นางไม่อาจบอกถึงความจริงแก่ใครได้เลย อีกทั้งมารดาได้กลับขาวให้เป็นดำ จนนางถูกทุกคนในสกุลหลิวตราหน้าว่าต่ำช้า ทั้งยังกล่าวหานางไปต่าง ๆ นานา สิ่งที่นางทำได้มีเพียงจำยอม แม้ว่าจะต้องเจ็บปวดมากแค่ไหน ก็ไม่อาจทำร้ายมารดาและชื่อเสียงสกุลหลิวได้ เพราะคำว่ากตัญญู นางจึงทำได้เพียงนิ่งเฉยเท่านั้น “ดี! ข้าก็หวังอย่างยิ่งว่าเจ้าจะไม่ได้แต่งเข้าจวนข้า เพียงเพราะถูกบีบบังคับ” “ไม่มีเจ้าค่ะ”“เอาล่ะ! ในเมื่อเจ้าแต่งเข้าจวนเสวียนอย่างถูกต้อง คืนนี้เจ้าก็คือหลานสะใภ้ของข้าแล้ว ไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็ต้องอยู่ที่นี่ ในฐานะเมียเพียงหนึ่งเดียวของเฟยหลง ใครกล้าหมิ่นเกียรติเจ้าข้าจะลงโทษให้หลาบจำ ไม่เว้นแม้แต่สามีของเจ้าด้วย” “แต่ท่านแม่ทัพ…” “ตามข้ามา” ชายชราเดินตรงไปยังห้องหอ ทำให้ร่างบางจำต้องเดินตามไปอย่างเสียมิได้ แม้ว่าในใจของนางจะหวาดกลัว ว่าสามีจะกล่าวหานางว่าเสแสร้งให้ท่านปู่ของเขาคล้อยตาม “เฟยหลง” ชายชราเรียกหลานชายอยู่หน้าประตูห้อง ก่อนที่ประตูจะเปิดกว้าง พร้อมกับร่างสูงของคนด้านในก้าวออกมา “ท่านปู่มีสิ่งใดหรือข
“คุณรักฉันบ้างไหม”หลี่อี้ชิงเลือกที่จะตั้งคำถามอย่างคนสิ้นคิด เพราะคำตอบที่จะได้รับเธอรู้มันดีอยู่แล้ว แต่อย่างน้อยก็ได้ถามมันออกไป ก่อนที่เธอจะไม่มีโอกาสได้ถามเขาอีกตลอดกาลความเงียบจากคนที่กอดเธออยู่ มันช่างบาดลึกหัวใจเธอเหลือเกิน อย่างน้อยเขาน่าจะโกหกเธอสักครั้ง เพื่อเป็นการส่งท้ายลมหายใจของเธอ แต่ไม่เลยสักนิดที่เขาคิดจะทำมันเพื่อเธอบ้างเพราะนอกจากเขาจะไม่พูดอะไรออกมา อาการปวดจนเกินจะทนบนบาดแผลที่ถูกยิง มันทำให้เธอรู้ว่าเขาได้ใช้ยาบางอย่าง กับบาดแผลของเธอ เพื่อเร่งเวลาที่เหลืออยู่ของลมหายใจให้สั้นลง‘ขอโทษนะที่รัก ผมเลือกหน้าที่มากกว่าจะเลือกคุณ’ หยวนชางรู้ดีว่าคำพูดนี้ คนในอ้อมแขนของเขาไม่มีวันจะได้ยินมัน และถึงเธอจะได้ยินคำโกหกจากปากของเขา มันก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงความจริงที่ว่าเขาคือสายลับ ที่มาเพื่อล้วงความลับจากเธอเท่านั้นแต่เมื่อหลี่อี้ชิงเลือกที่จะลาออก เขาจำเป็นต้องเปลี่ยนเป้าหมายใหม่ เพื่อจะได้ล้วงความลับของกองทัพ รายงานแก่องค์กรของเขา ซึ่งคำสั่งจากเบื้องบนให้กำจัดเธอซะ! แล้วเข้าหาคนใหม่ในกองทัพเพื่อสานต่องานที่ยังไม่ลุล่วงให้สำเร็จ เขาจึงจำเป็นต้องลงมือกับเธอ เพื่อสะดวก
