นางตกตะลึง เรียกหาสาวใช้ข้างกาย “คุณหนูใหญ่เล่า รีบไปตามหา”เป็นเพราะตามกฎระเบียบแล้ว ยกน้ำชาจะต้องเป็นเซี่ยจื่ออันที่ยกก่อน แล้วจึงต่อด้วยนาง ไม่งั้นนางคงจะไม่ใส่ใจว่าเซี่ยจื่ออันจะมาหรือไม่มาสาวใช้ได้ฟังคำก็รีบวิ่งออกไปซีเหนียงเมื่อพบว่าตะโกนออกไปแล้วไม่มีผู้ใดเข้ามา จึงได้ตะโกนออกไปอีกครั้ง “เชิญคุณหนูใหญ่ คุณหนูรองเข้ามายกน้ำชาไหว้ท่านแม่”เซี่ยหว่านเอ๋อกดเสียงต่ำด่า นางคนชั้นต่ำนั้นขยันก่อเรื่องจริง ๆมหาเสนาบดีเซี่ยพบว่านานแล้วยังไม่มีผู้ใดเข้ามา จึงได้ให้เซี่ยฉวนออกไปดูเซี่ยฉวนเดินออกไป ไม่พบจื่ออัน จึงได้สอบถามทาสรับใช้ที่ให้คอยจับตามองเซี่ยจื่ออันไว้ “คนอยู่ไหนเล่า?”“คุณหนูใหญ่บอกว่าต้องการจะไปเข้าห้องน้ำ บ่าวติดตามนางไปไม่สะดวกขอรับ” ทาสรับใช้เอ่ยตอบ“ไปนานแล้วหรือยัง?” เซี่ยฉวนเอ่ยถาม“เพิ่งจะไปเมื่อครู่นี้เองขอรับ”“เจ้าโง่ รีบไปหาเร็วเข้า!” เซี่ยฉวนนึกถึงครั้งก่อนที่ลงมือกับหยวนซื่อนั้น นางเอ่ยอ้างว่าจะไปห้องน้ำเดินหนีหายไปจื่ออันจริง ๆ แล้วอยู่ในห้องน้ำ ในตอนที่ทาสรับใช้มาตามหาที่ห้องน้ำนั้น นางอยู่ด้านในจึงเอ่ยออกมา “ออกไป ไปรออีกด้านนึง”ทาสรับใช้เอ่ยตอ
ทุกท่านที่นั่งอยู่ในวันนี้ ต่างเป็นผู้ที่มีสถานะสูงส่ง นอกจากผู้อาวุโสของตระกูลเซี่ยซื่อแล้ว ต่างก็เป็นแขกผู้มีเกียรติทั้งนั้น นอกจากผู้สำเร็จราชการแทนองค์จักรพรรดิและองค์รัชทายาทแล้ว ยังมีท่านเสนาบดีสำนักราชเลขานุการราชครูเหลียง เสนาบดีสำนักตรวจราชการใต้เท้าชุย เฉินไท่จวิน จิงกั๋วกงเซียวกงและฮูหยินผู้เฒ่าเซียว คู่สามีภรรยาฮวยเป่ยโหว องค์หญิงใหญ่มู่หรงจ้วงจ้วง เมื่อชื่อของทุกท่านถูกเอ่ยออกมาแล้วนั้น ล้วนดูโดดเด่นยิ่งนัก เซี่ยหว่านเอ๋อตกอยู่ภายใต้สายตาของทุกคนตอนที่เข้ามา ซีเหนียงเอ่ยยิ้ม “คุณหนูรองเชิญคำนับน้ำชาให้กับฮูหยิน”“คุกเข่า!” ซีเหนียงเอ่ยเซี่ยหว่านเอ๋อจึงคุกเข่าลงต่อหน้าของซีเหมินเสี่ยวเย่ว ซีเหนียงประคองถ้วยน้ำชาเข้ามา “คุณหนูรองเชิญคำนับท่านแม่”เซี่ยหว่านเอ๋อผงกศีรษะแล้วจึงเงยหน้าขึ้นมา รับถ้วยชามาจากซีเหนียงแล้วจึงมอบให้ซีเหมินเสี่ยวเย่ว เอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้ม “ท่านแม่เชิญดื่มชา”ซีเหมินเสี่ยวเย่วเผยยิ้มรับน้ำชา ดื่มลงไปเพียงเล็กน้อย จากนั้นจึงวางลง ซีเหนียงส่งอั่งเปาให้แก่นาง ซีเหมินเสี่ยวเย่วรับมาส่งให้แก่เซี่ยหว่านเอ๋อพลางเอ่ย “ลุกขึ้นเถอะ”เซี่ยหว่านเอ
ใบหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าดูมืดมนลงเล็กน้อย “จื่ออัน เจ้าเองก็ใกล้ที่จะต้องอภิเษกกับท่านผู้สำเร็จราชการแทนองค์จักรพรรดิแล้ว อย่าได้ก่อเรื่อง รีบเข้าไปคำนับน้ำชาให้แก่ท่านแม่”คำพูดนี้แท้จริงแล้วเอ่ยออกมาให้แก่ผู้สำเร็จราชการแทนองค์จักรพรรดิฟัง ให้ท่านผู้สำเร็จราชการแทนองค์จักรพรรดิอบรมจื่ออันที่มิได้เข้าใจขนบธรรมเนียม เพราะว่าซีเหมินเสี่ยวเย่วเป็นถึงอี๋พิ่น จื่ออันมิได้มีตำแหน่งใด หากผู้สำเร็จราชการแทนองค์จักรพรรดิเป็นผู้ที่ยึดถือหลักปฏิบัติแล้ว ก็ควรที่จะให้จื่ออันคุกเข่าคำนับน้ำชาฮูหยินผู้เฒ่ารู้สึกว่า ผู้สำเร็จราชการแทนองค์จักรพรรดิคงจะไม่มีปัญหาเพราะเรื่องเล็ก ๆ เหล่านี้ จนถึงกับยอมล่วงเกินสกุลของจิ้นกั๋วกง พระองค์เป็นผู้ที่มีไหวพริบดี รู้ว่าหากล่วงเกินจิ้นกั๋วกงแล้วนั้นไม่มีประโยชน์อันใดแต่ว่ามู่หรงเจี๋ยราวกับมิได้เข้าใจจึงเจตจำนงค์ของฮูหยินผู้เฒ่า ยังคงนั่งอยู่บนเก้าอีก นิ้วมือแตะลงบนที่พักแขนเบา ๆ แสดงให้เห็นถึงความไม่อดทนอดกลั้นราวกับว่าพิธีนี้ทำให้เขาสิ้นเปลืองเวลา ผู้ที่รู้สึกเหมือนดั่งกับเขานั้นยังมีมู่หรงจ้วงจ้วงอีกท่านหนึ่ง นางไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องนี้ แค่เพียงรู้สึกร้อน
อ๋องหลี่เดินเข้ามา เซี่ยฉวนเร่งรีบนำเขาเข้าไปยังที่นั่งเขานั่งลงแล้ว มองไปยังราชครูเหลียงด้วยความสงสัย “เมื่อครู่เจ้าบอกว่าเป็นผู้ที่มีตำแหน่ง จึงสามารถละเลยสถานะภรรยาอนุภรรยาได้ หมายความเยี่ยงนี้หรือ?”ราชครูเหลียงรู้ดีว่าเขาเป็นเหมือนไม้กวนมูล เพียงแค่มีจุดเล็กน้อยที่ไม่ถูกต้องตามความหมายของเขาแล้ว ก็จะไม่ยอมปล่อยผ่านไปจนถึงที่สุด วันนี้มีผู้คนมากมายอยู่ที่ในที่นี้ และมิอาจที่จะล่วงเกินเขาได้ เขาจึงเอ่ย “ท่านอ๋อง ข้าน้อยมิได้มีความหมายเช่นนี้ ในเมื่อซีเหมินเสี่ยวเย่วได้แต่งเข้ามาแล้ว ในเมื่อเป็นบุตรสาวของสกุลเซี่ยแล้ว ก้มศีรษะคำนับน้ำชาให้แก่ฮูหยิน ก็มิได้ขัดต่อสามัญสำนึกใด ใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”“เจ้าเอาหลักสามัญสำนึกมาเปรียบเทียบกันกับกฎหมาย?” อ๋องหลี่แสดงออกมาว่าโกรธจัด “ในแง่กฎหมายแล้ว สามัญสำนึกหรือมารยาทต่างก็ต้องถอยหลีกให้ เจ้าเป็นถึงเสนาบดีสำนักราชเลขานุการ พูดคำนี้ไม่ควรจะพูดออกมา ช่างทำให้ข้าผิดหวังยิ่งนัก”ราชครูเหลียงสีหน้าเริ่มจะไม่ดี “ท่านอ๋องไม่ควรที่จะเป็นจริงเป็นจังเยี่ยงนี้เลยพ่ะย่ะค่ะ”“เจ้าให้ข้าไม่จริงจังกับกฎหมาย? นี่เป็นคำพูดของเสนาบดีสำนักราชเลขานุการของร
