“ในตอนที่อาเจี๋ยบาดเจ็บสาหัสนั้น เจ้าเคยเอ่ยคำเหล่านั้นกับข้า พูดถึงความไม่พอใจที่เก็บมาหลายปีนี้ เจ้ารู้สึกว่าเจ้าในปีนั้น ควรจะนั่งในตำแหน่งหวงโฮ่ว เจ้าในวันนี้ก็ควรจะได้เป็นหวงไท่โฮ่วในวังแห่งนี้ ใช่หรือไม่?”“มิกล้าเพคะ” กุ้ยไท่เฟยได้สงบลงแล้ว ไม่ได้มีอารมณ์ขึ้น ๆ ลง ๆ เช่นนั้นอีก เป็นเหมือนราวกับหุ่นดินเผาป้าซือจูยืนอยู่ด้านข้าง คอยฟังอย่างเงียบ ๆ ใบหน้ามีความวิตกกังวล“มิกล้า?” หวงไท่โฮ่วหัวเราะขึ้นมา ในน้ำเสียงหัวเราะนั้นมีความเหนื่อยล้าที่ไม่อาจเอ่ยออกมาได้แฝงอยู่ ข้าจริง ๆ แล้วรู้ความคิดในใจของเจ้าเป็นอย่างดี มีอะไรให้ต้องปิดบังกัน? ในปีนั้นนอกจากเจ้าแล้ว มีพระสนมมากมายเพียงใดที่ต้องการนั่งในตำแหน่งหวงโฮ่วนี้? เพียงแต่จะมีใครบ้างที่รู้ว่า นั่งอยู่ในตำแหน่งหวงโฮ่วนี้ สิ่งที่ต้องแบกอยู่บนบ่านั้นไม่ใช่ความรุ่งโรจน์หรือมั่งคั่งตลอดชีวิต แต่เป็นขุนเขาหมื่นลี้ของราชวงศ์ต้าโจว”กุ้ยไท่เฟยแววตาสั่นไหว “ขุนเขาหมื่นลี้? คำพูดช่างสวยหรูเสียจริง”“ใช่แล้ว ช่างสวยหรู บรรพบุรุษตระกูลมู่หรงของพวกเราใช้เลือดแลกมันมา มีความสงบสุขและรุ่งเรืองผ่านมากี่ราชวงศ์กันแล้วจนถึงวันนี้ แล้วเป็นอย่า
หวงไท่โฮ่วโมโหจนทั่วทั้งร่างกายสั่นไหว นางโมโหจนทนไม่ไหวยกมือขึ้นเพื่อที่จะตบลงไปบนใบหน้าของนางนางอดทดเอาไว้ ก่อนเอ่ยออกมาอย่างผิดหวังจนถึงขีดสุด “เจ้ายังจำได้ไหมในตอนที่อาเจี๋ยคลอดออกมา เจ้ากอดเขาเอาไว้แล้วเอ่ยกับข้า ในใต้หล้านี้ไม่มีสิ่งใดที่จะสำคัญไปกว่าเขาแล้ว เจ้ายังเอ่ยว่านี่เป็นของขวัญที่ดีที่สุดที่สวรรค์ประทานให้แก่เจ้า”กุ้ยไท่เฟยยิ้มเย็น ใช่แล้ว เพราะคลอดเขาออกมา ฝ่าบาทจึงได้แต่งตั้งนางให้เป็นกุ้ยเฟย จริง ๆ แล้ว เขาเป็นของขวัญที่ดีที่สุดแต่ว่าแววตามีความคิดถึงอาลัยเผยออกมา เป็นความคิดถึงอาลัยที่มีต่อชายผู้นั้น เขาตลอดชีวิตนี้ไม่เคยที่จะรับรู้ว่านางรักเขามากเพียงใดหวงไท่โฮ่วเมื่อพบว่านางมีความอบอุ่นแผ่ออกมา คิดว่าสามารถพูดจนนางเข้าใจได้ จึงได้เอ่ยต่อไป “ยังจำได้หรือไม่? ก่อนที่อาเจี๋ยจะมีอายุครบสามขวบ ใครก็ไม่ต้องการ ต้องการเพียงเจ้าและซือจู แม้แต่ข้าก็ยังกอดได้เพียงครั้งคราว ในตอนนั้นเจ้ายังบอกว่าเขาดื้อรั้น เกรงว่าทั้งชีวิตนี้คงจะหนีหายจากเจ้าผู้เป็นมารดาไปไม่ได้แน่”มีน้ำตาค่อย ๆ ไหลออกมา แต่กลับเป็นป้าซือจูคิดถึงในปีนั้น ท่านอ๋องนั้นตัวติดกันแจ และยังว่านอนสอนง่า