หญิงสาวใช้เวลาหลายนาทีกว่าจะถึงที่หมาย มือบางรีบหงายถ้วยชาขึ้น แล้วค่อย ๆ รินชาเย็นชืดในกาลงในถ้วย เธอไม่สนแล้วว่าในชานี้จะมียาพิษอะไรพวกนั้นไหม เพราะตอนนี้คอของเธอต้องการความชุ่มฉ่ำเหนือกว่าเรื่องอื่นใด หลังจากเธอได้ดื่มน้ำสมใจอยากแล้ว หญิงสาวได้ลุกเดินแบบอ่อนแรง เพื่อไปจุดเทียนเล่มใหม่ แทนเล่มเก่าที่กำลังจะมอดดับลงแล้ว หลี่อี้ชิงทำทุกอย่างด้วยความรู้สึกหงุดหงิด กับร่างกายที่ปวกเปียกนี้เป็นที่สุด หญิงสาวสาบานกับตนเองว่าสิ่งแรกที่เธอจะทำ คือต้องคืนความแข็งแรงให้แก่ร่างกายที่เธออาศัยอยู่หลังจากทำให้ทั้งห้องสว่างจนมองทุกอย่างได้ชัดเจน หญิงสาวได้เดินสำรวจทั้งห้องอย่างเชื่องช้า แม้ใจของเธอจะอยากไปตรงจุดนั้นจุดนี้ของห้องให้เสร็จสิ้นภายในไม่กี่นาทีก็ตามหญิงสาวใช้เวลากว่าครึ่งชั่วโมงเห็นจะได้ การสำรวจห้องจึงได้เสร็จสิ้นลง ก่อนที่เธอกัดฟันทนความหนาว อาบน้ำในอ่างอันเย็นเยียบ เพื่อให้ร่างกายของเธอสดชื่นที่สุด เพราะดูเหมือนเวลานี้ใกล้จะเช้าแล้ว สักประเดี๋ยวคงต้องมีคนมาชมผลงาน เกี่ยวกับการตายของเจ้าของร่างอย่างแน่นอนหลี่อี้ชิงเอนศีรษะพิงขอบอ่าง ก่อนจะหลับตาลงช้า ๆ เพื่อซึมซับความเย
“ข้าต้องขอบใจเจ้ามาที่อุตส่าห์มีน้ำใจเป็นห่วง แต่ว่าไม่ต้องถึงขนาดบุกเข้าห้องของข้า โดยพลการเช่นนี้ก็ได้กระมัง หรือเจ้าคาดหวังสิ่งใดในห้องของข้าเช่นนั้นรึ”“เจ้าพูดบ้าอะไร นอกจากเจ้าจะไม่สำนึกในความห่วงใยของข้า แล้วยังคิดจะป้ายสีสิ่งใดให้ข้าอีกเช่นนั้นรึ อีกอย่างห้องของเจ้าจะมีสิ่งมีค่าอะไรให้ข้าต้องการเล่า”“เช่นนั้นคงเป็นข้าที่เข้าใจผิด คิดว่าตำแหน่งเมียเอกของข้ามัน…”“มันอะไร!”“มันหอมหวานจนมีคนอยากได้ไปครอบครองบ้าง”“นี่เจ้า…ฮึ!”หลิวเชียนเชียนรีบสะบัดหน้าก้าวเร็วออกจากห้องในทันที นางไม่เคยเห็นพี่สาวในรูปแบบนี้มาก่อนเลย นางจึงไม่ได้ตั้งรับกับความเปลี่ยนแปลงครั้งนี้“เจ้าจะไปไหนรึฮุ้ยเอ๋อร์”สาวใช้ที่กำลังจะก้าวออกจากห้องจำต้องหยุดชะงัก ก่อนจะหันกลับมาที่ผู้เป็นนาย ฮุ้ยเอ๋อร์ยังคงมีสีหน้ากระเดื่องกระด่างต่อผู้เป็นนาย การจะให้นางฝากอนาคตไว้กับเจ้านาย ซึ่งไม่เป็นที่โปรดปราณของเจ้าของจวน นางจึงไม่เห็นถึงความจำเป็นที่ต้องเคารพฮูหยินผู้นี้เลยสักนิด สู้เอาใจว่าที่นายหญิงคนใหม่มิดีกว่าหรือ“ข้าจะไปเตรียมอาหารให้ฮูหยินอย่างไรเล่าเจ้าค่ะ”“ไม่ต้อง! ข้ามีงานอื่นให้เจ้าทำ”หลิวเพ่ยเพ่ยลุกขึ้น
