มู่หรงเจี๋ยพูดไม่ผิด จื่ออันนั่งยอง ๆ ในคุกใต้ดินเป็นเวลากว่าครึ่งชั่วยาม กว่านางจะเข้าใจเจตนาดีของมู่หรงเจี๋ยนางใช้สมองครุ่นคิดว่าใครเป็นคนปล่อยข่าวเรื่องนี้ และมีกี่คนบ้างที่รู้เรื่องนี้หลังจากคิดใคร่ครวญในใจแล้ว นางรู้สึกว่ากุ้ยไท่เฟยและอ๋องหนานหวายน่าสงสัยที่สุด ทว่านางยังแน่ใจว่ากุ้ยไท่เฟยคงไม่รู้เกี่ยวกับพระอาการประชวรขององค์จักรพรรดิ มิเช่นนั้นนางคงโพนทะนาเรื่องนี้ไปนานแล้วในเมื่อไม่เคยรู้มาก่อน แล้วจู่ ๆ จะลอบรู้ได้อย่างไรนอกจากพวกเขาแล้ว เหลียงไท่ฟู่ก็มีความเป็นไปได้ เพราะเมื่อไรก็ตามที่องค์จักรพรรดิถูกบีบบังคับให้สละราชสมบัติ องค์รัชทายาทจะสามารถขึ้นครองบัลลังก์ได้อย่างชอบธรรม ทว่าเหลียงไท่ฟู่ก็อาจจะไม่ทราบเกี่ยวกับพระอาการประชวรขององค์จักรพรรดิเช่นกันจื่ออันจำได้ว่าตอนที่มู่หรงเจี๋ยพานางเข้าไปในวันนั้น ตอนแรกทหารราชองครักษ์ได้ปิดกั้นนางไว้ แต่ต่อมาเขาก็เลือกที่จะปล่อยนางเข้าไปแต่โดยดี เห็นได้ชัดว่าคนในวังซีเหวยรู้อยู่แก่ใจว่าพวกเขาคงไม่มีวันออกไปได้แน่แล้ว ฉะนั้นคงไม่ใช่เรื่องดีหากอาการของพระองค์ถูกเปิดเผยต่อสาธารณะแน่นอนว่าในขณะที่องค์จักรพรรดิเลือกที่จะอยู่ในวั
จื่ออันแทบอาเจียนเป็นเลือดออกมา!จากนั้นเขาก็กล่าวต่อไป “เจ้าเชื่อหรือไม่?”“เชื่อสิ ทำไมจะไม่เชื่อล่ะ? ท่านนี่ไม่ทำให้ข้าโกรธสักวันจะตายหรืออย่างไรกัน ออกไปให้พ้น!” จื่ออันพูดอย่างโกรธเคืองเมื่อครู่เพิ่งจะมีบรรยากาศหวานล้ำอยู่แล้วเชียว ทว่ามันถูกทำลายโดยเขาคนคนนี้ไม่รู้จักแสวงหาความหวานชื่นในความสัมพันธ์และชีวิตส่วนตัวเลยหรือไรกัน?“เอาล่ะ เอาล่ะ อย่างมากที่สุด ข้าก็ไม่มีทางมองหาใครแน่” เขากล่าวด้วยท่าทางกระดากอาย“ไม่ ท่านควรมองหา และไม่ต้องมองหาใครอื่นด้วยซ้ำ ในตำหนักของท่านไม่ได้มีพระชายาซุนอยู่แล้วหรอกหรือ?” จื่ออันกล่าวอย่างเย็นชามู่หรงเจี๋ยหยิบเหยือกน้ำส้มสายชูขึ้นมาแล้วยื่นให้นาง “เจ้ากับข้าเหมาะสมคู่ควรกันที่สุดแล้ว สำหรับพระชายาซุน นางเพิ่งกลับมาจากที่พักของไท่ฟู่ จากนั้นก็ไปที่ตำหนักของกุ้ยไท่เฟย ชีวิตนางดูยุ่งเหยิงมากทีเดียว ดังนั้นอย่าได้รบกวนนางเลย”จื่ออันตะลึงไปครู่หนึ่ง “หือ?” นี่มันอะไรกัน!มู่หรงเจี๋ยมองนาง ใบหน้าอันหล่อเหลาของเขาโคลงไปมาต่อหน้า “แปลกใจหรือ? เป็นธรรมดาของผู้ที่เห็นแก่ตัว เจ้าเป็นศัตรูของพวกนาง แน่นอนว่าศัตรูเหล่านี้ย่อมสร้างพันธมิตรเพื่อจ
