หลังจากที่จื่ออานทำเสร็จหมดทุกอย่างแล้ว อ๋องเหลียงก็ยังไม่ฟื้นขึ้นมา ยังคงหายใจเร็วเช่นเดิม แม้กระทั่งเสียงดังจากทรวงอกก็ยังเหมือนเดิมมองด้วยตาเปล่า อ๋องเหลียงดูไม่ได้ดีขึ้นเลยกระทั่งหมอหลวงบางคนถึงกับตั้งคำถาม ว่าพระอาการที่ทรงหายใจลำบากเช่นนี้ การตรึงพระศอเอาไว้จะยิ่งทำให้พระอาการหนักขึ้นหรือไม่?เมื่อหมอหลวงถาม ฮองเฮาก็มองดูจื่ออานด้วยดวงตาที่เย็นชา จื่ออานนั่งยองลงที่ด้านหน้าเตียงและตรวจดูพระอาการบาดเจ็บที่ขาของอ๋องเหลียงอย่างเงียบ ๆ ยิ่งไปกว่านั้น นางถือโอกาสตรวจแผลเก่าของพระองค์ด้วย และได้เหลือบมองฮองเฮาผ่านทางหางตา จื่ออานรับรู้ถึงสายตาอันเย็นชาที่พระนางมองมายังนางได้ รู้สึกเป็นกังวลจึงถอนหายใจเบา ๆ นางทำได้เพียงละทิ้งปัจจัยภายนอกที่จะส่งผลกระทบ ตั้งสมาธิทำเรื่องที่นางจะต้องทำก็พอคนในวังต้มยาแล้วนำขึ้นมา หมอหลวงส่งให้จื่ออานดื่มล้างพิษก่อน นางดื่มเข้าไปโดยไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อยเมื่อครู่นี้ตอนที่นางอาบน้ำได้ฝังเข็มให้ตัวเอง จึงได้รวบรวมพละกำลังมาบ้างแล้ว หากแต่ตอนนี้เวลามันผ่านไปอย่างเชื่องช้า นางรู้สึกเหนื่อยเหลือเกิน ความเจ็บปวดและพิษในร่างกายทั้งหมดทำให้นางจำเป็นต้องใช
หวงไท่โฮ่วขมวดคื้ว "เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้กับอาซิน เหตุใดถึงไม่มีใครไปรายงานข้า?"ฮองเฮาอธิบาย "เสด็จแม่เพคะ หม่อมฉันเพียงแค่เกรงว่าจะทำให้พระองค์ทรงตื่นตระหนก และจะทรงเป็นกังวลนะเพคะ""อาการหนักถึงเพียงนี้ ข้าจะไม่กังวลได้อย่างไร?" ไทเฮาเดินไปอย่างรวดเร็ว และเดินขึ้นบันได ไม่ได้มองจื่ออานที่นั่งคุกเข่าอยู่ที่พื้น เปิดเสื่อเย็นแล้วเดินเข้าไปเมื่อเห็นหลานชายที่ไร้ซึ่งชีวิตชีวา หวงไท่โฮ่วก็หลั่งน้ำตา “ไหนว่าทุกอย่างเรียบร้อยดี แล้วกลายเป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไร? เมื่อครู่ข้าได้ยินจากข้าหลวงรับใช้ที่เข้ามารายงาน บอกว่าเขารอดแล้ว นี่มันโรคอะไรกันแน่?"หยวนพ่านก้าวไปข้างหน้า “หม่อมฉันขอกราบบังคมทูลหวงไท่โฮ่ว ฝ่าบาททรงเป็นโรคลมชัก พระอาการกำเริบหนักมากพ่ะย่ะค่ะ!"หวงไท่โฮ่วโกรธจัด “บังอาจ เขาเป็นผู้สืบสายโลหิตของราชวงศ์ จะเป็นโรคร้ายนี้ได้อย่างไร วินิจฉัยผิดหรือเปล่า?”หยวนพ่านที่เห็นหวงไท่โฮ่วทรงพิโรธ ก็รีบคุกเข่าลง“หวงไท่โฮ่วโปรดระงับโทสะ หม่อมฉันกับหมอหลวงทุกคนได้ทำการวินิจฉัยร่วมกันแล้ว แน่ใจว่านี่คือ โรคลมชักพ่ะย่ะค่ะ”กุ้ยไท่เฟยเดินไปด้วยใบหน้าที่เย็นชา กวาดสายตามองไปรอบ ๆ และถามอย
