ซูชิงอู่ได้สติกลับมาในทันทีและเดินตามอวิ๋นจื่อไปที่ห้องเลี้ยงเด็กที่เด็กทั้งสามอยู่อย่างรวดเร็ว มีแม่นมผลัดกันช่วยดูและเจ้าตัวน้อยทั้งสาม และเป็นเพราะตอนนี้เจ้าหนูคนรองกำลังร้องไห้ ทั้งห้องจึงก้องไปด้วยเสียงร้องของเด็กน้อยซูชิงอู่เดินตรงเข้าไปหาเย่เฟิง นางอุ้มเขาไว้ในอ้อมแขนแล้วตรวจชีพจรของทารกน้อยหลังจากแน่ใจว่าลูกน้อยในอ้อมแขนของนางไม่เป็นอะไร นางก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกพลางพูดปลอบคนรอบข้าง “ไม่ได้มีอะไรร้ายแรงหรอก แค่ท้องอืดนิดหน่อย ไม่ต้องตามหมอหลวงมาหรอก เดี๋ยวข้านวดท้องให้ก็หายแล้ว”การดูแลเด็กเล็กต้องใช้ความละเอียดอ่อนและความอดทนอย่างมากเด็กน้อยสามคนที่อายุครบหนึ่งร้อยวันแล้วกำลังเริ่มที่จะเรียนรู้โลกภายนอกรอบ ๆ กายขณะที่นิ้วของซูชิงอู่กดท้องของเจ้าหนูคนรองเบา ๆ ทุกคนก็เห็นว่าคุณชายน้อยที่ตอนแรกไม่สามารถกล่อมได้กลับหยุดร้องไห้ เขากรอกดวงตาแดงก่ำจากการร้องไห้ไปมาสุดท้ายก็คว้านิ้วของซูชิงอู่ไว้ อาจเป็นเพราะรู้สึกจั๊กจี๊เพราะนิ้วที่นวดให้เขาจึงเริ่มหัวเราะคิกคักบรรยากาศที่ตึงเครียดในห้องสลายไปทันที อวิ๋นจื่อมองซูชิงอู่ด้วยความชื่นชม “พระชายาช่างน่าทึ่งเหลือเกิน หาสาเหตุ
หรงหย่าเดินตามซูชิงอู่เข้าไปในห้องนอนใหญ่ด้วยสีหน้าสับสนหลังจากที่ซูชิงอู่ปิดประตู แสงในห้องก็สลัวลงทันที เพราะตอนนี้ยังไม่ได้จุดเทียนจึงมีเพียงแสงจันทร์จาง ๆ จากข้างนอกเท่านั้นที่สาดเข้ามาจู่ ๆ ซูชิงอู่ก็ยิ้มให้นางหรงหย่าใจสั่น ทันใดนั้นนางก็รู้สึกเสียใจที่ตามเข้ามา สตรีตรงหน้างดงามมากก็จริง และรอยยิ้มของนางเหมือนกับปีศาจที่ปลอมตัวมาล่อลวงมนุษย์ ทำเอาหรงหย่ารู้สึกเหมือนจะถูกกินจนไม่เหลือแม้แต่กระดูกเมื่อซูชิงอู่ดูจนแน่ใจว่าไม่มีใครตามมา นางก็ปิดม่าน ปิดประตูและหน้าต่าง ก่อนดันหรงหย่าไปที่หน้ากระจกหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง จากนั้นก็เริ่มลงมือ“อย่าขยับ อย่าตกใจ รออยู่เฉย ๆ” นางสั่งหรงหย่าไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น นางก็ทำเพียงยืนนิ่งอยู่ที่เดิมไม่ขยับตามคำสั่งของซูชิงอู่ไม่นานหลังจากนั้น หรงหย่าก็อดไม่ได้ที่จะอ้าปากค้างด้วยความประหลาดใจในกระจกที่สะท้อนเงาออกมานั้น ใบหน้าของนางได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง...นางกลายเป็น...ซูชิงอู่!……การเดินทางของอ๋องเสวียนเป็นเรื่องที่ไม่สามารถปกปิดได้ เนื่องจากมีกองทหารจำนวนมากเร่งรีบไปยังเขตเจิ้นเป่ย ข่าวเรื่องนี้จึงแพร่กระจายไปทั่วทุกสารทิศ