กุ้ยไท่เฟยค่อย ๆ เผยยิ้มออกมา “เสด็จพี่คำพูดนี้ดูแดกดันซะจริง มีอะไรไม่พอใจ? ไหนเลยจะมีความไม่พอใจ? เป็นดั่งคำที่ท่านเอ่ยไว้ หม่อมฉันในตอนนี้สำราญใจอยู่กับความรุ่งโรจน์มั่งคั่งร่ำรวย ใช้ชีวิตอย่างราบรื่น บุตรชายสองคน ผู้หนึ่งเป็นผู้สำเร็จราชการแทนองค์จักรพรรดิ อีกผู้หนึ่งถูกแต่งตั้งให้ไปปกครองเมืองทางตอนใต้ ล้วนแต่ยอดเยี่ยม จะมีอะไรให้ต้องไม่พอใจกันเพคะ?”หวงไท่โฮ่วกดมือเอาไว้ “พอได้แล้ว ไม่ต้องเอ่ยออกมาแล้ว ไม่ใช่ว่าข้าจะแดกดันเจ้า เป็นเจ้าที่แดกดันข้า บุตรทั้งสองของเจ้าต่างก็ยอดเยี่ยม แต่เจ้ากลับคิดว่าตำแหน่งกุ้ยไท่เฟยนี้ของเจ้ายังไม่ดีพอ ใช่หรือไม่? จะทำอย่างไรถึงจะให้ดีพอ? มิไม่ใช่ว่าให้ข้านำต่ำแหน่งไท่โฮ่วนี้ส่งมอบให้เจ้าถึงจะพอใจ?”คำพูดของหวงไท่โฮ่ว มีความโกรธอยู่หลายส่วนแล้ว กุ้ยไท่เฟยลุกขึ้นยืน “เสด็จพี่ไม่พอพระทัยแล้วหรือเพคะ? มีอะไรให้ไม่พอพระทัยกัน? ท่านในตอนนี้สูงส่งยิ่งนัก ในมือนั้นกุมอำนาจสูงสุดเอาไว้ แน่นอนว่าคนภายใต้ทำอะไรออกมาแล้วท่านล้วนแต่มองเป็นเรื่องขบขัน ในปีนั้นไท่หวงไท่โฮ่วยังไม่ออกจากวังไป ท่านก็เหมือนกันไม่ใช่หรือที่ต้องคอยแสดงความเคารพนับถือ? ในตอนนั้นท่
หลังจากทักทายกันไม่กี่คำแล้วนั้น หวงไท่โฮ่วจึงได้เข้าหัวข้อสำคัญ นางเอ่ยถามมู่หรงเจี๋ย “ถึงแม้ว่าข้าจะรู้ถึงความต้องการของเจ้า อาศัยโอกาสที่วันนี้มารดาเจ้าเองก็อยู่ที่นี้ ข้าจะถามเจ้าอีกครั้งหนึ่ง…”คำพูดของหวงไท่โฮ่วยังไม่ทันได้เอ่ยจบ กุ้ยไท่เฟยก็ได้เอ่ยเสียงเย็นชาขึ้นมา “หม่อมฉันไม่เห็นด้วย!”หวงไท่โฮ่วถอนหายใจออกมา มองมายังนาง “ดูท่าแล้ว เมื่อครู่คำพูดที่ข้าเอ่ยกับเจ้านั้นคงจะเสียแรงเปล่า”กุ้ยไท่เฟยยิ้มเย็น “เสด็จพี่ให้หม่อมฉันเข้าวังมา ไม่ใช่เพื่อสอบถามความเห็นของหม่อมฉันเช่นนั้นหรือ? หากว่าหม่อมฉันสามารถออกความเห็นเรื่องนี้ได้ ตอนนี้หม่อมฉันแสดงออกมามีอะไรที่ไม่ได้กัน? หากว่าหม่อมฉันไม่สามารถออกความคิดเห็นได้แล้ว เสด็จพี่วันนี้ไม่ควรที่จะเรียกหม่อมฉันเข้ามา”ป้าซือจูยกน้ำชาเข้ามา ได้ฟังคำพูดของกุ้ยไท่เฟยแล้ว สีหน้าเริ่มเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่กลับมิอาจส่งเสียงออกมาได้ ทำได้เพียงยกน้ำชาเข้ามามู่หรงเจี๋ยนั่งอยู่บนเก้าอี้ ท่าทางดูสบาย ใบหน้าหล่อเหลาแสดงถึงความไม่สบอารมณ์ เขานั่งเล่นแหวนหยกในมือ แววตาค่อย ๆ ปรากฏความเย็นชาหวงไท่โฮ่วอดทนอดกลั้นเอ่ยกับกุ้ยไท่เฟย “เมื่อค
จื่ออันแน่นอนว่ามิอาจจะจ้องมองกลับไปยังนางได้ ทำได้เพียงแต่ก้มหน้าลงอย่างเขินอายจริง ๆ แล้วนางก็พอจะรู้ได้ว่าหวงไท่โฮ่วไม่ค่อยจะชอบใจนางนักไม่อาจที่จะโทษนางได้ ใครกันที่จะชอบหญิงสาวแบบนาง? สายตาของมู่หรงเจี๋ยนั้นช่างแย่เสียจริง“ข้าเรียกเจ้าว่าจื่ออันได้ใช่ไหม” หวงไท่โฮ่วในที่สุดก็เอ่ยออกมา ทำลายการหยุดชะงักที่มีอยู่ แต่ว่า บรรยากาศก็ยังไม่ได้นับว่าดีนัก เพราะว่าคำพูดของนางถึงแม้ว่าจะดูอบอุ่น แต่ก็ดูเหมือนว่าจะมีความยิ่งใหญ่ที่จับต้องไม่ได้อยู่“เพคะ!” จื่ออันตอบกลับหวงไท่โฮ่วมองยังนาง “ข้าได้ยินมาว่าบิดาและมารดาของเจ้าได้หย่าขาดกันแล้ว มารดาของเจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม?”"