“เจ้าไม่ต้องพูดเยี่ยนอิง ในจวนนี้เรามีกันแค่สองคน นอกนั้นมีใครบ้างที่ข้าวางใจได้ ส่วนเจ้าฮุ้ยเอ๋อร์เจ้าไปจากที่ใดก็คืนสู่ที่นั้น อย่าได้แม้แต่เฉียดใกล้ข้าอีกแม้เพียงครึ่งก้าว หากท่านแม่ทัพจะลงโทษข้านั่นก็เรื่องของนาย บ่าวอย่างเจ้าไม่มีสิทธิ์เสนอหน้า”“แต่นางจงใจกลั่นแกล้งท่าน ทั้งยังยั่วยวนท่านแม่ทัพเพื่อหวังเลื่อนฐานะ”“กลั่นแกล้งหรือไม่เจ้าย่อมรู้แก่ใจดีฮุ้ยเอ๋อร์ ส่วนเรื่องยั่วยวนท่านแม่ทัพ เจ้าแน่ใจรึว่าเป็นนางมิใช่เจ้า จำเอาไว้นะหากสามีของข้าเขามิมั่นคงต่อข้า นั้นย่อมเป็นเรื่องที่ข้าต้องสะสาง มิใช่ให้บ่าวอย่างเจ้ามาตัดสินใจแทน”“ฮูหยินคิดหรือเจ้าคะ ว่าการลุกขึ้นมาทำตัวเก่งกาจ จะเป็นที่น่าเกรงขามจนบ่าวไพร่ก้มหัวให้”“เช่นนั้นเจ้าต้องเป็นรายแรก ที่ทดลองความน่าเกรงขามของข้าแล้วล่ะ”หมับ! มือบางบีบเข้าที่ลำคอของฮุ้ยเอ๋อร์ พร้อมออกแรงกดนิ้วยังเส้นชีพจรให้หนักขึ้น เรียวปากงามบิดขึ้นช้า ๆ สายตาที่ใช้มองสาวใช้ ไม่ต่างอะไรกับปีศาจ ที่พร้อมพรากวิญญาณของผู้คน“อ๊ะ…ปะ…ปล่อยข้า…”“เด็กน้อย! หากเจ้ายังดึงดันกำแหงต่อข้าอยู่เช่นนี้ แม้แต่ลมหายใจของเจ้า ข้าก็เอามันมากองอยู่แทบเท้าได้เช่นกัน”“ฮูห
“ข้าน้อยตรวจดีแล้วขอรับ” “เพ่ยเพ่ย เจ้าไม่ดีใจหรืออย่างไรกัน” “ท่านแม่ทัพจะยอมรับเขาหรือไม่เล่าเจ้าคะ ท่านย่าก็รู้ว่าท่านแม่ทัพชิงชังข้าเพียงใด” “เด็กโง่! เฟยหลงเป็นคนทำให้เขาเกิด เขาย่อมรู้แก่ใจ หากเขามิอยากมีลูก ป่านนี้คงบังคับเจ้ากินยาห้ามครรภ์ไปนานแล้ว ปากกับใจคนอย่างเฟยหลงตรงกันเสียเมื่อไหร่” ฮูหยินชรารู้ดีว่าหลานชายไม่ต้องการแต่งภรรยารอง จึงเลือกที่จะทนร่วมห้องกับภรรยาเพื่อการมีทายาท แต่จะให้นางบอกเรื่องนี้กับหลานสะใภ้ มันก็ดูจะโหดร้ายเกินไป ความผิดทั้งหมดมันไม่ได้อยู่ที่… “พักผ่อนให้มาก ต่อไปนี้ย่าจะย้ายมาพักอยู่กับเจ้าที่เรือนนี้ จนกว่าเฟยหลงจะกลับมา” หญิงชราเลือกที่จะไม่คิดถึงเรื่องเมื่อปีก่อนหน้า การที่นางไม่เคยชิงชังหลิวเพ่ยเพ่ย เพราะหลานสะใภ้ของนางนั้นอ่อนโยนนิสัยดี เพียบพร้อมสมกับสายเลือด ต่างจากหลิวเชียนเชียนยิ่งนัก “ข้าต้องขอบคุณท่านปู่ ท่านย่าที่เมตตาเจ้าค่ะ” “นอนพักก่อนเถอะนะ ย่าจะไปเตรียมย่าบำรุงให้แก่เจ้า” “เจ้าค่ะ” หลิวเพ่ยเพ่ยตอบรับอย่างว่าง่าย แ
“เชียนเชียนไม่ทราบว่าท่านย่าอยู่ที่นี่เจ้าค่ะ” “ต่อให้ไม่มีข้า เจ้าก็ไม่มีสิทธิ์พูดจาหยามเกียรติหลานสะใภ้ของข้า อีกอย่างนางก็เป็นพี่สาวแท้ ๆ ของเจ้า ผู้อื่นจะคิดเช่นไรกับคำพูดดูถูกพี่สาวตนเอง ต่อหน้าผู้คนมากมายเพื่อให้อับอายเช่นนี้ และเจ้ารู้หรือไม่ว่าคนที่จะอับอายอย่างแท้จริงเป็นใคร หากไม่ใช่คนเป็นพ่อแม่ ตัวเจ้าไม่คิดบ้างรึว่าคนจะมองสกุลหลิวอย่างไร เรื่องแค่นี้เจ้ายังคิดเองไม่เป็นหรืออย่างไร รึไม่มีผู้ใดสอนเจ้า” หลิวเชียนเชียน