คำพูดของมู่หรงจ้วงจ้วงทำให้ผู้คนในที่นั้นพูดไม่ออกชื่อเสียงของอ๋องเหลียงนั้นแย่มาก โหดเหี้ยม ไร้ความรู้สึก และปฏิบัติต่อนางสนมอย่างโหดร้ายทารุณ ชื่อเสียงของเขานั้นมีแต่ความผิดศีลธรรม น่ารังเกียจจนเกินคำบรรยายฮองเฮาคิดไม่ถึงว่ามู่หรงจ้วงจ้วงจะเสนอชื่อของอ๋องเหลียง นางจึงหยุดพูดไปชั่วขณะแต่องค์รัชทายาทกล่าวอย่างเย็นชาว่า “คำพูดขององค์หญิงช่างน่าสงสัยจริง ๆ ไม่ใช่ว่าข้าไม่เคารพพี่ใหญ่ แต่ทว่าเสด็จอาและองค์ชายคนใดที่นั่งอยู่ที่นี่ ทุกคนล้วนดีกว่าเขา”มู่หรงจ้วงจ้วงไม่สามารถโต้แย้งได้ นางมาเพียงเพื่อการต่อสู้ชั่วคราว เป็นไปไม่ได้ที่จะมาเพียงแค่เสนอชื่ออ๋องเหลียงเท่านั้น เพราะว่ามีเพียงอ๋องเหลียงเท่านั้นที่เป็นญาติพี่น้องของฮองเฮา ฮองเฮาจึงไม่สามารถคัดค้านได้แต่เห็นได้ชัดว่านางคิดผิด อ อย่างไรเสียไท่ฟู่ก็ไม่มีทางแต่งตั้งอ๋องเหลียง เนื่องจากอ๋องเหลียงได้เป็นพรรคพวกของผู้สำเร็จราชการ แต่เนื่องจากมู่หรงจ้วงจ้วงได้เสนอชื่อผู้สมัครแล้ว จึงถือเป็นการแข่งขัน และสามารถเริ่มลงคะแนนอย่างเป็นทางการได้แต่ผลก็เป็นไปตามที่ทุกคนคาดไว้ องค์รัชทายาทชนะไปด้วยคะแนนจำนวนมากเหลียงไท่ฟู่ที่นั่งอยู่
อ๋องหนานหวายประสานมือตอบ “ทูลเสด็จแม่ ราชองครักษ์ระบุว่าคนเหล่านี้เป็นกลุ่มที่ซุ่มโจมตีเสด็จพี่ในวันนั้นพ่ะย่ะค่ะ”“อะไรนะ?”หวงไท่โฮ่วตกพระทัยมาก “สังหารคนของอาเจี๋ยหรือ?”เหล่าขุนนางต่างตกตะลึง พวกเขามองคนพวกนั้นด้วยสายตาสงสัยองค์ชายอันมองไปที่หนี่หรง หนี่หรงก้าวไปข้างหน้าและกล่าวว่า “ทูลหวงไท่โฮ่ว กระหม่อมจําคนเหล่านี้ที่ซุ่มโจมตีพวกเราอย่างเป็นอย่างดีพ่ะย่ะค่ะ”เหลียงไท่ฟู่เยาะเย้ย “อ๋องหนานหวาย คนเหล่านี้คือคนที่สังหารผู้สำเร็จราชการแทนองค์จักรพรรดิ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับองค์รัชทายาทเล่า?”อ๋องหนานหวายมองเขาด้วยสายตาเย็นชา แล้วกล่าวว่า “หลังจากการสอบสวน พวกเขาสารภาพว่าใครอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้พ่ะย่ะค่ะ”เหลียงไท่ฟู่ตกใจ แล้วเขาก็หัวเราะออกมา แล้วกล่าวว่า “ไร้สาระ มันไร้สาระมาก ท่านอ๋องพยายามจะบอกว่าข้าและองค์รัชทายาทอยู่เบื้องหลังงั้นหรือ ถ้าท่านต้องการใส่ร้ายองค์รัชทายาทและใส่ร้ายข้า ท่านต้องหาหลักฐานที่สำคัญมาว่ามันเป็นข้าและองค์รัชทายาทที่เป็นคนบงการ ท่านมันเป็นคนโง่จริง ๆ คิดจะมาหลอกลวงอย่างนั้นรึ?”อ๋องหนานหวายยิ้มอย่างเย็นชา และหยิบกระดาษหัวจดหมายออกจากแขนเสื้อ สะบัดต