มู่หรงเจี๋ยไม่รู้ว่าเขาติดน้ำส้มสายชูหรือไม่ ทว่าตอนนี้เขาติดเป็นนิสัยไปเสียแล้ว ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็ตาม เขาต้องกระดกขึ้นจิบสักเล็กน้อยเสมอตอนเย็น หนี่หรงนำผ้าห่มมาส่งให้ที่คุก หลังจากนั้นไม่นานมู่หรงเจี๋ยถือผ้านวมเดินเข้ามาเช่นเดียวกัน“ท่านมาทำอะไรที่นี่?” จื่ออันถามเมื่อเห็นเขาเดินตรงเข้ามา“สามีภรรยามีชะตากรรมเดียวกัน ไม่ว่าเจ้านอนที่ไหน ข้าก็จะนอนอยู่เคียงข้างเจ้า” เขาชำเลืองมองไปที่เตียงของจื่ออัน ก่อนจะกล่าวด้วยความขยะแขยง “เจ้านี่ช่างเลอะเทอะเสียจริง เหตุใดถึงไม่ยอมปูเสื่อก่อนเล่า? กางผ้าห่มลงบนฟางโดยตรงเช่นนั้น สกปรกนัก”หนี่หรงกล่าว “เสี่ยวซุนเพิ่งออกไป ประเดี๋ยวจะมาที่นี่ในไม่ช้า”“ตอนนี้ข้าถูกลงโทษให้อยู่ในคุก เหตุใดจึงได้รับบริการที่พิเศษเยี่ยงนี้กัน” จื่ออันเอ่ยด้วยสายตาว่างเปล่า“ไม่ใช่เจ้าที่ได้รับบริการอย่างดี แต่เป็นข้าต่างหาก ข้าเองก็ต้องนอนเหมือนกันนะ” มู่หรงเจี๋ยทำจมูกฟุดฟิด ดมกลิ่นแล้วพูดด้วยความขยะแขยงทันที “เจ้าไม่ได้อาบน้ำนี่”จื่ออันพูดด้วยความโกรธ “ท่านคิดว่าที่นี่เป็นคุกระดับห้าดาวหรือ? ถึงจะมีห้องน้ำในตัวด้วย?”“เหตุใดจะมีไม่ได้?”มู่หรงเจี๋ยหันไปบอ
มู่หรงเจี๋ยตอบกลับอย่างเรียบเฉย “ข้าทำให้หลายคนขุ่นเคืองมานักต่อนัก ไม่มีผู้ใดสามารถรับประกันได้ว่าไม่มีใครต้องการเด็ดหัวข้าทิ้ง ดังนั้นคงเป็นการดีหากมีทางออกอื่นเพื่อเอาตัวรอด”จื่ออันถอนหายใจเบา ๆ “จริงด้วย”เขาเพิ่งดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เมื่อไม่นานมานี้ ก่อนจะกลายมาเป็นผู้สำเร็จราชการแทน เขาก็เป็นทหารกล้าที่มีความห้าวหาญเยี่ยงชายชาตรีอยู่ในตัวเมื่ออยู่ในจุดที่มีปืนสีดำจ่อหน้ารายล้อมเช่นนี้ นานวันเข้าต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่หนี่หรงขอให้ใครบางคนยกอ่างอาบน้ำ และนำน้ำร้อนเข้ามาให้ จากนั้นจื่ออันก็อาบน้ำที่มีกลิ่นหอมจรุงอยู่ภายในคุกใต้ดินนั้นการนอนแปลกที่อาจไม่คุ้นเคยสำหรับนางก็จริง ทว่านางไม่ใช่คนบอบบาง ต่อให้อยู่บนภูเขาสูงชัน นางก็ผล็อยหลับได้ทุกเมื่อ ตราบเท่าที่นางเหนื่อยล้าเต็มทนนอกจากนี้ เตียงของพวกเขาไม่อ่อนนุ่มเอาเสียเลย มู่หรงเจี๋ยไม่เคยชินกับการนอนบนเตียงแข็ง แต่เมื่ออยู่ในจุดนี้ เขาก็พร้อมจะแบกรับความยากลำบากซึ่งแน่นอนว่ามันไม่สบายเลย เนื่องจากตอนนี้เขาไม่มีหมอนนุ่ม ๆ รองรับ หรืออยู่บนเตียงสูง ๆที่ไหนมีนาง ที่นั่นย่อมเปรียบเสมือนบ้าน“หวงไท่โฮ่วเรียกท่