หันมองไปยังสหายที่พากันยืนก้มหน้ามองพื้น รวมถึงแขกภายในร้านที่เดินไปมาอยู่หลายคน ใบหน้างามซีดจนไร้สีเลือดด้วยความอับอาย “เชียนเชียนรู้เท่ามิถึงการณ์ ท่านย่าโปรดอภัยเจ้าค่ะ” “คนที่รู้สึกนึกจริง จะไม่ทำผิดซ้ำครั้งที่สอง แต่เจ้ากี่ครั้งแล้วกับการกระทำสิ้นคิดเช่นนี้ โชคดีของสกุลเสวียนที่ไม่ได้คนอย่างเจ้ามาเป็นสะใภ้” ‘โห! ทั้งอายทั้งเจ็บเลยนะนั่น’ หลิวเพ่ยเพ่ยแทบจะหลุดขำออกมา แต่นางกลับวางตะเกียบลง ก่อนจะเอื้อมมือไปวางลงบนมือของย่าของสามี “ท่านย่าอย่าได้ถือสาน้องหญิงเลยนะเจ้าคะ นางยั
“ท่านพี่” เสียงเรียกจากด้านหน้าประตู ทำให้ชายหนุ่มหันไปมองทันที แน่นอนว่าเป็นท่านย่ากับภรรยาตัวดีกำลังเดินเข้ามา เสวียนเฟยหลงถึงกับขมวดคิ้วเป็นปม เมื่อเห็นความอวบอิ่ม ผิวพรรณอันผุดผ่องมีน้ำมีนวลกว่าแต่ก่อนของภรรยา เมื่อนึกถึงสายตาของบุรุษอื่นยามมองนาง ในตอนที่นางออกไปเที่ยวเล่นนอกจวน มันทำให้ความรู้สึกที่ไม่เคยมีมาก่อนผุดขึ้นมาในหัว ใบหน้าหล่อเหลาบึ้งตึงขึ้นกว่าเดิมหลายเท่านัก ‘สตรีต่ำช้า สามีไม่อยู่บ้าน กลับหนีเที่ยวเล่นอวดโฉมไปทั่วเมือง’ “วันนี้หญิงงามทั้งสองไปเที่ยวที่ใดกันมา” ชายชราเอ่ยเย้าสองย่าหลานอย่างอารมณ์ดี “วันนี้ข้าไปดูผ้ากันมาเจ้าค่ะ เพ่ยเพ่ยได้ผ้าตัดชุดให้ท่านพี่ด้วยนะเจ้าคะ” ฮูหยินชราตอบสามี พร้อมจูงมือหลานสะใภ้ให้มานั่งลงข้างกาย “แสร้งเอาใจผู้ใหญ่ มารยาสาไถ” แม่ทัพหนุ่มเหน็บแนมภรรยา ที่นั่งเคียงข้างผู้เป็นย่า ทว่าเมื่อสบเข้ากับดวงตากลมโตของนาง แม่ทัพหนุ่มถึงกับขมวดคิ้วชิดกันอีกครั้ง เมื่อแววตาหวาดกลัวของนางหายไป เหลือเพียงความเยือกเย็นเข้ามาแทนที่ “ท่านแม่ทัพกล่าวหาข้า มีสิ่
“องค์ชายอย่าทรงเป็นกังวลไปเลยเพคะ จ้าวหยางจะปลอดภัย”“ท่านหมอรีบมาดูหลานชายข้าเร็วเข้า เรื่องนี้ข้าต้องได้คำตอบก่อนรุ่งสาง”“เชิญองค์ชายทางด้านนี้พ่ะย่ะค่ะ”เสวี่ยจ้าน ต้องการที่จะคุยกับองค์ชายต่างแคว้นเพียงลำพัง ทั้งสองหายไปยังอีกห้อง ซึ่งอยู่ถัดไปพระชายาในองค์รัชทายาท ขยับไปยืนข้างกับแม่ทัพสาว นางเองก็รักในตัวจ้าวหยางมิแพ้ผู้ใด ถึงขนาดคิดเอาไว้ ว่าจะทรงยกพระธิดาองค์โต ให้เป็นภรรยาของจ้าวหยางในอนาคตเซียวเถาบีบเบา ๆ ยังมือของหญิงสาวผู้เป็นสหายรัก ก่อนจะเอ่ยปลอบโยนพระชายาเบา ๆ ท่านหมอประจำจวนอ๋องเหลียวมองไปยังมารดาของเด็กชาย ก่อนจะหันกลับมาจัดการรักษาคุณชายน้อยต่างแคว้นต่อองครักษ์คนสนิทของท่านอ๋องเก้า ได้บอกกับเขาขณะเดินทางมายังเรือนนี้ ว่าต่อให้ยมบาล ต้องการลมหายใจของคุณชายจ้าวหยาง ก็ให้ช่วงชิงกลับมาให้จงได้ มิเช่นนั้นจะทำให้ปีศาจร้ายพิโรธ ไม่บอกเขาก็รู้ว่าหมายถึงผู้ใดเวลาผ่านไปกว่าหนึ่งก้านธูป การรักษาได้เสร็จสิ้นลง จ้าวหยางหลับไปด้วยฤทธิ์ของยา พิษถูกขับออกจนหมด ทำให้ทุกคนรู้สึกโล่งใจ เป็นจังหวะเดียวกับที่องค์ชายแห่งเว่ย และท่านอ๋องเก้า กลับเข้ามาภายในห้อง“ท่านหมอ ทุกอย่างเรียบร