ในตอนนี้ ทุกคนลุกขึ้นยืนและมองออกไปนอกตําหนักองครักษ์กลุ่มหนึ่งเดินมาพร้อมกับชายที่สวมชุดผู้สําเร็จราชการราชวงศ์มังกรสีดำสี่กรงเล็บกำลังก้าวรุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว เขาเดินตรงและก้าวเดินอย่างสงบ ภายใต้สายคาดเอวหยกมีใบหน้าที่เย็นยะเยือกอยู่เสมอ ราวกับว่าเข้าไปในวังเหมือนกับทุกครั้งที่ผ่านมา ไม่มีอะไรพิเศษคนที่เดินเคียงข้างเขาคือเซี่ยจื่ออันที่หายตัวไป ด้านข้างของเซี่ยจื่ออันคือเซียวท่าและซูชิง พวกเขาอยู่ด้านหลังไปเล็กน้อย ด้านหลังทั้งสี่คน ฝีเท้าขององครักษ์นั้นสม่ำเสมอก้าวเดินอย่างเป็นระเบียบราวกับว่าได้รับการฝึกฝนมาอย่างดีหนี่หรงพุ่งเข้าไปหาอย่างตื่นเต้น “ท่านอ๋อง!”มู่หรงเจี๋ยตบไหล่เขาเบา ๆ แล้วกล่าวว่า “ถอยออกไปก่อน”หนี่หรงก้าวถอยหลังและกล่าวว่า “พ่ะย่ะค่ะ!” ความตื่นเต้นบนใบหน้าของเขายังคงยากที่จะปกปิดรอยยิ้มบนใบหน้าของอ๋องหนานหวายค่อย ๆ จางลง และมีสีหน้าคล้ายงูพิษ จากนั้นก็เงยหน้าขึ้น เดินออกไปอย่างรวดเร็ว “ท่านพี่ ดีใจที่ท่านกลับมาอย่างปลอดภัย ”มู่หรงเจี๋ยหยุดฝีเท้าแล้วมองเขาอย่างเฉยเมย "เจ้ากลับมาแล้วหรือ?”“ใช่ ข้ากลับมาแล้ว” อ๋องหนานหวายมองดูเขาด้วยความยินดีอย่างยิ่ง
“ทุกคนลุกขึ้นเถิด!” มู่หรงเจี๋ยพูดเสียงเข้มเหล่าขุนนางนับร้อยคนลุกขึ้นยืน มู่หรงเจี๋ยยกมือขึ้นส่งสัญญาณให้ทุกคนนั่งลงอีกครั้ง เหล่าขุนนางต่างโค้งคํานับแล้วนั่งลงมู่หรงเจี๋ยนั่งถัดจากหวงไท่โฮ่ว เหล่านางในภายในวังรีบจัดโต๊ะสำรับอาหาร เซียวท่าและซูชิงได้เดินลงไปนั่งที่ที่พวกเขาควรจะนั่งแล้ว จื่ออันจึงคิดจะจากไปมู่หรงเจี๋ยเอื้อมมือออกไป และกล่าวว่า “จื่ออัน เจ้านั่งกับข้าด้วยกัน”สายตาของทุกคนหยุดอยู่ที่จื่ออัน ผู้คนในที่นี้แทบทุกคนล้วนเคยพบนางตอนที่นางกลับใจจากการอภิเษกในวันนั้น แม้ว่าตอนนั้นจะรู้สึกว่านางน่าสงสาร แต่ก็เพียงมองนางด้วยแววตาที่มองดูละครเท่านั้นแต่ไม่มีใครคาดคิดว่าหญิงสาวที่น่าสังเวชคนนี้จะยืนอยู่เคียงข้างผู้สําเร็จราชการในวันนี้วันนั้นนางถอดผ้าคลุมหน้าสีแดงออก