ซุนฟางเอ๋อร์ลดมือลงอย่างอ่อนแรง เมื่อคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในเวลานั้น ถึงได้ค้นพบว่าภายในใจของนางมีแต่ความเกลียดชังก่อนหน้านี้นางสามารถปลอบใจตนเองด้วยการหลอกตัวเองว่าเขาแค่เป็นชายที่ไร้ความรู้สึก ทว่าตอนนี้เขากลับแสดงความรักที่มีต่อเซี่ยจื่ออันอย่างเปิดเผย แล้วนางจะยังหลอกตัวเองต่อไปได้อีกหรือ?กำปั้นจากหลวม ๆ ค่อย ๆ กำแน่นนางยังคงกล่าวด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง “หากถ้าข้าคาดเดาไม่ผิด มู่หรงเจี๋ยจะต้องเข้าวังในเช้าวันพรุ่งนี้ และเขาคงปฏิเสธที่จะส่งตัวเซี่ยจื่ออันให้วังหลวง อ้างว่าตนจะคุมขังจื่ออันเพื่อสอบสวนด้วยตนเอง ท่านจงไปแจ้งให้กุ้ยไท่เฟยชิงเข้าวังตัดหน้า จากนั้นบอกหวงไท่โฮ่วว่าเสี่ยวซุน สาวใช้ของเซี่ยจื่ออันเป็นผู้เผยแพร่พระอาการประชวรขององค์จักรพรรดิเป็นคนแรก ทำให้เรื่องราวแพร่ไปยังโรงเตี๊ยมและโรงน้ำชา และข้าเป็นผู้ที่รู้วิธีรักษาแผลหน้าผี”“ทหารสายลับของเราที่เป็นผู้เผยแพร่ข่าวลือจะถูกติดตามภายหลังหรือไม่?” อ๋องหนานหวายพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ เมื่อเห็นว่านางกลับมาสงบสติอารมณ์กว่าก่อนหน้านี้“ไม่แน่นอน เขาตายแล้ว เนื่องจากล้มป่วยกะทันหัน พิษกู่ที่ข้าแพร่ให้เขานั้นมีพิษร้ายแรงยิ่ง
“อาเจี๋ยเลอะเลือน เลอะเลือนยิ่งนัก!”เมื่อหวงไท่โฮ่วโศกเศร้าและขุ่นเคือง นางก็ไปเข้าเฝ้าจักรพรรดิเป็นการส่วนตัวที่วังซีเหวยจักรพรรดิได้สติมากขึ้น ซึ่งเป็นผลฤทธิ์ยาที่ช่วยประคองอาการเขาไว้ชั่วคราว“รู้สึกอย่างไรบ้าง?” หวงไท่โฮ่วกลั้นน้ำตา ขณะนั่งข้างเตียงถามด้วยความทุกข์ใจ“ดีขึ้นมากแล้ว” จักรพรรดิเบือนหน้าหนี แต่ไม่อาจปิดบังความอ่อนล้าได้“พวกเขาบอกว่าเจ้าต้องตัดแขนออก แต่แม่ไม่เห็นด้วย” หวงไท่โฮ่วพูดทั้งน้ำตาจักรพรรดิพูดด้วยเสียงทุ้มว่า “เสด็จแม่ ถึงตอนนี้แล้ว ก็จำเป็นต้องทำเช่นนั้น บอกให้อาเจี๋ยเข้ามาในวัง แล้วสั่งประหารคนปล่อยข่าวลืออย่างเซี่ยจื่ออันด้วยการโบย หากไม่สามารถควบคุมเจ้าหน้าที่ได้ ก็ให้พวกเขาเข้ามา แล้วบอกว่าแขนของข้าขาดไปแล้ว ตอนนี้ข้าได้ปรึกษากับหมอหลวงแล้ว หากใช้ดินปืนกับแผลที่เกิดจากการตัดแขนออก ก็จะสามารถปิดบาดแผลได้ แล้วบอกไปว่าข้าถูกเสือกัดตอนที่ฝึกอยู่ในอุทยานล่าสัตว์หลวง”“อะไรนะ” หวงไท่โฮ่วตกตะลึงไปครู่หนึ่ง “เจ้าต้องการฆ่าจื่ออันหรือ?”“นางปากพล่อยเอง สมควรตาย!” จักรพรรดิพูดอย่างเย็นชา“แต่นางน่าจะไม่ได้ตั้งใจ ลงโทษเล็กน้อย ป้องกันความผิดครั้งใหญ่..