ฟริ้ว! ฉึก! ลูกธนูปักยังเสาศาลา แทนที่จะเป็นเป้าหมาย ซึ่งตอนนี้ทั้งคู่ได้หยุดสิ่งที่กำลังทำ เพื่อเตรียมการรับมือ ผู้บุกรุกยามค่ำคืน“หาญกล้าบุกรุกจวนข้า สงสัยคงอยากที่จะเร่งไปยมโลกกระมัง”อ๋องหนุ่มเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ เรื่องมีคนลอบทำร้ายเขาหาได้ใส่ใจไม่ แต่พวกมันกลับมาในเวลา ที่เขากำลังจะช่วงชิงหัวใจของหญิงสาว นี่ต่างหากที่ทำให้เขาขุ่นเคืองเป็นที่สุดคืนนี้เขาสั่งให้องครักษ์ มิให้เข้ามารบกวนเวลาส่วนตัว ไม่ว่าจะอย่างไรเขาก็มิต้องการให้ผู้ใดมานั่งมอง เรื่องระหว่างเขากับมารดาของบุตรชายเป็นอันขาดเซียวเถาปลดสายคาดเอวออก เพื่อใช้เป็นอาวุธ เพียงครู่เดียวห่าธนูได้พุ่งเข้าหาคนทั้งสอง ทั้งคู่ได้สลับกันปัดป้อง มิให้ลูกธนูถูกกายได้ เมื่อทุกอย่างหยุดลง บุรุษชุดดำกว่าสิบชีวิต ได้ปรากฏตัวขึ้นล้อมรอบทั้งคู่เอาไว้“ท่านอ๋องเก้า ชะตามิน่าสิ้นสุดเพียงเท่านี้เลย หากท่านอ๋องไม่ทรงอยู่ร่วมกับนาง ก็คงมิต้องจบชีวิตเช่นนี้” หนึ่งในชายชุดดำเอ่ยขึ้น เรื่องนี้เป็นเหตุสุดวิสัยอย่างแท้จริง ผู้ใดจะคิดว่า ท่านอ๋องเก้า จะมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับแม่ทัพต่างแคว้นเช่นนี้“หึ ๆ เข้ามาในบ้านข้า ยังกล้าปากดีอยู่อีก
“แต่หากเรื่องเช่นนี้เกิดกับหญิงสาวคนอื่น เด็กอาจมิโชคดีเช่นนี้”“สิ่งที่อยากจะหยั่งถึง คือใจของคน ท่านอ๋องอย่าได้ยกย่องหม่อมฉันนักเลยเพคะ ท่านอ๋องจะรู้ได้อย่างไร ว่าคราแรกที่หม่อมฉันรู้ว่าตั้งครรภ์ หม่อมฉันยินดีหรือเสียใจ”“ข้ารู้ดีว่าเจ้าเสียใจ แต่เจ้าก็รักลูกในครรภ์มากกว่าคำครหา”“ดูเหมือนท่านอ๋องจะรู้เรื่องนี้ดีนะเพคะ”“ข้ามีนิท่านเรื่องหนึ่ง จะเล่าให้เจ้าฟัง”“เวลาของค่ำคืนนี้อีกยาวนาน หม่อมฉันยินดีที่จะฟังเพคะ”เรื่องราวต่าง ๆ ถูกถ่ายทอดออกมาทีละน้อย อ๋องหนุ่มหวนนึกถึง วันที่เขาเพิ่งกลับจากชายแดน เนื้อตัวนั้นมิได้ดูสง่าอันใด เพื่อสืบเรื่องราวบางอย่าง ทำให้เขาจำต้องปลอมตัวเป็นเพียงนักเดินทางทว่าสิ่งที่ไม่คาดคิดก็ได้เกิดขึ้น เมื่อเขาต้องการหญิงคณิกามาปลดปล่อย ความเป็นบุรุษ ร่างบอบบางที่ดูเหมือนจะหมดสติ และถูกวางยาปลุกกำหนัดถูกนำมาส่งให้ถึงห้อง เขาคิดเพียงว่าเจ้าของหอนางโลม ต้องการสร้างความตื่นเต้นให้แก่เขา จึงได้ทำเช่นนี้ ทว่าเมื่อเขารับรู้ถึงความบริสุทธิ์ของนาง จึงได้คิดที่จะเลี้ยงดูนางเป็นอนุแต่เมื่อเขากลับมาจากทำธุระ หญิงสาวบนเตียงได้หายไปแล้ว มีเพียงหยกของนาง ที่ถูกลืมเอาไว้