ดื้อรั้น เด็ดเดี่ยว หัวเต็มไปด้วยไข่มุกและหยก บนร่างมีผ้าแพรที่สวมใส่อย่างหรูหรา แต่ยังคงฟังจากคําพูดของนางว่าชะตาชีวิตมีมากมาย ลําบากยากเข็ญในจวน รู้สึกหนาวเหน็บอย่างยิ่งวันนี้นางสวมใส่เสื้อผ้าหยาบสีดำ ผมเผ้าดูช่างธรรมดาตามใจชอบ บนศีรษะมีเพียงปิ่นปักผมธรรมดาเพียงอันเดียว ไม่มีเครื่องประดับใด ๆ เป็นพิเศษ
อ๋องหนานหวายรีบลุกขึ้น “เสด็จพี่ คนเหล่านี้ถูกนําตัวเข้าวังโดยหม่อมฉัน พวกเขาเป็นคนที่ลอบสังหารเสด็จพี่ในวันนั้น”ริมฝีปากของผู้สำเร็จราชการแทนองค์จักรพรรดิโค้งงอและมีการประชดว่า “ลอบสังหารข้างั้นหรือ?”อ๋องหนานหวายกล่าวอย่างกะทันหัน “ใช่ หลังจากที่ข้ากลับมาที่เมืองหลวง พวกเขาก็เริ่มสืบสวนคนที่ลอบสังหารเสด็จพี่ สวรรค์คงเป็นใจ สุดท้ายก็ทำให้หม่อมฉันหาตัวคนลอบสังหารพบ”อ๋องหนานหวายมองไปที่หวงไท่โฮ่ว แล้วกล่าวว่า “และพบจดหมายของผู้ที่อยู่เบื้องหลังถูกพบอยู่ในมือของคนที่ลอบสังหาร และได้มอบให้เสด็จแม่แล้วพ่ะย่ะค่ะ”เมื่อเขากล่าวเช่นนี้ เขาก็จ้องไปที่องค์รัชทายาทและเหลียงไท่ฟู่อย่างดุร้าย การแสดงออกของเขาต่างจากก่อนหน้านี้มาก เหมือนกับความแค้นที่มีต่อศัตรู มีแววตาที่สามารถเดาได้ว่าองค์รัชทายาทและเหลียงไท่ฟู่เป็นผู้อยู่เบื้องหลังการลอบสังหารนี้ทุกวันนี้อำนาจการปกครอง และการกำกับดูแลทหารไม่สามารถล้มล้างได้ แต่ด้วยจดหมายที่อยู่ในมือของหวงไท่โฮ่ว ก็สามารถทําลายอํานาจของเหลียงไท่ฟู่ลงได้เขาคิดว่ามู่หรงเจี๋ยจะเผยแพร่จดหมายนี้ต่อสาธารณะอย่างแน่นอน แน่นอน เขาต้องรู้ไว้ในใจว่าต้องเป็นมือสังหา
เขาโค้งคํานับประสานมือแล้วถอยไปทีละก้าว รอยยิ้มชั่วร้ายบนใบหน้าไม่ลดลงแม้แต่น้อย กลับยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น "พ่ะย่ะค่ะ หม่อมฉันขอตัวก่อน!”หากไม่พัวพันก็ไม่มีปัญหา แค่หันหลังกลับและออกไป ให้ความรู้สึกเหมือนที่เขาไม่เคยมามาก่อนเหลียงไท่ฟู่มีความปิติยินดีในใจ ที่เขารอดพ้นจากภัยพิบัติครานี้ได้เขามองแผ่นหลังของอ๋องหนานหวายที่หันหลังเดินจากไป ในใจเข้าใจว่าวันนี้อ๋องหนานหวายได้ทําลายยอดฝีมือในสังกัดเขาตายในวังอย่างเงียบเชียบ เขาจะอธิบายให้คนข้างนอกฟังได้อย่างไร หากเดาไม่ผิดคืนนี้เขาพาคนเหล่านี้เข้าวัง