มหาเสนาบดีเองก็เริ่มจะโมโหแล้ว จู่ ๆ ก็ลุกขึ้นและจ้องมองไปยังอ๋องหลี่ “พอได้แล้ว อ๋องหลี่ วันนี้ท่านมาดื่มเหล้ามงคลของข้า ข้ายินดีเป็นอย่างมาก แต่ท่านกลับพูดจาข่มเหงรังแกฮูหยินของข้า พยายามที่จะช่วยเหลือเซี่ยจื่ออัน มันเกินขีดจำกัดข้าแล้ว ข้ามิอยากต้อบรับแขกที่นำเรื่องมาให้เยี่ยงนี้”ใบหน้าอ๋องหลี่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน “เจ้ามิต้องเร่งรีบไล่ข้าออกไป ที่เจ้าพูดว่าข้าพยายามที่จะช่วยจื่ออันนั้นหมายความว่าอย่างไรกัน? เซี่ยจื่ออันเป็นบุตรสาวของท่าน ท่านที่เป็นบิดาไม่เพียรพยายามช่วยเหลือบุตรสาวแต่กลับเป็นข้าที่ช่วย? คำพูดนี้ทำให้เห็นว่าความคิดท่านช่างแปลกประหลาดซะจริง เจ้าไตร่ตรองความคิดของเจ้าให้ดีซะก่อนค่อยมาพูดคุยกับข้า ข้าที่ถูกแต่งตั้งให้เป็นอ๋องหลี่ซินโดยองค์จักรพรรดิพระองค์ก่อน รับผิดชอบดูแลกฎเกณฑ์มารยาทในราชวงศ์ต้าโจวร่วมกันกับสำนักพิธีการ ข้ามิอาจยอมให้เจ้าวางเกวียนไว้หน้าม้าได้ ทำให้ลำดับความเคารพยุ่งเหยิง หากวันนี้เจ้าอยากมีปัญหากับข้า ข้าก็ไม่กลัวเจ้าหรอก”มู่หรงเจี๋ยเอ่ยอย่างใจเย็น “เสด็จพี่ อย่าได้พระทัยร้อนเลยพ่ะย่ะค่ะ มีอันใดที่ไม่ถูกต้องเพียงพูดออกมาให้ถูกต้องเป็นพอ”
เมื่อมู่หรงเจี๋ยได้เอ่ยประโยคนี้ออกมา ผู้คน ณ ที่แห่งนี้นอกจากอ๋องหลี่แล้ว ต่างก็ตะลึงงันแม้แต่จื่ออันก็ไม่ได้คาดว่าเขาจะจัดการเช่นนี้ซีเหมินเสี่ยวเย่วใบหน้าเปลี่ยนไปอย่างมาก นางรู้สึกเครียดแค้นจนกัดฟันกรอดจู่ ๆ ก็ได้พระราชทานให้เป็นเสี่ยนจู่ ช่างไร้สาระซะจริง จะต้องรู้ไว้ด้วยว่า เสี่ยนจู่และเกาหมิงฟูเหรินนั้นไม่เหมือนกัน เกาหมิงฟูเหรินถึงแม้จะเป็นเหมือนอี๋พิ่น ก็ไม่มีอำนาจใด มีเพียงตำแหน่งเท่านั้น ไม่มีที่ดินหรือของกำนัลแต่เสี่ยนจู่นั้นไม่เหมือนกัน เสี่ยนจู่ของราชวงศ์ต้าโจว กว่าครึ่งเป็นพระสนมของอ๋องฉิน หรือบุตรสาวคนโตของจวินอ๋อง จึงจะสามารถแต่งตั่งให้เป็นเสี่ยนจู่ได้ แน่นอนว่ามีสตรีอื่นที่สามารถแต่งตั้งให้เป็นเสี่ยนจู่ได้ แต่ว่าจะต้องเป็นผู้ที่มีความสามารถพิเศษ หรือเป็นผู้ที่มีคุณงามความดีแก่ราษฎรจึงจะสามารถแต่งตั้งให้เป็นเสี่ยนจู่ได้นอกจากนี้ยังมีผู้ที่แต่งงานกับเมืองอื่น เป็นเพราะต้องมีการตอบรับการแต่งงานกับฝ่ายตรงข้าม จึงได้มีการแต่งตั่งให้เป็นกงจู่ จวินจู่ หรือเสี่ยนจู่หยวนซื่อถึงแม้ว่าจะเป็นผู้ที่มีชื่อเสียง แต่หลังจากที่แต่งงานหลายปีมาแล้วจึงถูกแต่งตั้งให้เป็นเสี่ยน
มู่หรงเจี๋ยส่งเสียงอืมออกมา ท่าทีถ่อมตนไม่อายที่จะขอคำแนะนำ “ถ้าอย่างนั้นความคิดเห็นของเสด็จพี่ จะแต่งตั้งเสี่ยนจู่ ควรจะมีเงื่อนไขเช่นไร?”อ๋องหลี่เอ่ย “ตามกฎระเบียบแล้ว ข้อที่หนึ่ง อภิเษกสมรส ข้อนี้ไม่ต้องพูดถึงไม่อาจเกิดขึ้นได้ ข้อที่สอง หากเป็นดั่งคำของฮูหยินผู้เฒ่าแล้ว โดดเด่นเหนือใคร จุดนี้หยวนซื่อก็มีหรือไม่ ไม่ใช่ข้าเจ้าพูดออกมาก็แล้วกันไป ยังต้องไปสอบถามฟังความคิดเห็นอีกหลายด้าน ข้อที่สาม มีผลงานต่อราชวงศ์ มีบุญคุณต่อราษฎร หากในสามข้อนี้มีเพียงข้อหนึ่ง