ภายในห้องหนังสือ จวนแม่ทัพกู้หมิง สองสามีภรรยา นั่งประจันหน้ากัน ด้วยความเคร่งเครียด ทุกคำถาม เสมือนน้ำที่เทลงพื้นก็มิปาน เมื่อผู้เป็นภรรยาหาได้ตอบคำถามนั้น แม้แต่ครึ่งคำถงซือเหยา ยังคงใช้ความนิ่งเงียบ สยบทุกคำถามของสามี ด้วยหลายคำถามนั้น มันมิต่างจากคมมีดที่ปักลงสู่กลางใจนาง“สรุป...เจ้ามิคิด ตอบคำถามข้าเลยเช่นนั้นรึ”“ท่านพี่ สิ่งที่ท่านถามมา ข้าไม่ทราบเรื่องเลยแม้แต่น้อยเจ้าค่ะ”“แล้วสิ่งที่เจ้าพูด ตอนอยู่ในสนามประลองมันหมายว่าอย่างไรเล่า”“ข้าแค่พูดไป ตามที่ผู้คนเล่าลือกันเท่านั้นเจ้าค่ะ”“เรื่องเล่าลือเช่นนั้นรึ แม่ทัพจ้าวเป็นคนแคว้นเว่ย จะมีข่าวเช่นนั้นมาเกิดที่ฉินได้อย่างไรกัน”“ท่านพี่พูดเหมือนข้า เป็นผู้ที่ทำเรื่องเช่นนั้น ข้าเป็นภรรยาของท่านนะเจ้าคะ จะลดตัวไปทำเรื่องต่ำช้าเช่นนั้นได้อย่างไรกัน”“ก็ขอให้มันจริง เพราะเท่าที่ข้ารู้มา เรื่องต่ำช้ากว่านี้ คนเช่นเจ้าก็เคยทำมันมาแล้ว ข้านิ่งเฉยมาตลอด เพราะคิดว่าเจ้าจะปรับปรุงตัว”“ท่านพี่ หมายความว่าอย่างไรเจ้าคะ”“กลับไปเถอะ แล้วทบทวนสิ่งที่เจ้าทำ และคิดให้มากว่านี้ เจ้าจะมีความสุขเช่นที่ผ่านมา หรือให้ทุกอย่างแตกแยก”“ฮึ! เพราะมั
เซียวเถาเลิกคิ้วสูง เป็นเชิงถามชายหนุ่ม ที่กำลังยืนหายใจประหนึ่งม้าศึก ที่ผ่านการวิ่งมาอย่างสุดกำลัง ก่อนจะคลี่ยิ้มน้อย ๆ กับท่าทางของท่านอ๋องหนุ่ม“ไม่เลยขอรับท่านแม่ หากมิได้ท่านแม่ช่วยไว้ จ้าวหยางคงลำบากกว่านี้”“หึ ๆ แม่มิได้ทำอันใดเลย แค่เบื่อท่าทางอวดดีของลูกนกในกรงทอง ก็เท่านั้นเอง”“ข้าเกือบจะลงมือจริง ๆ เสียแล้ว”“แค่เรื่องขำขัน อย่าได้ใส่ใจ”การสนทนาของสองแม่ลูก ทำให้อ๋องหนุ่มถึงกับลอบกลืนน้ำลาย จ้าวหยางเติบโตขึ้น ย่อมต้องเป็นคนที่น่ากลัว กว่าที่ผู้ใดจะคาดคิดเป็นแน่ ดูแล้วเซียวเหยาผู้นี้ มิใช่เพียงสตรีที่เก่งทางด้านการต่อสู้เพียงอย่างเดียวสินะ จะมีใครบ้าดีเดือดขนาดทำเช่นนางได้ไหนจะเจ้าลูกชายตัวดี ที่ดูจะเข้าขากับผู้เป็นแม่ เสียจนเขากลายเป็นเพียงลาโง่ไปในทันที“ไปกันเถอะ ยืนตรงนี้นาน เกรงจะทำให้คุณชายน้อยผู้นั้น อกแตกตาย”เซียวเถาเอ่ยขึ้น ในขณะที่ถงซือเหยา กำลังเดินผ่าน เพื่อไปจัดเตรียมสิ่งของนำบุตรชายกลับจวน“เจ้าหมายความว่าอย่างไร”ถงซือเหยาถามขึ้น ด้วยน้ำเสียงกรุ่นโทสะ นิ้วเรียวสั่นระริก ชี้ไปยังแม่ทัพต่างแคว้น“เป็นคุณหนูสูงศักดิ์ ทั้งยังเป็นถึงภรรยาแม่ทัพ แต่ไร้มารยาทที