แน่นอนว่าเขตเจิ้นเป่ยนี้จะแตกต่างออกไปหากเขามีเวลาเพิ่มสักสองสามปีแต่ใครจะคิดว่าอ๋องเสวียนจะกลับมาที่ชายแดนทั้งที่ขาพิการและยังไม่หายดี พร้อมกับพระราชโองการและอำนาจทางทหารเช่นนี้?เมื่อเห็นว่าทุกคนเงียบ จ้าวหลี่ก็แค่นหัวเราะเสียงเย็น“อ๋องเสวียนกลับมาเมื่อไหร่ พวกเราทุกคนได้ตายแน่”คำพูดประโยคนั้นเหมือนกับน้ำที่กระเด็นใส่กระทะ ทำเอาบรรยากาศในกระโจมวุ่นวายขึ้นมาทันทีกุนซือผู้เป็นที่ปรึกษากล่าวทันทีว่า “ท่านแม่ทัพ ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็ตามเราจะปล่อยให้อ๋องเสวียนนำทัพมายังเขตเจิ้นเป่ยไม่ได้เด็ดขาดขอรับ!”จ้าวหลี่ถามกลับ “เช่นนั้นเราควรทำอย่างไร?”“เอ่อ…”แม้กุนซือจะเป็นคนฉลาดหลักแหลม แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังคิดวิธีดี ๆ ไม่ได้ จะให้ส่งคนไปลอบสังหารรึ? นั่นก็เป็นไปไม่ได้แน่ ไม่มีใครรู้ว่าข้างกายอ๋องเสวียนมีทหารคอยปกป้องเท่าไร? คนที่เขาส่งไปจะมีสักกี่คนกันเชียวที่จะลอบสังหารได้สำเร็จ?ฮ่องเต้เฒ่าประชวรหนัก ตระกูลเฝิงกำลังลำบาก และไม่มีคนวงในที่พอจะช่วยพวกเขาได้เลย ยิ่งไปกว่านั้นอ๋องเสวียนก็กำลังเดินทางมาแล้ว ใครกันจะสามารถทำให้อ๋องผู้นำกองทัพจำนวนหลายแสนนายเปลี่ยนเส้นทา
เย่ชิวหมิงยิ้มและพูดว่า “ไม่ใช่เสียหน่อย เพียงแต่ทุกคนล้วนอยากเข้าร่วมงานเลี้ยงครบหนึ่งร้อยวันของท่านอ๋องน้อยกับท่านหญิงน้อยต่างหาก”ซูชิงอู่เลิกคิ้วและมองไปข้างหลังเย่ชิวหมิงหลังจากเห็นว่ามีแขกหลายคนที่นางไม่คิดว่าจะมาร่วม นางก็ยิ้มและพูดว่า “เอาเถิดเพคะ แม้จะมีคนมากันมากเกินไปหน่อย แต่จวนอ๋องเสวียนของหม่อมฉันก็ไม่ได้ตระหนี่ถี่เหนียว มีอาหารไว้รับรองมากมาย เชิญทุกท่านเข้ามาได้เลย”ทันใดนั้นเย่ชิวหมิงก็เดินไปหาบ่าวรับใช้ที่เฝ้าประตูอยู่ใกล้ ๆ พลางหยิบกล่องขนาดใหญ่ออกมาแล้วยื่นให้เขา“นี่เป็นของขวัญงานเลี้ยงครบหนึ่งร้อยวันที่ข้านำมาให้หลาน ๆ หวังว่าพระชายากับเด็ก ๆ จะชอบมันนะ”เมื่อเห็นองค์รัชทายาทเย่ชิวหมิงมอบของขวัญให้เป็นคนแรก ขุนนางทุกคนที่เหลือก็เข้าใจทันทีและก้าวไปข้างหน้าเพื่อนำของขวัญแสดงความยินดีทั้งหมดที่เตรียมมาล่วงหน้ามาวางไว้ข้าง ๆ บ่าวรับใช้จนกองเป็นตั้งสูงภาพเหตุการณ์นี้ทำให้บ่าวรับใช้ผู้นั้นตกใจมาก เขาอดไม่ได้ที่จะมองไปยังซูชิงอู่เป็นเชิงถามว่าควรจะทำอย่างไรซูชิงอู่พยักหน้าเล็กน้อยบอกให้เขาอยู่ตรงนั้นคอยรับของขวัญต่อไปนางไม่แปลกใจกับการกระทำของอีกฝ่าย เพราะถึ