มู่หรงเจี๋ยที่ได้ยินคำพูดของกุ้ยไท่เฟยก็ได้อธิบาย "เสด็จแม่ เซี่ยจื่ออานผู้นี้รู้ทักษะการฝังเข็ม นางเชี่ยวชาญมาก อาซินเพิ่งจะสลบไป โชคดีที่นางเข้าวังมาจะช่วยทำให้ฟื้น ลูกคิดว่าทักษะทางการแพทย์ของนางนั้น..."เสียงไอของหวงไท่โฮ่วขัดจังหวะการพูดของมู่หรงเจี๋ย กุ้ยไท่เฟยกล่าวเสียงเข้มทันที “ไร้สาระ ทักษะทางการแพทย์ของสตรีนางหนึ่งจะยอดเยี่ยมกว่าของหมอหลวงได้อย่างไร? ไม่ต้องวุ่นวายแล้ว รีบส่งคนกลับไป อย่าปล่อยให้ตากลมอยู่ที่นี่”จื่ออานเข้าใจได้ในทันทีว่า กุ้ยไท่เฟยไม่ได้ตำหนิผู้สำเร็จราชการแทนองค์จักรพรรดิ แต่นางกำลังปกป้องเขาอยู่ คนที่ไม่พอใจกับการย้ายองค์จักรพรรดิเหลียงมาที่นี่ก็คือ หวงไท่โฮ่ว นางไม่ยินยอมให้สตรีนางหนึ่งมาถวายการรักษาองค์จักรพรรดิเหลียง คิดว่าทักษะทางการแพทย์ของจื่ออานสู้หมอหลวงไม่ได้กุ้ยไท่เฟยกังวลว่าบุตรชายของนางจะทำให้หวงไท่โฮ่วขุ่นเคืองพระทัย ดังนั้นจึงใช้ฐานะความเป็นแม่บังคับให้เขาส่งตัวองค์จักรพรรดิเหลียงกลับไป เพื่อหลีกเลี่ยงผลที่ตามมาจื่ออานประเมินความซับซ้อนของสถานการณ์ในวังต่ำไปจริง ๆ ตอนแรกนางคิดว่าตราบใดที่ฮองเฮารับปากให้นางถวายการรักษาองค์จักรพรรดิเหลีย
“อย่างนั้นก็เป็นไปไม่ได้ เวินอี้เป็นคนรัฐเหลียง ทักษะการฝังเข็มทองของนางถูกส่งต่อไปให้ท่านอ๋องอันหรานแห่งรัฐเหลียง หลังจากที่ท่านอ๋องได้รับทักษะการฝังเข็มทองแล้ว ก็ไม่พบผู้สืบทอดต่ออีกเลย หากเจ้าต้องการคุยโวก็ควรตรวจสอบให้ดี ก่อนที่จะพูดเรื่องไร้สาระ”หลังจากที่กุ้ยไท่เฟยพูดจบ นางก็ตะโกนเสียงดัง "พวกเจ้าเข้ามานี่ นำตัวผู้หญิงที่ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำคนนี้ไปโบยและขังไว้ในห้องลงทัณฑ์ รอฟังคำสั่ง"เนื่องจากเป็นคำสั่งของกุ้ยไท่เฟย องครักษ์ในวังสองคนจึงก้าวไปข้างหน้าบิดแขนจื่ออาน กดตัวนางลงไปที่พื้นจื่ออานรู้ว่าที่นี่มีเพียงคนเดียวที่เชื่อใจนาง คนผู้นั้นก็คือมู่หรงเจี๋ย ผู้สำเร็จราชการแทนองค์จักรพรรดิ นางเงยหน้าขึ้นและมองไปที่เขาตรง ๆ และกล่าว "ท่านอ๋อง พระอาการขององค์จักรพรรดิเหลียงนั้นค่อนข้างจะสาหัสนัก ไม่ว่ายังไงก็ตามได้โปรดยืนกรานว่าจะไม่ย้ายพระองค์ไป ฝ่าบาทจำเป็นต้องอยู่ในที่ที่มีอากาศเพียงพอ”มู่หรงเจี๋ยไม่ได้พูดอะไร แต่กลับมองไปที่หวงไท่โฮ่วหวงไท่โฮ่วยกมือขึ้นเรียกมู่หรงเจี๋ย: "อาเจี๋ย สตรีนางนี้มีอุบายที่น่ากลัว เจ้าฉลาดเสมอมา ไม่น่าจะหลงเชื่อคำลวงของนาง"มู่หรงเจี๋ยเงียบไป
