แม่นมละล่ำละลักพูด “อาฝูบอกว่าหวงไท่โฮ่วมีรับสั่งให้เฆี่ยนเสี่ยวซุนด้วยไม้จนตาย เนื่องจากเสี่ยวซุนเป็นผู้ปล่อยข่าวลือ ส่วนท่านก็มีความผิดฐานแพร่งพรายความลับของฝ่าบาทด้วย”จื่ออันตั้งท่าจะรีบออกไป แต่มู่หรงเจี๋ยดึงแขนนางไว้ “ไม่ต้อง”จื่ออันผงะ “ทำไมล่ะ?”มู่หรงเจี๋ยปรบมือเรียกหนี่หรงให้ก้าวออกมาข้างหน้า แล้วออกคำสั่งอย่างเย็นชา “ไปพาตัวเสี่ยวซุนกลับมา ผู้ใดก็ตามที่กล้าหยุดเจ้า อย่าได้ละเว้น!”หนี่หรงรับคำสั่ง แล้วตรงไปที่เรือนชิงหนิงทันทีพร้อมกับทหารยามอีกสองสามคน ที่ร่างกายกำยำสมชายชาตรีจื่ออันมองไปที่มู่หรงเจี๋ย นางไม่คาดคิดว่ามู่หรงเจี๋ยจะออกโรงปกป้องเสี่ยวซุนด้วยตนเอง นับตั้งแต่การลอบสังหารเกิดขึ้น นางยังไม่เห็นเขาลงมือจัดการกับฝ่ายนั้นด้วยซ้ำ“มองอะไร? คิดว่าข้าทรงพลังมากอย่างนั้นหรือ?” มู่หรงเจี๋ยเหลือบมองนางด้วยสายตาเยือกเย็นจื่ออันรีบเยินยอเขา “ใช่ ข้าคิดว่าท่านช่างสง่างามเหลือเกิน”แม่นมกล่าวอย่างเป็นกังวล “อย่างไรก็ตาม คงไม่ดีกระมังเจ้าคะ หากทางเราตั้งตนขัดแย้งกับกุ้ยไท่เฟยโดยตรง?”มู่หรงเจี๋ยตอบกลับ “จะเป็นไรไป? ตราบใดที่ข้าไม่สบอารมณ์ ข้าสามารถสั่งเผาเรือนชิงหนิง
สิ่งที่หวงไท่โฮ่ววางแผนไว้ไม่ง่ายดายเลย องค์จักรพรรดิทรงระแวดระวังมาก ทันทีที่เขาสร่างอาการมึนเมาจากยา เขาก็ไม่เต็มใจที่จะรับการถวายโอสถอีกต่อไป เพราะเขาเห็นแล้วว่าหวงไท่โฮ่วใจอ่อนกับเซี่ยจื่ออันอย่างไรก็ตาม เห็นได้ชัดว่ามู่หรงเจี๋ยไม่ได้ตั้งใจจะดำเนินการตามแผนของหวงไท่โฮ่ว เขาพยายามโน้มน้าวแล้วโน้มน้าวอีก เพียงเพื่อให้หวงไท่โฮ่วยอมอนุญาตให้จื่ออันเข้าวังซีเหวยอย่างถูกต้องหลังจากที่เขาพาจื่ออันไปพบหวงไท่โฮ่วแล้ว เขาก็พาจื่ออันไปที่วังซีเหวยระหว่างทาง จื่ออันถามเขาว่า “ท่านยังไม่ได้บอกข้าเลย หากข้าเข้าไปรักษาพระอาการของฝ่าบาท ที่นั่นจะมีกลอุบายใดซ่อนอยู่หรือไม่? ท่านไม่กลัวเลยหรือ?”“พวกเขาต้องคิดกลอุบายไว้แน่ ข้อสันนิษฐานของข้าคือซุนฟางเอ๋อร์อาจออกตัวว่านางสามารถรักษาพระอาการประชวรของฝ่าบาทได้ ทว่าเสด็จแม่ไม่อนุญาตให้นางเข้าไป สิ่งที่ข้ารอคอยคือ รอให้เสด็จแม่ปฏิเสธ ทันทีที่เจ้าเข้าไปแล้ว ข้าจะออกคำสั่งให้ปิดกั้นวังซีเหวยอย่างครอบคลุมทันที โดยห้ามมิให้ผู้ใดเข้าใกล้ และไม่อนุญาตให้ทหารองครักษ์หย่อนยานการปฏิบัติหน้าที่ ต่อให้ต้องการพักผ่อน ก็ต้องพักผ่อนอยู่ในวังซีเหวยเท่านั้น”“แต