ขอบพระทัยไท่โฮ่วที่ทรงห่วงใยเพคะ ท่านแม่สบายดีเพคะ”หวงไท่โฮ่วส่งเสียงอืมออกมา “ตอนนี้นางถูกแต่งตั้งให้เป็นเสี้ยนจู่ มีราชสำนักคอยดูแลเรื่องอาหารการกิน หย่าขาดกับบิดาของเจ้าก็ไม่ต้องกลัว ยังคงสามารถใช้ชีวิตของตัวเองได้ ไม่ต้องคอยคิดถึงว่าจะต้องแต่งให้กับผู้อื่น แต่งออกไปมีเรื่องที่ไม่อิสระมากมายยิ่งนัก”จื่ออันมองขึ้นไปอย่างประหลาดใจ คำพูดนี้ของหวงไท่โฮ่ว เหมือนจะสื่อถึงนัยอื่นหวงไท่โฮ่วหัวเราะออกมา “เจ้าเป็นส
หลังจากที่จื่ออันเดินออกไปแล้ว หวงไท่โฮ่วมองยังด้านหลังของจื่ออัน นางค่อย ๆ ยิ้มออกมาซุนกงกงยิ้มเดินเข้ามา “ไท่โฮ่ว มองคนไม่ผิดใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ? คุณหนูใหญ่ท่านนี้ มีหลักการ และไม่เห็นแก่ตัว!”หวงไท่โฮ่วส่งเสียงอืมออกมา “ไท่หวงไท่โฮ่วมองคนช่างมองได้ทะลุปรุโปร่งเสียจริง ข้าเห็นนางและจวนมหาเสนาบดีเผชิญหน้ากันครั้งนี้แล้ว เดิมคิดว่าเป็นเพียงสตรีที่ร้ายกาจ แต่คาดไม่ถึงว่า ยังคงมีความรู้สึกเยี่ยงนี้ มหาเสนาบดีเซี่ยช่างมีบุตรสาวที่แสนดีได้ถึงขนาดนี้ แต่เสียดายที่ไม่รู้จักที่จะทะนุถนอมเอาไว้”“พ่ะย่ะค่ะ” ซุนกงกงยิ้มออกมา “ตอนนี้ ท่านไล่คนออกไปแล้ว หากว่าท่านอ๋องกลับมา ท่านจะอธิบายออกไปว่าอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ?”ไท่โฮ่วทำหน้าบึ้งตึง “ข้าจะต้องอธิบายอะไรอีก? นางทำให้ข้าพอใจยิ่งนัก แต่ว่านางช่างไม่ไว้หน้าข้าแม้แต่เพียงครึ่งจริง ๆ ข้าไล่นางออกไปแล้วอย่างไร?”ซุนกงกงยิ้มพลางเอ่ย “พอพระทัยเป็นพอพ่ะย่ะค่ะ ยังจะใส่อารมณ์อะไรกันอีกเล่าพ่ะย่ะค่ะ?”“ถ่ายทอดคำสั่ง รีบไปร่างพระเสาวนีย์ ลูกสะใภ้คนนี้ ข้ายอมรับแล้ว” หวงไท่โฮ่วเอ่ยออกมาด้วยความโล่งใจชั่วขณะหนึ่ง นางก็ขมวดคิ้วขึ้นมา “แต่ว่าเมื่อครู่ที่เ
เดินมาได้ประมาณสองลี้ รถม้าของมู่หรงเจี๋ยก็ตามมาทัน“ขึ้นมา!” มู่หรงเจี๋ยเอ่ยออกมาด้วยใบหน้าเรียบเฉยจื่ออันขึ้นรถม้ามา มองใบหน้าขาวเรียบ มุมปากกระตุกขึ้น “ข้ารู้ว่าท่านกล่าวโทษข้าที่ล่วงเกินหวงไท่โฮ่ว แต่ว่ามีบางเรื่องที่ข้ามิอาจที่จะประนีประนอมได้”“ถ้าอย่างนั้นเจ้าไม่อยากที่จะแต่งงานกับข้าแล้วหรือ” มู่หรงเจี๋ยจ้องมองยังนาง“ข้าไม่ได้มีความหมายเยี่ยงนี้ เพียงแต่… ” นางเมื่อครู่ที่ขัดแย้งกับหวงไม่โฮ่วนั้น ไม่คิดว่าเขาจะโมโหเพราะสาเหตุนี้ “พวกเรายังอายุน้อย ไม่เช่นนั้นก็ทนรออีกสักปีสองปี”“ทน?