จักรพรรดิเหลียงฟื้นแล้ว เขากลิ้งลงมาจากเตียง ดวงตาสองคู่แดงก่ำราวกับต้องมนต์สะกด เขาลงไปกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนพื้น พลางส่งเสียงร้อง “ โอ๊ย ๆ” ออกมา ขาของเขาไม่สามรถขยับได้ สองมือกวัดแกว่งไปมาไม่หยุด เหมือนกับคนบ้า“ออกไป ออกไป!”นางข้าหลวงเข้ามาช่วยพยุงเขาขึ้น แต่กลับถูกสะบัดออกอย่างแรง เห็นเพียงแต่แก้มที่แดงเทือก ถึงแม้ว่ายังดูมีสติ แต่กลับคลุ้มคลั่งอย่างหนัก “ซินเอ๋อร์” ฮองเฮารีบเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว แล้วก้มลงดึงเขาขึ้น แต่จักรพรรดิเหลียงใช้แรงผลักออก จนทำให้นางล้มลงไปกับพื้นแม่นมหยางรีบเข้ามาพยุงตัวฮองเฮา หวงไท่โฮ่วจึงตะโกนใส่หมอหลวง “ยังมัวชักช้าอะไรอีก? รับเข้าไปดูสิ”“ออกไป!” จักรพรรดิเหลียงราวกับบ้าไปแล้ว แต่ก็ไม่ได้ปะทะกับหมอหลวง สองมือกวัดแกว่งอยู่บนอากาศ นัยน์ตาตื่นตระหนก ราวกับบนอากาศมีสิ่งน่าหวากกลัวที่คนรอบข้างมองไม่เห็นอยู่ หรือแม้แต่มู่หรงเจี๋ยอยากจะก้าวเข้าไป ก็ถูกเขาไล่ออกไปหมด เขาฟุบลงกับพื้น สองขาถีบไปด้านหลังไม่หยุดหย่อน เขานิ่งค้างอยู่ครู่หนึ่ง ขณะที่ทุกคนคิดว่าเขาจะสงบลงแล้ว จู่ ๆ เขากลับตะโกนขึ้นมา “ออกไป ข้าไม่ได้ฆ่าพวกเจ้า หากพวกเจ้าจะล้างแค้น ก็ไปหาคนท
ทันใดนั้นเอง เขาก็ลืมตาขึ้นมาด้วยสายตาที่ดุดันอีกครั้ง ดวงตาแดงก่ำ มือหนึ่งจิกไปที่คอของจื่ออาน ใบหน้าอำมหิตอย่างหาผู้ใดเทียบไม่ได้ พลางพูดอย่างดุร้ายว่า “เซี่ยจื่ออาน?”ผ่านไปไม่นาน เขาก็ค่อย ๆ ปล่อยมือออกจากคอของจื่ออาน ตอนที่เขาจิกคอเธออยู่นั้น เธอก็รีบใช้เข็มกับเขาทันทีพอหัวเขาเริ่มเอียงลง ก็ค่อย ๆ ซบลงบนไหล่ของจื่ออาน เขาไม่ได้สลบไป แต่เขาดูเหนื่อยและอ่อนแรงมาก“รีบไปพยุงท่านอ๋องขึ้นมา!” จากที่ฮองเฮาเป็นห่วงมาก สุดท้ายก็เบาใจลงครึ่งหนึ่ง จึงรีบสั่งให้คนเข้าไปทันทีนางข้าหลวงพยุงจักรพรรดิเหลียงมานอนบนเตียง หลังจากที่จักรพรรดิเหลียงสงบลงแล้ว เขาแสดงออกว่าดูเจ็บปวดมาก การหายใจก็ดูลำบากยิ่งกว่าก่อนที่เขาจะล้มลงไป มือสองข้างของเขาป้องหัวไว้ กระแทกอย่างไร้เรี่ยวแรง ครั้งแล้วครั้งเล่า เมื่อเวลาที่เขาขยับตัว การหายใจดูเพิ่มความลำบากเข้าไปอีก“ยังยืนงงอยู่ทำอะไร? รีบเข้าไปดูอาการองค์จักรพรรดิเหลียง” หวงไท่โฮ่วเร่งรัดหมอหลวงด้วยความโมโหหยวนพ่านรีบพาหมอหลวงเข้าไปดูอาการทันที ช่วงเวลาที่เกิดขึ้นรวดเร็วนี้ ทำให้หยวนพ่านและหมอหลวงทำอะไรไม่ถูก โดยเฉพาะผีตนนั้นหลังจากที่ตรวจเรียบร้อย
มู่หรงเจี๋ยรู้ว่าหากยังเป็นแบบนี้ต่อไป จักรพรรดิเหลียงต้องมีอันตรายแน่นอน เขาจึงตัดสินใจ ใช้มีดคมตัดความวุ่นวายโกลาหลนี้ เขาจึงถามจื่ออาน “จะให้องค์จักรพรรดิเหลียงพ้นขีดอันตราย ต้องใช้เวลานานเท่าไหร่?”จื่ออานลังเลเล็กน้อยก่อนจะตอบ “ตอนนี้ยังตัดสินอะไรไม่ได้ ต้องดูว่าองค์จักรพรรดิเหลียงมีอาการปอดอักเสบจากการสำลักหรือไม่ เพคะ”“สามวัน?” มู่หรงเจี๋ยไม่เปิดโอกาสให้เธอได้พูดล้อเล่น จึงกดดันเวลาเธอไปตรง ๆสมองเธอประมวลผลด้วยความรวดเร็วอยู่พักหนึ่ง หากมีคนช่วยเธอ ภายในเวลาประมาณสามวันสามารถทำให้จักรพรรดิเหลียงพ้นขีดอันตรายได้ แต่ว่าหมอหลวงจะช่วยเธองั้นหรอ? กลัวอย่างเดียวว่าตอนนี้แม้แต่หยวนพ่านก็จะไม่ยืนข้างเธอแล้ว“พูดสิ!” อยู่ ๆ มู่หรงเจี๋ยก็ตวาดออกมาเสียงดัง “เป็นใบ้ไปแล้วรึ?”