จ้วงจ้วงยิ้ม “จื่ออันปล่อยเขาไปเถอะ ต้าจินมีหมัดเกาะ แต่เขาก็ยังนอนขลุกอยู่กับต้าจินทั้งคืน เขาจึงพลอยโดนหมัดกัดเอาด้วยเช่นกัน ส่วนอาหมานที่ติดหมัดก่อนหน้าโดนจับโกนขนหมดแล้ว เดือนถัดไปจะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าห้องนอนอีก”อุ้บ!จื่ออันอดไม่ได้ที่จะหัวเราะอ๋องหลี่พูดด้วยความโกรธ “ข้าบอกเจ้าแล้วมิใช่หรือว่าอย่าได้แพร่งพรายไป แต่เจ้าก็ยังพูดอีก? มันไม่ใช่เรื่องใหญ่เสียหน่อย”จ้วงจ้วงยักไหล่ “เอาเถิด อย่ากล่าวถึงเรื่องนี้อีกเลย ถึงอย่างไรทุกคนก็รู้กันหมดแล้ว”มู่หรงเจี๋ยไม่สนใจเรื่องไร้สาระเหล่านี้ เขาถามจ้วงจ้วงว่า “ฝ่าบาทตรัสว่าอย่างไรบ้าง?”“พระองค์พระราชทานอนุญาตให้จื่ออันเข้าไปได้ และทรงยินยอมให้จื่ออันตรวจดูอาการด้วย ทว่าข้าคิดว่าเขาก็ยังคงมีความตั้งใจแน่วแน่ที่จะตัดแขนตนเองทิ้ง วันนี้ข้าราชบริพารหลายท่านต่างก็เข้าวังไปขอร้องให้ตัดสินพระทัยใหม่แล้ว”มู่หรงเจี๋ยตอบรับในลำคอ มองไปทางจ้วงจ้วง “ข้ารบกวนให้ท่านทำเรื่องยากเสียแล้ว”เขารู้ดีว่าหากไม่มีความจำเป็น จ้วงจ้วงจะไม่เข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิเด็ดขาด ทว่าความจริงแล้วนางเป็นนักเจรจาตัวฉมังจ้วงจ้วงส่ายหน้า “ไม่เป็นไร ข้าทำเพราะเห็
มู่หรงเจี๋ยกล่าวว่า “เขาเปล่าคิดคดทรยศต่อท่าน ทว่าถูกพิษอาคมที่เรียกว่าพิษกู่ หากผู้ถูกพิษมีความซื่อสัตย์อย่างแรงกล้าและแน่วแน่ เขาจะไม่มีทางปริปากบอกความจริงใด ๆ ทว่าเห็นได้ชัดว่าเขาเกิดความสั่นคลอน ฝ่าบาทคงทราบว่าเป็นเพราะเหตุใด”องค์จักรพรรดิตอบกลับอย่างเคร่งขรึม “เขากลัวว่าตนจะถูกฝัง”“ทุกคนล้วนหวาดกลัวความตายกันทั้งสิ้น” มู่หรงเจี๋ยกล่าวอย่างราบเรียบจื่ออันได้ยินชัดทุกถ้อยคำ ในใจรู้สึกโกรธมาก ในเมื่อเขารู้ทุกอย่างอยู่แล้ว เหตุใดถึงไม่ยอมพูดให้เร็วกว่านี้? ทำให้นางกังวลเสียเปล่าไปหลายวันองค์จักรพรรดิตรัสว่า “ถึงแม้เจ้าจะขอร้องให้ท่านน้าเข้ามาเจรจาเกลี้ยกล่อมข้า ทว่าข้าก็ตัดสินใจแล้ว วันพรุ่งนี้ทันทีที่พระอาทิตย์ลอยขึ้นฟ้า ข้าราชบริพารจะเข้ามาที่วังซีเหวยเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง ก่อนที่พวกเขาจะได้ทำเช่นนั้น ข้าก็ตัดแขนตนเองทิ้งไปเสียแล้ว”มู่หรงเจี๋ยส่ายศีรษะ “ฝ่าบาท อันที่จริงข้าไม่ได้ขอร้องให้ท่านน้าเข้ามาเกลี้ยกล่อมท่าน หากแต่สาเหตุที่ข้าเชิญท่านน้ามาที่นี่ ก็เพราะหวังว่าฝ่าบาทจะยินยอมให้จื่ออันถวายการรักษา”จักรพรรดิเย้ยหยัน “ฟังจากที่เจ้าพูดแล้ว หากข้าไม่เห็นด้วย เจ้าก็จ
หมอหลวงแสดงท่าทีลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะส่งสมุดบันทึกการรักษาให้จื่ออันจื่ออันพลิกไปที่หน้าสุดท้าย เห็นว่าผงห้าศิลาที่ถูกนำมาใช้จริงจื่ออันพยักหน้า ในซีรี่ส์พีเรียดสมัยใหม่ นำเสนอความรุนแรงของผงห้าศิลาไว้ค่อนข้างสูงทีเดียว ทว่าแท้จริงแล้ว ผงห้าศิลาถูกนำมาใช้ครั้งแรกในรูปแบบของยารักษาผงยาจีนโบราณชนิดนี้มีฤทธิ์ทำให้ปอดอุ่น