เสด็จแม่เมื่อครู่เอ่ยออกมาแล้ว พรุ่งนี้ก็จะเลือกพระชายาให้กับข้า ปีนี้จะต้องแต่งพระชายาผู้สำเร็จราชการแทนเข้ามา” มู่หรงเจี๋ยเอ่ยออกมาด้วยใบหน้าเรียบเฉยจื่ออันส่งเสียงอ่าออกมา “รีบร้อนขนาดนี้เลยหรือ?”ในใจมีความรู้สึกหึงหวง ดูท่าแล้ว เมื่อครู่ตนคงจะประมาทเกินไป บางทีการยึดมั่นในหลักการนั้น อาจจะสามารถพูดให้ดูนุ่มนวลขึ้นอีกได้“ไม่ผิด เจ้ากลับไปเอ่ยกับเสด็จแม่ก่อน เจ้าจะเอ่ยกับท่านแม่ของเจ้าว่าจะไม่ไปมาหาสู่กับเสด็จพี่ของข้า ท่านแม่ก็จะประทานพระราชเสาวนีย์ให้พวกเราแต่งงานกัน” มู่หรงเจี๋ยเอ่
จวนผู้สำเร็จราชการแทนองค์จักรพรรดิณ เรือนชิงหนิง เรือนที่กุ้ยไท่เฟยพักอาศัยอยู่ป้าซือจูถือถ้วยน้ำชาเดินเข้ามาจากตรงระเบียง พบว่าสาวใช้ใกล้ตัวของไท่เฟย หลัวซุ่ยเร่งรีบเดินออกไปด้านนอก“หลัวซุ่ย รีบร้อนเดินออกไปทำไมกัน?” ป้าซือจูเอ่ยถามหลัวซุ่ยเอ่ยตอบกลับ “กุ้ยไท่เฟยให้บ่าวออกไปนัดหมายเวลากับฮูหยินผู้เฒ่าจวนมหาเสนาบดีเจ้าค่ะ”ป้าซือจูตกตะลึง แววตาดูมืดมน “ไปเถอะ”หลัวซุ่ยรีบร้อนเดินจากไปป้าซือจูประคองถ้วยชาเงียบไปชั่วครู่นึง นางจึงหมุนตัวหันหลังกลับไป ผ่านไปครู่นึงก็ได้ประคองถ้วยชาเข้ามา เพียงแต่ชาในครั้งนี้นั้น เพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งถ้วยบ่าวรับใช้อาฝูเพิ่งจะพูดกับกุ้ยไท่เฟยเสร็จ ก็พบป้าซือจูเข้ามา จึงได้ออกไปกุ้ยไท่เฟยเอนกายครึ่งหนึ่งอยู่บนที่นั่ง ปิดตาลง ป้าซือจูวางน้ำชาลงบนโต๊ะชา เอ่ยถามเสียงเบา “ยังคงปวดหัวอยู่หรือไม่เพคะ?”“อืม” กุ้ยไท่เฟยจู่ ๆ ก็เปิดตาขึ้น เอ่ยออกมาด้วยความโกรธ “ผู้คนในใต้หล้านี้ ทำไมล้วนแล้วแต่เข้ามารังแกข้ากัน? ข้าตกลงแล้วมีส่วนใดที่ไม่ดีเท่านาง?”ป้าซือจูค่อย ๆ นั่งลงข้างกายนาง ช่วยนวดคลึงศีรษะของนาง “ไม่มีผู้ใดที่ต้องการจะรังแกท่าน เป็นอย่างทุกวัน
ร่างกายของแม่ทัพเฒ่าฉินสั่นสะท้านด้วยความโกรธ “เจ้าสาปแช่งปู่รึ เจ้าเคยคำนึงถึงญาติพี่น้องหรือไม่?”เมื่อหมอหลวงมาถึง กลับไม่มีคนในตระกูลฉินคอยเฝ้าเขาอยู่ในห้อง ดังนั้นจึงมีเพียงแต่บ่าวรับใช้หลังจากตรวจสอบอาการเสร็จ หมอหลวงก็กล่าวด้วยสีหน้าตกตะลึง “ท่านแม่ทัพเฒ่า เมื่อไม่กี่วันมานี้ท่านได้ไปที่ใดมา? แล้วท่านเคยเข้าไปในพื้นที่โรคระบาดหรือไม่?” “ไม่เคย ข้าไม่เคยไปที่นั่น” สีหน้าของแม่ทัพเฒ่าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เมื่อได้ยินคำพูดของหมอหลวง “ท่านกำลังสงสัยว่าข้าติดเชื้อโรคระบาดใช่หรือไม่?”“อาการช่างคล้ายคลึงกันยิ่งนัก” หมอกลวงกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด“เป็นไปไม่ได้!” แม่ทัพเฒ่าฉินรู้สึกตื่นตระหนกอย่างมาก “ท่านวินิจฉัยผิดหรือไม่?”