หลังจากสารภาพออกมา เขาจะมีทางของเขาเองที่จะช่วยคนเหล่านี้แต่คนเหล่านั้นที่เข้ามาเข้ามาในวังวันนี้ล้วนตายกันหมด คนเหล่านี้คือคนในวัง คนตายไม่สำคัญ ที่สำคัญคือใครกันคือคนที่อยู่เบื้องหลังของคนที่ตายเหล่านี้ เกรงว่าคนเหล่านี้จะ ไม่ได้ช่วยเขาง่าย ๆ อีกแล้ว เว้นแต่จะยอมจ่ายในราคาที่สูงขึ้นใครกันที่เป็นคนฆ่ามือสังหารเหล่านี้เมื่อครู่นี้? มู่หรงเจี๋ยนั่งอยู่ในห้องโถงใหญ่ เซียวท่าและซูชิงก็นั่งห่างไกลจากมือสังหาร ยกเว้นหนี่หรงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ที่นี่แทบจะไม่มีคนของผู้สำเร็จราชการเลย แล้วเขาจะลง
เมื่อองค์รัชทายาทเห็นว่าอ๋องฉีออกไปแล้ว ก็หยุดเล่นละครอีก จึงเอ่ยเสียงเรียบว่า “ใช่ หม่อมฉันไปเยี่ยมเสด็จอา มีปัญหาอะไรหรือ?”พาคนพันคนไปซุ่มรอบจวนอ๋อง แต่กลับบอกว่าไปเยี่ยมข้างั้นหรือ" มู่หรงเหยาเอียงศีรษะพูดเบา ๆ อย่างบอกไม่ถูก แต่ในหูของทุกคนได้ยิน กลับรู้สึกหวาดกลัวราวกระบี่คมกริบองค์รัชทายาทกล่าวว่า “พ่ะย่ะค่ะ หม่อมฉันพาคนไปปกป้องเสด็จอา เห็นได้ชัดว่าบางคนไม่รับน้ำใจของหม่อมฉัน และไม่ยอมให้หม่อมฉันเข้าไป”“หากไม่มีคําสั่งของข้า ใครจะอนุญาตให้เจ้าระดมทหารหนึ่งพันคนเข้ามา? ใครให้อํานาจนี้แก่เจ้า?" เมื่อมู่หรงเหยาเปลี่ยนสีหน้า เขาก็ถามออกไปด้วยน้ําเสียงดุดันองค์รัชทายาทชะงักไปก่อนจะลุกขึ้นยืนและพูดขึ้นด้วยความโกรธ "ก็แค่ทหารหนึ่งพันนายไม่ใช่หรอกหรือ?หม่อมฉันเป็นรัชทายาทในราชสํานัก ต้องได้รับอนุญาตจากผู้สำเร็จราชการก่อนหรือถึงจะระดมคนนับพันคนเข้ามาได้?”มู่หรงเจี๋ยตวาดเสียงเข้ม "เสนาบดีกรมกรมทหารอยู่ที่ไหน”เสนาบดีกรมทหารรีบออกมา “กระหม่อมอยู่นี่พ่ะย่ะค่ะ!”“บอกองค์รัชทายาท การที่ระดมพลทหารม้ามามากกว่าพันนายโดยพลการ บทลงโทษคือสิ่งใด?”เสนาบดีกรมกรมทหารตอบว่า "หากทูลท่านอ๋อง ห
เสนาบดีสำนักตรวจราชการทหารไม่ลังเลที่จะกล่าวว่า “ทูลท่านอ๋อง ไม่ผิดพ่ะย่ะค่ะ ท่านแม่ทัพไป๋เย่ไม่ได้ยื่นหนังสือคำร้องต่อกรมทหาร และหลังจากนำทหารไปมาแล้ว ก็ไม่ได้ไปรายงานตัวที่กรมทหาร เป็นฝ่ายระดมพลโดยพลการ ตามกฏของกองทัพ สมควรถูกประหารชีวิตพ่ะย่ะค่ะ”มู่หรงเจี๋ยเงยหน้าขึ้น “ซูชิง!”