จื่ออันแน่นอนว่ามิอาจจะจ้องมองกลับไปยังนางได้ ทำได้เพียงแต่ก้มหน้าลงอย่างเขินอายจริง ๆ แล้วนางก็พอจะรู้ได้ว่าหวงไท่โฮ่วไม่ค่อยจะชอบใจนางนักไม่อาจที่จะโทษนางได้ ใครกันที่จะชอบหญิงสาวแบบนาง? สายตาของมู่หรงเจี๋ยนั้นช่างแย่เสียจริง“ข้าเรียกเจ้าว่าจื่ออันได้ใช่ไหม” หวงไท่โฮ่วในที่สุดก็เอ่ยออกมา ทำลายการหยุดชะงักที่มีอยู่ แต่ว่า บรรยากาศก็ยังไม่ได้นับว่าดีนัก เพราะว่าคำพูดของนางถึงแม้ว่าจะดูอบอุ่น แต่ก็ดูเหมือนว่าจะมีความยิ่งใหญ่ที่จับต้องไม่ได้อยู่“เพคะ!” จื่ออันตอบกลับหวงไท่โฮ่วมองยังนาง “ข้าได้ยินมาว่าบิดาและมารดาของเจ้าได้หย่าขาดกันแล้ว มารดาของเจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม?”"ขอบพระทัยไท่โฮ่วที่ทรงห่วงใยเพคะ ท่านแม่สบายดีเพคะ”หวงไท่โฮ่วส่งเสียงอืมออกมา “ตอนนี้นางถูกแต่งตั้งให้เป็นเสี้ยนจู่ มีราชสำนักคอยดูแลเรื่องอาหารการกิน หย่าขาดกับบิดาของเจ้าก็ไม่ต้องกลัว ยังคงสามารถใช้ชีวิตของตัวเองได้ ไม่ต้องคอยคิดถึงว่าจะต้องแต่งให้กับผู้อื่น แต่งออกไปมีเรื่องที่ไม่อิสระมากมายยิ่งนัก”จื่ออันมองขึ้นไปอย่างประหลาดใจ คำพูดนี้ของหวงไท่โฮ่ว เหมือนจะสื่อถึงนัยอื่นหวงไท่โฮ่วหัวเราะออกมา “เจ้าเป็นส
หลังจากที่จื่ออันเดินออกไปแล้ว หวงไท่โฮ่วมองยังด้านหลังของจื่ออัน นางค่อย ๆ ยิ้มออกมาซุนกงกงยิ้มเดินเข้ามา “ไท่โฮ่ว มองคนไม่ผิดใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ? คุณหนูใหญ่ท่านนี้ มีหลักการ และไม่เห็นแก่ตัว!”หวงไท่โฮ่วส่งเสียงอืมออกมา “ไท่หวงไท่โฮ่วมองคนช่างมองได้ทะลุปรุโปร่งเสียจริง ข้าเห็นนางและจวนมหาเสนาบดีเผชิญหน้ากันครั้งนี้แล้ว เดิมคิดว่าเป็นเพียงสตรีที่ร้ายกาจ แต่คาดไม่ถึงว่า ยังคงมีความรู้สึกเยี่ยงนี้ มหาเสนาบดีเซี่ยช่างมีบุตรสาวที่แสนดีได้ถึงขนาดนี้ แต่เสียดายที่ไม่รู้จักที่จะทะนุถนอมเอาไว้”“พ่ะย่ะค่ะ” ซุนกงกงยิ้มออกมา “ตอนนี้ ท่านไล่คนออกไปแล้ว หากว่าท่านอ๋องกลับมา ท่านจะอธิบายออกไปว่าอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ?”ไท่โฮ่วทำหน้าบึ้งตึง “ข้าจะต้องอธิบายอะไรอีก? นางทำให้ข้าพอใจยิ่งนัก แต่ว่านางช่างไม่ไว้หน้าข้าแม้แต่เพียงครึ่งจริง ๆ ข้าไล่นางออกไปแล้วอย่างไร?”ซุนกงกงยิ้มพลางเอ่ย “พอพระทัยเป็นพอพ่ะย่ะค่ะ ยังจะใส่อารมณ์อะไรกันอีกเล่าพ่ะย่ะค่ะ?”“ถ่ายทอดคำสั่ง รีบไปร่างพระเสาวนีย์ ลูกสะใภ้คนนี้ ข้ายอมรับแล้ว” หวงไท่โฮ่วเอ่ยออกมาด้วยความโล่งใจชั่วขณะหนึ่ง นางก็ขมวดคิ้วขึ้นมา “แต่ว่าเมื่อครู่ที่เ