ก็จะสามารถพีะราชทานรางวัลแต่งตั้งให้เป็นเสี่ยนจู่”ฟังคำพูดของอ๋องหลี่เยี่ยงนี้แล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าและซีเหมินเสี่ยวเย่วใบหน้าจึงได้ดูดีขึ้นมาหากให้หยวนซื่อได้แต่งตั้งให้เป็นเสี่ยนจู่จริง ๆ ต่อไปจะจัดการกับนางได้โดยง่ายหรือ? เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอนฮูหยินผู้เฒ่าตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่า ไม่ว่าจะอย่างไรก็จะปฏิเสธให้จนถึงที่สุดองค์หญิงใหญ่มู่หรงจ้วงจ้วงจึงเอ่ยขึ้น “ยังมีอีกข้อนึง พวกเจ้าอย่าได้ลืมกัน”“ยังมีจุดใดรึ?” มู่หรงเจี๋ยเอ่ยถามมู่หรงเจี๋ยเอ่ยออกมา “ไท่หวงไท่โฮ่วเคยพระราชทานพระราชเสาวนีย์มาแล้ว หากคนผู้นี้เป็นผู้ที่มีอำ
งานเลี้ยงตอนเที่ยงนั้นอยู่ในลานบ้าน ตอนเย็นจึงจะเป็นงานเลี้ยงอย่างเป็นทางการโต๊ะหนึ่งร้อยโต๊ะจัดวางราวสายน้ำไหล จำต้องรอให้ญาติสนิทนั่งลงก่อน แล้วแขกคนอื่น ๆ จึงนั่งลงได้ฝั่งจิ้นกั๋วกงที่มาร่วมนั้นเป็นท่านลุงรอง อาสะใภ้รอง และคนหนุ่มสาวทั้งหลายในสกุล เพราะว่าในตอนที่กราบไหว้ฟ้าดินนั้น คนของบ้านฝั่งมารดามิอาจเข้าร่วมได้ เมื่อครู่เรื่องที่เกิดในห้องโถงนั้น คนของสกุลซีเหมินจึงมิได้รู้เรื่องราว เพียงแต่รู้สึกว่าใช้เวลานาน ยังมิอาจออกมากินดื่มได้ เพราะว่าผู้ที่มาส่งเจ้าสาวแต่งงานนั้นจะต้องกินและดื่มแล้วจึงจะกลับได้ เหล้ายังมิได้ดื่ม ก็มิอาจจะจากไปได้ผู้ที่มาส่งเจ้าสาวแต่งงานนั้นส่วนมากแม้แต่ข้าวเช้าก็ยังมิได้กินมา เข้าประตูจวนในตอนเที่ยง แม้แต่ในตอนที่ทำพิธีก็มิอาจกินข้าวเที่ยงได้ คนเหล่านั้นหิวจนหน้าอกพลิกกลับหลังไปแล้ว แต่รัชทายาทกับผู้สำเร็จราชการแทนองค์จักรพรรดิก็ยังไม่ออกมา และไม่อาจไปเร่งรัดได้ไม่ง่ายเลยที่จะรอจนเริ่มงาน พวกเขาจึงลืมที่จะเข้าไปสอบถามจากซีเหมินเสี่ยวเย่ว รีบตรงเข้าไปนั่งกินข้าวในทันทีซีเหมินเสี่ยวเย่วเองมิยินยอมที่จะดื่มเหล้ามงคลแล้ว แม้ว่าซีเหนียงจะพูดอยู่ตล
ร่างกายของแม่ทัพเฒ่าฉินสั่นสะท้านด้วยความโกรธ “เจ้าสาปแช่งปู่รึ เจ้าเคยคำนึงถึงญาติพี่น้องหรือไม่?”เมื่อหมอหลวงมาถึง กลับไม่มีคนในตระกูลฉินคอยเฝ้าเขาอยู่ในห้อง ดังนั้นจึงมีเพียงแต่บ่าวรับใช้หลังจากตรวจสอบอาการเสร็จ หมอหลวงก็กล่าวด้วยสีหน้าตกตะลึง “ท่านแม่ทัพเฒ่า เมื่อไม่กี่วันมานี้ท่านได้ไปที่ใดมา? แล้วท่านเคยเข้าไปในพื้นที่โรคระบาดหรือไม่?” “ไม่เคย ข้าไม่เคยไปที่นั่น” สีหน้าของแม่ทัพเฒ่าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เมื่อได้ยินคำพูดของหมอหลวง “ท่านกำลังสงสัยว่าข้าติดเชื้อโรคระบาดใช่หรือไม่?”“อาการช่างคล้ายคลึงกันยิ่งนัก” หมอกลวงกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด“เป็นไปไม่ได้!” แม่ทัพเฒ่าฉินรู้สึกตื่นตระหนกอย่างมาก “ท่านวินิจฉัยผิดหรือไม่?”