ปลุกกำหนัด ทั้งยังทำให้ร่างกายแข็งแรง นอกจากนี้ ยังมีฤทธิ์รักษากลากและแผลพุพองระดับเริ่มต้น กล่าวได้ว่าฤทธิ์ตัวยาไม่ได้โดดเด่นเป็นพิเศษ แต่ผลข้างเคียงต่างหากที่รุนแรง หลังจากกินเข้าไปแล้ว มันสามารถทำให้คนตื่นตัว ปากแห้งผาก และร้อนรุ่มไปทั้งเนื้อตัวได้ ความรู้สึกสัมผัสของผิวกายจะไวมาก สรุปแล้วผงห้าศิลาก็คือสารกระตุ้นชนิดหนึ่งนั่นเองผู้ป่วยสามารถกินได้ แต่ไม่ควรกินในปริมาณมากเกินไป เพราะมันเป็นแร่ธาตุที่ถูกกลั่นออกมา หากกินมากเกินไปจะทำให้เกิดพิษ“เป็นอย่างไรบ้าง?” จักรพรรดิเห็นว่านางไม่ถามไถ่อาการเขาเลย แต่ถามว่าเขาทานยาอะไรอยู่ จึงขมวดคิ้วอย่างช่วยไม่ได้ มองนางด้วยความไม่เชื่อถือจื่ออันปิดสมุดบันทึก มองดูองค์จักรพรรดิแล้วกล่าวว่า “ฝ่าบาท โปรดพระราชทานอภัยให
เมื่อเห็นว่าทุกคนดูเหมือนจะเข้าใจ จื่ออันจึงถามหมอหลวงว่า “ท่านวินิจฉัยว่าฝ่าบาททรงมีแผลหน้าผีเพราะโรคแฝดปรสิต หรือเพราะผื่นแดงบนพระพักตร์หรือ?”หมอหลวงพึมพำอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยว่า “แน่นอนว่าเป็นเพราะแผลหน้าผีที่พระกร… โรคแฝดปรสิต ข้าน้อยเพิ่งถวายการตรวจรักษาก่อนหน้านี้ พบว่าแผลหน้าผีก็มีผื่นแดงด้วยเช่นกัน ดังนั้นข้าน้อยจึงคิดว่าเป็นโรคเดียวกัน”จื่ออันส่ายหน้า “ข้าสามารถกล่าวได้อย่างมั่นใจว่านี่ไม่ใช่โรคเดียวกันอย่างแน่นอน หากตัวอ่อนกาฝากไม่เติบโต มันย่อมไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย ทว่าอาจแตกต่างออกไปหากตัวอ่อนกาฝากยังคงเติบโตอยู่ภายใน สำหรับผื่นผีเสื้อ การรักษานั้นค่อนข้างยากกว่า ขั้นตอนการรักษาค่อนข้างยาวนาน พระอาการของฝ่าบาทจึงต้องเลื่อนออกไปอีก ข้าสามารถยับยั้งการลุกลามของโรคได้ ทว่าไม่มีวิธีรักษาให้หายขาด”“ผื่นแดงสามารถรักษาให้หายได้หรือไม่?” จักรพรรดิตรัสถามจื่ออันส่ายศีรษะเบา ๆ “ทำได้เพียงบรรเทาเพคะ ไม่อาจทำให้หายขาดได้ ทว่าหากพระองค์ทรงไม่ต้องการให้คนพบเห็น หม่อมฉันพอมีวิธี”“วิธีอะไร?” พระเนตรของจักรพรรดิเป็นประกายจื่ออันเผยอริมฝีปาก “ปลอมตัวเพคะ”จักรพรรดิเริ่มคิด
ผู้คนในวังซีเหวยเริ่มดำเนินการกันอย่างวุ่นวาย กล่าวกันว่าจื่ออันออกใบสั่งยาและให้ไปซื้อหนังหมู ทั้งยังมีของอีกหลายชนิด ซึ่งพวกเขาไม่รู้ว่านางจะใช้ทำอะไรกันแน่วันรุ่งขึ้นมีกำหนดประชุมท้องพระโรงแต่เช้าตรู่ แต่มู่หรงเจี๋ยมีคำสั่งให้เปลี่ยนเวลาเช้าตรู่ของวันนี้เป็นวันมะรืน ทั้งยังมอบหมายให้ขันทีในวังไปแจ้งตามกรมต่าง ๆ ว่าวันพรุ่งนี้ไม่ต้องเข้าวังเพื่อประชุมราชการหลังจากที่ข่าวแพร่ออกไป บรรดานางสนมหรือขุนนางต่างก็อดกลั้นได้ ทว่าองค์รัชทายาทไม่สามารถอดทนได้ยิ่งเมื่อเขาได้ข่าวว่าจื่ออันเข้ามาพักค้างคืนที่วังซีเหวย เขาที่รู้อยู่แล้วว่าเซี่ยจื่ออันเก่งกาจด้านทักษะทางการแพทย์มาก จึงกลัวว่าหากนางอยู่ในวังซีเหวย เรื่องภายในจะเกิดการเปลี่ยนแปลงใด ๆ หรือไม่?