หลานยู่ร้องไห้พลางเอ่ยออกมา “เสี่ยวซุนอยู่ที่โรงเหล้าเดือนค้างฟ้า ส่วนกุ้ยหยวนนั้น ตอนนี้คงจะอยู่ในป่านอกเมือง”“โรงเหล้าเดือนค้างฟ้า?” เฉินหลิวหลิ่วกระโดดเข้ามา พุ่งเข้าไปตบลงไปบนใบหน้าของหลานยู่อย่างแรงทั้งสองข้าง “นั่นมันหอโคมเขียว เจ้าบ่าวรับใช้เฒ่าผู้นี้ เพียงแค่ว่าข้าไม่ต้องการเอาชีวิตเจ้า เจ้าถึงกับกล้าทำเยี่ยงนี้ต่อเสี่ยวซุนหรือ?” หลังจากที่ตบลงไปเสร็จแล้วนั้น ก็เตะออกไปอีกครั้งเฉินหลิวหลิ่วเดิมนั้นก็เป็นผู้ที่มีศิลปะการต่อสู้ ลูกเตะนี้ก็ใช้พลังที่มีไปมาก เตะเข้าไปยังหน้าท้องของหลานยู่ หลานยู่นั้นหายใจออกมาไม่ได้ สลบลงไปในที่สุดมู่หรงจ้วงจ้วงเองทั่วทั้งใบหน้าก็เต็มไปด้วยความโกรธ แต่ว่าในตอนนี้ช่วยคนสำคัญที่สุด เร่งรีบสั่งคนของนางไปยังป่าด้านนอกเมืองหากุ้ยหยวนในทันที ส่วนโรงเหล้าเดือนค้างฟ้า นางคงต้องไปด้วยตนเองสักครา“จื่ออันทางด้านของโรงเหล้าเดือนค้างฟ้า เจ้าไปด้วยกันกับข้าเถิด” มู่หรงจ้วงจ้วงเอ่ยออกมาจื่ออันมองดูอารมณ์ของนาง ก็รู้ได้ว่าโรงเหล้าเดือนค้างฟ้านั้นเป็นสถานที่มั่วสุมกัน แม้แต่องค์หญิงใหญ่ในตอนนี้ก็กลัวกังวลเยี่ยงนี้ก่อนที่จะออกไปนั้น จื่ออันได้เอ่ยสำทับ
ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยเสียงเข้ม “หุบปากซะ แล้วก็ไสหัวออกไป คนของทางด้านเซี่ยจื่อหย่วน เจ้าในขณะนี้คนเดียวก็ไม่อาจแตะต้องได้ เจ้าในตอนนี้สนใจเพียงแต่ดูแลรอยแผลบนใบหน้าให้ดีก็พอ รอแต่งให้กับองค์รัชทายาทอย่างเดียวก็พอ ส่วนเรื่องอื่นนั้น แม้แต่เรื่องเดียวก็อย่าได้เข้ามายุ่ง”เซี่ยหว่านเอ๋อโมโหจนน้ำตาไหลออกมา แต่เป็นเพราะฮูหยินผู้เฒ่ากำลังโกรธ จึงไม่กล้าที่จะโต้แย้ง ทำได้เพียงจากไปอย่างโกรธเคืองหลานยู่นั้นเดิมยังคงหวังว่าฮูหยินผู้เฒ่าจะให้ความเป็นธรรมแก่นาง ตอนนี้เมื่อพบว่าฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยออกมาเยี่ยงนี้ เกรงว่าคงจะไม่ไปหาเซี่ยจื่ออันแล้วนางในใจทั้งโกรธทั้งตกใจ อีกทั้งวันนี้ยังถูกทุบตีทำร้าย เรื่องนี้หากว่าปล่อยไปแบบนี้ ต่อไปนางในจวนนี้จะมีที่ยืนอีกหรือ? เมื่อคิดจนถึงจุดนี้ ความโกรธเกลียดในใจนางก็ยิ่งเพิ่มขึ้น ดูแล้วหากจะระบายความโกรธในครั้งนี้ คงจะต้องไปหาคุณหนูรองเสียแล้วฮูหยินผู้เฒ่ารู้สึกเหนื่อยล้าจึงเอื้อมมือออกไป ให้ป้าชุ่ยยู่ประคองนางออกไปเมื่อกลับมายังในห้องเพื่อรอท่านหมอเข้ามา หลานยู่เอ่ยด้วยความโศกเศร้า “ฮูหยินผู้เฒ่าทำไมถึงได้เกรงกล