เดินมาได้ประมาณสองลี้ รถม้าของมู่หรงเจี๋ยก็ตามมาทัน“ขึ้นมา!” มู่หรงเจี๋ยเอ่ยออกมาด้วยใบหน้าเรียบเฉยจื่ออันขึ้นรถม้ามา มองใบหน้าขาวเรียบ มุมปากกระตุกขึ้น “ข้ารู้ว่าท่านกล่าวโทษข้าที่ล่วงเกินหวงไท่โฮ่ว แต่ว่ามีบางเรื่องที่ข้ามิอาจที่จะประนีประนอมได้”“ถ้าอย่างนั้นเจ้าไม่อยากที่จะแต่งงานกับข้าแล้วหรือ” มู่หรงเจี๋ยจ้องมองยังนาง“ข้าไม่ได้มีความหมายเยี่ยงนี้ เพียงแต่… ” นางเมื่อครู่ที่ขัดแย้งกับหวงไม่โฮ่วนั้น ไม่คิดว่าเขาจะโมโหเพราะสาเหตุนี้ “พวกเรายังอายุน้อย ไม่เช่นนั้นก็ทนรออีกสักปีสองปี”“ทน?เสด็จแม่เมื่อครู่เอ่ยออกมาแล้ว พรุ่งนี้ก็จะเลือกพระชายาให้กับข้า ปีนี้จะต้องแต่งพระชายาผู้สำเร็จราชการแทนเข้ามา” มู่หรงเจี๋ยเอ่ยออกมาด้วยใบหน้าเรียบเฉยจื่ออันส่งเสียงอ่าออกมา “รีบร้อนขนาดนี้เลยหรือ?”ในใจมีความรู้สึกหึงหวง ดูท่าแล้ว เมื่อครู่ตนคงจะประมาทเกินไป บางทีการยึดมั่นในหลักการนั้น อาจจะสามารถพูดให้ดูนุ่มนวลขึ้นอีกได้“ไม่ผิด เจ้ากลับไปเอ่ยกับเสด็จแม่ก่อน เจ้าจะเอ่ยกับท่านแม่ของเจ้าว่าจะไม่ไปมาหาสู่กับเสด็จพี่ของข้า ท่านแม่ก็จะประทานพระราชเสาวนีย์ให้พวกเราแต่งงานกัน” มู่หรงเจี๋ยเอ่
จวนผู้สำเร็จราชการแทนองค์จักรพรรดิณ เรือนชิงหนิง เรือนที่กุ้ยไท่เฟยพักอาศัยอยู่ป้าซือจูถือถ้วยน้ำชาเดินเข้ามาจากตรงระเบียง พบว่าสาวใช้ใกล้ตัวของไท่เฟย หลัวซุ่ยเร่งรีบเดินออกไปด้านนอก“หลัวซุ่ย รีบร้อนเดินออกไปทำไมกัน?” ป้าซือจูเอ่ยถามหลัวซุ่ยเอ่ยตอบกลับ “กุ้ยไท่เฟยให้บ่าวออกไปนัดหมายเวลากับฮูหยินผู้เฒ่าจวนมหาเสนาบดีเจ้าค่ะ”ป้าซือจูตกตะลึง แววตาดูมืดมน “ไปเถอะ”หลัวซุ่ยรีบร้อนเดินจากไปป้าซือจูประคองถ้วยชาเงียบไปชั่วครู่นึง นางจึงหมุนตัวหันหลังกลับไป ผ่านไปครู่นึงก็ได้ประคองถ้วยชาเข้ามา เพียงแต่ชาในครั้งนี้นั้น เพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งถ้วยบ่าวรับใช้อาฝูเพิ่งจะพูดกับกุ้ยไท่เฟยเสร็จ ก็พบป้าซือจูเข้ามา จึงได้ออกไปกุ้ยไท่เฟยเอนกายครึ่งหนึ่งอยู่บนที่นั่ง ปิดตาลง ป้าซือจูวางน้ำชาลงบนโต๊ะชา เอ่ยถามเสียงเบา “ยังคงปวดหัวอยู่หรือไม่เพคะ?”“อืม” กุ้ยไท่เฟยจู่ ๆ ก็เปิดตาขึ้น เอ่ยออกมาด้วยความโกรธ “ผู้คนในใต้หล้านี้ ทำไมล้วนแล้วแต่เข้ามารังแกข้ากัน? ข้าตกลงแล้วมีส่วนใดที่ไม่ดีเท่านาง?”ป้าซือจูค่อย ๆ นั่งลงข้างกายนาง ช่วยนวดคลึงศีรษะของนาง “ไม่มีผู้ใดที่ต้องการจะรังแกท่าน เป็นอย่างทุกวัน