“ข้าจะจัดยาให้ท่านสองชนิดก่อน หากดื่มยาเหล่านี้แล้วไม่ได้ผล เช่นนั้นไม่ใช่ก็ใกล้เคียงแล้วขอรับ” หมอหลวงกล่าวแม่ทัพเฒ่าฉินกล่าวด้วยความลนลาน “ฉินโจวบังคับให้ท่านพูดเช่นนี้ใช่หรือไม่?”หมอหลวงรู้สึกประหลาดใจ “แม่ทัพเฒ่า ท่านหมายความว่าอย่างไร? เหตุใดแม่ทัพฉินถึงต้องบังคับให้ข้าพูดเช่นนี้?”หมอหลวงชะงักไปชั่วครู่หนึ่งแล้วโพล่งถาม “ท่านเคยพูดคุยกับองค์ชายเ
นางสามารถเสียสละได้ แต่จะไม่มีทางทรยศต่อประชาชนเป่ยโม่เด็ดขาดสำหรับความจงรักภักดีต่อองค์จักรพรรดิและประเทศชาติ นางจะต้องรักประชาชนก่อน จึงจะสามารถภักดีต่อองค์จักรพรรดิได้ฉินโจวกล่าวคำเบา “ข้าเข้าไปในพระราชวังเพื่อเชิญหมอหลวงแล้ว ท่านปู่พักผ่อนก่อนเถิด ข้าจะออกไปเดินเล่นรับลมสักหน่อย”ดวงตาของแม่ทัพเฒ่าฉินอัดแน่นด้วยความโกรธ แต่ก็พยายามอย่างหนักเพื่อระงับมันฉินโจวเดินออกจากห้อง และเห็นว่าฉินเป้าน้องชายของตนนั่งอยู่ที่สวน เมื่อเห็นนางเดินออกมา เขาก็ถามว่า “ท่านปู่เป็นอย่างไรบ้าง?”ฉินโจวจำคำพูดของท่านปู่ได้อย่างแม่นยำ จึงเมินเฉยต่อเขาและตอบอย่างใจเย็น “เข้าไปดูด้วยตนเองสิ”ฉินเป้าคลี่ยิ้ม แต่มันกลับดูอ้างว้างอย่างยิ่ง “ข้าได้ยินสิ่งที่ท่านปู่พูดกับท่านแล้ว ข้าไม่อยากเข้าไป”ฉินโจวตกตะลึง “เพราะเหตุใด เขาทุ่มเทความพยายามทั้งหมดไปกับหารวางแผนเพื่อเจ้า เจ้าควรขอบคุณท่านปู่สิ”ฉินเป้าหัวเราะเยาะ “จริงรึ? หากเขาทอดทิ้งท่านเพื่อตระกูลได้ ในอนาคตเขาจะไม่ทอดทิ้งข้าหรือ? ข้าไม่ต้องการชื่อเสียงหรือความดีงามใด ๆ พวกมันไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการเลย”ฉินโจวดูถูกน้องชายมาโดยตลอด เพราะเขาไม่ได
ทั้งสองคนเดินออกไปและหยุดอยู่บนทางเดิน หมอมองฉินโจวพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “ท่านแม่ทัพ ข้ากำลังสงสัยว่าท่านแม่ทัพเฒ่าจะป่วยด้วยโรคระบาดขอรับ”ฉินโจวตกตะลึง “โรคระบาด? เป็นไปได้อย่างไร? ปู่ของข้าไม่เคยออกไปข้างนอก และไม่เคยติดต่อกับผู้ป่วยโรคนี้เลย แล้วเขาจะติดเชื้อโรคระบาดได้อย่างไร?”“ข้าเคยรักษาผู้ป่วยโรคระบาดมาก่อน ซึ่งอาการคล้ายคลึงกันอย่างมาก ผู้ป่วยจะมีไข้สูง ไอ ตาแดง หายใจเร็วขึ้น เมื่อเกิดอาการเหล่านี้พร้อมกันจะอันตรายอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นโรคนี้ยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาดขอรับ” หมอกล่าว“เป็นไปไม่ได้ หากจะติดเชื้อโรคระบาดก็ต้องสัมผัสกับผู้ป่วยที่มีเชื้ออยู่แล้ว แต่ท่านปู่ของข้าไม่เคยใกล้ชิดคนเหล่านั้นเลย แล้วเขาจะติดเชื้อได้อย่างไร?” ฉินโจวยังคงไม่เชื่อหมอประสานหมัด “ทั้งหมดนี้คือคำวินิจฉัยของข้า หากท่านแม่ทัพไม่เชื่อ ก็สามารถขอให้หมอคนอื่นมาตรวจดูได้ หรือท่านจะพาเขาไปที่พระราชวัง และขอให้หมอหลวงช่วยตรวจอาการ ข้าไร้ความสามารถ จึงอาจวินิจฉัยผิดพลาดได้ ลาก่อนขอรับ ๆ!”สิ้นคำ หมอก็หยิบกล่องยาแล้วออกไปโดยไม่เขียนใบสั่งยาด้วยซ้ำฉินโจวสับสนไม่น้อย ท่านปู่ติดเชื้อโร