เมื่อเห็นว่าหวงไท่โฮ่วยังคงไม่เห็นด้วย จักรพรรดิก็อดไม่ได้ที่จะพูดด้วยความผิดหวังว่า “เสด็จแม่ ตอนนี้ท่านสงสารอาเจี๋ย แต่ในตอนนั้นท่านเคยรู้สึกสงสารข้าบ้างหรือไม่?”หวงไท่โฮ่วได้ยินเขาพูดเช่นนั้นก็ทนไม่ได้ บางทีอาจเป็นเพราะนางแก่ลง ใจถึงได้อ่อนลงไปด้วย บัดนี้จิตใจของนางคิดแต่เรื่องลูกหลานเท่านั้นนางพูดอย่างใจเย็น “ในเมื่อเจ้าตัดสินใจแล้ว แม่พูดอะไรไปก็ไร้ประโยชน์ อีกทั้งแม่ไม่ควรยุ่งเกี่ยวกับเรื่องการเมือง แม่จะออกคำสั่งให้อาเจี๋ยเข้าวัง เมื่อถึงเวลา เจ้าสามารถออกคำสั่งได้ ตอนนี้เขากักตัวเซี่ยจื่ออันไว้แล้ว เจ้าสามารถสั่งให้เขาพาเซี่ยจื่ออันเข้าวังได้ แล้วถามเขาให้ชัดเจน บางทีเรื่องนี้อาจยังมีลับลมคมในที่ยังไม่รู้อีกก็เป็นได้”“เสด็จแม่สั่งให้พาเซี่ยจื่ออันเข้าวัง ถ้าเขาขัดขืนคำสั่งและไม่พาเซี่ยจื่ออันเข้ามา ก็แสดงว่าเขาตั้งใจจะปกป้องเซี่ยจื่ออัน ถ้าเป็นเช่นนั้น ข้าจะผิดหวังในตัวเขามาก” จักรพรรดิกล่าวหวงไท่โฮ่วมองดูเขา ถอนหายใจเบา ๆ แต่ไม่ได้เอ่ยคำใดอีกเมื่อหวงไท่โฮ่วกลับไปที่ห้องบรรทม ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกไม่สบายใจ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเรื่องจักรพรรดิตัดสินใจตัดแขน อีกส่วนหนึ่งเป็น
ซุนฟางเอ๋อร์แสดงสีหน้าสำนึกผิด หมอบราบลงบนพื้นเป็นเวลานาน เมื่อนางกล่าวอีกครั้ง เสียงของนางก็เจือด้วยเสียงสะอื้นไห้ “ฟางเอ๋อร์สมควรตาย ฟางเอ๋อร์ทำให้หวงไท่โฮ่วกริ้วเหลือจะให้อภัย หลังจากที่ฟางเอ๋อร์ถูกขับไล่ออกจากบ้านตระกูลซุน ฟางเอ๋อร์ก็รู้แล้วว่าตนเองคิดผิด เพื่อชดใช้ในสิ่งที่เคยก่อไว้ ก่อนหน้านี้จึงตัดสินใจติดตามหมออัจฉริยะคนหนึ่ง ช่วยผู้คนให้รอดพ้นจากโรคร้าย แม้ว่าฟางเอ๋อร์จะไม่มีพรสวรรค์ แต่ภายใต้คำแนะนำของท่านอาจารย์ ทำให้มีโอกาสได้ศึกษาเกี่ยวกับโรคภัยไข้เจ็บมาบ้างเล็กน้อย ที่ฟางเอ๋อร์ได้เข้าวัง เป็นเพราะฟางเอ๋อร์ร้องขอเองทั้งหมด หากหวงไท่โฮ่วไม่อนุญาตให้ฟางเอ๋อร์ทำการรักษาฝ่าบาท ก็อย่าได้กล่าวโทษกุ้ยไท่เฟยเลย นางเพียงเห็นแก่ความกระตือรือร้นของฟางเอ๋อร์ที่อยากชดใช้ความผิดเท่านั้น”หวงไท่โฮ่วรู้ว่าตนไม่ควรเชื่อคำพูดของซุนฟางเอ๋อร์ เพราะทั้งกุ้ยไท่เฟยและซุนฟางเอ๋อร์ต่างก็ไม่สามารถไว้วางใจได้อย่างไรก็ตาม คำพูดของซุนฟางเอ๋อร์นั้นน่าดึงดูดใจเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนนี้ที่สถานการณ์เร่งด่วนเป็นอย่างยิ่ง เพราะวันนี้จะมีข้าราชบริพารเข้ามาในวังเพื่อสอบถามเกี่ยวกับพระอาการขององ