กุ้ยไท่เฟยยกถ้วยชามาจ่ออยู่ที่ริมฝีปาก เป่าออกไปเล็กน้อย ดื่มลงไปในชั่วพริบจาเดียวป้าซือจูไม่กล้าที่จะหายใจออกมา ใจเต้นอย่างแรงเร็ว ในใจนั้นมีความทรงจำอยู่มากมาย ความทรงจำเหล่านั้น กุ้ยไท่เฟยสามารถลืมมันได้ แต่นางลืมไม่ได้กุ้ยไท่เฟยค่อย ๆ จิบลงไป มองมายังป้าซือจู จากนั้นแววตาค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นผิดหวัง นางคายใบชาในปากออกมา แล้วจึงทิ้งลงไปบนพื้นป้าซือจูกายสั่นไปทั่ว คุกเข่าลงมา ใบหน้าราวกับได้ตายไปแล้ว“ในตอนที่ข้าดื่มมันเข้าไปนั้น หากว่าเจ้าขัดขวางข้า ข้ายังจะสามารถให้อภัยเจ้าได้ อย่างน้อยก็รู้ว่าเจ้ายังคิดถึงความสัมพันธ์ระหว่างเรา แต่ทว่าเจ้าช่างโหดร้ายเสียจริง คิดจะฆ่าข้าได้ลงคอ ซือจู ซือจูอ่า เจ้าว่าข้ายังจะปล่อยเจ้าไปอีกได้หรือ?”“ท่านรู้แล้วหรือเพคะ?” ซือจูริมฝีปากสั่นสะท้าน แต่แววตาที่ตื่นตระหนกนั้นกลับไม่มี กลับดูสงบขึ้นกุ้ยไท่เฟยแววตากราดเกรี้ยว เอ่ยเสียงเข้ม “ตั้งแต่ที่เจ้าเริ่มจะช่วยเอ่ยให้กับเขาในวันนั้น ข้าก็เริ่มที่จะมีสติตื่นรู้ สั่งให้คนคอยจับตาดูเจ้า เมื่อครู่เจ้าเอ่ยถามหลัวซุ่ยที่ด้านนอกนั้น แล้วก็ประคองถ้วยชากลับไป อาฝูก็ได้คอยติดตามเจ้าไป ก่อนที่เจ้าจะ
ป้าซือจูโดนลากเข้าไปในห้องมืด องครักษ์นำนางผูกมัดเอาไว้บนเตียงไม้ป้าซือจูเอ่ยขอร้ององครักษ์ “ข้าขอร้องเจ้าเถอะ ช่วยนำคำพูดนี้ไปบอกแก่ท่านอ๋อง บอกว่าป้าซือจูไม่ได้ตายเพราะเขา ข้าเพียงแต่เหนื่อยเกินไปแล้ว ไม่อยากที่จะมีชีวิตต่อไปอีกแล้ว”นางรู้ดีว่ากุ้ยไท่ไฟยจะต้องเอ่ยกับท่านอ๋อง เป็นเพราะเขา นางถึงได้ตาย นางไม่อยากให้ท่านอ๋องรู้สึกผิด ไม่อยากให้เขาเสียใจชั่วชีวิตนี้ นางทำผิดมามากมายนัก เรื่องวันนี้ที่เกิดขึ้นได้ก็เป็นนางที่สมควรโดนแล้ว สุดท้ายแล้วนางเพียงแค่อยากจะทำอะไรสักอย่าง เพื่อเด็กน้อยคนนั้นที่เคยยิ้มอยู่ในอ้อมแขนของนาง เป็นเรื่องสุดท้าย ถึงแม้มันจะล้มเหลว แต่ก็ไม่อยากจะให้เขาต้องคอยแบบรับอะไรเอาไว้อีกแล้วในช่วงขณะเดียวกันนั้น กุ้ยไท่เฟยก็ได้เข้าวังหลวงอีกครั้ง นางขอเข้าพบหวงไท่โฮ่ว เพื่อจารึกชื่อลงไปบนหยกของราชวงศ์ มู่หรงเจ๋ยนั้นมีมารดาบุญธรรมอยู่ผู้หนึ่งคือ ป้าซือจูหวงไท่โฮ่วนั้นรู้ดีว่าซือจูให้ความรักความเอ็นดูต่อมู่หรงเจี๋ยเป็นอย่างมาก และรู้ว่ากุ้ยไท่เฟยนั้นก็คอยพึ่งพาป้าซือจูอยู่ คิดว่านี่คงเป็นเงื่อนไขที่นางต้องการจะใช้เป็นข้อแลกเปลี่ยน จึงได้เอ่ยอนุญาติให้จวนชั้
“ท่านคงกลัวที่จะพบกับกุ้ยไท่เฟย?” ตอนนี้นางคงยังจะคอยรับใช้กุ้ยไท่เฟยอยู่เป็นแน่ พรุ่งนี้ตอนเช้าคงจะไปสวนดอกไม้เพื่อตัดดอกไม้ ท่านคงอยากจะใช้ช่วงนั้นเพื่อพบนาง?” ซูชิงชั่วพริบตาเดียวก็มองเรื่องราวได้ทะลุปรุโปร่ง“น่ารำคาญหรือไม่?” มู่หรงเจี๋ยเหลือบมองพวกเขาด้วยความไม่ถูกใจเซียวท่าหมุนกายจากไป “ข้าเองเริ่มรู้สึกจะรำคาญแล้ว ค่ำนี้ข้าไม่กินข้าวเป็นเพื่อนพวกเจ้าแล้ว ข้านัดเฉินหลิวหลิ่วเอาไว้“อ่า?” ซูชิงดึงเขาเอาไว้ในทันที “เจ้าเมื่อวานเพิ่งจะกลับเมืองหลวงมา วันนี้ก็นัดนางเสียแล้ว? เจ้าคงจะไม่ใช่?”