จื่ออานได้เพียงแต่ตอบไปอย่างไม่มีทางเลือก “เพคะ สามวัน!”มู่หรงเจี๋ยพยักหน้า แล้วมองมาที่หวงไท่โฮ่ว “เสด็จแม่ ตามที่นางได้สัญญาไว้ว่าจะทำให้อาซินพ้นขีดอันตรายในเวลาสามวัน เราก็ให้เวลานางสามวัน เสด็จแม่เห็นว่าอย่างไร?”แม้ว่าเขาจะถามไปแบบนั้น แต่น้ำเสียงกลับแน่วแน่อย่างไม่มีข้อสงสัยหวงไท่โฮ่วไม่ได้ออกเสียงอะไ
แต่หากจักรพรรดิเหลียงไม่ตาย เซี่ยจื่ออานก็ต้องเป็นลูกสะใภ้ของตน นึกถึงตรงนี้นางก็เกลียดชังเธอที่สุดหวงไท่โฮ่วส่งหมอหลวงและหยวนพ่านเข้าไปในวังแล้วหลายคน กุ้ยไท่เฟยและฮองเฮาเองก็เข้าไปด้วยกันส่วนมู่หรงเจี๋ย หวงไท่โฮ่วให้เขาคอยดูอยู่ที่นี่ ความหมายก็คือ ไม่อยากให้เขาได้ยินหวงไท่โฮ่วนั่งอยู่ตรงกลางมีสีหน้าซีดเซียว “เจ้าว่ามาสิ ตอนนี้อาการของจักรพรรดิเหลียงตกลงเป็นไงกันแน่? พวกเจ้าบรรดาหมอหลวงมีทางหรือไม่?”หยวนพ่านลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ในสมองเปรียบเทียบระหว่างผลดีและผลร้าย เขาไม่มีทางเลือกแล้ว อาการป่วยของจักรพรรดิเหลียงยังวนอยู่ที่เดิม และหากแสดงอาการออกมาอีกครั้งหนึ่ง สิ่งที่เห็นมาทั้งหมดเมื่อครู่ คำพูดที่ว่าขาดออกซิเจนอะไรนั่นเขาก็ไม่เคยได้ยินมาก่อน เพราะงั้นจึงไม่สามารถฝากความหวังไว้กับหญิงสาวคนหนึ่งได้ และที่สำคัญนางยังอวดอ้างตนว่าเป็นผู้สืบทอดของเวินอี้อีก ช่างเหลวงไหลสิ้นดีอาการของจักรพรรดิเหลียง แม้ว่าเขาจะไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ แต่ว่าจากสีหน้าและการตรวจวัดชีพจรการหายใจแล้ว ไม่ค่อยจะดีแล้ว เขาไม่เชื่อว่าเซี่ยจื่ออานจะพลิกสถานการณ์ได้“พูดสิ!” หวงไท่โฮ่วไล่มองแต่ละคนที่เอาแต่ป
ร่างกายของแม่ทัพเฒ่าฉินสั่นสะท้านด้วยความโกรธ “เจ้าสาปแช่งปู่รึ เจ้าเคยคำนึงถึงญาติพี่น้องหรือไม่?”เมื่อหมอหลวงมาถึง กลับไม่มีคนในตระกูลฉินคอยเฝ้าเขาอยู่ในห้อง ดังนั้นจึงมีเพียงแต่บ่าวรับใช้หลังจากตรวจสอบอาการเสร็จ หมอหลวงก็กล่าวด้วยสีหน้าตกตะลึง “ท่านแม่ทัพเฒ่า เมื่อไม่กี่วันมานี้ท่านได้ไปที่ใดมา? แล้วท่านเคยเข้าไปในพื้นที่โรคระบาดหรือไม่?” “ไม่เคย ข้าไม่เคยไปที่นั่น” สีหน้าของแม่ทัพเฒ่าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เมื่อได้ยินคำพูดของหมอหลวง “ท่านกำลังสงสัยว่าข้าติดเชื้อโรคระบาดใช่หรือไม่?”“อาการช่างคล้ายคลึงกันยิ่งนัก” หมอกลวงกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด“เป็นไปไม่ได้!” แม่ทัพเฒ่าฉินรู้สึกตื่นตระหนกอย่างมาก “ท่านวินิจฉัยผิดหรือไม่?”