ร่างกายของแม่ทัพเฒ่าฉินสั่นสะท้านด้วยความโกรธ “เจ้าสาปแช่งปู่รึ เจ้าเคยคำนึงถึงญาติพี่น้องหรือไม่?”เมื่อหมอหลวงมาถึง กลับไม่มีคนในตระกูลฉินคอยเฝ้าเขาอยู่ในห้อง ดังนั้นจึงมีเพียงแต่บ่าวรับใช้หลังจากตรวจสอบอาการเสร็จ หมอหลวงก็กล่าวด้วยสีหน้าตกตะลึง “ท่านแม่ทัพเฒ่า เมื่อไม่กี่วันมานี้ท่านได้ไปที่ใดมา? แล้วท่านเคยเข้าไปในพื้นที่โรคระบาดหรือไม่?” “ไม่เคย ข้าไม่เคยไปที่นั่น” สีหน้าของแม่ทัพเฒ่าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เมื่อได้ยินคำพูดของหมอหลวง “ท่านกำลังสงสัยว่าข้าติดเชื้อโรคระบาดใช่หรือไม่?”“อาการช่างคล้ายคลึงกันยิ่งนัก” หมอกลวงกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด“เป็นไปไม่ได้!” แม่ทัพเฒ่าฉินรู้สึกตื่นตระหนกอย่างมาก “ท่านวินิจฉัยผิดหรือไม่?”“ข้าจะจัดยาให้ท่านสองชนิดก่อน หากดื่มยาเหล่านี้แล้วไม่ได้ผล เช่นนั้นไม่ใช่ก็ใกล้เคียงแล้วขอรับ” หมอหลวงกล่าวแม่ทัพเฒ่าฉินกล่าวด้วยความลนลาน “ฉินโจวบังคับให้ท่านพูดเช่นนี้ใช่หรือไม่?”หมอหลวงรู้สึกประหลาดใจ “แม่ทัพเฒ่า ท่านหมายความว่าอย่างไร? เหตุใดแม่ทัพฉินถึงต้องบังคับให้ข้าพูดเช่นนี้?”หมอหลวงชะงักไปชั่วครู่หนึ่งแล้วโพล่งถาม “ท่านเคยพูดคุยกับองค์ชายเ
นางสามารถเสียสละได้ แต่จะไม่มีทางทรยศต่อประชาชนเป่ยโม่เด็ดขาดสำหรับความจงรักภักดีต่อองค์จักรพรรดิและประเทศชาติ นางจะต้องรักประชาชนก่อน จึงจะสามารถภักดีต่อองค์จักรพรรดิได้ฉินโจวกล่าวคำเบา “ข้าเข้าไปในพระราชวังเพื่อเชิญหมอหลวงแล้ว ท่านปู่พักผ่อนก่อนเถิด ข้าจะออกไปเดินเล่นรับลมสักหน่อย”ดวงตาของแม่ทัพเฒ่าฉินอัดแน่นด้วยความโกรธ แต่ก็พยายามอย่างหนักเพื่อระงับมันฉินโจวเดินออกจากห้อง และเห็นว่าฉินเป้าน้องชายของตนนั่งอยู่ที่สวน เมื่อเห็นนางเดินออกมา เขาก็ถามว่า “ท่านปู่เป็นอย่างไรบ้าง?”ฉินโจวจำคำพูดของท่านปู่ได้อย่างแม่นยำ จึงเมินเฉยต่อเขาและตอบอย่างใจเย็น “เข้าไปดูด้วยตนเองสิ”ฉินเป้าคลี่ยิ้ม แต่มันกลับดูอ้างว้างอย่างยิ่ง “ข้าได้ยินสิ่งที่ท่านปู่พูดกับท่านแล้ว ข้าไม่อยากเข้าไป”ฉินโจวตกตะลึง “เพราะเหตุใด เขาทุ่มเทความพยายามทั้งหมดไปกับหารวางแผนเพื่อเจ้า เจ้าควรขอบคุณท่านปู่สิ”ฉินเป้าหัวเราะเยาะ “จริงรึ? หากเขาทอดทิ้งท่านเพื่อตระกูลได้ ในอนาคตเขาจะไม่ทอดทิ้งข้าหรือ? ข้าไม่ต้องการชื่อเสียงหรือความดีงามใด ๆ พวกมันไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการเลย”ฉินโจวดูถูกน้องชายมาโดยตลอด เพราะเขาไม่ได
ทั้งสองคนเดินออกไปและหยุดอยู่บนทางเดิน หมอมองฉินโจวพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “ท่านแม่ทัพ ข้ากำลังสงสัยว่าท่านแม่ทัพเฒ่าจะป่วยด้วยโรคระบาดขอรับ”ฉินโจวตกตะลึง “โรคระบาด? เป็นไปได้อย่างไร? ปู่ของข้าไม่เคยออกไปข้างนอก และไม่เคยติดต่อกับผู้ป่วยโรคนี้เลย แล้วเขาจะติดเชื้อโรคระบาดได้อย่างไร?”