“ข้าจะจัดยาให้ท่านสองชนิดก่อน หากดื่มยาเหล่านี้แล้วไม่ได้ผล เช่นนั้นไม่ใช่ก็ใกล้เคียงแล้วขอรับ” หมอหลวงกล่าวแม่ทัพเฒ่าฉินกล่าวด้วยความลนลาน “ฉินโจวบังคับให้ท่านพูดเช่นนี้ใช่หรือไม่?”หมอหลวงรู้สึกประหลาดใจ “แม่ทัพเฒ่า ท่านหมายความว่าอย่างไร? เหตุใดแม่ทัพฉินถึงต้องบังคับให้ข้าพูดเช่นนี้?”หมอหลวงชะงักไปชั่วครู่หนึ่งแล้วโพล่งถาม “ท่านเคยพูดคุยกับองค์ชายเ
นางสามารถเสียสละได้ แต่จะไม่มีทางทรยศต่อประชาชนเป่ยโม่เด็ดขาดสำหรับความจงรักภักดีต่อองค์จักรพรรดิและประเทศชาติ นางจะต้องรักประชาชนก่อน จึงจะสามารถภักดีต่อองค์จักรพรรดิได้ฉินโจวกล่าวคำเบา “ข้าเข้าไปในพระราชวังเพื่อเชิญหมอหลวงแล้ว ท่านปู่พักผ่อนก่อนเถิด ข้าจะออกไปเดินเล่นรับลมสักหน่อย”ดวงตาของแม่ทัพเฒ่าฉินอัดแน่นด้วยความโกรธ แต่ก็พยายามอย่างหนักเพื่อระงับมันฉินโจวเดินออกจากห้อง และเห็นว่าฉินเป้าน้องชายของตนนั่งอยู่ที่สวน เมื่อเห็นนางเดินออกมา เขาก็ถามว่า “ท่านปู่เป็นอย่างไรบ้าง?”ฉินโจวจำคำพูดของท่านปู่ได้อย่างแม่นยำ จึงเมินเฉยต่อเขาและตอบอย่างใจเย็น “เข้าไปดูด้วยตนเองสิ”ฉินเป้าคลี่ยิ้ม แต่มันกลับดูอ้างว้างอย่างยิ่ง “ข้าได้ยินสิ่งที่ท่านปู่พูดกับท่านแล้ว ข้าไม่อยากเข้าไป”ฉินโจวตกตะลึง “เพราะเหตุใด เขาทุ่มเทความพยายามทั้งหมดไปกับหารวางแผนเพื่อเจ้า เจ้าควรขอบคุณท่านปู่สิ”ฉินเป้าหัวเราะเยาะ “จริงรึ? หากเขาทอดทิ้งท่านเพื่อตระกูลได้ ในอนาคตเขาจะไม่ทอดทิ้งข้าหรือ? ข้าไม่ต้องการชื่อเสียงหรือความดีงามใด ๆ พวกมันไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการเลย”ฉินโจวดูถูกน้องชายมาโดยตลอด เพราะเขาไม่ได
ทั้งสองคนเดินออกไปและหยุดอยู่บนทางเดิน หมอมองฉินโจวพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “ท่านแม่ทัพ ข้ากำลังสงสัยว่าท่านแม่ทัพเฒ่าจะป่วยด้วยโรคระบาดขอรับ”ฉินโจวตกตะลึง “โรคระบาด? เป็นไปได้อย่างไร? ปู่ของข้าไม่เคยออกไปข้างนอก และไม่เคยติดต่อกับผู้ป่วยโรคนี้เลย แล้วเขาจะติดเชื้อโรคระบาดได้อย่างไร?”“ข้าเคยรักษาผู้ป่วยโรคระบาดมาก่อน ซึ่งอาการคล้ายคลึงกันอย่างมาก ผู้ป่วยจะมีไข้สูง ไอ ตาแดง หายใจเร็วขึ้น เมื่อเกิดอาการเหล่านี้พร้อมกันจะอันตรายอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นโรคนี้ยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาดขอรับ” หมอกล่าว“เป็นไปไม่ได้ หากจะติดเชื้อโรคระบาดก็ต้องสัมผัสกับผู้ป่วยที่มีเชื้ออยู่แล้ว แต่ท่านปู่ของข้าไม่เคยใกล้ชิดคนเหล่านั้นเลย แล้วเขาจะติดเชื้อได้อย่างไร?” ฉินโจวยังคงไม่เชื่อหมอประสานหมัด “ทั้งหมดนี้คือคำวินิจฉัยของข้า หากท่านแม่ทัพไม่เชื่อ ก็สามารถขอให้หมอคนอื่นมาตรวจดูได้ หรือท่านจะพาเขาไปที่พระราชวัง และขอให้หมอหลวงช่วยตรวจอาการ ข้าไร้ความสามารถ จึงอาจวินิจฉัยผิดพลาดได้ ลาก่อนขอรับ ๆ!”สิ้นคำ หมอก็หยิบกล่องยาแล้วออกไปโดยไม่เขียนใบสั่งยาด้วยซ้ำฉินโจวสับสนไม่น้อย ท่านปู่ติดเชื้อโร