เขาต้องเปิดเผยพระอาการประชวรของพระราชบิดาให้ได้ ทุกวันนี้ประชาชนได้แต่คาดเดาไปต่าง ๆ นานา ไม่มีใครเคยเห็นกับตา หากเขาเห็นกับตาแล้วแจ้งบรรดาขุนนาง สถานการณ์อาจจะต่างออกไปเมื่อนึกถึงสิ่งนี้ เขาจึงเพิกเฉยต่อคำสั่งกักบริเวณ แล้วออกไปหาสนมเหลียง ชวนให้นางไปวังซีเหวยด้วยกันเพื่อถวายบังคมต่อพระราชบิดาสนมเหลียงถูกปลดจากตำแหน่งฮองเฮา นางรู้ว่า
จักรพรรดิยังไม่ได้เริ่มทำการผ่าตัด แต่ถึงอย่างไรการผ่าตัดก็ไม่ได้ซับซ้อนมากนัก จื่ออันจึงไม่รีบร้อน แต่ลงมือทำหน้ากากก่อนขณะที่องค์รัชทายาทและสนมเหลียงเข้ามา จื่ออันนั่งคุกเข่าอยู่ข้างแท่นบรรทม ค่อย ๆ พับแขนเสื้อขององค์จักรพรรดิขึ้น เผยให้เห็นใบหน้าขนาดเล็กที่งอกออกมา ภาพตรงหน้าทำให้องค์รัชทายาทและสนมเหลียงหน้าซีดเผือดด้วยความตกใจองค์จักรพรรดิหรี่ตา ระงับความโกรธในดวงตาลง ก่อนจะแค่นเสียงเล็ดลอดออกมาจากพระโอษฐ์ที่แตกลอก “องค์รัชทายาทผู้แสนดี และสนมผู้แสนดีของข้าอยู่ที่นี่เองรึ!”คำพูดเหล่านี้ฟังดูอ่อนโยนมาก ทว่าสำหรับประสาทการได้ยินขององค์รัชทายาทและสนมเหลียงแล้ว มันกลับดูเหมือนเสียงฟ้าร้องกัมปนาทสนมเหลียงรีบฉุดองค์รัชทายาทให้คุกเข่าลง ร่างกายของนางสั่นสะท้านโดยไม่ได้ตั้งใจ “หม่อมฉันคิดถึงฝ่าบาท เกรงว่าอาจมีคนคิดร้ายต่อพระองค์ ดังนั้นจึงยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อที่จะได้เข้ามาพบ”จักรพรรดิคลี่ยิ้มบาง จากนั้นรอยยิ้มก็ค่อย ๆ ยกสูงขึ้นจากมุมปาก จุดแดงบนใบหน้าเกือบกลายเป็นแถบหนาสีแดงเข้ม ริ้วรอยบริเวณมุมตาปรากฏซ้อนกันอย่างน่ากลัว “ดี!”องค์รัชทายาทคุกเข่า ค่อย ๆ คลานไปข้างหน้า ถึงกระนั้นก
ร่างกายของแม่ทัพเฒ่าฉินสั่นสะท้านด้วยความโกรธ “เจ้าสาปแช่งปู่รึ เจ้าเคยคำนึงถึงญาติพี่น้องหรือไม่?”เมื่อหมอหลวงมาถึง กลับไม่มีคนในตระกูลฉินคอยเฝ้าเขาอยู่ในห้อง ดังนั้นจึงมีเพียงแต่บ่าวรับใช้หลังจากตรวจสอบอาการเสร็จ หมอหลวงก็กล่าวด้วยสีหน้าตกตะลึง “ท่านแม่ทัพเฒ่า เมื่อไม่กี่วันมานี้ท่านได้ไปที่ใดมา? แล้วท่านเคยเข้าไปในพื้นที่โรคระบาดหรือไม่?” “ไม่เคย ข้าไม่เคยไปที่นั่น” สีหน้าของแม่ทัพเฒ่าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เมื่อได้ยินคำพูดของหมอหลวง “ท่านกำลังสงสัยว่าข้าติดเชื้อโรคระบาดใช่หรือไม่?”“อาการช่างคล้ายคลึงกันยิ่งนัก” หมอกลวงกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด“เป็นไปไม่ได้!” แม่ทัพเฒ่าฉินรู้สึกตื่นตระหนกอย่างมาก “ท่านวินิจฉัยผิดหรือไม่?”