“คิดอะไรอยู่? ข้าเพียงแต่ต้องการจะแนะนำชายหนุ่มให้กับนาง” เซียวท่าเอ่ยออกมา เดินจากมาเพียงคนเดียว“ข้าไปด้วย นำข้าไปด้วย” ซูชิงรีบร้อนไล่ตามมาเซียวท่าในแววตาส่องประกายความพึงพอใจออกมา ไม่ผิด อยากจะให้เจ้าตามมานั่นแหละซูชิงไหนเลยจะคิดได้ว่าเซียวท่า กลับมีใจคิดไม่ซื่อเหมือนกัน?พูดกลับไปก่อนหน้านี้ วันนี้แม่นมหยางเองก็เข้าวังไปพบกับฮองเฮาเช่นกัน“เซี่ยจื่ออันได้เอ่ยอะไรเกี่ยวกับอาการป่วยของเหลียงอ๋องบ้างหรือไม่?” ฮองเฮาเอ่ยถามแม่นมหยางตอบ “ทูลฮองเฮา คุณหนูใหญ่ทุกวัน หลังจากกลับมาจากร
เช้าวันรุ่งขึ้นที่จวนผู้สำเร็จราชการ มีโคมไฟสีขาวแขวนไว้ตรงประตูติดป้ายสีขาวที่เขียนคำว่าเตี้ยน ที่แสดงให้เห็นว่าได้มีคนตาย โคมไฟสีขาวก็แขวนไว้ที่หน้าประตูจวนเช่นกันขณะที่มู่หรงเจี๋ยเพิ่งจะตื่นนอนและกำลังเปลี่ยนเสื้อผ้า หนี่หรงก็เดินเข้ามา และกล่าวอย่างจริงจัง "ท่านอ๋อง มีคนจากเรือนของไท่เฟยมาส่งข่าวว่า เมื่อคืนนี้ป้าซือจูเสียชีวิตอย่างกะทันหันพ่ะย่ะค่ะ!"มู่หรงเจี๋ยหันหน้ากลับไปมองทันที แล้วกล่าวถามอย่างตกใจ "เจ้าว่ากระไรนะ?"หนี่หรงกล่าวอย่าโศกเศร้า "ในตอนเช้าตรู่ของวันนี้ที่บ่าวตื่นขึ้นมา ที่จวนก็เริ่มแขวนโคมไฟสีขาวแล้ว พอถามก็ถึงได้รู้ว่าที่แท้เมื่อคืนนี้ป้าซือจูได้เสียชีวิตอย่างกะทันหันพ่ะย่ะค่ะ"มู่หรงเจี๋ยรีบสวมชุดให้เรียบร้อยในทันที แล้ววิ่งออกจากประตูไป เขามุ่งไปที่เรือนชิงหนิงอย่างรวดเร็วร่างของป้าซือจูถูกวางไว้ในลานเรือน โลงถูกวางไว้ที่ด้านข้าง ส่วนกุ้ยไท่เฟยก็ยืนอยู่ข้าง ๆ เช็ดหน้าให้นางด้วยตนเองมู่หรงเจี๋ยยืนอยู่ที่ปากทางเข้าสู่ลานกว้าง มองดูผู้หญิงที่เลี้ยงดูเขามาทั้งชีวิตด้วยสายตาที่ว่างเปล่า เกิดความรู้สึกในใจที่ไม่รู้ว่าจุกหรือรู้สึกสำนึกผิดกันแน่เมื่อคืนน
ร่างกายของแม่ทัพเฒ่าฉินสั่นสะท้านด้วยความโกรธ “เจ้าสาปแช่งปู่รึ เจ้าเคยคำนึงถึงญาติพี่น้องหรือไม่?”เมื่อหมอหลวงมาถึง กลับไม่มีคนในตระกูลฉินคอยเฝ้าเขาอยู่ในห้อง ดังนั้นจึงมีเพียงแต่บ่าวรับใช้หลังจากตรวจสอบอาการเสร็จ หมอหลวงก็กล่าวด้วยสีหน้าตกตะลึง “ท่านแม่ทัพเฒ่า เมื่อไม่กี่วันมานี้ท่านได้ไปที่ใดมา? แล้วท่านเคยเข้าไปในพื้นที่โรคระบาดหรือไม่?” “ไม่เคย ข้าไม่เคยไปที่นั่น” สีหน้าของแม่ทัพเฒ่าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เมื่อได้ยินคำพูดของหมอหลวง “ท่านกำลังสงสัยว่าข้าติดเชื้อโรคระบาดใช่หรือไม่?”“อาการช่างคล้ายคลึงกันยิ่งนัก” หมอกลวงกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด“เป็นไปไม่ได้!” แม่ทัพเฒ่าฉินรู้สึกตื่นตระหนกอย่างมาก “ท่านวินิจฉัยผิดหรือไม่?”