“ข้าจะจัดยาให้ท่านสองชนิดก่อน หากดื่มยาเหล่านี้แล้วไม่ได้ผล เช่นนั้นไม่ใช่ก็ใกล้เคียงแล้วขอรับ” หมอหลวงกล่าวแม่ทัพเฒ่าฉินกล่าวด้วยความลนลาน “ฉินโจวบังคับให้ท่านพูดเช่นนี้ใช่หรือไม่?”หมอหลวงรู้สึกประหลาดใจ “แม่ทัพเฒ่า ท่านหมายความว่าอย่างไร? เหตุใดแม่ทัพฉินถึงต้องบังคับให้ข้าพูดเช่นนี้?”หมอหลวงชะงักไปชั่วครู่หนึ่งแล้วโพล่งถาม “ท่านเคยพูดคุยกับองค์ชายเ
นางสามารถเสียสละได้ แต่จะไม่มีทางทรยศต่อประชาชนเป่ยโม่เด็ดขาดสำหรับความจงรักภักดีต่อองค์จักรพรรดิและประเทศชาติ นางจะต้องรักประชาชนก่อน จึงจะสามารถภักดีต่อองค์จักรพรรดิได้ฉินโจวกล่าวคำเบา “ข้าเข้าไปในพระราชวังเพื่อเชิญหมอหลวงแล้ว ท่านปู่พักผ่อนก่อนเถิด ข้าจะออกไปเดินเล่นรับลมสักหน่อย”ดวงตาของแม่ทัพเฒ่าฉินอัดแน่นด้วยความโกรธ แต่ก็พยายามอย่างหนักเพื่อระงับมันฉินโจวเดินออกจากห้อง และเห็นว่าฉินเป้าน้องชายของตนนั่งอยู่ที่สวน เมื่อเห็นนางเดินออกมา เขาก็ถามว่า “ท่านปู่เป็นอย่างไรบ้าง?”ฉินโจวจำคำพูดของท่านปู่ได้อย่างแม่นยำ จึงเมินเฉยต่อเขาและตอบอย่างใจเย็น “เข้าไปดูด้วยตนเองสิ”ฉินเป้าคลี่ยิ้ม แต่มันกลับดูอ้างว้างอย่างยิ่ง “ข้าได้ยินสิ่งที่ท่านปู่พูดกับท่านแล้ว ข้าไม่อยากเข้าไป”ฉินโจวตกตะลึง “เพราะเหตุใด เขาทุ่มเทความพยายามทั้งหมดไปกับหารวางแผนเพื่อเจ้า เจ้าควรขอบคุณท่านปู่สิ”ฉินเป้าหัวเราะเยาะ “จริงรึ? หากเขาทอดทิ้งท่านเพื่อตระกูลได้ ในอนาคตเขาจะไม่ทอดทิ้งข้าหรือ? ข้าไม่ต้องการชื่อเสียงหรือความดีงามใด ๆ พวกมันไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการเลย”ฉินโจวดูถูกน้องชายมาโดยตลอด เพราะเขาไม่ได
ทั้งสองคนเดินออกไปและหยุดอยู่บนทางเดิน หมอมองฉินโจวพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “ท่านแม่ทัพ ข้ากำลังสงสัยว่าท่านแม่ทัพเฒ่าจะป่วยด้วยโรคระบาดขอรับ”ฉินโจวตกตะลึง “โรคระบาด? เป็นไปได้อย่างไร? ปู่ของข้าไม่เคยออกไปข้างนอก และไม่เคยติดต่อกับผู้ป่วยโรคนี้เลย แล้วเขาจะติดเชื้อโรคระบาดได้อย่างไร?”“ข้าเคยรักษาผู้ป่วยโรคระบาดมาก่อน ซึ่งอาการคล้ายคลึงกันอย่างมาก ผู้ป่วยจะมีไข้สูง ไอ ตาแดง หายใจเร็วขึ้น เมื่อเกิดอาการเหล่านี้พร้อมกันจะอันตรายอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นโรคนี้ยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาดขอรับ” หมอกล่าว“เป็นไปไม่ได้ หากจะติดเชื้อโรคระบาดก็ต้องสัมผัสกับผู้ป่วยที่มีเชื้ออยู่แล้ว แต่ท่านปู่ของข้าไม่เคยใกล้ชิดคนเหล่านั้นเลย แล้วเขาจะติดเชื้อได้อย่างไร?” ฉินโจวยังคงไม่เชื่อหมอประสานหมัด “ทั้งหมดนี้คือคำวินิจฉัยของข้า หากท่านแม่ทัพไม่เชื่อ ก็สามารถขอให้หมอคนอื่นมาตรวจดูได้ หรือท่านจะพาเขาไปที่พระราชวัง และขอให้หมอหลวงช่วยตรวจอาการ ข้าไร้ความสามารถ จึงอาจวินิจฉัยผิดพลาดได้ ลาก่อนขอรับ ๆ!”สิ้นคำ หมอก็หยิบกล่องยาแล้วออกไปโดยไม่เขียนใบสั่งยาด้วยซ้ำฉินโจวสับสนไม่น้อย ท่านปู่ติดเชื้อโร