“ข้าจะจัดยาให้ท่านสองชนิดก่อน หากดื่มยาเหล่านี้แล้วไม่ได้ผล เช่นนั้นไม่ใช่ก็ใกล้เคียงแล้วขอรับ” หมอหลวงกล่าวแม่ทัพเฒ่าฉินกล่าวด้วยความลนลาน “ฉินโจวบังคับให้ท่านพูดเช่นนี้ใช่หรือไม่?”หมอหลวงรู้สึกประหลาดใจ “แม่ทัพเฒ่า ท่านหมายความว่าอย่างไร? เหตุใดแม่ทัพฉินถึงต้องบังคับให้ข้าพูดเช่นนี้?”หมอหลวงชะงักไปชั่วครู่หนึ่งแล้วโพล่งถาม “ท่านเคยพูดคุยกับองค์ชายเ
นางสามารถเสียสละได้ แต่จะไม่มีทางทรยศต่อประชาชนเป่ยโม่เด็ดขาดสำหรับความจงรักภักดีต่อองค์จักรพรรดิและประเทศชาติ นางจะต้องรักประชาชนก่อน จึงจะสามารถภักดีต่อองค์จักรพรรดิได้ฉินโจวกล่าวคำเบา “ข้าเข้าไปในพระราชวังเพื่อเชิญหมอหลวงแล้ว ท่านปู่พักผ่อนก่อนเถิด ข้าจะออกไปเดินเล่นรับลมสักหน่อย”ดวงตาของแม่ทัพเฒ่าฉินอัดแน่นด้วยความโกรธ แต่ก็พยายามอย่างหนักเพื่อระงับมันฉินโจวเดินออกจากห้อง และเห็นว่าฉินเป้าน้องชายของตนนั่งอยู่ที่สวน เมื่อเห็นนางเดินออกมา เขาก็ถามว่า “ท่านปู่เป็นอย่างไรบ้าง?”ฉินโจวจำคำพูดของท่านปู่ได้อย่างแม่นยำ จึงเมินเฉยต่อเขาและตอบอย่างใจเย็น “เข้าไปดูด้วยตนเองสิ”ฉินเป้าคลี่ยิ้ม แต่มันกลับดูอ้างว้างอย่างยิ่ง “ข้าได้ยินสิ่งที่ท่านปู่พูดกับท่านแล้ว ข้าไม่อยากเข้าไป”ฉินโจวตกตะลึง “เพราะเหตุใด เขาทุ่มเทความพยายามทั้งหมดไปกับหารวางแผนเพื่อเจ้า เจ้าควรขอบคุณท่านปู่สิ”ฉินเป้าหัวเราะเยาะ “จริงรึ? หากเขาทอดทิ้งท่านเพื่อตระกูลได้ ในอนาคตเขาจะไม่ทอดทิ้งข้าหรือ? ข้าไม่ต้องการชื่อเสียงหรือความดีงามใด ๆ พวกมันไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการเลย”ฉินโจวดูถูกน้องชายมาโดยตลอด เพราะเขาไม่ได
ทั้งสองคนเดินออกไปและหยุดอยู่บนทางเดิน หมอมองฉินโจวพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “ท่านแม่ทัพ ข้ากำลังสงสัยว่าท่านแม่ทัพเฒ่าจะป่วยด้วยโรคระบาดขอรับ”ฉินโจวตกตะลึง “โรคระบาด? เป็นไปได้อย่างไร? ปู่ของข้าไม่เคยออกไปข้างนอก และไม่เคยติดต่อกับผู้ป่วยโรคนี้เลย แล้วเขาจะติดเชื้อโรคระบาดได้อย่างไร?”“ข้าเคยรักษาผู้ป่วยโรคระบาดมาก่อน ซึ่งอาการคล้ายคลึงกันอย่างมาก ผู้ป่วยจะมีไข้สูง ไอ ตาแดง หายใจเร็วขึ้น เมื่อเกิดอาการเหล่านี้พร้อมกันจะอันตรายอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นโรคนี้ยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาดขอรับ” หมอกล่าว“เป็นไปไม่ได้ หากจะติดเชื้อโรคระบาดก็ต้องสัมผัสกับผู้ป่วยที่มีเชื้ออยู่แล้ว แต่ท่านปู่ของข้าไม่เคยใกล้ชิดคนเหล่านั้นเลย แล้วเขาจะติดเชื้อได้อย่างไร?” ฉินโจวยังคงไม่เชื่อหมอประสานหมัด “ทั้งหมดนี้คือคำวินิจฉัยของข้า หากท่านแม่ทัพไม่เชื่อ ก็สามารถขอให้หมอคนอื่นมาตรวจดูได้ หรือท่านจะพาเขาไปที่พระราชวัง และขอให้หมอหลวงช่วยตรวจอาการ ข้าไร้ความสามารถ จึงอาจวินิจฉัยผิดพลาดได้ ลาก่อนขอรับ ๆ!”สิ้นคำ หมอก็หยิบกล่องยาแล้วออกไปโดยไม่เขียนใบสั่งยาด้วยซ้ำฉินโจวสับสนไม่น้อย ท่านปู่ติดเชื้อโร