ทางด้านจื่ออันและองค์หญิงใหญ่จ้วงจ้วงนั้นขึ้นมาบนรถม้าแล้ว จ้วงจ้วงก็เอ่ยกับคนขับรถม้าว่า “ไปยังร้านติ้งเฟิง”จื่ออันจึงได้เอ่ยถาม “พวกเราไม่ได้จะไปยังโรงเหล้าเดือนค้างฟ้ากันหรือ?”จ้วงจ้วงเอ่ยออกมา “พวกเราไม่มีหลักฐานที่จะมายืนยันว่าเสี่ยวซุนอยู่ที่โรงเหล้าเดือนค้างฟ้าจริงๆ และไม่อาจที่จะบุกเข้าไปตรวจค้นได้ เมื่อมีการตรวจค้นขึ้นมา อาจทำให้ฝั่งตรงข้ามฆ่าคนปิดปากซะ ส่งผลกระทบให้เสี่ยวซุนเกิดเรื่องขึ้นได้”จื่ออันคาดไม่ถึงว่าโรงเหล้าเดือนค้างฟ้านี้มีที่มาที่ยิ่งใหญ่ “โรงเหล้าเดือนค้างฟ้านี้กับร้านติ้งเฟิงมีความสัมพันธ์กันเยี่ยงไร?”“โรงเหล้าเดือนค้างฟ้านั้นเป็นร้านติ้งเฟิงของนายท่านรองตระกูลหูเป็นคนเปิดขึ้น เมืองหลวงนั้นมีข้าราชบริพาน ผู้สูงศักดิ์มากมายไปยังที่นั่นเพื่อผ่อนคลาย เบื้องหลังนั้นมีอำนาจบางอย่างอยู่ การดำเนินการตรวจค้นนั้นก็เป็นไปได้ แต่ว่าการดูแลป้องกันของโรงเหล้าเดือนค้างฟ้านั้นป้องกันได้ดีเป็นอย่างมาก พวกเราคนหมู่มากในตอนที่นั่งรถม้ามุ่งหน้าไปยังที่นั่นนั้น พวกเขาก็คงจะมีการจัดเตรียมกันเอาไว้แล้ว พวกเราไม่มีทางตามหาเสี่ยวซุนเจอ เพราะว่าโรงเหล้าเดือนค้างฟ้าไม่ม
คนงานนำทางพวกนางมายังหน้าประตูห้องห้องหนึ่ง เขาเคาะประตูเบาๆ “คุณหนูใหญ่ขอรับ!”“มีเรื่องอะไรกัน!” ด้านในมีเสียงกระด้างดังลอยออกมากลับเป็นแม่นางผู้หนึ่ง จื่ออันประหลาดใจยิ่งนัก“องค์หญิงเสด็จแล้วขอรับ!” คนงานเอ่ยออกมาด้านในนั้นเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ได้ยินเสียงฝีเท้า ชั่วครู่ประตูก็เปิดออก ในแววตาสะท้อนร่างในชุดสีเขียวของแม่นางเยาว์วัยผู้หนึ่ง ดูองอาจกล้าหาญเป็นอย่างมาก รูปร่างมองเห็นได้อย่างชัดเจน อีกทั้งผมก็ไม่ได้มวยไว้ แต่เป็นทรงผมในแบบของชายหนุ่มเมื่อนางพบกับองค์หญิง ก็เอ่ยทำความเคารพ “ไม่ทราบว่าองค์หญิงจะเสด็จมา เลยเสียมารยาทมิได้ต้อนรับ ขอประทานอภัย ประทานอภัยด้วยนะเพคะ!”มู่หรงจ้วงจ้วงมองมายังนาง “เข้าไปพูดคุยกันด้านในเถอะ”“เพคะ” นางเอ่ยสั่งคนงาน “ไปชงชาเข้ามา”“ขอรับ!” คนงานหมุนกายออกไปเมื่อเข้ามาด้านในสำนักงาน จื่ออันจึงได้ตั้งใจมองที่แห่งนี้โดยไม่รู้ตัว ภายในห้องล้วนแต่เป็นเครื่องเรือนไม้สีแดง ดูเลอค่าหรูหรา บนโต้ะแต่ละตัวล้วนแล้วแต่วางสมุดบันชีเอาไว้เป็นกอง ๆ จนคนที่มองเห็นดวงตาพร่ามัวในสำนักงานแห่งนี้ยังมีห้องรับรองเล็ก ๆ อยู่ ผู้ดูแลใหญ่หูเชิญพวกนางทั้งส
หูฮวนสี่เองก็ไม่ได้รอช้า พูดว่าจะไปก็ไปคนงานเมื่อยกน้ำชาเข้ามานั้น พวกนางก็ออกกันไปแล้วจื่ออันเดินอยู่ด้านหลัง รู้สึกว่าหูฮวนสี่ผู้นี้ถึงแม้จะเป็นสตรี แต่กลับรู้สึกว่าเปล่งประกายเป็นอย่างมาก การเปล่งประกายประเภทนี้ ราวกับว่าแทรกซึมอยู่ในกิจการค้าขายมานานแล้วเป็นดั่งคำที่องค์หญิงได้กล่าวเอาไว้ นางเป็นสตรีมากความสามารถจริงๆทั้งสามคนนั่งรถม้ามาด้วยกันยังโรงเหล้าเดือนค้างฟ้า ในตอนนี้เป็นช่วงที่โรงเหล้าเดือนค้างฟ้ากำลังคึกคักทั้งสามล้วนแต่เป็นสตรี ดังนั้นจึงไม่ได้เดินเข้าทางประตูหลัก แต่เข้าทางประตูด้านข้างเผื่อไปยังตึกหลักบ่าวรับใช้นั้นรู้จักหูฮวนสี่ จึงได้เชิญนางเข้ามา“ไปตามคุณชายใหญ่ของพวกเจ้ามา” หูฮวนสี่เอ่ยบ่าวรับใช้เอ่ย “ผู้ดูแลใหญ่โปรดรอสักครู่ บ่าวจะไปตามมาเดี๋ยวนี้"บ่าวรับใช้นั้นแสดงออกถึงความเคารพเป็นอย่างมาก แต่ว่าเมื่อถอยไปจนถึงประตูนั้น จื่ออันกลับได้ยินเขาส่งเสียงไม่พอใจออกมา ค่อนข้างจะดูถูกนางมองไปยังหูฮวนสี่ พบว่านางนั่งอยู่อย่างเรียบสวย ราวกับว่าไม่ได้เก็บมาใส่ใจแม้แต่น้อยรอครั้งนี้ รอไปถึงครึ่งชั่วยาม ถึงได้พบกับชายผู้สวมชุดสีแดงเดินเข้ามาเขาก็คือค
หูฮวนสี่ได้ฟังคำนี้ จึงขมวดคิ้วแล้วเอ่ยออกมา “ข้ารับช่วงต่อดูแลติ้งเฟิงมาได้หนึ่งปีแล้ว ในหนึ่งปีนี้ ต่อให้ไม่มีกำไรหรือไม่มีหวังในกิจการใด ข้าก็จะหยุดมันเสีย หากว่าโรงเหล้าเดือนค้างฟ้าจนถึงตอนนี้ยังไม่มีกำไร แต่กลับขาดทุนมาโดยตลอด ถ้าอย่างนั้นกิจการนี้ก็คงไม่จำเป็นที่จะต้องดำเนินต่อไป ข้าจะให้คนเข้ามาตรวจสอบบัญชี ท่านส่งไปยังห้องบัญชี อีกไม่กี่วันข้าจะให้คนเข้ามารับไป”หูซิ่งคาดไม่ถึงว่าหูฮวนสี่จะเอ่ยออกมาเยี่ยงนี้ เขาเอ่ยออกมาว่าไม่มีกำไรนั้นเป็นเพราะว่ากลัวจะต้องแบ่งส่วนแบ่งไปให้ส่วนกลางเพราะว่านายท่านนั้นมีข้อบังคับอยู่ หากว่าเป็นกิจการที่ส่วนกลางออกเงินเปิดให้นั้น ล้วนจะต้องนำกำไรห้าส่วนส่งคืนให้แก่ส่วนกลาง หลายปีมานี้เขารายงานนายท่านมาโดยตลอดว่าโรงเหล้าเดือนค้างฟ้านั้นไม่ได้ทำเงินนัก นายท่านถึงแม้ว่าจะไม่เชื่อ แต่ว่าก็ทำเป็นว่าเป็นการชดเชยให้แก่เรือนรองไปเสีย บวกกับเขาเองก็ไม่อาจเข้ามาตรวจสอบที่โรงเหล้าเดือนค้างฟ้าได้ จึงได้แสร้งทำเป็นคนโง่ไปเสียแต่ว่านี่คือหูฮวนสี่ไม่ใช่นายท่าน หลังที่นางดูแลร้านติ้งเฟิงแล้วนั้น นางลงมืออย่างโหดเหี้ยมเฉียบขาดนัก หากว่าเป็นกิจการ
มู่หรงจ้วงจ้วงมองมายังนาง “พอได้แล้ว เจ้าช่วยข้าอย่างนี้ มีข้อเรียกร้องอย่างไร?”หูฮวนสี่ร้องตะโกนว่าราวกับถูกใส่ร้าย “องค์หญิงนี้ไม่ใช่ว่าเป็นการเข้าใจหม่อมฉันผิดไปแล้วหรือเพคะ? เพียงแค่ใช้โอกาสที่มีสั่งสอนผู้อื่นไปพร้อมกัน”“ไม่พูดออกมาใช่หรือไม่? ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะคิดเสียว่าเจ้าใช้โอกาสที่มีสั่งสอนผู้อื่นไปพร้อมกันเสียจริง ๆ” มู่หรงจ้วงจ้วงมองไปทางด้านข้าง เอ่ยออกมาอย่างโกรธเคืองหูฮวนสี่ยิ้มออกมา “ปิดบังองค์หญิงไม่ได้จริง ๆ”นางปรับเปลี่ยนท่าที “เป็นเยี่ยงนี้เพคะ ราชครูนั้นช่วงนี้ชอบไปมาหาสู่มีลับลมคนในกันกับนายท่าน และเหมือนกับตั้งใจจะมาสู่ขอแทนองค์รัชทายาท”“สู่ขอ? ไม่ใช่ว่ามีผู้ที่เลือกไว้ให้เป็นพระชายาแล้วหรือ? บุตรสาวของจวนมหาเสนาบดีเซี่ยหว่านเอ๋อ ฮองเอาเองก็ทรงประทานพระราชเสาวนีย์มาแล้ว” มู่หรงจ้วงจ้วงเอ่ยออกมาด้วยความประหลาดใจ“เซี่ยหว่านเอ๋อเป็นพระชายาขององค์รัชทายาท แต่ว่าเหลียงตี้และเหลียงหยวนนั้นก็ยังคงได้อยู่มิใช่หรือเพคะ” หูฮวนสี่เอ่ยออกมาอย่างราบเรียบจื่ออันและมู่หรงจ้วงจ้วงมองสบตากัน ฮองเฮาและราชครูช่างคิดวางแผนไว้อย่างละเอียดรอบคอบเสียจริงอันดับแรกคือให้เ
หูฮวนสี่มองมายังจื่ออัน รู้สึกว่าพบเจอกันก็สายไปเสียแล้ว หญิงสาวเยี่ยงนี้ควรที่จะไปมาหาสู่กันให้มากกว่านี้อีกเพียงครู่หนึ่งหลังจากนั้น หูซิ่งก็เดินเข้ามา เมื่อเข้ามาก็โค้งคำนับเอ่ยขอโทษ “อัยหย๋า ต้องขอโทษด้วยจริง ๆ ขอรับ ที่แท้วันนี้ก็ได้ซื้อสาวใช้มาคนหนึ่งจริงด้วย เพราะว่าสาวใช้คนนี้ที่ซื้อเข้ามานั้นไว้ให้ห้องครัวด้านหลังใช้สอย ดังนั้นฮัวเหนียงจึงไม่รู้เรื่อง ข้าเมื่อครู่ถึงได้รู้ว่าเป็นห้องครัวหลี่ต้าเหนียงซื้อไว้ ชื่อว่าเสี่ยวซุนใช่หรือไม่? ข้าได้สั่งให้คนนำนางขึ้นมาแล้ว”จื่ออันเองก็ไม่ได้แสดงออกว่ายินดีมากนัก เพียงแต่เผยยิ้มแล้วเอ่ย “ขอบคุณคุณชายใหญ่มากจริง ๆ”“คุณหนูใหญ่เกรงใจกันเกินไปแล้ว” หูซิ่งเอ่ยออกมาไม่นานนัก เสี่ยวซุนก็ถูกนำออกมาใบหน้านางเต็มไปด้วยน้ำตา ดูตื่นตระหนกตกใจ เสื้อผ้าฉีกขาด ใบหน้านั้นมีรอยประทับของฝ่ามือ ดูคล้ายกับโดนผู้อื่นตบเข้านางเดิมนั้นไม่ยินยอมที่จะเข้ามา คิดว่าบ่าวรับใช้นั้นจะลากนางเข้ามาต้อนรับลูกค้า จึงได้ล่าช้าออกไป เมื่อเข้ามาแล้วพบเข้ากับจื่ออัน ขณะนั้นก็ร้องไห้ออกมาแล้วถลาเข้าไปจื่ออันถึงแม้จะปวดใจ แต่ก็มิอาจจะแสดง
ร่างกายของแม่ทัพเฒ่าฉินสั่นสะท้านด้วยความโกรธ “เจ้าสาปแช่งปู่รึ เจ้าเคยคำนึงถึงญาติพี่น้องหรือไม่?”เมื่อหมอหลวงมาถึง กลับไม่มีคนในตระกูลฉินคอยเฝ้าเขาอยู่ในห้อง ดังนั้นจึงมีเพียงแต่บ่าวรับใช้หลังจากตรวจสอบอาการเสร็จ หมอหลวงก็กล่าวด้วยสีหน้าตกตะลึง “ท่านแม่ทัพเฒ่า เมื่อไม่กี่วันมานี้ท่านได้ไปที่ใดมา? แล้วท่านเคยเข้าไปในพื้นที่โรคระบาดหรือไม่?” “ไม่เคย ข้าไม่เคยไปที่นั่น” สีหน้าของแม่ทัพเฒ่าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เมื่อได้ยินคำพูดของหมอหลวง “ท่านกำลังสงสัยว่าข้าติดเชื้อโรคระบาดใช่หรือไม่?”“อาการช่างคล้ายคลึงกันยิ่งนัก” หมอกลวงกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด“เป็นไปไม่ได้!” แม่ทัพเฒ่าฉินรู้สึกตื่นตระหนกอย่างมาก “ท่านวินิจฉัยผิดหรือไม่?”“ข้าจะจัดยาให้ท่านสองชนิดก่อน หากดื่มยาเหล่านี้แล้วไม่ได้ผล เช่นนั้นไม่ใช่ก็ใกล้เคียงแล้วขอรับ” หมอหลวงกล่าวแม่ทัพเฒ่าฉินกล่าวด้วยความลนลาน “ฉินโจวบังคับให้ท่านพูดเช่นนี้ใช่หรือไม่?”หมอหลวงรู้สึกประหลาดใจ “แม่ทัพเฒ่า ท่านหมายความว่าอย่างไร? เหตุใดแม่ทัพฉินถึงต้องบังคับให้ข้าพูดเช่นนี้?”หมอหลวงชะงักไปชั่วครู่หนึ่งแล้วโพล่งถาม “ท่านเคยพูดคุยกับองค์ชายเ