ฉีเทียนหยวนพอใจมากและเดินเข้าไปพร้อมรอยยิ้มเมื่อเห็นท่าทางอย่างบุรุษเจ้าสำราญที่เอาแต่ใช้ชีวิตล่องลอยไปวัน ๆ ของเขา สายตาของขุนนางคนอื่น ๆ ก็ฉายแววดูถูกเหยียดหยามยังไงเสียฉีเทียนหยวนนั้นก็เป็นองค์ชายแห่งแคว้นฉีตะวันออก เป็นธรรมดาที่ระหว่างเขากับบรรดาขุนนางใหญ่แห่งแคว้นหนานเย่จะมีความขุ่นเคืองต่อกันทันใดนั้นก็มีคนผู้หนึ่งเดินผ่านซูชิงอู่ คนผู้นั้นโยนสิ่งของให้บ่าวรับใช้ด้วยสีหน้าไร้อารมณ์และเดินเข้าไปข้างในโดยไม่พูดอะไรจู่ ๆ ซูชิงอู่ก็เอ่ยขึ้น “ท่านแม่ทัพมู่หรง”มู่หรงฉางฉวนหยุดกึก ฝีเท้าของเขาชะงักอยู่กับที่เขาหันกลับไปมองซูชิงอู่ด้วยสีหน้าเรียบเฉย “พระชายาเสวียนมีเรื่องอะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ?”ซูชิงอู่ยิ้มและพูดว่า “ไม่มีอะไร ข้าแค่คาดไม่ถึงว่าท่านจะมาด้วยตัวเอง”อีกฝ่ายแค่นเสียงอย่างเหน็บแนม “แค่มาร่วมสนุกก็ไม่ได้หรือพ่ะย่ะค่ะ? หรือว่ากระหม่อมไม่มีสิทธิ์เข้ามาในจวนอ๋องเสวียน?”ซูชิงอู่หลุบตาพลางหัวเราะเสียงเบาแล้วพูดว่า “แน่นอนว่าไม่ใช่ เชิญเข้ามาข้างในเถิด ท่านแม่ทัพมู่หรง”เมื่อร่างของมู่หรงฉางฉวนหายลับไป สีหน้าก่อนหน้านี้ของซูชิงอู่ก็หายไปด้วยทันทีแม้นางคาดไม่ถึงว่าวัน
โต๊ะและเก้าอี้ถูกวางไว้ทั้งสองด้านของห้องรับแขกขนาดใหญ่ โดยมีพรมสีแดงปูอยู่ตรงกลาง ทำให้มีพื้นที่เพียงพอสำหรับการเดิน ซูชิงอู่นั่งอยู่ด้านหน้าสุดโดยมีแขกนั่งอยู่ทั้งสองฝั่ง เมื่อมองไปยังบรรดาขุนนางที่มาร่วมอวยพรนั่งกันเป็นแถว ๆ จู่ ๆ นางก็รูัสึกเหมือนตัวเองกำลังนั่งอยู่ตรงที่ประทับของฮ่องเต้ในพระตำหนักจินหลวนนางเลิกคิ้วเล็กน้อย “ข้ารู้สึกซาบซึ้งอย่างยิ่งที่แขกทุกท่านสละเวลามาเพื่อร่วมฉลองครบหนึ่งร้อยวันของลูก ๆ ข้า ข้าจึงขอดื่มให้พวกท่านสักหนึ่งจอก”ซูชิงอู่หยิบจอกเหล้ายกขึ้นไปทางเย่ชิวหมิงเขามีสถานะสูงสุดในที่นี้ ซูชิงอู่ให้เกียรติเขาเช่นนี้แล้วเหล่าขุนนางอื่น ๆ ย่อมต้องทำตามนางทุกคนยืนขึ้นพร้อมกับเย่ชิวหมิง ดื่มเหล้าหมดจอกแล้วนั่งลงอีกครั้งซูชิงอู่ก็นั่งลงตรงที่นั่งเจ้าภาพด้วยเช่นกันสายตาของทุกคนต่างลอบจับจ้องไปที่นาง แต่ซูชิงอู่มีท่าทางที่สง่างามทรงเสน่ห์และนิ่งเฉย โดยปราศจากความกังวลใจหรือท่าทีไร้มารยาทเมื่อเผชิญกับคำถามและคำชี้แนะมากมายจากเหล่าขุนนาง ซูชิงอู่ก็ไม่ลังเลที่จะตอบกลับ และคำตอบของนางก็เป็นไปอย่างเคารพนอบน้อมดวงตาของฉีเทียนหยวนจับจ้องไปที่ซูชิงอู่อยู่ตลอด