“พ่ะย่ะค่ะ!” ซูชิงก้าวออกไป คำนับแล้วพูดมู่หรงเจี๋ยกล่าวอย่างน่าเกรงขามว่า “ถือจดหมายนี้ที่เขียนด้วยลายมือของข้า ไปจับไป๋เย่ และประหารทันที เพื่อไม่ให้เอาเป็นเยี่ยงอย่าง!”เหลียงไท่ฟู่หน้าเขียว “ช้าก่อน!”เขาก้าวไปข้างหน้าจ้องมองไปที่มู่หรงเจี๋ย กล้ามเนื้อบนใบหน้าของเขาสั่นเทา ความโกรธแผ่ซ่านไปในดวงตา “ท่านอ๋อง แม้ว่ากฎหมายจะสําคัญ แต่แม่ทัพไป๋ระดมกําลังทหารเพื่อปกป้องท่านอ๋องนะพ่ะย่ะค่ะ แม้ว่าจะเกิดขึ้นแล้ว แม้เคยมีแต่ความภักดีต่อท่านอ๋อง หากท่านอ๋องยืนกรานที่จะสังหารแม่ทัพที่ซื่อสัตย์และภักดี มันยิ่งจะทำให้หัวใจของเหล่าทหารหมดกำลังใจ ไม่มีประโยชน์อันใดในต้าโจวของท่าน ข้าเชื่อว่าหากฝ่าบาทอยู่ที่นี่ในตอนนี้ คงไม่เห็นด้วยกับการกระทําของพระองค์”ฮองเฮายังเอ่ยอีกด้วยว่า “ใช่แล้ว ท่านอ๋อง ท่านแม่ทัพไป๋คนน
ร่างกายของแม่ทัพเฒ่าฉินสั่นสะท้านด้วยความโกรธ “เจ้าสาปแช่งปู่รึ เจ้าเคยคำนึงถึงญาติพี่น้องหรือไม่?”เมื่อหมอหลวงมาถึง กลับไม่มีคนในตระกูลฉินคอยเฝ้าเขาอยู่ในห้อง ดังนั้นจึงมีเพียงแต่บ่าวรับใช้หลังจากตรวจสอบอาการเสร็จ หมอหลวงก็กล่าวด้วยสีหน้าตกตะลึง “ท่านแม่ทัพเฒ่า เมื่อไม่กี่วันมานี้ท่านได้ไปที่ใดมา? แล้วท่านเคยเข้าไปในพื้นที่โรคระบาดหรือไม่?” “ไม่เคย ข้าไม่เคยไปที่นั่น” สีหน้าของแม่ทัพเฒ่าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เมื่อได้ยินคำพูดของหมอหลวง “ท่านกำลังสงสัยว่าข้าติดเชื้อโรคระบาดใช่หรือไม่?”“อาการช่างคล้ายคลึงกันยิ่งนัก” หมอกลวงกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด“เป็นไปไม่ได้!” แม่ทัพเฒ่าฉินรู้สึกตื่นตระหนกอย่างมาก “ท่านวินิจฉัยผิดหรือไม่?”“ข้าจะจัดยาให้ท่านสองชนิดก่อน หากดื่มยาเหล่านี้แล้วไม่ได้ผล เช่นนั้นไม่ใช่ก็ใกล้เคียงแล้วขอรับ” หมอหลวงกล่าวแม่ทัพเฒ่าฉินกล่าวด้วยความลนลาน “ฉินโจวบังคับให้ท่านพูดเช่นนี้ใช่หรือไม่?”หมอหลวงรู้สึกประหลาดใจ “แม่ทัพเฒ่า ท่านหมายความว่าอย่างไร? เหตุใดแม่ทัพฉินถึงต้องบังคับให้ข้าพูดเช่นนี้?”หมอหลวงชะงักไปชั่วครู่หนึ่งแล้วโพล่งถาม “ท่านเคยพูดคุยกับองค์ชายเ