นางสามารถเสียสละได้ แต่จะไม่มีทางทรยศต่อประชาชนเป่ยโม่เด็ดขาดสำหรับความจงรักภักดีต่อองค์จักรพรรดิและประเทศชาติ นางจะต้องรักประชาชนก่อน จึงจะสามารถภักดีต่อองค์จักรพรรดิได้ฉินโจวกล่าวคำเบา “ข้าเข้าไปในพระราชวังเพื่อเชิญหมอหลวงแล้ว ท่านปู่พักผ่อนก่อนเถิด ข้าจะออกไปเดินเล่นรับลมสักหน่อย”ดวงตาของแม่ทัพเฒ่าฉินอัดแน่นด้วยความโกรธ แต่ก็พยายามอย่างหนักเพื่อระงับมันฉินโจวเดินออกจากห้อง และเห็นว่าฉินเป้าน้องชายของตนนั่งอยู่ที่สวน เมื่อเห็นนางเดินออกมา เขาก็ถามว่า “ท่านปู่เป็นอย่างไรบ้าง?”ฉินโจวจำคำพูดของท่านปู่ได้อย่างแม่นยำ จึงเมินเฉยต่อเขาและตอบอย่างใจเย็น “เข้าไปดูด้วยตนเองสิ”ฉินเป้าคลี่ยิ้ม แต่มันกลับดูอ้างว้างอย่างยิ่ง “ข้าได้ยินสิ่งที่ท่านปู่พูดกับท่านแล้ว ข้าไม่อยากเข้าไป”ฉินโจวตกตะลึง “เพราะเหตุใด เขาทุ่มเทความพยายามทั้งหมดไปกับหารวางแผนเพื่อเจ้า เจ้าควรขอบคุณท่านปู่สิ”ฉินเป้าหัวเราะเยาะ “จริงรึ? หากเขาทอดทิ้งท่านเพื่อตระกูลได้ ในอนาคตเขาจะไม่ทอดทิ้งข้าหรือ? ข้าไม่ต้องการชื่อเสียงหรือความดีงามใด ๆ พวกมันไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการเลย”ฉินโจวดูถูกน้องชายมาโดยตลอด เพราะเขาไม่ได
ทั้งสองคนเดินออกไปและหยุดอยู่บนทางเดิน หมอมองฉินโจวพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “ท่านแม่ทัพ ข้ากำลังสงสัยว่าท่านแม่ทัพเฒ่าจะป่วยด้วยโรคระบาดขอรับ”ฉินโจวตกตะลึง “โรคระบาด? เป็นไปได้อย่างไร? ปู่ของข้าไม่เคยออกไปข้างนอก และไม่เคยติดต่อกับผู้ป่วยโรคนี้เลย แล้วเขาจะติดเชื้อโรคระบาดได้อย่างไร?”“ข้าเคยรักษาผู้ป่วยโรคระบาดมาก่อน ซึ่งอาการคล้ายคลึงกันอย่างมาก ผู้ป่วยจะมีไข้สูง ไอ ตาแดง หายใจเร็วขึ้น เมื่อเกิดอาการเหล่านี้พร้อมกันจะอันตรายอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นโรคนี้ยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาดขอรับ” หมอกล่าว“เป็นไปไม่ได้ หากจะติดเชื้อโรคระบาดก็ต้องสัมผัสกับผู้ป่วยที่มีเชื้ออยู่แล้ว แต่ท่านปู่ของข้าไม่เคยใกล้ชิดคนเหล่านั้นเลย แล้วเขาจะติดเชื้อได้อย่างไร?” ฉินโจวยังคงไม่เชื่อหมอประสานหมัด “ทั้งหมดนี้คือคำวินิจฉัยของข้า หากท่านแม่ทัพไม่เชื่อ ก็สามารถขอให้หมอคนอื่นมาตรวจดูได้ หรือท่านจะพาเขาไปที่พระราชวัง และขอให้หมอหลวงช่วยตรวจอาการ ข้าไร้ความสามารถ จึงอาจวินิจฉัยผิดพลาดได้ ลาก่อนขอรับ ๆ!”สิ้นคำ หมอก็หยิบกล่องยาแล้วออกไปโดยไม่เขียนใบสั่งยาด้วยซ้ำฉินโจวสับสนไม่น้อย ท่านปู่ติดเชื้อโร