หัวใจของฉินโจวเย็นเยียบราวกับน้ำ “ใช่ ตราบใดที่ข้าตายในสนามรบ ตระกูลฉินก็ยังจะเป็นผู้กล้า และเป็นขุนนางผู้มีเกียรติ”แม่ทัพเฒ่าฉินเงียบไปครู่ใหญ่ จากนั้นกล่าวคำเบา “ในฐานะหลานสาวตระกูลฉิน มันเป็นหน้าที่ของเจ้าที่ต้องเสียสละเพื่อชื่อเสียง และรากฐานของตระกูล”ฉินโจวกำหมัดแน่นด้วยความไม่พอใจ “หลายปีที่ผ่านมานี้ ข้ายังทำไม่พออีกหรือ? ตอนนี้มีใครในตระกูลฉินบ้างที่ไม่เกาะกินเลือดนี้ของข้า?”แม่ทัพเฒ่าฉินลุกยืนขึ้นพลางกล่าวอย่างเย็นชา “ข้าเคยเตือนเจ้าแล้ว คราวนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เจ้าจะต้องเข้าไปในพระราชวัง ข้าให้คำมั่นกับฮองเฮาเฉาแล้ว ว่าวันนี้เจ้าจะไปที่นั่นเพื่อทูลขอรับคำสั่ง หากเจ้าไม่ไป ข้าก็จะรับคำสั่งและออกรบด้วยตนเอง”“ท่าน...” ฉินโจวมองเขาด้วยสายตาโศกเศร้า “ท่านปู่ ข้าก็เป็นหลานสาวของท่านเหมือนกัน ท่านไม่สงสารข้าบ้างหรือ?”“ปู่สงสารเจ้าสิ แต่ภารกิจหน้าที่ของตระกูลฉินจะต้องถูกส่งต่อ ตอนนี้น้องชายของเจ้าโตพอแล้ว เจ้าจะต้องพาเขาไปสร้างความสำเร็จทางการทหารด้วย และเจ้าจะได้รับส่วนแบ่งของน้องเจ้า เมื่อถึงเวลานั้น ตระกูลฉินก็จะได้ผู้สืบทอดคนใหม่”ฉินโจวผงะไปชั่วครู่ ก่อนระเบิดหัวเราะ
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินโจว แม่ทัพเฒ่าฉินก็โมโหมากจนเคราสั่นสะท้าน “อาโจว อะไรจะสำคัญไปกว่าการบรรลุเป้าหมายอันยิ่งใหญ่? องค์จักรพรรดิเพียงต้องการขยายอาณาเขตของแคว้น เจ้าควรรู้เอาไว้ว่าเมื่อเรายึดครองต้าโจวสำเร็จ เป่ยโม่จะมีพื้นที่เพิ่มมากกว่าครึ่งหนึ่ง และมันจะเป็นความดีความชอบของตระกูลฉิน ทำให้ตระกูลของเราถูกจดจำไปหลายชั่วอายุคน! นี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าต้องการมาตลอดรึ? เจ้าไม่ต้องการบอกคนทั้งโลก ว่าแม้ฉินโจวจะเป็นสตรี แต่นางก็สามารถประสบความสำเร็จได้อย่างผ่าเผยหรือ?”ฉินโจวมองดูใบหน้าที่ฉายแววตื่นเต้นปนโกรธเกรี้ยวของปู่ ทันใดนั้นนางก็สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติถูกต้อง มันคือความต้องการของนาง แต่ความสำเร็จของนางจะต้องไม่แลกกับการเหยียบย่ำกระดูกของประชาชนชาวเป่ยโม่นางรักเป่ยโม่และหวังที่จะขยายอาณาเขตของแคว้น นอกจากนี้นางยังต้องการเสาะหาดินแดนอุดมสมบูรณ์เพื่อประชาชน เพราะหวังว่าพวกเขาจะสามารถอยู่อาศัยและทำกินอย่างสงบสุข และพึงพอใจโดยไม่ต้องทนทุกข์จากการพลัดถิ่นอย่างไรก็ตาม ในตอนนี้หากต้องการบรรลุอำนาจ นางจำต้องสละชีวิตประชาชนจำนวนมาก และนำเงินภาษีของทุกคนมาใช้ในการทำสงคราม ทำให้โรคร