หัวใจของฉินโจวเย็นเยียบราวกับน้ำ “ใช่ ตราบใดที่ข้าตายในสนามรบ ตระกูลฉินก็ยังจะเป็นผู้กล้า และเป็นขุนนางผู้มีเกียรติ”แม่ทัพเฒ่าฉินเงียบไปครู่ใหญ่ จากนั้นกล่าวคำเบา “ในฐานะหลานสาวตระกูลฉิน มันเป็นหน้าที่ของเจ้าที่ต้องเสียสละเพื่อชื่อเสียง และรากฐานของตระกูล”ฉินโจวกำหมัดแน่นด้วยความไม่พอใจ “หลายปีที่ผ่านมานี้ ข้ายังทำไม่พออีกหรือ? ตอนนี้มีใครในตระกูลฉินบ้างที่ไม่เกาะกินเลือดนี้ของข้า?”แม่ทัพเฒ่าฉินลุกยืนขึ้นพลางกล่าวอย่างเย็นชา “ข้าเคยเตือนเจ้าแล้ว คราวนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เจ้าจะต้องเข้าไปในพระราชวัง ข้าให้คำมั่นกับฮองเฮาเฉาแล้ว ว่าวันนี้เจ้าจะไปที่นั่นเพื่อทูลขอรับคำสั่ง หากเจ้าไม่ไป ข้าก็จะรับคำสั่งและออกรบด้วยตนเอง”“ท่าน...” ฉินโจวมองเขาด้วยสายตาโศกเศร้า “ท่านปู่ ข้าก็เป็นหลานสาวของท่านเหมือนกัน ท่านไม่สงสารข้าบ้างหรือ?”“ปู่สงสารเจ้าสิ แต่ภารกิจหน้าที่ของตระกูลฉินจะต้องถูกส่งต่อ ตอนนี้น้องชายของเจ้าโตพอแล้ว เจ้าจะต้องพาเขาไปสร้างความสำเร็จทางการทหารด้วย และเจ้าจะได้รับส่วนแบ่งของน้องเจ้า เมื่อถึงเวลานั้น ตระกูลฉินก็จะได้ผู้สืบทอดคนใหม่”ฉินโจวผงะไปชั่วครู่ ก่อนระเบิดหัวเราะ
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินโจว แม่ทัพเฒ่าฉินก็โมโหมากจนเคราสั่นสะท้าน “อาโจว อะไรจะสำคัญไปกว่าการบรรลุเป้าหมายอันยิ่งใหญ่? องค์จักรพรรดิเพียงต้องการขยายอาณาเขตของแคว้น เจ้าควรรู้เอาไว้ว่าเมื่อเรายึดครองต้าโจวสำเร็จ เป่ยโม่จะมีพื้นที่เพิ่มมากกว่าครึ่งหนึ่ง และมันจะเป็นความดีความชอบของตระกูลฉิน ทำให้ตระกูลของเราถูกจดจำไปหลายชั่วอายุคน! นี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าต้องการมาตลอดรึ? เจ้าไม่ต้องการบอกคนทั้งโลก ว่าแม้ฉินโจวจะเป็นสตรี แต่นางก็สามารถประสบความสำเร็จได้อย่างผ่าเผยหรือ?”ฉินโจวมองดูใบหน้าที่ฉายแววตื่นเต้นปนโกรธเกรี้ยวของปู่ ทันใดนั้นนางก็สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติถูกต้อง มันคือความต้องการของนาง แต่ความสำเร็จของนางจะต้องไม่แลกกับการเหยียบย่ำกระดูกของประชาชนชาวเป่ยโม่นางรักเป่ยโม่และหวังที่จะขยายอาณาเขตของแคว้น นอกจากนี้นางยังต้องการเสาะหาดินแดนอุดมสมบูรณ์เพื่อประชาชน เพราะหวังว่าพวกเขาจะสามารถอยู่อาศัยและทำกินอย่างสงบสุข และพึงพอใจโดยไม่ต้องทนทุกข์จากการพลัดถิ่นอย่างไรก็ตาม ในตอนนี้หากต้องการบรรลุอำนาจ นางจำต้องสละชีวิตประชาชนจำนวนมาก และนำเงินภาษีของทุกคนมาใช้ในการทำสงคราม ทำให้โรคร