หัวใจของฉินโจวเย็นเยียบราวกับน้ำ “ใช่ ตราบใดที่ข้าตายในสนามรบ ตระกูลฉินก็ยังจะเป็นผู้กล้า และเป็นขุนนางผู้มีเกียรติ”แม่ทัพเฒ่าฉินเงียบไปครู่ใหญ่ จากนั้นกล่าวคำเบา “ในฐานะหลานสาวตระกูลฉิน มันเป็นหน้าที่ของเจ้าที่ต้องเสียสละเพื่อชื่อเสียง และรากฐานของตระกูล”ฉินโจวกำหมัดแน่นด้วยความไม่พอใจ “หลายปีที่ผ่านมานี้ ข้ายังทำไม่พออีกหรือ? ตอนนี้มีใครในตระกูลฉินบ้างที่ไม่เกาะกินเลือดนี้ของข้า?”แม่ทัพเฒ่าฉินลุกยืนขึ้นพลางกล่าวอย่างเย็นชา “ข้าเคยเตือนเจ้าแล้ว คราวนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เจ้าจะต้องเข้าไปในพระราชวัง ข้าให้คำมั่นกับฮองเฮาเฉาแล้ว ว่าวันนี้เจ้าจะไปที่นั่นเพื่อทูลขอรับคำสั่ง หากเจ้าไม่ไป ข้าก็จะรับคำสั่งและออกรบด้วยตนเอง”“ท่าน...” ฉินโจวมองเขาด้วยสายตาโศกเศร้า “ท่านปู่ ข้าก็เป็นหลานสาวของท่านเหมือนกัน ท่านไม่สงสารข้าบ้างหรือ?”“ปู่สงสารเจ้าสิ แต่ภารกิจหน้าที่ของตระกูลฉินจะต้องถูกส่งต่อ ตอนนี้น้องชายของเจ้าโตพอแล้ว เจ้าจะต้องพาเขาไปสร้างความสำเร็จทางการทหารด้วย และเจ้าจะได้รับส่วนแบ่งของน้องเจ้า เมื่อถึงเวลานั้น ตระกูลฉินก็จะได้ผู้สืบทอดคนใหม่”ฉินโจวผงะไปชั่วครู่ ก่อนระเบิดหัวเราะ
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินโจว แม่ทัพเฒ่าฉินก็โมโหมากจนเคราสั่นสะท้าน “อาโจว อะไรจะสำคัญไปกว่าการบรรลุเป้าหมายอันยิ่งใหญ่? องค์จักรพรรดิเพียงต้องการขยายอาณาเขตของแคว้น เจ้าควรรู้เอาไว้ว่าเมื่อเรายึดครองต้าโจวสำเร็จ เป่ยโม่จะมีพื้นที่เพิ่มมากกว่าครึ่งหนึ่ง และมันจะเป็นความดีความชอบของตระกูลฉิน ทำให้ตระกูลของเราถูกจดจำไปหลายชั่วอายุคน! นี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าต้องการมาตลอดรึ? เจ้าไม่ต้องการบอกคนทั้งโลก ว่าแม้ฉินโจวจะเป็นสตรี แต่นางก็สามารถประสบความสำเร็จได้อย่างผ่าเผยหรือ?”ฉินโจวมองดูใบหน้าที่ฉายแววตื่นเต้นปนโกรธเกรี้ยวของปู่ ทันใดนั้นนางก็สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติถูกต้อง มันคือความต้องการของนาง แต่ความสำเร็จของนางจะต้องไม่แลกกับการเหยียบย่ำกระดูกของประชาชนชาวเป่ยโม่นางรักเป่ยโม่และหวังที่จะขยายอาณาเขตของแคว้น นอกจากนี้นางยังต้องการเสาะหาดินแดนอุดมสมบูรณ์เพื่อประชาชน เพราะหวังว่าพวกเขาจะสามารถอยู่อาศัยและทำกินอย่างสงบสุข และพึงพอใจโดยไม่ต้องทนทุกข์จากการพลัดถิ่นอย่างไรก็ตาม ในตอนนี้หากต้องการบรรลุอำนาจ นางจำต้องสละชีวิตประชาชนจำนวนมาก และนำเงินภาษีของทุกคนมาใช้ในการทำสงคราม ทำให้โรคร