“ข้าเคยรักษาผู้ป่วยโรคระบาดมาก่อน ซึ่งอาการคล้ายคลึงกันอย่างมาก ผู้ป่วยจะมีไข้สูง ไอ ตาแดง หายใจเร็วขึ้น เมื่อเกิดอาการเหล่านี้พร้อมกันจะอันตรายอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นโรคนี้ยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาดขอรับ” หมอกล่าว“เป็นไปไม่ได้ หากจะติดเชื้อโรคระบาดก็ต้องสัมผัสกับผู้ป่วยที่มีเชื้ออยู่แล้ว แต่ท่านปู่ของข้าไม่เคยใกล้ชิดคนเหล่านั้นเลย แล้วเขาจะติดเชื้อได้อย่างไร?” ฉินโจวยังคงไม่เชื่อหมอประสานหมัด “ทั้งหมดนี้คือคำวินิจฉัยของข้า หากท่านแม่ทัพไม่เชื่อ ก็สามารถขอให้หมอคนอื่นมาตรวจดูได้ หรือท่านจะพาเขาไปที่พระราชวัง และขอให้หมอหลวงช่วยตรวจอาการ ข้าไร้ความสามารถ จึงอาจวินิจฉัยผิดพลาดได้ ลาก่อนขอรับ ๆ!”สิ้นคำ หมอก็หยิบกล่องยาแล้วออกไปโดยไม่เขียนใบสั่งยาด้วยซ้ำฉินโจวสับสนไม่น้อย ท่านปู่ติดเชื้อโร
หัวใจของฉินโจวเย็นเยียบราวกับน้ำ “ใช่ ตราบใดที่ข้าตายในสนามรบ ตระกูลฉินก็ยังจะเป็นผู้กล้า และเป็นขุนนางผู้มีเกียรติ”แม่ทัพเฒ่าฉินเงียบไปครู่ใหญ่ จากนั้นกล่าวคำเบา “ในฐานะหลานสาวตระกูลฉิน มันเป็นหน้าที่ของเจ้าที่ต้องเสียสละเพื่อชื่อเสียง และรากฐานของตระกูล”ฉินโจวกำหมัดแน่นด้วยความไม่พอใจ “หลายปีที่ผ่านมานี้ ข้ายังทำไม่พออีกหรือ? ตอนนี้มีใครในตระกูลฉินบ้างที่ไม่เกาะกินเลือดนี้ของข้า?”แม่ทัพเฒ่าฉินลุกยืนขึ้นพลางกล่าวอย่างเย็นชา “ข้าเคยเตือนเจ้าแล้ว คราวนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เจ้าจะต้องเข้าไปในพระราชวัง ข้าให้คำมั่นกับฮองเฮาเฉาแล้ว ว่าวันนี้เจ้าจะไปที่นั่นเพื่อทูลขอรับคำสั่ง หากเจ้าไม่ไป ข้าก็จะรับคำสั่งและออกรบด้วยตนเอง”“ท่าน...” ฉินโจวมองเขาด้วยสายตาโศกเศร้า “ท่านปู่ ข้าก็เป็นหลานสาวของท่านเหมือนกัน ท่านไม่สงสารข้าบ้างหรือ?”“ปู่สงสารเจ้าสิ แต่ภารกิจหน้าที่ของตระกูลฉินจะต้องถูกส่งต่อ ตอนนี้น้องชายของเจ้าโตพอแล้ว เจ้าจะต้องพาเขาไปสร้างความสำเร็จทางการทหารด้วย และเจ้าจะได้รับส่วนแบ่งของน้องเจ้า เมื่อถึงเวลานั้น ตระกูลฉินก็จะได้ผู้สืบทอดคนใหม่”ฉินโจวผงะไปชั่วครู่ ก่อนระเบิดหัวเราะ
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินโจว แม่ทัพเฒ่าฉินก็โมโหมากจนเคราสั่นสะท้าน “อาโจว อะไรจะสำคัญไปกว่าการบรรลุเป้าหมายอันยิ่งใหญ่? องค์จักรพรรดิเพียงต้องการขยายอาณาเขตของแคว้น เจ้าควรรู้เอาไว้ว่าเมื่อเรายึดครองต้าโจวสำเร็จ เป่ยโม่จะมีพื้นที่เพิ่มมากกว่าครึ่งหนึ่ง และมันจะเป็นความดีความชอบของตระกูลฉิน ทำให้ตระกูลของเราถูกจดจำไปหลายชั่วอายุคน! นี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าต้องการมาตลอดรึ? เจ้าไม่ต้องการบอกคนทั้งโลก ว่าแม้ฉินโจวจะเป็นสตรี แต่นางก็สามารถประสบความสำเร็จได้อย่างผ่าเผยหรือ?”