“ข้าจะจัดยาให้ท่านสองชนิดก่อน หากดื่มยาเหล่านี้แล้วไม่ได้ผล เช่นนั้นไม่ใช่ก็ใกล้เคียงแล้วขอรับ” หมอหลวงกล่าวแม่ทัพเฒ่าฉินกล่าวด้วยความลนลาน “ฉินโจวบังคับให้ท่านพูดเช่นนี้ใช่หรือไม่?”หมอหลวงรู้สึกประหลาดใจ “แม่ทัพเฒ่า ท่านหมายความว่าอย่างไร? เหตุใดแม่ทัพฉินถึงต้องบังคับให้ข้าพูดเช่นนี้?”หมอหลวงชะงักไปชั่วครู่หนึ่งแล้วโพล่งถาม “ท่านเคยพูดคุยกับองค์ชายเ
นางสามารถเสียสละได้ แต่จะไม่มีทางทรยศต่อประชาชนเป่ยโม่เด็ดขาดสำหรับความจงรักภักดีต่อองค์จักรพรรดิและประเทศชาติ นางจะต้องรักประชาชนก่อน จึงจะสามารถภักดีต่อองค์จักรพรรดิได้ฉินโจวกล่าวคำเบา “ข้าเข้าไปในพระราชวังเพื่อเชิญหมอหลวงแล้ว ท่านปู่พักผ่อนก่อนเถิด ข้าจะออกไปเดินเล่นรับลมสักหน่อย”ดวงตาของแม่ทัพเฒ่าฉินอัดแน่นด้วยความโกรธ แต่ก็พยายามอย่างหนักเพื่อระงับมันฉินโจวเดินออกจากห้อง และเห็นว่าฉินเป้าน้องชายของตนนั่งอยู่ที่สวน เมื่อเห็นนางเดินออกมา เขาก็ถามว่า “ท่านปู่เป็นอย่างไรบ้าง?”ฉินโจวจำคำพูดของท่านปู่ได้อย่างแม่นยำ จึงเมินเฉยต่อเขาและตอบอย่างใจเย็น “เข้าไปดูด้วยตนเองสิ”ฉินเป้าคลี่ยิ้ม แต่มันกลับดูอ้างว้างอย่างยิ่ง “ข้าได้ยินสิ่งที่ท่านปู่พูดกับท่านแล้ว ข้าไม่อยากเข้าไป”ฉินโจวตกตะลึง “เพราะเหตุใด เขาทุ่มเทความพยายามทั้งหมดไปกับหารวางแผนเพื่อเจ้า เจ้าควรขอบคุณท่านปู่สิ”ฉินเป้าหัวเราะเยาะ “จริงรึ? หากเขาทอดทิ้งท่านเพื่อตระกูลได้ ในอนาคตเขาจะไม่ทอดทิ้งข้าหรือ? ข้าไม่ต้องการชื่อเสียงหรือความดีงามใด ๆ พวกมันไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการเลย”ฉินโจวดูถูกน้องชายมาโดยตลอด เพราะเขาไม่ได
ทั้งสองคนเดินออกไปและหยุดอยู่บนทางเดิน หมอมองฉินโจวพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “ท่านแม่ทัพ ข้ากำลังสงสัยว่าท่านแม่ทัพเฒ่าจะป่วยด้วยโรคระบาดขอรับ”ฉินโจวตกตะลึง “โรคระบาด? เป็นไปได้อย่างไร? ปู่ของข้าไม่เคยออกไปข้างนอก และไม่เคยติดต่อกับผู้ป่วยโรคนี้เลย แล้วเขาจะติดเชื้อโรคระบาดได้อย่างไร?”“ข้าเคยรักษาผู้ป่วยโรคระบาดมาก่อน ซึ่งอาการคล้ายคลึงกันอย่างมาก ผู้ป่วยจะมีไข้สูง ไอ ตาแดง หายใจเร็วขึ้น เมื่อเกิดอาการเหล่านี้พร้อมกันจะอันตรายอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นโรคนี้ยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาดขอรับ” หมอกล่าว“เป็นไปไม่ได้ หากจะติดเชื้อโรคระบาดก็ต้องสัมผัสกับผู้ป่วยที่มีเชื้ออยู่แล้ว แต่ท่านปู่ของข้าไม่เคยใกล้ชิดคนเหล่านั้นเลย แล้วเขาจะติดเชื้อได้อย่างไร?” ฉินโจวยังคงไม่เชื่อหมอประสานหมัด “ทั้งหมดนี้คือคำวินิจฉัยของข้า หากท่านแม่ทัพไม่เชื่อ ก็สามารถขอให้หมอคนอื่นมาตรวจดูได้ หรือท่านจะพาเขาไปที่พระราชวัง และขอให้หมอหลวงช่วยตรวจอาการ ข้าไร้ความสามารถ จึงอาจวินิจฉัยผิดพลาดได้ ลาก่อนขอรับ ๆ!”สิ้นคำ หมอก็หยิบกล่องยาแล้วออกไปโดยไม่เขียนใบสั่งยาด้วยซ้ำฉินโจวสับสนไม่น้อย ท่านปู่ติดเชื้อโร