หัวใจของฉินโจวเย็นเยียบราวกับน้ำ “ใช่ ตราบใดที่ข้าตายในสนามรบ ตระกูลฉินก็ยังจะเป็นผู้กล้า และเป็นขุนนางผู้มีเกียรติ”แม่ทัพเฒ่าฉินเงียบไปครู่ใหญ่ จากนั้นกล่าวคำเบา “ในฐานะหลานสาวตระกูลฉิน มันเป็นหน้าที่ของเจ้าที่ต้องเสียสละเพื่อชื่อเสียง และรากฐานของตระกูล”ฉินโจวกำหมัดแน่นด้วยความไม่พอใจ “หลายปีที่ผ่านมานี้ ข้ายังทำไม่พออีกหรือ? ตอนนี้มีใครในตระกูลฉินบ้างที่ไม่เกาะกินเลือดนี้ของข้า?”แม่ทัพเฒ่าฉินลุกยืนขึ้นพลางกล่าวอย่างเย็นชา “ข้าเคยเตือนเจ้าแล้ว คราวนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เจ้าจะต้องเข้าไปในพระราชวัง ข้าให้คำมั่นกับฮองเฮาเฉาแล้ว ว่าวันนี้เจ้าจะไปที่นั่นเพื่อทูลขอรับคำสั่ง หากเจ้าไม่ไป ข้าก็จะรับคำสั่งและออกรบด้วยตนเอง”“ท่าน...” ฉินโจวมองเขาด้วยสายตาโศกเศร้า “ท่านปู่ ข้าก็เป็นหลานสาวของท่านเหมือนกัน ท่านไม่สงสารข้าบ้างหรือ?”“ปู่สงสารเจ้าสิ แต่ภารกิจหน้าที่ของตระกูลฉินจะต้องถูกส่งต่อ ตอนนี้น้องชายของเจ้าโตพอแล้ว เจ้าจะต้องพาเขาไปสร้างความสำเร็จทางการทหารด้วย และเจ้าจะได้รับส่วนแบ่งของน้องเจ้า เมื่อถึงเวลานั้น ตระกูลฉินก็จะได้ผู้สืบทอดคนใหม่”ฉินโจวผงะไปชั่วครู่ ก่อนระเบิดหัวเราะ
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินโจว แม่ทัพเฒ่าฉินก็โมโหมากจนเคราสั่นสะท้าน “อาโจว อะไรจะสำคัญไปกว่าการบรรลุเป้าหมายอันยิ่งใหญ่? องค์จักรพรรดิเพียงต้องการขยายอาณาเขตของแคว้น เจ้าควรรู้เอาไว้ว่าเมื่อเรายึดครองต้าโจวสำเร็จ เป่ยโม่จะมีพื้นที่เพิ่มมากกว่าครึ่งหนึ่ง และมันจะเป็นความดีความชอบของตระกูลฉิน ทำให้ตระกูลของเราถูกจดจำไปหลายชั่วอายุคน! นี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าต้องการมาตลอดรึ? เจ้าไม่ต้องการบอกคนทั้งโลก ว่าแม้ฉินโจวจะเป็นสตรี แต่นางก็สามารถประสบความสำเร็จได้อย่างผ่าเผยหรือ?”ฉินโจวมองดูใบหน้าที่ฉายแววตื่นเต้นปนโกรธเกรี้ยวของปู่ ทันใดนั้นนางก็สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติถูกต้อง มันคือความต้องการของนาง แต่ความสำเร็จของนางจะต้องไม่แลกกับการเหยียบย่ำกระดูกของประชาชนชาวเป่ยโม่นางรักเป่ยโม่และหวังที่จะขยายอาณาเขตของแคว้น นอกจากนี้นางยังต้องการเสาะหาดินแดนอุดมสมบูรณ์เพื่อประชาชน เพราะหวังว่าพวกเขาจะสามารถอยู่อาศัยและทำกินอย่างสงบสุข และพึงพอใจโดยไม่ต้องทนทุกข์จากการพลัดถิ่นอย่างไรก็ตาม ในตอนนี้หากต้องการบรรลุอำนาจ นางจำต้องสละชีวิตประชาชนจำนวนมาก และนำเงินภาษีของทุกคนมาใช้ในการทำสงคราม ทำให้โรคร