ฉินโจวมองดูใบหน้าที่ฉายแววตื่นเต้นปนโกรธเกรี้ยวของปู่ ทันใดนั้นนางก็สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติถูกต้อง มันคือความต้องการของนาง แต่ความสำเร็จของนางจะต้องไม่แลกกับการเหยียบย่ำกระดูกของประชาชนชาวเป่ยโม่นางรักเป่ยโม่และหวังที่จะขยายอาณาเขตของแคว้น นอกจากนี้นางยังต้องการเสาะหาดินแดนอุดมสมบูรณ์เพื่อประชาชน เพราะหวังว่าพวกเขาจะสามารถอยู่อาศัยและทำกินอย่างสงบสุข และพึงพอใจโดยไม่ต้องทนทุกข์จากการพลัดถิ่นอย่างไรก็ตาม ในตอนนี้หากต้องการบรรลุอำนาจ นางจำต้องสละชีวิตประชาชนจำนวนมาก และนำเงินภาษีของทุกคนมาใช้ในการทำสงคราม ทำให้โรคร
มือสังหารเหล่านั้นแต่งกายคล้ายกับชาวต้าโจวและสวมหน้ากากผ้าสีดำ กลุ่มคนนิรนามราวเจ็ดถึงแปดคนกระโดดลงมาจากท้องฟ้ากลางวันแสก ๆ ทันทีที่เท้าของคนเหล่านั้นแตะพื้น พวกมันก็เริ่มโจมตีอย่างดุดันฉินโจวเห็นมือสังหารคนหนึ่งกระโดดขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับกระบี่ยาว จากนั้นร่ายรำอยู่หลายกระบวนท่าราวกับนางฟ้าโปรยดอกไม้ ขณะแสงแดดตกกระทบกระบี่ส่องกระจายไปทั่วเหล่าทหารที่เพิ่งมาถึงกระโจนเข้าไปร่วมวงต่อสู้อย่างรวดเร็วหลังจากประดาบกันไปกว่าร้อยครั้ง มือสังหารก็ถูกบีบบังคับให้ล่าถอย ฉินโจวจ่อกระบี่ไปที่คอของหนึ่งในมือสังหาร พลางถามเสียงเข้ม “ตอบข้า ใครเป็นคนส่งเจ้ามา?”มือสังหารตอบอย่างเย็นชา “ฆ่าไอ้หมารับใช้เป่ยโม่ให้หมด!”“หมารับใช้เป่ยโม่? เห็นได้ชัดว่าพวกเจ้าไม่ได้เป็นคนเป่ยโม่ พวกเจ้ามาจากต้าโจวใช่หรือไม่?” ฉินโจวโมโหอย่างมาก ขณะชี้ดาบไปยังหน้าอกของอีกฝ่าย “ไอ้เลวมู่หรงเจี๋ยส่งพวกเจ้ามาใช่หรือไม่?”“หญิงเลวอย่าเจ้ากล้าเอ่ยชื่อของท่านอ๋อง ทำให้พระองค์มัวหมองได้อย่างไร?” มือสังหารตะโกนฉินโจวชักดาบกลับพร้อมกล่าวอย่างเย็นชา “กลับไปซะ!”มือสังหารตกตะลึง ราวกับไม่คาดคิดว่าฉินโจวจะปล่อยตัวเขาไป”เ
ฉินโจวกล่าวด้วยความโมโห “ข้าหลอกลวงเจ้าเมื่อไร?”“ไม่งั้นรึ? เจ้าและอ๋องฉีเอ่ยปากว่า หากจื่ออันตกลงเดินทางมาที่เป่ยโม่ พวกเจ้าจะส่งองค์ชายรัชทายาทไปที่ต้าโจวเป็นองค์ประกัน แล้วพวกเจ้าทำตามที่พูดแล้วหรือไม่?”“องค์ชายรัชทายาทเดินทางไปยังต้าโจวแล้ว!”“ผู้ที่เดินทางไปยังต้าโจวคือองค์ชายเจ็ด ไม่ใช่องค์ชายรัชทายาท องค์ชายเจ็ดไม่ได้เป็นที่โปรดปราน ดังนั้นจักรพรรดิเป่ยโม่จะส่งเขาไปสังเวยเมื่อใดก็ได้”“เป็นไปไม่ได้!” ฉินโจวประหลาดใจอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าผู้ที่เดินทางไปคือองค์ชายรัชทายาท เพราะองค์จักรพรรดิทรงตรัสด้วยตนเองว่าจะส่งเขาไปที่ต้าโจว“เจ้าอย่าเพิ่งสนใจเรื่องนี้เลย ก่อนหน้านี้ทั้งสองแคว้นตกลงทำสนธิสัญญาสงบศึก หลังจากการแพร่ระบาดสิ้นสุดลง แต่เจ้ากลับวางแผนโจมตีพวกเราในขณะที่ข้ายังอยู่ที่เป่ยโม่ เจ้าจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร?” มู่หรงเจี๋ยกล่าวอย่างเคร่งเครียดฉินโจวตอบ “ผิดแล้ว เป็นเพราะต้าโจวที่เคลื่อนทัพโจมตีทหารฝั่งขวาของเราก่อน และสังหารทหารของเราไปกว่าร้อยคน ข้าจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเคลื่อนทัพเข้าไปใกล้ เพื่อบีบบังคับให้พวกเจ้าถอยกลับ”“ไร้สาระ กองทัพของเราหยุดเคลื่อนท
