู่รู้สึกได้โดยไม่รู้ตัวว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องเกี่ยวกับเรื่องนี้แม้เรื่องจะดูเป็นเรื่องเล็กน้อยและไม่มีผลกระทบกับมนุษย์มากนัก แต่นางก็รู้สึกอ
ทันใดนั้นหมอหลวงซุนก็เหมือนจะคิดอะไรออก “เหมือนกับตอนที่พระชายาใช้ดอกไม้ชนิดหนึ่งเพื่อทำให้ม้าพยศคลั่งใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”“อืม ทำนองนั้นแหละ”สิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งที่นางพบในเภสัชตำรับ และหากใช้มัน ผลลัพธ์ที่ได้จะน่าทึ่งมากแม้ลงมือไปอย่างกะทันหัน แต่ก็ไม่มีใครจับได้ปรมาจารย์มือวางพิษที่แท้จริงคือผู้ที่วางยาพิษโดยไม่ทิ้งหลักฐานใด ๆ เอาไว้“ขอบพระทัยพระชายาสำหรับคำชี้แนะ หลังจากที่ได้พูดคุยกับท่าน กระหม่อมก็เข้าใจอย่างกระจ่างแจ้งแล้วพ่ะย่ะค่ะ”ซูชิงอู่ปิดเภสัชตำรับ “ข้าท่องเภสัชตำรับนี้จนจำขึ้นใจ และเข้าใจเนื้อหาด้านในได้คร่าว ๆ เพียงแต่ยังไม่พบวิธีที่จะไขความลับที่อยู่ในนั้น หวังว่าท่านจะช่วยเรื่องนี้ได้”คราวนี้ ทุกคนเชื่อมั่นในคำพูดของซูชิงอู่สิ่งที่พวกเขาไม่ได้สนใจ แต่พระชายากลับนำมาใช้งานได้ถึงขั้นนี้ ยังมีอะไรที่ต้องพูดกันอีกหรือ?ตาแก่เช่นพวกเขาที่อาศัยว่าตนอายุมากทำตัวอาวุโสดูถูกผู้อื่นนั้นเทียบเทียมพระชายาไม่ได้เลย!หลังจากที่ซูชิงอู่อธิบายเรื่องนี้จบ นางก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกและแอบหลบออกมาทางประตูใหญ่นางกลัวว่าคนเหล่านั้นจะถามนางว่านางศึกษาเรียนรู้ทักษะทางการ
หมอหลวงซุนขมวดคิ้วเล็กน้อย“อย่าพูดไร้สาระ นั่นจะเป็นไปได้อย่างไร? พระชายาไม่จำเป็นต้องโกหกพวกเราเลย โกหกพวกเราไปแล้วนางจะได้ประโยชน์อะไร?”คำพูดนี้ก็ถือว่ามีเหตุผลทุกคนต่างพูดไม่ออกทำได้แค่นั่งเงียบ ๆ แล้วพลิกหน้าอ่านต่อไปพลิกหน้ากระดาษตั้งแต่เช้าจรดค่ำ และอ่านจนถึงเช้าวันรุ่งขึ้นตำราทั้งเล่มถูกอ่านจนจบอย่างรวดเร็ว ทุกคนในสำนักหมอหลวงไม่ได้นอนมาสองวันสองคืน และตอนนี้ทุกคนดูเหนื่อยและมีสีหน้าทรุดโทรมเมื่ออ่านหน้าจนถึงสุดท้าย แม้แต่หมอหลวงซุนก็ตกอยู่ในความเงียบเพราะเภสัชตำรับเล่มนี้บันทึกเฉพาะโรคและวัตถุดิบยาที่ธรรดาทั่วไปมาก ๆ บางส่วนเท่านั้นข้อแตกต่างเพียงหนึ่งเดียวคือผู้อาวุโสเช่นพวกเขาได้เรียนรู้เกี่ยวกับวัตถุดิบยาหลายประเภทและพัฒนาแนวคิดใหม่ ๆแม้จะไม่ไร้ประโยชน์ แต่ความคาดหวังกับผลลัพธ์ก็แตกต่างกันมากเลยทีเดียวถึงขั้นทำให้พวกเขาขาดความมั่นใจและอดไม่ได้ที่จะคิดว่านี่น่ะหรือคือเภสัชตำรับที่ตระกูลฟางเฝ้าหวงแหนมานานหลายปี?ดวงตาของหมอหลวงซุนเต็มไปด้วยสีแดงก่ำที่เกิดจากการอดนอน“ในเมื่อเภสัชตำรับของตระกูลฟางไร้ประโยชน์ เช่นนั้นพระชายาไปเรียนรู้ทักษะด้านการแพทย์มา
“นี่คือวัตถุดิบยาและปริมาณที่คนผู้นั้นทำการวางยา ที่สำนักหมอหลวงของพวกท่านมีสิ่งนี้อยู่แล้ว หากจะทำยาถอนพิษก็คงไม่ใช่เรื่องยากกระมัง”“ไม่ยากพ่ะย่ะค่ะ ไม่ยาก!”หมอหลวงซุนยิ้มร่าราวกับได้รับสมบัติเขามองซูชิงอู่ที่ยังอยู่ในวัยหนุ่มสาว แต่กลับเก่งกาจกว่าเหล่าคนชราเช่นพวกเขาเมื่อรวมกับเภสัชตำรับของตระกูลฟางที่ซูชิงอู่พูดถึง หมอหลวงเฒ่าก็ดีใจจนเนื้อเต้นหากได้เรียนรู้และกลายเป็นคนที่เก่งกาจเหมือนพระชายา ระดับความรู้ของเขาก็จะเพิ่มขึ้นไปด้วยหรือไม่?แต่หมอหลวงซุนไม่เคยรู้เลยว่าทุกสิ่งที่ซูชิงอู่เรียนรู้ไม่ได้มาจากเภสัชตำรับของตระกูลฟางในเภสัชตำรับเล่มนั้นมีความแตกต่างตรงจุดไหน ตัวซูชิงอู่ในตอนนี้ก็ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำแม้ตอนตายไปในชาติก่อน เภสัชตำรับก็ถูกทำลายและไม่มีใครเห็นความลับที่ซ่อนอยู่ในนั้นจุดเด่นเพียงหนึ่งเดียวของเภสัชตำรับเล่มนั้นคือบันทึกข้อมูลวัตถุดิบยาจำนวนมากที่คนทั่วไปไม่ทราบและสรรพคุณลับบางส่วนบรรดาผู้อาวุโสของสำนักหมอหลวงพากันมาช่วยคิดค้นยาถอนพิษเพื่อที่จะได้อ่านเภสัชตำรับนั้นเร็ว ๆในที่สุดเช้าวันรุ่งขึ้นยาที่สามารถฟื้นฟูสติของสัตว์ร้ายได้ก็ถูกส่งมาให้ฮ่องเต้