นางสามารถเสียสละได้ แต่จะไม่มีทางทรยศต่อประชาชนเป่ยโม่เด็ดขาดสำหรับความจงรักภักดีต่อองค์จักรพรรดิและประเทศชาติ นางจะต้องรักประชาชนก่อน จึงจะสามารถภักดีต่อองค์จักรพรรดิได้ฉินโจวกล่าวคำเบา “ข้าเข้าไปในพระราชวังเพื่อเชิญหมอหลวงแล้ว ท่านปู่พักผ่อนก่อนเถิด ข้าจะออกไปเดินเล่นรับลมสักหน่อย”ดวงตาของแม่ทัพเฒ่าฉินอัดแน่นด้วยความโกรธ แต่ก็พยายามอย่างหนักเพื่อระงับมันฉินโจวเดินออกจากห้อง และเห็นว่าฉินเป้าน้องชายของตนนั่งอยู่ที่สวน เมื่อเห็นนางเดินออกมา เขาก็ถามว่า “ท่านปู่เป็นอย่างไรบ้าง?”ฉินโจวจำคำพูดของท่านปู่ได้อย่างแม่นยำ จึงเมินเฉยต่อเขาและตอบอย่างใจเย็น “เข้าไปดูด้วยตนเองสิ”ฉินเป้าคลี่ยิ้ม แต่มันกลับดูอ้างว้างอย่างยิ่ง “ข้าได้ยินสิ่งที่ท่านปู่พูดกับท่านแล้ว ข้าไม่อยากเข้าไป”ฉินโจวตกตะลึง “เพราะเหตุใด เขาทุ่มเทความพยายามทั้งหมดไปกับหารวางแผนเพื่อเจ้า เจ้าควรขอบคุณท่านปู่สิ”ฉินเป้าหัวเราะเยาะ “จริงรึ? หากเขาทอดทิ้งท่านเพื่อตระกูลได้ ในอนาคตเขาจะไม่ทอดทิ้งข้าหรือ? ข้าไม่ต้องการชื่อเสียงหรือความดีงามใด ๆ พวกมันไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการเลย”ฉินโจวดูถูกน้องชายมาโดยตลอด เพราะเขาไม่ได
ทั้งสองคนเดินออกไปและหยุดอยู่บนทางเดิน หมอมองฉินโจวพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “ท่านแม่ทัพ ข้ากำลังสงสัยว่าท่านแม่ทัพเฒ่าจะป่วยด้วยโรคระบาดขอรับ”ฉินโจวตกตะลึง “โรคระบาด? เป็นไปได้อย่างไร? ปู่ของข้าไม่เคยออกไปข้างนอก และไม่เคยติดต่อกับผู้ป่วยโรคนี้เลย แล้วเขาจะติดเชื้อโรคระบาดได้อย่างไร?”“ข้าเคยรักษาผู้ป่วยโรคระบาดมาก่อน ซึ่งอาการคล้ายคลึงกันอย่างมาก ผู้ป่วยจะมีไข้สูง ไอ ตาแดง หายใจเร็วขึ้น เมื่อเกิดอาการเหล่านี้พร้อมกันจะอันตรายอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นโรคนี้ยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาดขอรับ” หมอกล่าว“เป็นไปไม่ได้ หากจะติดเชื้อโรคระบาดก็ต้องสัมผัสกับผู้ป่วยที่มีเชื้ออยู่แล้ว แต่ท่านปู่ของข้าไม่เคยใกล้ชิดคนเหล่านั้นเลย แล้วเขาจะติดเชื้อได้อย่างไร?” ฉินโจวยังคงไม่เชื่อหมอประสานหมัด “ทั้งหมดนี้คือคำวินิจฉัยของข้า หากท่านแม่ทัพไม่เชื่อ ก็สามารถขอให้หมอคนอื่นมาตรวจดูได้ หรือท่านจะพาเขาไปที่พระราชวัง และขอให้หมอหลวงช่วยตรวจอาการ ข้าไร้ความสามารถ จึงอาจวินิจฉัยผิดพลาดได้ ลาก่อนขอรับ ๆ!”สิ้นคำ หมอก็หยิบกล่องยาแล้วออกไปโดยไม่เขียนใบสั่งยาด้วยซ้ำฉินโจวสับสนไม่น้อย ท่านปู่ติดเชื้อโร