“หึ ๆ แม่มิได้ต้องการให้เจ้าลำพองตน จงถ่อมตัวให้มาก แต่อย่ายินยอมให้ผู้ใด มาช่วงชิงลมหายใจของเราไปได้เช่นกัน”“ลูกจะจดจำไว้ขอรับ”สองแม่ลูกเปลี่ยนบทสนทนา เมื่อท่านอ๋องต่างแคว้น เดินเข้ามาหา พร้อมขนมในมือ ชายหนุ่มนั่งลงอีกด้านของจ้าวหยาง“ขนมกลีบเหมยกุ้ยป่า เป็นของที่ท่านย่าจะ...เอ่อ หมายถึงท่านแม่ของข้า ชอบทำให้กินยามเหนื่อยล้าจากการฝึก ข้าอยากให้เจ้าได้ลิ้มลองสักหน่อย”จ้าวหยางหันกลับไปหาผู้เป็นแม่ ก่อนจะได้รับคำอนุญาต เด็กชายจึงรับขนมในจาน มากินอย่างช้า ๆ ทำให้เสวี่ยจ้านยิ้มกว้าง ด้วยความยินดีชายหนุ่มอยากตบปากตนเองยิ่งนัก ที่รีบร้อนจนเกินไป เกือบจะเอ่ยว่ามารดาของเขา คือย่าของจ้าวหยางเสียแล้วเสนาบดีถง หรี่ตามองภาพนั้นด้วยความรู้สึกอัดแน่น เขาไม่อยากที่จะคิดเลยว่า ทั้งสามคนนั้นคือครอบครัว บุตรสาวที่หายตัวไปนับสิบปี หลานชายผู้มีใบหน้าถอดแบบบุรุษสูงศักดิ์ กับท่านอ๋องผู้เป็นดั่งปีศาจร้ายในยามสงคราม ‘เป็นไปมิได้’เขาจำได้ดี ว่าบุตรสาวคนโตนั้น พึงใจในตัวของกู้หมิงมากเพียงใด ไม่มีทางที่นางจะไปผู้สัมพันธ์กับท่านอ๋องเก้าได้ ทั้งคู่มิเคยพบเจอกันสักครั้ง แล้วไยจะเป็นท่านอ๋องเล่า ที่เป็นบิดาขอ
ทางด้านเซียวเหยา หาได้ใส่ใจกับสายตาแตกตื่นของผู้คนไม่ การที่นางให้บุตรชายใช้ม้าของตนเอง เพราะรู้อยู่แล้วว่าม้าของจ้าวหยาง ถูกวางยา เมื่อออกวิ่งเกินขีดจำกัดเมื่อใด ก็จะเกิดอันตรายต่อบุตรชายของนาง และนี่เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่สายลับ ของคนเหล่านั้นไม่เคยรู้มาก่อน ว่านางฝึกฝนจ้าวหยาง ด้วยม้าคู่ใจของตนเองมาโดยตลอด“ไยเจ้าดูมิห่วงใยเขาเลย”เสวี่ยจ้าน เอ่ยถามคนข้างกาย ด้วยน้ำเสียงมิใคร่พอใจเท่าใดนัก หากเกิดสิ่งมิคาดฝันขึ้น จะทำเช่นไร ‘สตรีวิปลาสผู้นี้ คิดจะอวดเบ่งไปเพื่อสิ่งใดกัน’“ท่านอ๋อง หม่อมฉันคือมารดา คือผู้ที่คลอดเขาออกมาด้วยตนเอง ย่อมรู้จักเขาดีกว่าผู้ใด ในเมื่อมีคนคิดสกปรก หม่อมฉันก็แค่ทำให้คนเหล่านั้นผิดหวัง หาได้ทำอันใดผิดไม่เพคะ”เซียวเถาตอบท่านอ๋องเก้า ด้วยน้ำเสียงราบเรียบ จนบางครั้งชายหนุ่มเองก็รู้สึกขัดเคืองใจอยู่ไม่น้อย กับท่าทีไร้อารมณ์ของหญิงสาวข้างกาย“เจ้าหมายความว่าอย่างไร” เสวี่ยจ้าน ขมวดคิ้วจนเป็นปม เมื่อได้ยินในสิ่งที่เขา ไม่คิดว่าจะมีผู้ใดหาญกล้าทำเช่นนี้“ท่านอ๋องมิได้ขลาดเขลา ย่อมเข้าใจมันได้ไม่ยาก มิเห็นต้องให้หม่อมฉันอธิบายมากความเลยนะเพคะ”อ๋องหนุ่มมองไปยัง ม้าสอง