อย่างไรก็ตาม การจัดหาเสบียงอาหารสำหรับพื้นที่ภัยพิบัติยังไม่เพียงพอ และยังขาดแคลนเสื้อผ้าอาภรณ์ นอกจากนี้หลังจากที่พระชายาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มาถึงเป่ยโม่ ก็ยังไม่ได้รับใบสั่งยาแม้แต่ฉบับเดียว ดังนั้นความอดทนของประชาชนจึงค่อย ๆ หมดลง แต่ความโกรธและความขุ่นเคืองกลับยิ่งมากขึ้นทันทีที่ข่าวลือแพร่สะพัด ก็เป็นเสมือนเป็นการขว้างเปลวไฟใส่ ‘ระเบิด’ หนึ่งหมื่นตุน ทำให้มันระเบิดออกอย่างรวดเร็วผู้ประสบภัยนับไม่ถ้วนหลั่งไหลเข้าสู่เมืองหลวงอย่างรวดเร็วหลังจากที่ฉินโจวลงจากภูเขา นางก็พบว่าองค์จักรพรรดิทำอะไรกับทหารม้า และทหารเจ็ดหมื่นนายที่ประจำการที่เมืองหลวง ซึ่งเขาออกคำสั่งให้ทหารเหล่านั้นขับไล่เหล่าผู้ประสบภัยออกไปนางเห็นด้วยตาตนเองว่าทหารใต้บังคับบัญชาของนางสร้างกำแพงมนุษย์อันแน่นหนา เมื่อผู้ประสภัยเดินทางเข้ามา พวกเขาก็จะโบกหอกเพื่อขับไล่คนเหล่านั้นออกไปผู้ประสบภัยมากกว่าสิบรายได้รับบาดเจ็บจากหอกทหารเหล่านั้นอยู่ใต้บังคับบัญชาของนาง แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะไม่ได้ฆ่าผู้ใด แต่เมื่อสถานการณ์รุนแรงขึ้นจะต้องมีการฆ่าแกงกันอย่างแน่นอนฉินโจวโกรธจัดจึงขี่ม้าเข้าไปขวางเอาไว้ “หยุด หยุดเ
ฉินโจวกวาดสายตามองพลางเยาะเย้ยจื่ออันไม่สนใจนาง และพาหลินตานไปยังเขตตะวันตกภายในสองวันนี้มีผู้เสียชีวิตถึงสามคน ซึ่งทั้งหมดถูกหามออกไปหลังจากที่หลินตามเดินเข้ามาเขาหลั่งน้ำตาหลั่งน้ำตาขณะมองดูการเผาศพจื่ออันไม่คิดว่าเขาจะมีความอ่อนไหวมากเพียงนี้ “ท่านหมอหลิน ท่านเป็นอะไรหรือไม่?”หลินตานปาดน้ำตา “ข้าขอโทษ ข้าเพียง... คิดถึงครอบครัวขอรับ”“ครอบครัวของท่าน? แล้วตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ใดหรือ?” จื่ออันถาม“ตายหมดแล้วขอรับ ภรรยาและลูกสะใภ้ของข้าตายเพราะเหตุแผ่นดินไหวทั้งคู่ ส่วนลูกชายและหลานชายติดเชื้อโรคระบาดก่อนตายไปเช่นกัน ข้าจึงเป็นคนเดียวที่เหลือรอด” หลินตานสูดหายใจเข้าลึก ใบหน้าที่อยู่ภายใต้ผมสีขาวฉายแววความเศร้าโศกและหดหู่จื่ออันไม่คาดคิดว่าเขาจะมาจากพื้นที่โรคระบาดเช่นกัน เมื่อเห็นสีหน้าเศร้าสร้อย จื่ออันก็ไม่รู้จะปลอบใจเขาเช่นไร จึงได้แต่นิ่งเงียบและอยู่เคียงข้างไม่นานหลินตานก็ถามว่า “ท่านหมอเซี่ย โรคระบาดนี้สามารถรักษาหายได้จริงหรือขอรับ?”ตอนนั้นเองจื่ออันก็นึกได้ว่าเขาเป็นหมอเท้าเปล่า และหลังจากเดินทางพเนจรไปที่ต่าง ๆ เขาอาจรู้จักจินเย่าฉือก็เป็นได้ ดังนั้นจึงรีบถามว