มือสังหารเหล่านั้นแต่งกายคล้ายกับชาวต้าโจวและสวมหน้ากากผ้าสีดำ กลุ่มคนนิรนามราวเจ็ดถึงแปดคนกระโดดลงมาจากท้องฟ้ากลางวันแสก ๆ ทันทีที่เท้าของคนเหล่านั้นแตะพื้น พวกมันก็เริ่มโจมตีอย่างดุดันฉินโจวเห็นมือสังหารคนหนึ่งกระโดดขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับกระบี่ยาว จากนั้นร่ายรำอยู่หลายกระบวนท่าราวกับนางฟ้าโปรยดอกไม้ ขณะแสงแดดตกกระทบกระบี่ส่องกระจายไปทั่วเหล่าทหารที่เพิ่งมาถึงกระโจนเข้าไปร่วมวงต่อสู้อย่างรวดเร็วหลังจากประดาบกันไปกว่าร้อยครั้ง มือสังหารก็ถูกบีบบังคับให้ล่าถอย ฉินโจวจ่อกระบี่ไปที่คอของหนึ่งในมือสังหาร พลางถามเสียงเข้ม “ตอบข้า ใครเป็นคนส่งเจ้ามา?”มือสังหารตอบอย่างเย็นชา “ฆ่าไอ้หมารับใช้เป่ยโม่ให้หมด!”“หมารับใช้เป่ยโม่? เห็นได้ชัดว่าพวกเจ้าไม่ได้เป็นคนเป่ยโม่ พวกเจ้ามาจากต้าโจวใช่หรือไม่?” ฉินโจวโมโหอย่างมาก ขณะชี้ดาบไปยังหน้าอกของอีกฝ่าย “ไอ้เลวมู่หรงเจี๋ยส่งพวกเจ้ามาใช่หรือไม่?”“หญิงเลวอย่าเจ้ากล้าเอ่ยชื่อของท่านอ๋อง ทำให้พระองค์มัวหมองได้อย่างไร?” มือสังหารตะโกนฉินโจวชักดาบกลับพร้อมกล่าวอย่างเย็นชา “กลับไปซะ!”มือสังหารตกตะลึง ราวกับไม่คาดคิดว่าฉินโจวจะปล่อยตัวเขาไป”เ
ฉินโจวกล่าวด้วยความโมโห “ข้าหลอกลวงเจ้าเมื่อไร?”“ไม่งั้นรึ? เจ้าและอ๋องฉีเอ่ยปากว่า หากจื่ออันตกลงเดินทางมาที่เป่ยโม่ พวกเจ้าจะส่งองค์ชายรัชทายาทไปที่ต้าโจวเป็นองค์ประกัน แล้วพวกเจ้าทำตามที่พูดแล้วหรือไม่?”“องค์ชายรัชทายาทเดินทางไปยังต้าโจวแล้ว!”“ผู้ที่เดินทางไปยังต้าโจวคือองค์ชายเจ็ด ไม่ใช่องค์ชายรัชทายาท องค์ชายเจ็ดไม่ได้เป็นที่โปรดปราน ดังนั้นจักรพรรดิเป่ยโม่จะส่งเขาไปสังเวยเมื่อใดก็ได้”“เป็นไปไม่ได้!” ฉินโจวประหลาดใจอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าผู้ที่เดินทางไปคือองค์ชายรัชทายาท เพราะองค์จักรพรรดิทรงตรัสด้วยตนเองว่าจะส่งเขาไปที่ต้าโจว“เจ้าอย่าเพิ่งสนใจเรื่องนี้เลย ก่อนหน้านี้ทั้งสองแคว้นตกลงทำสนธิสัญญาสงบศึก หลังจากการแพร่ระบาดสิ้นสุดลง แต่เจ้ากลับวางแผนโจมตีพวกเราในขณะที่ข้ายังอยู่ที่เป่ยโม่ เจ้าจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร?” มู่หรงเจี๋ยกล่าวอย่างเคร่งเครียดฉินโจวตอบ “ผิดแล้ว เป็นเพราะต้าโจวที่เคลื่อนทัพโจมตีทหารฝั่งขวาของเราก่อน และสังหารทหารของเราไปกว่าร้อยคน ข้าจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเคลื่อนทัพเข้าไปใกล้ เพื่อบีบบังคับให้พวกเจ้าถอยกลับ”“ไร้สาระ กองทัพของเราหยุดเคลื่อนท