หัวใจของฉินโจวเย็นเยียบราวกับน้ำ “ใช่ ตราบใดที่ข้าตายในสนามรบ ตระกูลฉินก็ยังจะเป็นผู้กล้า และเป็นขุนนางผู้มีเกียรติ”แม่ทัพเฒ่าฉินเงียบไปครู่ใหญ่ จากนั้นกล่าวคำเบา “ในฐานะหลานสาวตระกูลฉิน มันเป็นหน้าที่ของเจ้าที่ต้องเสียสละเพื่อชื่อเสียง และรากฐานของตระกูล”ฉินโจวกำหมัดแน่นด้วยความไม่พอใจ “หลายปีที่ผ่านมานี้ ข้ายังทำไม่พออีกหรือ? ตอนนี้มีใครในตระกูลฉินบ้างที่ไม่เกาะกินเลือดนี้ของข้า?”แม่ทัพเฒ่าฉินลุกยืนขึ้นพลางกล่าวอย่างเย็นชา “ข้าเคยเตือนเจ้าแล้ว คราวนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เจ้าจะต้องเข้าไปในพระราชวัง ข้าให้คำมั่นกับฮองเฮาเฉาแล้ว ว่าวันนี้เจ้าจะไปที่นั่นเพื่อทูลขอรับคำสั่ง หากเจ้าไม่ไป ข้าก็จะรับคำสั่งและออกรบด้วยตนเอง”“ท่าน...” ฉินโจวมองเขาด้วยสายตาโศกเศร้า “ท่านปู่ ข้าก็เป็นหลานสาวของท่านเหมือนกัน ท่านไม่สงสารข้าบ้างหรือ?”“ปู่สงสารเจ้าสิ แต่ภารกิจหน้าที่ของตระกูลฉินจะต้องถูกส่งต่อ ตอนนี้น้องชายของเจ้าโตพอแล้ว เจ้าจะต้องพาเขาไปสร้างความสำเร็จทางการทหารด้วย และเจ้าจะได้รับส่วนแบ่งของน้องเจ้า เมื่อถึงเวลานั้น ตระกูลฉินก็จะได้ผู้สืบทอดคนใหม่”ฉินโจวผงะไปชั่วครู่ ก่อนระเบิดหัวเราะ
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินโจว แม่ทัพเฒ่าฉินก็โมโหมากจนเคราสั่นสะท้าน “อาโจว อะไรจะสำคัญไปกว่าการบรรลุเป้าหมายอันยิ่งใหญ่? องค์จักรพรรดิเพียงต้องการขยายอาณาเขตของแคว้น เจ้าควรรู้เอาไว้ว่าเมื่อเรายึดครองต้าโจวสำเร็จ เป่ยโม่จะมีพื้นที่เพิ่มมากกว่าครึ่งหนึ่ง และมันจะเป็นความดีความชอบของตระกูลฉิน ทำให้ตระกูลของเราถูกจดจำไปหลายชั่วอายุคน! นี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าต้องการมาตลอดรึ? เจ้าไม่ต้องการบอกคนทั้งโลก ว่าแม้ฉินโจวจะเป็นสตรี แต่นางก็สามารถประสบความสำเร็จได้อย่างผ่าเผยหรือ?”ฉินโจวมองดูใบหน้าที่ฉายแววตื่นเต้นปนโกรธเกรี้ยวของปู่ ทันใดนั้นนางก็สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติถูกต้อง มันคือความต้องการของนาง แต่ความสำเร็จของนางจะต้องไม่แลกกับการเหยียบย่ำกระดูกของประชาชนชาวเป่ยโม่นางรักเป่ยโม่และหวังที่จะขยายอาณาเขตของแคว้น นอกจากนี้นางยังต้องการเสาะหาดินแดนอุดมสมบูรณ์เพื่อประชาชน เพราะหวังว่าพวกเขาจะสามารถอยู่อาศัยและทำกินอย่างสงบสุข และพึงพอใจโดยไม่ต้องทนทุกข์จากการพลัดถิ่นอย่างไรก็ตาม ในตอนนี้หากต้องการบรรลุอำนาจ นางจำต้องสละชีวิตประชาชนจำนวนมาก และนำเงินภาษีของทุกคนมาใช้ในการทำสงคราม ทำให้โรคร