“ลูกจะมิทำอันใด หากว่าเขายังมิก้าวล้ำจนเกินไป”จ้าวหยาง กล่าวด้วยน้ำเสียงเนิบช้า อีกทั้งรอยยิ้มละมุนยังมิจางหายจากใบหน้า เซียวเถาคลี่ยิ้มน้อย ๆ แค่มองตานางก็รับรู้ถึงสิ่งที่บุตรชายคิด การเลี้ยงดูของนางนั้น แตกต่างจากมารดาอื่นอยู่มาก แต่ทุกสิ่งที่นางได้กระทำก็เพื่อจ้าวหยางทั้งสิ้นเซียวเถา บีบไหล่บุตรชายหนัก ๆ เพื่อเป็นการให้กำลังใจ ก่อนจะหมุนกายเดินกลับไปยังที่นั่งของตน โดยมิได้รั้งรอเพื่อส่งจ้าวหยางขึ้นหลังม้า ซึ่งทหารของนางกำลังจูงอาชาสีดำสนิท ตรงมายังบุตรชายของนาง ทุกการกระทำนั้น ในทุกสายตาที่มองมาต่างรู้สึกสงสารจ้าวหยางยิ่งนัก ที่มารดานั้นหาได้ใส่ใจในตัวเด็กชายไม่ ซึ่งแตกต่างจากแม่ทัพกู้หมิง ที่ยังคงแนะนำการขี่ม้า เพื่อช่วงชิงธงให้แก่บุตรชายอย่างเคร่งเครียด“ไยแม่ทัพจ้าว จึงดูมิใส่ใจบุตรชายเอาเสียเลยเล่า” ฮ่องเต้ชราเอ่ยขึ้น เมื่อมองเห็นสิ่งที่เซียวเถาแสดงออกต่อจ้าวหยาง“นางรักบุตรชายมากต่างหากเล่าพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”องค์รัชทายาทแห่งเว่ยเอ่ยขึ้นบ้าง พร้อมทั้งมองไปยังจ้าวหยาง ที่กำลังทำการสำรวจความพร้อมของอาชาคู่กายของผู้เป้นมารดา“อย่างไรที่ว่ารักมาก”“ทูลฝ่าบาท หากจะทรงสังเกตจ้าวหยา
สวนดอกไม้หน้าเรือนรับรอง เสวี่ยจ้านหยุดมองไปยังร่างบาง ที่ยังอยู่ในชุดงานเลี้ยง“อะ...แฮ่ม” ชายหนุ่มแสร้งกระแอมเล็กน้อย เพื่อให้อีกฝ่ายรู้ตัว ซึ่งเขามั่นใจว่านางรับรู้ถึงการมีอยู่ของเขา นับตั้งแต่ก้าวผ่านประตูทางเข้าเรือนมาแล้ว“ท่านอ๋องมีเรื่องใด ให้หม่อมฉันรับใช้หรือไม่เพคะ”หญิงสาวเอ่ยถามขึ้น พร้อมหมุนกายกลับมาเผชิญหน้ากับผู้มาเยือน“มิได้ ข้าเอาน้ำแกงมาให้ก็เท่านั้น พอดีข้าเห็นเจ้าดื่มหนักอยู่พอสมควร เกรงจะมิสร่างเมาในยามเช้า เลยเอามาให้”ชายหนุ่มรีบยกตะกร้าใส่น้ำแกง ที่เขาได้ให้องครักษ์สั่งห้องครัว จัดเตรียมไว้รอท่า ก่อนที่ทุกคนจะกลับจากวังหลวง“ท่านอ๋อง มิเห็นต้องลำบากมาด้วยตนเองเลยนะเพคะ”“ข้าไม่เคยรู้สึกเช่นนั้นเลย มาเถอะประเดี๋ยวจะเย็นซะก่อน”ชายหนุ่มก้าวตรงไปยังศาลาภายในสวน ก่อนจะจัดแจงนำน้ำแกงออกมาจากตะกร้า ทุกการกระทำของชายหนุ่มนั้น ดูนิ่มนวลและใส่ใจต่อสิ่งที่อยู่ในมือยิ่งนักเซียวเถาเดินตามมาเงียบ ๆ เมื่ออีกฝ่ายมีน้ำใจ จะด้วยเหตุผลใดก็ตาม นางก็มิสมควรทำลายน้ำใจนี้ลง สุราเพียงเท่านี้ไม่อาจทำให้นางเป็นอันใดได้เลย“ท่านอ๋อง ดื่มด้วยกันเถอะเพคะ น้ำแกงนี่หม่อมฉันกินคนเดียวไม่ห