มือสังหารเหล่านั้นแต่งกายคล้ายกับชาวต้าโจวและสวมหน้ากากผ้าสีดำ กลุ่มคนนิรนามราวเจ็ดถึงแปดคนกระโดดลงมาจากท้องฟ้ากลางวันแสก ๆ ทันทีที่เท้าของคนเหล่านั้นแตะพื้น พวกมันก็เริ่มโจมตีอย่างดุดันฉินโจวเห็นมือสังหารคนหนึ่งกระโดดขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับกระบี่ยาว จากนั้นร่ายรำอยู่หลายกระบวนท่าราวกับนางฟ้าโปรยดอกไม้ ขณะแสงแดดตกกระทบกระบี่ส่องกระจายไปทั่วเหล่าทหารที่เพิ่งมาถึงกระโจนเข้าไปร่วมวงต่อสู้อย่างรวดเร็วหลังจากประดาบกันไปกว่าร้อยครั้ง มือสังหารก็ถูกบีบบังคับให้ล่าถอย ฉินโจวจ่อกระบี่ไปที่คอของหนึ่งในมือสังหาร พลางถามเสียงเข้ม “ตอบข้า ใครเป็นคนส่งเจ้ามา?”มือสังหารตอบอย่างเย็นชา “ฆ่าไอ้หมารับใช้เป่ยโม่ให้หมด!”“หมารับใช้เป่ยโม่? เห็นได้ชัดว่าพวกเจ้าไม่ได้เป็นคนเป่ยโม่ พวกเจ้ามาจากต้าโจวใช่หรือไม่?” ฉินโจวโมโหอย่างมาก ขณะชี้ดาบไปยังหน้าอกของอีกฝ่าย “ไอ้เลวมู่หรงเจี๋ยส่งพวกเจ้ามาใช่หรือไม่?”“หญิงเลวอย่าเจ้ากล้าเอ่ยชื่อของท่านอ๋อง ทำให้พระองค์มัวหมองได้อย่างไร?” มือสังหารตะโกนฉินโจวชักดาบกลับพร้อมกล่าวอย่างเย็นชา “กลับไปซะ!”มือสังหารตกตะลึง ราวกับไม่คาดคิดว่าฉินโจวจะปล่อยตัวเขาไป”เ
ฉินโจวกล่าวด้วยความโมโห “ข้าหลอกลวงเจ้าเมื่อไร?”“ไม่งั้นรึ? เจ้าและอ๋องฉีเอ่ยปากว่า หากจื่ออันตกลงเดินทางมาที่เป่ยโม่ พวกเจ้าจะส่งองค์ชายรัชทายาทไปที่ต้าโจวเป็นองค์ประกัน แล้วพวกเจ้าทำตามที่พูดแล้วหรือไม่?”“องค์ชายรัชทายาทเดินทางไปยังต้าโจวแล้ว!”“ผู้ที่เดินทางไปยังต้าโจวคือองค์ชายเจ็ด ไม่ใช่องค์ชายรัชทายาท องค์ชายเจ็ดไม่ได้เป็นที่โปรดปราน ดังนั้นจักรพรรดิเป่ยโม่จะส่งเขาไปสังเวยเมื่อใดก็ได้”“เป็นไปไม่ได้!” ฉินโจวประหลาดใจอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าผู้ที่เดินทางไปคือองค์ชายรัชทายาท เพราะองค์จักรพรรดิทรงตรัสด้วยตนเองว่าจะส่งเขาไปที่ต้าโจว“เจ้าอย่าเพิ่งสนใจเรื่องนี้เลย ก่อนหน้านี้ทั้งสองแคว้นตกลงทำสนธิสัญญาสงบศึก หลังจากการแพร่ระบาดสิ้นสุดลง แต่เจ้ากลับวางแผนโจมตีพวกเราในขณะที่ข้ายังอยู่ที่เป่ยโม่ เจ้าจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร?” มู่หรงเจี๋ยกล่าวอย่างเคร่งเครียดฉินโจวตอบ “ผิดแล้ว เป็นเพราะต้าโจวที่เคลื่อนทัพโจมตีทหารฝั่งขวาของเราก่อน และสังหารทหารของเราไปกว่าร้อยคน ข้าจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเคลื่อนทัพเข้าไปใกล้ เพื่อบีบบังคับให้พวกเจ้าถอยกลับ”“ไร้สาระ กองทัพของเราหยุดเคลื่อนท