หัวใจของฉินโจวเย็นเยียบราวกับน้ำ “ใช่ ตราบใดที่ข้าตายในสนามรบ ตระกูลฉินก็ยังจะเป็นผู้กล้า และเป็นขุนนางผู้มีเกียรติ”แม่ทัพเฒ่าฉินเงียบไปครู่ใหญ่ จากนั้นกล่าวคำเบา “ในฐานะหลานสาวตระกูลฉิน มันเป็นหน้าที่ของเจ้าที่ต้องเสียสละเพื่อชื่อเสียง และรากฐานของตระกูล”ฉินโจวกำหมัดแน่นด้วยความไม่พอใจ “หลายปีที่ผ่านมานี้ ข้ายังทำไม่พออีกหรือ? ตอนนี้มีใครในตระกูลฉินบ้างที่ไม่เกาะกินเลือดนี้ของข้า?”แม่ทัพเฒ่าฉินลุกยืนขึ้นพลางกล่าวอย่างเย็นชา “ข้าเคยเตือนเจ้าแล้ว คราวนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เจ้าจะต้องเข้าไปในพระราชวัง ข้าให้คำมั่นกับฮองเฮาเฉาแล้ว ว่าวันนี้เจ้าจะไปที่นั่นเพื่อทูลขอรับคำสั่ง หากเจ้าไม่ไป ข้าก็จะรับคำสั่งและออกรบด้วยตนเอง”“ท่าน...” ฉินโจวมองเขาด้วยสายตาโศกเศร้า “ท่านปู่ ข้าก็เป็นหลานสาวของท่านเหมือนกัน ท่านไม่สงสารข้าบ้างหรือ?”“ปู่สงสารเจ้าสิ แต่ภารกิจหน้าที่ของตระกูลฉินจะต้องถูกส่งต่อ ตอนนี้น้องชายของเจ้าโตพอแล้ว เจ้าจะต้องพาเขาไปสร้างความสำเร็จทางการทหารด้วย และเจ้าจะได้รับส่วนแบ่งของน้องเจ้า เมื่อถึงเวลานั้น ตระกูลฉินก็จะได้ผู้สืบทอดคนใหม่”ฉินโจวผงะไปชั่วครู่ ก่อนระเบิดหัวเราะ
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินโจว แม่ทัพเฒ่าฉินก็โมโหมากจนเคราสั่นสะท้าน “อาโจว อะไรจะสำคัญไปกว่าการบรรลุเป้าหมายอันยิ่งใหญ่? องค์จักรพรรดิเพียงต้องการขยายอาณาเขตของแคว้น เจ้าควรรู้เอาไว้ว่าเมื่อเรายึดครองต้าโจวสำเร็จ เป่ยโม่จะมีพื้นที่เพิ่มมากกว่าครึ่งหนึ่ง และมันจะเป็นความดีความชอบของตระกูลฉิน ทำให้ตระกูลของเราถูกจดจำไปหลายชั่วอายุคน! นี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าต้องการมาตลอดรึ? เจ้าไม่ต้องการบอกคนทั้งโลก ว่าแม้ฉินโจวจะเป็นสตรี แต่นางก็สามารถประสบความสำเร็จได้อย่างผ่าเผยหรือ?”ฉินโจวมองดูใบหน้าที่ฉายแววตื่นเต้นปนโกรธเกรี้ยวของปู่ ทันใดนั้นนางก็สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติถูกต้อง มันคือความต้องการของนาง แต่ความสำเร็จของนางจะต้องไม่แลกกับการเหยียบย่ำกระดูกของประชาชนชาวเป่ยโม่นางรักเป่ยโม่และหวังที่จะขยายอาณาเขตของแคว้น นอกจากนี้นางยังต้องการเสาะหาดินแดนอุดมสมบูรณ์เพื่อประชาชน เพราะหวังว่าพวกเขาจะสามารถอยู่อาศัยและทำกินอย่างสงบสุข และพึงพอใจโดยไม่ต้องทนทุกข์จากการพลัดถิ่นอย่างไรก็ตาม ในตอนนี้หากต้องการบรรลุอำนาจ นางจำต้องสละชีวิตประชาชนจำนวนมาก และนำเงินภาษีของทุกคนมาใช้ในการทำสงคราม ทำให้โรคร