มือสังหารเหล่านั้นแต่งกายคล้ายกับชาวต้าโจวและสวมหน้ากากผ้าสีดำ กลุ่มคนนิรนามราวเจ็ดถึงแปดคนกระโดดลงมาจากท้องฟ้ากลางวันแสก ๆ ทันทีที่เท้าของคนเหล่านั้นแตะพื้น พวกมันก็เริ่มโจมตีอย่างดุดันฉินโจวเห็นมือสังหารคนหนึ่งกระโดดขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับกระบี่ยาว จากนั้นร่ายรำอยู่หลายกระบวนท่าราวกับนางฟ้าโปรยดอกไม้ ขณะแสงแดดตกกระทบกระบี่ส่องกระจายไปทั่วเหล่าทหารที่เพิ่งมาถึงกระโจนเข้าไปร่วมวงต่อสู้อย่างรวดเร็วหลังจากประดาบกันไปกว่าร้อยครั้ง มือสังหารก็ถูกบีบบังคับให้ล่าถอย ฉินโจวจ่อกระบี่ไปที่คอของหนึ่งในมือสังหาร พลางถามเสียงเข้ม “ตอบข้า ใครเป็นคนส่งเจ้ามา?”มือสังหารตอบอย่างเย็นชา “ฆ่าไอ้หมารับใช้เป่ยโม่ให้หมด!”“หมารับใช้เป่ยโม่? เห็นได้ชัดว่าพวกเจ้าไม่ได้เป็นคนเป่ยโม่ พวกเจ้ามาจากต้าโจวใช่หรือไม่?” ฉินโจวโมโหอย่างมาก ขณะชี้ดาบไปยังหน้าอกของอีกฝ่าย “ไอ้เลวมู่หรงเจี๋ยส่งพวกเจ้ามาใช่หรือไม่?”“หญิงเลวอย่าเจ้ากล้าเอ่ยชื่อของท่านอ๋อง ทำให้พระองค์มัวหมองได้อย่างไร?” มือสังหารตะโกนฉินโจวชักดาบกลับพร้อมกล่าวอย่างเย็นชา “กลับไปซะ!”มือสังหารตกตะลึง ราวกับไม่คาดคิดว่าฉินโจวจะปล่อยตัวเขาไป”เ
ฉินโจวกล่าวด้วยความโมโห “ข้าหลอกลวงเจ้าเมื่อไร?”“ไม่งั้นรึ? เจ้าและอ๋องฉีเอ่ยปากว่า หากจื่ออันตกลงเดินทางมาที่เป่ยโม่ พวกเจ้าจะส่งองค์ชายรัชทายาทไปที่ต้าโจวเป็นองค์ประกัน แล้วพวกเจ้าทำตามที่พูดแล้วหรือไม่?”“องค์ชายรัชทายาทเดินทางไปยังต้าโจวแล้ว!”“ผู้ที่เดินทางไปยังต้าโจวคือองค์ชายเจ็ด ไม่ใช่องค์ชายรัชทายาท องค์ชายเจ็ดไม่ได้เป็นที่โปรดปราน ดังนั้นจักรพรรดิเป่ยโม่จะส่งเขาไปสังเวยเมื่อใดก็ได้”“เป็นไปไม่ได้!” ฉินโจวประหลาดใจอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าผู้ที่เดินทางไปคือองค์ชายรัชทายาท เพราะองค์จักรพรรดิทรงตรัสด้วยตนเองว่าจะส่งเขาไปที่ต้าโจว“เจ้าอย่าเพิ่งสนใจเรื่องนี้เลย ก่อนหน้านี้ทั้งสองแคว้นตกลงทำสนธิสัญญาสงบศึก หลังจากการแพร่ระบาดสิ้นสุดลง แต่เจ้ากลับวางแผนโจมตีพวกเราในขณะที่ข้ายังอยู่ที่เป่ยโม่ เจ้าจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร?” มู่หรงเจี๋ยกล่าวอย่างเคร่งเครียดฉินโจวตอบ “ผิดแล้ว เป็นเพราะต้าโจวที่เคลื่อนทัพโจมตีทหารฝั่งขวาของเราก่อน และสังหารทหารของเราไปกว่าร้อยคน ข้าจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเคลื่อนทัพเข้าไปใกล้ เพื่อบีบบังคับให้พวกเจ้าถอยกลับ”“ไร้สาระ กองทัพของเราหยุดเคลื่อนท