มือสังหารเหล่านั้นแต่งกายคล้ายกับชาวต้าโจวและสวมหน้ากากผ้าสีดำ กลุ่มคนนิรนามราวเจ็ดถึงแปดคนกระโดดลงมาจากท้องฟ้ากลางวันแสก ๆ ทันทีที่เท้าของคนเหล่านั้นแตะพื้น พวกมันก็เริ่มโจมตีอย่างดุดันฉินโจวเห็นมือสังหารคนหนึ่งกระโดดขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับกระบี่ยาว จากนั้นร่ายรำอยู่หลายกระบวนท่าราวกับนางฟ้าโปรยดอกไม้ ขณะแสงแดดตกกระทบกระบี่ส่องกระจายไปทั่วเหล่าทหารที่เพิ่งมาถึงกระโจนเข้าไปร่วมวงต่อสู้อย่างรวดเร็วหลังจากประดาบกันไปกว่าร้อยครั้ง มือสังหารก็ถูกบีบบังคับให้ล่าถอย ฉินโจวจ่อกระบี่ไปที่คอของหนึ่งในมือสังหาร พลางถามเสียงเข้ม “ตอบข้า ใครเป็นคนส่งเจ้ามา?”มือสังหารตอบอย่างเย็นชา “ฆ่าไอ้หมารับใช้เป่ยโม่ให้หมด!”“หมารับใช้เป่ยโม่? เห็นได้ชัดว่าพวกเจ้าไม่ได้เป็นคนเป่ยโม่ พวกเจ้ามาจากต้าโจวใช่หรือไม่?” ฉินโจวโมโหอย่างมาก ขณะชี้ดาบไปยังหน้าอกของอีกฝ่าย “ไอ้เลวมู่หรงเจี๋ยส่งพวกเจ้ามาใช่หรือไม่?”“หญิงเลวอย่าเจ้ากล้าเอ่ยชื่อของท่านอ๋อง ทำให้พระองค์มัวหมองได้อย่างไร?” มือสังหารตะโกนฉินโจวชักดาบกลับพร้อมกล่าวอย่างเย็นชา “กลับไปซะ!”มือสังหารตกตะลึง ราวกับไม่คาดคิดว่าฉินโจวจะปล่อยตัวเขาไป”เ
ฉินโจวกล่าวด้วยความโมโห “ข้าหลอกลวงเจ้าเมื่อไร?”“ไม่งั้นรึ? เจ้าและอ๋องฉีเอ่ยปากว่า หากจื่ออันตกลงเดินทางมาที่เป่ยโม่ พวกเจ้าจะส่งองค์ชายรัชทายาทไปที่ต้าโจวเป็นองค์ประกัน แล้วพวกเจ้าทำตามที่พูดแล้วหรือไม่?”“องค์ชายรัชทายาทเดินทางไปยังต้าโจวแล้ว!”“ผู้ที่เดินทางไปยังต้าโจวคือองค์ชายเจ็ด ไม่ใช่องค์ชายรัชทายาท องค์ชายเจ็ดไม่ได้เป็นที่โปรดปราน ดังนั้นจักรพรรดิเป่ยโม่จะส่งเขาไปสังเวยเมื่อใดก็ได้”“เป็นไปไม่ได้!” ฉินโจวประหลาดใจอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าผู้ที่เดินทางไปคือองค์ชายรัชทายาท เพราะองค์จักรพรรดิทรงตรัสด้วยตนเองว่าจะส่งเขาไปที่ต้าโจว“เจ้าอย่าเพิ่งสนใจเรื่องนี้เลย ก่อนหน้านี้ทั้งสองแคว้นตกลงทำสนธิสัญญาสงบศึก หลังจากการแพร่ระบาดสิ้นสุดลง แต่เจ้ากลับวางแผนโจมตีพวกเราในขณะที่ข้ายังอยู่ที่เป่ยโม่ เจ้าจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร?” มู่หรงเจี๋ยกล่าวอย่างเคร่งเครียดฉินโจวตอบ “ผิดแล้ว เป็นเพราะต้าโจวที่เคลื่อนทัพโจมตีทหารฝั่งขวาของเราก่อน และสังหารทหารของเราไปกว่าร้อยคน ข้าจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเคลื่อนทัพเข้าไปใกล้ เพื่อบีบบังคับให้พวกเจ้าถอยกลับ”“ไร้สาระ กองทัพของเราหยุดเคลื่อนท