อย่างไรก็ตาม การจัดหาเสบียงอาหารสำหรับพื้นที่ภัยพิบัติยังไม่เพียงพอ และยังขาดแคลนเสื้อผ้าอาภรณ์ นอกจากนี้หลังจากที่พระชายาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มาถึงเป่ยโม่ ก็ยังไม่ได้รับใบสั่งยาแม้แต่ฉบับเดียว ดังนั้นความอดทนของประชาชนจึงค่อย ๆ หมดลง แต่ความโกรธและความขุ่นเคืองกลับยิ่งมากขึ้นทันทีที่ข่าวลือแพร่สะพัด ก็เป็นเสมือนเป็นการขว้างเปลวไฟใส่ ‘ระเบิด’ หนึ่งหมื่นตุน ทำให้มันระเบิดออกอย่างรวดเร็วผู้ประสบภัยนับไม่ถ้วนหลั่งไหลเข้าสู่เมืองหลวงอย่างรวดเร็วหลังจากที่ฉินโจวลงจากภูเขา นางก็พบว่าองค์จักรพรรดิทำอะไรกับทหารม้า และทหารเจ็ดหมื่นนายที่ประจำการที่เมืองหลวง ซึ่งเขาออกคำสั่งให้ทหารเหล่านั้นขับไล่เหล่าผู้ประสบภัยออกไปนางเห็นด้วยตาตนเองว่าทหารใต้บังคับบัญชาของนางสร้างกำแพงมนุษย์อันแน่นหนา เมื่อผู้ประสภัยเดินทางเข้ามา พวกเขาก็จะโบกหอกเพื่อขับไล่คนเหล่านั้นออกไปผู้ประสบภัยมากกว่าสิบรายได้รับบาดเจ็บจากหอกทหารเหล่านั้นอยู่ใต้บังคับบัญชาของนาง แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะไม่ได้ฆ่าผู้ใด แต่เมื่อสถานการณ์รุนแรงขึ้นจะต้องมีการฆ่าแกงกันอย่างแน่นอนฉินโจวโกรธจัดจึงขี่ม้าเข้าไปขวางเอาไว้ “หยุด หยุดเ
ฉินโจวกวาดสายตามองพลางเยาะเย้ยจื่ออันไม่สนใจนาง และพาหลินตานไปยังเขตตะวันตกภายในสองวันนี้มีผู้เสียชีวิตถึงสามคน ซึ่งทั้งหมดถูกหามออกไปหลังจากที่หลินตามเดินเข้ามาเขาหลั่งน้ำตาหลั่งน้ำตาขณะมองดูการเผาศพจื่ออันไม่คิดว่าเขาจะมีความอ่อนไหวมากเพียงนี้ “ท่านหมอหลิน ท่านเป็นอะไรหรือไม่?”หลินตานปาดน้ำตา “ข้าขอโทษ ข้าเพียง... คิดถึงครอบครัวขอรับ”“ครอบครัวของท่าน? แล้วตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ใดหรือ?” จื่ออันถาม“ตายหมดแล้วขอรับ ภรรยาและลูกสะใภ้ของข้าตายเพราะเหตุแผ่นดินไหวทั้งคู่ ส่วนลูกชายและหลานชายติดเชื้อโรคระบาดก่อนตายไปเช่นกัน ข้าจึงเป็นคนเดียวที่เหลือรอด” หลินตานสูดหายใจเข้าลึก ใบหน้าที่อยู่ภายใต้ผมสีขาวฉายแววความเศร้าโศกและหดหู่จื่ออันไม่คาดคิดว่าเขาจะมาจากพื้นที่โรคระบาดเช่นกัน เมื่อเห็นสีหน้าเศร้าสร้อย จื่ออันก็ไม่รู้จะปลอบใจเขาเช่นไร จึงได้แต่นิ่งเงียบและอยู่เคียงข้างไม่นานหลินตานก็ถามว่า “ท่านหมอเซี่ย โรคระบาดนี้สามารถรักษาหายได้จริงหรือขอรับ?”ตอนนั้นเองจื่ออันก็นึกได้ว่าเขาเป็นหมอเท้าเปล่า และหลังจากเดินทางพเนจรไปที่ต่าง ๆ เขาอาจรู้จักจินเย่าฉือก็เป็นได้ ดังนั้นจึงรีบถามว