มือสังหารเหล่านั้นแต่งกายคล้ายกับชาวต้าโจวและสวมหน้ากากผ้าสีดำ กลุ่มคนนิรนามราวเจ็ดถึงแปดคนกระโดดลงมาจากท้องฟ้ากลางวันแสก ๆ ทันทีที่เท้าของคนเหล่านั้นแตะพื้น พวกมันก็เริ่มโจมตีอย่างดุดันฉินโจวเห็นมือสังหารคนหนึ่งกระโดดขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับกระบี่ยาว จากนั้นร่ายรำอยู่หลายกระบวนท่าราวกับนางฟ้าโปรยดอกไม้ ขณะแสงแดดตกกระทบกระบี่ส่องกระจายไปทั่วเหล่าทหารที่เพิ่งมาถึงกระโจนเข้าไปร่วมวงต่อสู้อย่างรวดเร็วหลังจากประดาบกันไปกว่าร้อยครั้ง มือสังหารก็ถูกบีบบังคับให้ล่าถอย ฉินโจวจ่อกระบี่ไปที่คอของหนึ่งในมือสังหาร พลางถามเสียงเข้ม “ตอบข้า ใครเป็นคนส่งเจ้ามา?”มือสังหารตอบอย่างเย็นชา “ฆ่าไอ้หมารับใช้เป่ยโม่ให้หมด!”“หมารับใช้เป่ยโม่? เห็นได้ชัดว่าพวกเจ้าไม่ได้เป็นคนเป่ยโม่ พวกเจ้ามาจากต้าโจวใช่หรือไม่?” ฉินโจวโมโหอย่างมาก ขณะชี้ดาบไปยังหน้าอกของอีกฝ่าย “ไอ้เลวมู่หรงเจี๋ยส่งพวกเจ้ามาใช่หรือไม่?”“หญิงเลวอย่าเจ้ากล้าเอ่ยชื่อของท่านอ๋อง ทำให้พระองค์มัวหมองได้อย่างไร?” มือสังหารตะโกนฉินโจวชักดาบกลับพร้อมกล่าวอย่างเย็นชา “กลับไปซะ!”มือสังหารตกตะลึง ราวกับไม่คาดคิดว่าฉินโจวจะปล่อยตัวเขาไป”เ
ฉินโจวกล่าวด้วยความโมโห “ข้าหลอกลวงเจ้าเมื่อไร?”“ไม่งั้นรึ? เจ้าและอ๋องฉีเอ่ยปากว่า หากจื่ออันตกลงเดินทางมาที่เป่ยโม่ พวกเจ้าจะส่งองค์ชายรัชทายาทไปที่ต้าโจวเป็นองค์ประกัน แล้วพวกเจ้าทำตามที่พูดแล้วหรือไม่?”“องค์ชายรัชทายาทเดินทางไปยังต้าโจวแล้ว!”“ผู้ที่เดินทางไปยังต้าโจวคือองค์ชายเจ็ด ไม่ใช่องค์ชายรัชทายาท องค์ชายเจ็ดไม่ได้เป็นที่โปรดปราน ดังนั้นจักรพรรดิเป่ยโม่จะส่งเขาไปสังเวยเมื่อใดก็ได้”“เป็นไปไม่ได้!” ฉินโจวประหลาดใจอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าผู้ที่เดินทางไปคือองค์ชายรัชทายาท เพราะองค์จักรพรรดิทรงตรัสด้วยตนเองว่าจะส่งเขาไปที่ต้าโจว“เจ้าอย่าเพิ่งสนใจเรื่องนี้เลย ก่อนหน้านี้ทั้งสองแคว้นตกลงทำสนธิสัญญาสงบศึก หลังจากการแพร่ระบาดสิ้นสุดลง แต่เจ้ากลับวางแผนโจมตีพวกเราในขณะที่ข้ายังอยู่ที่เป่ยโม่ เจ้าจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร?” มู่หรงเจี๋ยกล่าวอย่างเคร่งเครียดฉินโจวตอบ “ผิดแล้ว เป็นเพราะต้าโจวที่เคลื่อนทัพโจมตีทหารฝั่งขวาของเราก่อน และสังหารทหารของเราไปกว่าร้อยคน ข้าจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเคลื่อนทัพเข้าไปใกล้ เพื่อบีบบังคับให้พวกเจ้าถอยกลับ”“ไร้สาระ กองทัพของเราหยุดเคลื่อนท