มือสังหารเหล่านั้นแต่งกายคล้ายกับชาวต้าโจวและสวมหน้ากากผ้าสีดำ กลุ่มคนนิรนามราวเจ็ดถึงแปดคนกระโดดลงมาจากท้องฟ้ากลางวันแสก ๆ ทันทีที่เท้าของคนเหล่านั้นแตะพื้น พวกมันก็เริ่มโจมตีอย่างดุดันฉินโจวเห็นมือสังหารคนหนึ่งกระโดดขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับกระบี่ยาว จากนั้นร่ายรำอยู่หลายกระบวนท่าราวกับนางฟ้าโปรยดอกไม้ ขณะแสงแดดตกกระทบกระบี่ส่องกระจายไปทั่วเหล่าทหารที่เพิ่งมาถึงกระโจนเข้าไปร่วมวงต่อสู้อย่างรวดเร็วหลังจากประดาบกันไปกว่าร้อยครั้ง มือสังหารก็ถูกบีบบังคับให้ล่าถอย ฉินโจวจ่อกระบี่ไปที่คอของหนึ่งในมือสังหาร พลางถามเสียงเข้ม “ตอบข้า ใครเป็นคนส่งเจ้ามา?”มือสังหารตอบอย่างเย็นชา “ฆ่าไอ้หมารับใช้เป่ยโม่ให้หมด!”“หมารับใช้เป่ยโม่? เห็นได้ชัดว่าพวกเจ้าไม่ได้เป็นคนเป่ยโม่ พวกเจ้ามาจากต้าโจวใช่หรือไม่?” ฉินโจวโมโหอย่างมาก ขณะชี้ดาบไปยังหน้าอกของอีกฝ่าย “ไอ้เลวมู่หรงเจี๋ยส่งพวกเจ้ามาใช่หรือไม่?”“หญิงเลวอย่าเจ้ากล้าเอ่ยชื่อของท่านอ๋อง ทำให้พระองค์มัวหมองได้อย่างไร?” มือสังหารตะโกนฉินโจวชักดาบกลับพร้อมกล่าวอย่างเย็นชา “กลับไปซะ!”มือสังหารตกตะลึง ราวกับไม่คาดคิดว่าฉินโจวจะปล่อยตัวเขาไป”เ
ฉินโจวกล่าวด้วยความโมโห “ข้าหลอกลวงเจ้าเมื่อไร?”“ไม่งั้นรึ? เจ้าและอ๋องฉีเอ่ยปากว่า หากจื่ออันตกลงเดินทางมาที่เป่ยโม่ พวกเจ้าจะส่งองค์ชายรัชทายาทไปที่ต้าโจวเป็นองค์ประกัน แล้วพวกเจ้าทำตามที่พูดแล้วหรือไม่?”“องค์ชายรัชทายาทเดินทางไปยังต้าโจวแล้ว!”“ผู้ที่เดินทางไปยังต้าโจวคือองค์ชายเจ็ด ไม่ใช่องค์ชายรัชทายาท องค์ชายเจ็ดไม่ได้เป็นที่โปรดปราน ดังนั้นจักรพรรดิเป่ยโม่จะส่งเขาไปสังเวยเมื่อใดก็ได้”“เป็นไปไม่ได้!” ฉินโจวประหลาดใจอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าผู้ที่เดินทางไปคือองค์ชายรัชทายาท เพราะองค์จักรพรรดิทรงตรัสด้วยตนเองว่าจะส่งเขาไปที่ต้าโจว“เจ้าอย่าเพิ่งสนใจเรื่องนี้เลย ก่อนหน้านี้ทั้งสองแคว้นตกลงทำสนธิสัญญาสงบศึก หลังจากการแพร่ระบาดสิ้นสุดลง แต่เจ้ากลับวางแผนโจมตีพวกเราในขณะที่ข้ายังอยู่ที่เป่ยโม่ เจ้าจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร?” มู่หรงเจี๋ยกล่าวอย่างเคร่งเครียดฉินโจวตอบ “ผิดแล้ว เป็นเพราะต้าโจวที่เคลื่อนทัพโจมตีทหารฝั่งขวาของเราก่อน และสังหารทหารของเราไปกว่าร้อยคน ข้าจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเคลื่อนทัพเข้าไปใกล้ เพื่อบีบบังคับให้พวกเจ้าถอยกลับ”“ไร้สาระ กองทัพของเราหยุดเคลื่อนท