ไม่ว่าการป้องกันจะแน่นหนาเพียงใด แต่ตราบใดที่เย่เสวียนถิงไม่อยู่ที่นี่ มู่หรงฉางฉวนมั่นใจว่าตนจะบรรลุเป้าหมายอย่างแน่นอนแม้เขาจะพบกับปัญหาใดก็ตาม เขาก็สามารถหลบหนีไปจากที่นี่ได้!ทันใดนั้น มีสาวใช้ที่อยู่ไม่ไกลถือของบางอย่างเดินเข้ามา ขณะที่เดินก็พึมพำไปด้วยเขารีบซ่อนตัวอยู่หลังกำแพงพลางฟังสาวใช้คนนั้นพูด “ท่านอ๋องน้อยนี่ดูแลยากจริง ๆ ยังร้องไห้ไม่เลิกเลย…”มู่หรงฉางฉวนคิดอะไรออกและเดินตามหลังสาวใช้ไปทันทีทันใดนั้นเขาก็พบว่าหลังจากเดินตามสาวใช้เข้าไปยังเรือนด้านใน คนที่อารักขาอยู่ที่นี่มีจำนวนน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายคงส่งองครักษ์ไปกระจุกรวมที่ด้านนอกเสียหมดการค้นพบนี้ทำให้มู่หรงฉางฉวนรู้สึกยินดีปรีดานี่เป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยมมาก เพราะมันได้สร้างโอกาสใหญ่ให้เขาลงมือได้สำเร็จสาวใช้ยังคงเดินต่อไป และหลังจากเดินบนทางโค้งยาวเลี้ยวไปมาหลายครั้ง นางก็มุ่งหน้าไปยังจุดหมายปลายทางขณะนี้ในที่สุดมู่หรงฉางฉวนก็ตามนางไปถึงสถานที่ที่เหล่านายน้อยอาศัยอยู่ เมื่อเห็นว่าไม่มีองครักษ์คอยเฝ้า เขาจึงรีบเร่งไปยังเรือนที่อยู่ตรงกลางเพราะเขาเพิ่งบังเอิญเห็นว่าสาวใช้ผู้นั้นถือขอ
ทั้งสองคนต่อสู้กัน ณ ลานบ้านที่ร้างไร้ผู้คนสตรีจากภูเขาศักดิ์สิทธิ์แม้อายุไม่น้อยแล้ว แต่นางมีอุบายมากมาย ทั้งยังเคลื่อนไหวรวดเร็ว แม้นางจะไม่มีวรยุทธ์สูงส่งเท่ามู่หรงฉางฉวนและเอาชนะเขาตรง ๆ ได้แต่นางก็สามารถประมือกับเขาได้นับตั้งแต่ดำรงตำแหน่งเป็นแม่ทัพมา มู่หรงฉางฉวนก็ไม่เคยเจอคู่ต่อสู้ที่เต็มไปด้วยเล่ห์กลขนาดนี้มาก่อนแม้วรยุทธ์ของอีกฝ่ายไม่ได้ทรงพลังเท่ากับเขา แต่วิธีการลื่นไหลแปลกประหลาดรวมถึงพิษทั้งหลาย ที่แม้ไม่ต้องมองเห็นเขาก็รู้ได้ว่าร้ายแรงถึงชีวิต ทำให้เขาไม่กล้าทุ่มโจมตีขณะที่ทั้งสองต่างฝ่ายต่างไม่ยอมอ่อนข้อให้กัน เศษฝุ่นก็ฟุ้งไปทั่วเรือนหลังจากที่พวกเขาปะทะกันหลายครั้งและภายในห้องนั้นอวิ๋นจื่อกับอวิ๋นชิงเจาะรูที่หน้าต่างและลอบมองออกไปหลังจากได้เห็นภาพการต่อสู้แล้ว ทั้งคู่ก็มีสีหน้าตื่นเต้นและอวิ๋นจื่อยังหยิบเม็ดแตงจากจานที่อยู่ข้าง ๆ ให้อวิ๋นชิงด้วย นางถามว่า “อวิ๋นชิง อร่อยไหม?”อวิ๋นชิงพยักหน้า “อืม อร่อย”นางชี้ไปที่นอกประตู“สนุกไหม?”อวิ๋นชิงพยักหน้าอีกครั้ง “สนุกมาก”เม็ดแตงก็อร่อยการแสดงก็สนุกทั้งสองต่างมองตาและยิ้มให้กันแน่นอนว่าทั้งหมดนี้