อย่างไรก็ตาม การจัดหาเสบียงอาหารสำหรับพื้นที่ภัยพิบัติยังไม่เพียงพอ และยังขาดแคลนเสื้อผ้าอาภรณ์ นอกจากนี้หลังจากที่พระชายาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มาถึงเป่ยโม่ ก็ยังไม่ได้รับใบสั่งยาแม้แต่ฉบับเดียว ดังนั้นความอดทนของประชาชนจึงค่อย ๆ หมดลง แต่ความโกรธและความขุ่นเคืองกลับยิ่งมากขึ้นทันทีที่ข่าวลือแพร่สะพัด ก็เป็นเสมือนเป็นการขว้างเปลวไฟใส่ ‘ระเบิด’ หนึ่งหมื่นตุน ทำให้มันระเบิดออกอย่างรวดเร็วผู้ประสบภัยนับไม่ถ้วนหลั่งไหลเข้าสู่เมืองหลวงอย่างรวดเร็วหลังจากที่ฉินโจวลงจากภูเขา นางก็พบว่าองค์จักรพรรดิทำอะไรกับทหารม้า และทหารเจ็ดหมื่นนายที่ประจำการที่เมืองหลวง ซึ่งเขาออกคำสั่งให้ทหารเหล่านั้นขับไล่เหล่าผู้ประสบภัยออกไปนางเห็นด้วยตาตนเองว่าทหารใต้บังคับบัญชาของนางสร้างกำแพงมนุษย์อันแน่นหนา เมื่อผู้ประสภัยเดินทางเข้ามา พวกเขาก็จะโบกหอกเพื่อขับไล่คนเหล่านั้นออกไปผู้ประสบภัยมากกว่าสิบรายได้รับบาดเจ็บจากหอกทหารเหล่านั้นอยู่ใต้บังคับบัญชาของนาง แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะไม่ได้ฆ่าผู้ใด แต่เมื่อสถานการณ์รุนแรงขึ้นจะต้องมีการฆ่าแกงกันอย่างแน่นอนฉินโจวโกรธจัดจึงขี่ม้าเข้าไปขวางเอาไว้ “หยุด หยุดเ
ฉินโจวกวาดสายตามองพลางเยาะเย้ยจื่ออันไม่สนใจนาง และพาหลินตานไปยังเขตตะวันตกภายในสองวันนี้มีผู้เสียชีวิตถึงสามคน ซึ่งทั้งหมดถูกหามออกไปหลังจากที่หลินตามเดินเข้ามาเขาหลั่งน้ำตาหลั่งน้ำตาขณะมองดูการเผาศพจื่ออันไม่คิดว่าเขาจะมีความอ่อนไหวมากเพียงนี้ “ท่านหมอหลิน ท่านเป็นอะไรหรือไม่?”หลินตานปาดน้ำตา “ข้าขอโทษ ข้าเพียง... คิดถึงครอบครัวขอรับ”“ครอบครัวของท่าน? แล้วตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ใดหรือ?” จื่ออันถาม“ตายหมดแล้วขอรับ ภรรยาและลูกสะใภ้ของข้าตายเพราะเหตุแผ่นดินไหวทั้งคู่ ส่วนลูกชายและหลานชายติดเชื้อโรคระบาดก่อนตายไปเช่นกัน ข้าจึงเป็นคนเดียวที่เหลือรอด” หลินตานสูดหายใจเข้าลึก ใบหน้าที่อยู่ภายใต้ผมสีขาวฉายแววความเศร้าโศกและหดหู่จื่ออันไม่คาดคิดว่าเขาจะมาจากพื้นที่โรคระบาดเช่นกัน เมื่อเห็นสีหน้าเศร้าสร้อย จื่ออันก็ไม่รู้จะปลอบใจเขาเช่นไร จึงได้แต่นิ่งเงียบและอยู่เคียงข้างไม่นานหลินตานก็ถามว่า “ท่านหมอเซี่ย โรคระบาดนี้สามารถรักษาหายได้จริงหรือขอรับ?”ตอนนั้นเองจื่ออันก็นึกได้ว่าเขาเป็นหมอเท้าเปล่า และหลังจากเดินทางพเนจรไปที่ต่าง ๆ เขาอาจรู้จักจินเย่าฉือก็เป็นได้ ดังนั้นจึงรีบถามว