อย่างไรก็ตาม การจัดหาเสบียงอาหารสำหรับพื้นที่ภัยพิบัติยังไม่เพียงพอ และยังขาดแคลนเสื้อผ้าอาภรณ์ นอกจากนี้หลังจากที่พระชายาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มาถึงเป่ยโม่ ก็ยังไม่ได้รับใบสั่งยาแม้แต่ฉบับเดียว ดังนั้นความอดทนของประชาชนจึงค่อย ๆ หมดลง แต่ความโกรธและความขุ่นเคืองกลับยิ่งมากขึ้นทันทีที่ข่าวลือแพร่สะพัด ก็เป็นเสมือนเป็นการขว้างเปลวไฟใส่ ‘ระเบิด’ หนึ่งหมื่นตุน ทำให้มันระเบิดออกอย่างรวดเร็วผู้ประสบภัยนับไม่ถ้วนหลั่งไหลเข้าสู่เมืองหลวงอย่างรวดเร็วหลังจากที่ฉินโจวลงจากภูเขา นางก็พบว่าองค์จักรพรรดิทำอะไรกับทหารม้า และทหารเจ็ดหมื่นนายที่ประจำการที่เมืองหลวง ซึ่งเขาออกคำสั่งให้ทหารเหล่านั้นขับไล่เหล่าผู้ประสบภัยออกไปนางเห็นด้วยตาตนเองว่าทหารใต้บังคับบัญชาของนางสร้างกำแพงมนุษย์อันแน่นหนา เมื่อผู้ประสภัยเดินทางเข้ามา พวกเขาก็จะโบกหอกเพื่อขับไล่คนเหล่านั้นออกไปผู้ประสบภัยมากกว่าสิบรายได้รับบาดเจ็บจากหอกทหารเหล่านั้นอยู่ใต้บังคับบัญชาของนาง แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะไม่ได้ฆ่าผู้ใด แต่เมื่อสถานการณ์รุนแรงขึ้นจะต้องมีการฆ่าแกงกันอย่างแน่นอนฉินโจวโกรธจัดจึงขี่ม้าเข้าไปขวางเอาไว้ “หยุด หยุดเ
ฉินโจวกวาดสายตามองพลางเยาะเย้ยจื่ออันไม่สนใจนาง และพาหลินตานไปยังเขตตะวันตกภายในสองวันนี้มีผู้เสียชีวิตถึงสามคน ซึ่งทั้งหมดถูกหามออกไปหลังจากที่หลินตามเดินเข้ามาเขาหลั่งน้ำตาหลั่งน้ำตาขณะมองดูการเผาศพจื่ออันไม่คิดว่าเขาจะมีความอ่อนไหวมากเพียงนี้ “ท่านหมอหลิน ท่านเป็นอะไรหรือไม่?”หลินตานปาดน้ำตา “ข้าขอโทษ ข้าเพียง... คิดถึงครอบครัวขอรับ”“ครอบครัวของท่าน? แล้วตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ใดหรือ?” จื่ออันถาม“ตายหมดแล้วขอรับ ภรรยาและลูกสะใภ้ของข้าตายเพราะเหตุแผ่นดินไหวทั้งคู่ ส่วนลูกชายและหลานชายติดเชื้อโรคระบาดก่อนตายไปเช่นกัน ข้าจึงเป็นคนเดียวที่เหลือรอด” หลินตานสูดหายใจเข้าลึก ใบหน้าที่อยู่ภายใต้ผมสีขาวฉายแววความเศร้าโศกและหดหู่จื่ออันไม่คาดคิดว่าเขาจะมาจากพื้นที่โรคระบาดเช่นกัน เมื่อเห็นสีหน้าเศร้าสร้อย จื่ออันก็ไม่รู้จะปลอบใจเขาเช่นไร จึงได้แต่นิ่งเงียบและอยู่เคียงข้างไม่นานหลินตานก็ถามว่า “ท่านหมอเซี่ย โรคระบาดนี้สามารถรักษาหายได้จริงหรือขอรับ?”ตอนนั้นเองจื่ออันก็นึกได้ว่าเขาเป็นหมอเท้าเปล่า และหลังจากเดินทางพเนจรไปที่ต่าง ๆ เขาอาจรู้จักจินเย่าฉือก็เป็นได้ ดังนั้นจึงรีบถามว