อย่างไรก็ตาม การจัดหาเสบียงอาหารสำหรับพื้นที่ภัยพิบัติยังไม่เพียงพอ และยังขาดแคลนเสื้อผ้าอาภรณ์ นอกจากนี้หลังจากที่พระชายาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มาถึงเป่ยโม่ ก็ยังไม่ได้รับใบสั่งยาแม้แต่ฉบับเดียว ดังนั้นความอดทนของประชาชนจึงค่อย ๆ หมดลง แต่ความโกรธและความขุ่นเคืองกลับยิ่งมากขึ้นทันทีที่ข่าวลือแพร่สะพัด ก็เป็นเสมือนเป็นการขว้างเปลวไฟใส่ ‘ระเบิด’ หนึ่งหมื่นตุน ทำให้มันระเบิดออกอย่างรวดเร็วผู้ประสบภัยนับไม่ถ้วนหลั่งไหลเข้าสู่เมืองหลวงอย่างรวดเร็วหลังจากที่ฉินโจวลงจากภูเขา นางก็พบว่าองค์จักรพรรดิทำอะไรกับทหารม้า และทหารเจ็ดหมื่นนายที่ประจำการที่เมืองหลวง ซึ่งเขาออกคำสั่งให้ทหารเหล่านั้นขับไล่เหล่าผู้ประสบภัยออกไปนางเห็นด้วยตาตนเองว่าทหารใต้บังคับบัญชาของนางสร้างกำแพงมนุษย์อันแน่นหนา เมื่อผู้ประสภัยเดินทางเข้ามา พวกเขาก็จะโบกหอกเพื่อขับไล่คนเหล่านั้นออกไปผู้ประสบภัยมากกว่าสิบรายได้รับบาดเจ็บจากหอกทหารเหล่านั้นอยู่ใต้บังคับบัญชาของนาง แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะไม่ได้ฆ่าผู้ใด แต่เมื่อสถานการณ์รุนแรงขึ้นจะต้องมีการฆ่าแกงกันอย่างแน่นอนฉินโจวโกรธจัดจึงขี่ม้าเข้าไปขวางเอาไว้ “หยุด หยุดเ
ฉินโจวกวาดสายตามองพลางเยาะเย้ยจื่ออันไม่สนใจนาง และพาหลินตานไปยังเขตตะวันตกภายในสองวันนี้มีผู้เสียชีวิตถึงสามคน ซึ่งทั้งหมดถูกหามออกไปหลังจากที่หลินตามเดินเข้ามาเขาหลั่งน้ำตาหลั่งน้ำตาขณะมองดูการเผาศพจื่ออันไม่คิดว่าเขาจะมีความอ่อนไหวมากเพียงนี้ “ท่านหมอหลิน ท่านเป็นอะไรหรือไม่?”หลินตานปาดน้ำตา “ข้าขอโทษ ข้าเพียง... คิดถึงครอบครัวขอรับ”“ครอบครัวของท่าน? แล้วตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ใดหรือ?” จื่ออันถาม“ตายหมดแล้วขอรับ ภรรยาและลูกสะใภ้ของข้าตายเพราะเหตุแผ่นดินไหวทั้งคู่ ส่วนลูกชายและหลานชายติดเชื้อโรคระบาดก่อนตายไปเช่นกัน ข้าจึงเป็นคนเดียวที่เหลือรอด” หลินตานสูดหายใจเข้าลึก ใบหน้าที่อยู่ภายใต้ผมสีขาวฉายแววความเศร้าโศกและหดหู่จื่ออันไม่คาดคิดว่าเขาจะมาจากพื้นที่โรคระบาดเช่นกัน เมื่อเห็นสีหน้าเศร้าสร้อย จื่ออันก็ไม่รู้จะปลอบใจเขาเช่นไร จึงได้แต่นิ่งเงียบและอยู่เคียงข้างไม่นานหลินตานก็ถามว่า “ท่านหมอเซี่ย โรคระบาดนี้สามารถรักษาหายได้จริงหรือขอรับ?”ตอนนั้นเองจื่ออันก็นึกได้ว่าเขาเป็นหมอเท้าเปล่า และหลังจากเดินทางพเนจรไปที่ต่าง ๆ เขาอาจรู้จักจินเย่าฉือก็เป็นได้ ดังนั้นจึงรีบถามว