อย่างไรก็ตาม การจัดหาเสบียงอาหารสำหรับพื้นที่ภัยพิบัติยังไม่เพียงพอ และยังขาดแคลนเสื้อผ้าอาภรณ์ นอกจากนี้หลังจากที่พระชายาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มาถึงเป่ยโม่ ก็ยังไม่ได้รับใบสั่งยาแม้แต่ฉบับเดียว ดังนั้นความอดทนของประชาชนจึงค่อย ๆ หมดลง แต่ความโกรธและความขุ่นเคืองกลับยิ่งมากขึ้นทันทีที่ข่าวลือแพร่สะพัด ก็เป็นเสมือนเป็นการขว้างเปลวไฟใส่ ‘ระเบิด’ หนึ่งหมื่นตุน ทำให้มันระเบิดออกอย่างรวดเร็วผู้ประสบภัยนับไม่ถ้วนหลั่งไหลเข้าสู่เมืองหลวงอย่างรวดเร็วหลังจากที่ฉินโจวลงจากภูเขา นางก็พบว่าองค์จักรพรรดิทำอะไรกับทหารม้า และทหารเจ็ดหมื่นนายที่ประจำการที่เมืองหลวง ซึ่งเขาออกคำสั่งให้ทหารเหล่านั้นขับไล่เหล่าผู้ประสบภัยออกไปนางเห็นด้วยตาตนเองว่าทหารใต้บังคับบัญชาของนางสร้างกำแพงมนุษย์อันแน่นหนา เมื่อผู้ประสภัยเดินทางเข้ามา พวกเขาก็จะโบกหอกเพื่อขับไล่คนเหล่านั้นออกไปผู้ประสบภัยมากกว่าสิบรายได้รับบาดเจ็บจากหอกทหารเหล่านั้นอยู่ใต้บังคับบัญชาของนาง แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะไม่ได้ฆ่าผู้ใด แต่เมื่อสถานการณ์รุนแรงขึ้นจะต้องมีการฆ่าแกงกันอย่างแน่นอนฉินโจวโกรธจัดจึงขี่ม้าเข้าไปขวางเอาไว้ “หยุด หยุดเ
ฉินโจวกวาดสายตามองพลางเยาะเย้ยจื่ออันไม่สนใจนาง และพาหลินตานไปยังเขตตะวันตกภายในสองวันนี้มีผู้เสียชีวิตถึงสามคน ซึ่งทั้งหมดถูกหามออกไปหลังจากที่หลินตามเดินเข้ามาเขาหลั่งน้ำตาหลั่งน้ำตาขณะมองดูการเผาศพจื่ออันไม่คิดว่าเขาจะมีความอ่อนไหวมากเพียงนี้ “ท่านหมอหลิน ท่านเป็นอะไรหรือไม่?”หลินตานปาดน้ำตา “ข้าขอโทษ ข้าเพียง... คิดถึงครอบครัวขอรับ”“ครอบครัวของท่าน? แล้วตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ใดหรือ?” จื่ออันถาม“ตายหมดแล้วขอรับ ภรรยาและลูกสะใภ้ของข้าตายเพราะเหตุแผ่นดินไหวทั้งคู่ ส่วนลูกชายและหลานชายติดเชื้อโรคระบาดก่อนตายไปเช่นกัน ข้าจึงเป็นคนเดียวที่เหลือรอด” หลินตานสูดหายใจเข้าลึก ใบหน้าที่อยู่ภายใต้ผมสีขาวฉายแววความเศร้าโศกและหดหู่จื่ออันไม่คาดคิดว่าเขาจะมาจากพื้นที่โรคระบาดเช่นกัน เมื่อเห็นสีหน้าเศร้าสร้อย จื่ออันก็ไม่รู้จะปลอบใจเขาเช่นไร จึงได้แต่นิ่งเงียบและอยู่เคียงข้างไม่นานหลินตานก็ถามว่า “ท่านหมอเซี่ย โรคระบาดนี้สามารถรักษาหายได้จริงหรือขอรับ?”ตอนนั้นเองจื่ออันก็นึกได้ว่าเขาเป็นหมอเท้าเปล่า และหลังจากเดินทางพเนจรไปที่ต่าง ๆ เขาอาจรู้จักจินเย่าฉือก็เป็นได้ ดังนั้นจึงรีบถามว