อย่างไรก็ตาม การจัดหาเสบียงอาหารสำหรับพื้นที่ภัยพิบัติยังไม่เพียงพอ และยังขาดแคลนเสื้อผ้าอาภรณ์ นอกจากนี้หลังจากที่พระชายาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มาถึงเป่ยโม่ ก็ยังไม่ได้รับใบสั่งยาแม้แต่ฉบับเดียว ดังนั้นความอดทนของประชาชนจึงค่อย ๆ หมดลง แต่ความโกรธและความขุ่นเคืองกลับยิ่งมากขึ้นทันทีที่ข่าวลือแพร่สะพัด ก็เป็นเสมือนเป็นการขว้างเปลวไฟใส่ ‘ระเบิด’ หนึ่งหมื่นตุน ทำให้มันระเบิดออกอย่างรวดเร็วผู้ประสบภัยนับไม่ถ้วนหลั่งไหลเข้าสู่เมืองหลวงอย่างรวดเร็วหลังจากที่ฉินโจวลงจากภูเขา นางก็พบว่าองค์จักรพรรดิทำอะไรกับทหารม้า และทหารเจ็ดหมื่นนายที่ประจำการที่เมืองหลวง ซึ่งเขาออกคำสั่งให้ทหารเหล่านั้นขับไล่เหล่าผู้ประสบภัยออกไปนางเห็นด้วยตาตนเองว่าทหารใต้บังคับบัญชาของนางสร้างกำแพงมนุษย์อันแน่นหนา เมื่อผู้ประสภัยเดินทางเข้ามา พวกเขาก็จะโบกหอกเพื่อขับไล่คนเหล่านั้นออกไปผู้ประสบภัยมากกว่าสิบรายได้รับบาดเจ็บจากหอกทหารเหล่านั้นอยู่ใต้บังคับบัญชาของนาง แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะไม่ได้ฆ่าผู้ใด แต่เมื่อสถานการณ์รุนแรงขึ้นจะต้องมีการฆ่าแกงกันอย่างแน่นอนฉินโจวโกรธจัดจึงขี่ม้าเข้าไปขวางเอาไว้ “หยุด หยุดเ
ฉินโจวกวาดสายตามองพลางเยาะเย้ยจื่ออันไม่สนใจนาง และพาหลินตานไปยังเขตตะวันตกภายในสองวันนี้มีผู้เสียชีวิตถึงสามคน ซึ่งทั้งหมดถูกหามออกไปหลังจากที่หลินตามเดินเข้ามาเขาหลั่งน้ำตาหลั่งน้ำตาขณะมองดูการเผาศพจื่ออันไม่คิดว่าเขาจะมีความอ่อนไหวมากเพียงนี้ “ท่านหมอหลิน ท่านเป็นอะไรหรือไม่?”หลินตานปาดน้ำตา “ข้าขอโทษ ข้าเพียง... คิดถึงครอบครัวขอรับ”“ครอบครัวของท่าน? แล้วตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ใดหรือ?” จื่ออันถาม“ตายหมดแล้วขอรับ ภรรยาและลูกสะใภ้ของข้าตายเพราะเหตุแผ่นดินไหวทั้งคู่ ส่วนลูกชายและหลานชายติดเชื้อโรคระบาดก่อนตายไปเช่นกัน ข้าจึงเป็นคนเดียวที่เหลือรอด” หลินตานสูดหายใจเข้าลึก ใบหน้าที่อยู่ภายใต้ผมสีขาวฉายแววความเศร้าโศกและหดหู่จื่ออันไม่คาดคิดว่าเขาจะมาจากพื้นที่โรคระบาดเช่นกัน เมื่อเห็นสีหน้าเศร้าสร้อย จื่ออันก็ไม่รู้จะปลอบใจเขาเช่นไร จึงได้แต่นิ่งเงียบและอยู่เคียงข้างไม่นานหลินตานก็ถามว่า “ท่านหมอเซี่ย โรคระบาดนี้สามารถรักษาหายได้จริงหรือขอรับ?”ตอนนั้นเองจื่ออันก็นึกได้ว่าเขาเป็นหมอเท้าเปล่า และหลังจากเดินทางพเนจรไปที่ต่าง ๆ เขาอาจรู้จักจินเย่าฉือก็เป็นได้ ดังนั้นจึงรีบถามว