หัวใจของฉินโจวเย็นเยียบราวกับน้ำ “ใช่ ตราบใดที่ข้าตายในสนามรบ ตระกูลฉินก็ยังจะเป็นผู้กล้า และเป็นขุนนางผู้มีเกียรติ”แม่ทัพเฒ่าฉินเงียบไปครู่ใหญ่ จากนั้นกล่าวคำเบา “ในฐานะหลานสาวตระกูลฉิน มันเป็นหน้าที่ของเจ้าที่ต้องเสียสละเพื่อชื่อเสียง และรากฐานของตระกูล”ฉินโจวกำหมัดแน่นด้วยความไม่พอใจ “หลายปีที่ผ่านมานี้ ข้ายังทำไม่พออีกหรือ? ตอนนี้มีใครในตระกูลฉินบ้างที่ไม่เกาะกินเลือดนี้ของข้า?”แม่ทัพเฒ่าฉินลุกยืนขึ้นพลางกล่าวอย่างเย็นชา “ข้าเคยเตือนเจ้าแล้ว คราวนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เจ้าจะต้องเข้าไปในพระราชวัง ข้าให้คำมั่นกับฮองเฮาเฉาแล้ว ว่าวันนี้เจ้าจะไปที่นั่นเพื่อทูลขอรับคำสั่ง หากเจ้าไม่ไป ข้าก็จะรับคำสั่งและออกรบด้วยตนเอง”“ท่าน...” ฉินโจวมองเขาด้วยสายตาโศกเศร้า “ท่านปู่ ข้าก็เป็นหลานสาวของท่านเหมือนกัน ท่านไม่สงสารข้าบ้างหรือ?”“ปู่สงสารเจ้าสิ แต่ภารกิจหน้าที่ของตระกูลฉินจะต้องถูกส่งต่อ ตอนนี้น้องชายของเจ้าโตพอแล้ว เจ้าจะต้องพาเขาไปสร้างความสำเร็จทางการทหารด้วย และเจ้าจะได้รับส่วนแบ่งของน้องเจ้า เมื่อถึงเวลานั้น ตระกูลฉินก็จะได้ผู้สืบทอดคนใหม่”ฉินโจวผงะไปชั่วครู่ ก่อนระเบิดหัวเราะ
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินโจว แม่ทัพเฒ่าฉินก็โมโหมากจนเคราสั่นสะท้าน “อาโจว อะไรจะสำคัญไปกว่าการบรรลุเป้าหมายอันยิ่งใหญ่? องค์จักรพรรดิเพียงต้องการขยายอาณาเขตของแคว้น เจ้าควรรู้เอาไว้ว่าเมื่อเรายึดครองต้าโจวสำเร็จ เป่ยโม่จะมีพื้นที่เพิ่มมากกว่าครึ่งหนึ่ง และมันจะเป็นความดีความชอบของตระกูลฉิน ทำให้ตระกูลของเราถูกจดจำไปหลายชั่วอายุคน! นี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าต้องการมาตลอดรึ? เจ้าไม่ต้องการบอกคนทั้งโลก ว่าแม้ฉินโจวจะเป็นสตรี แต่นางก็สามารถประสบความสำเร็จได้อย่างผ่าเผยหรือ?”ฉินโจวมองดูใบหน้าที่ฉายแววตื่นเต้นปนโกรธเกรี้ยวของปู่ ทันใดนั้นนางก็สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติถูกต้อง มันคือความต้องการของนาง แต่ความสำเร็จของนางจะต้องไม่แลกกับการเหยียบย่ำกระดูกของประชาชนชาวเป่ยโม่นางรักเป่ยโม่และหวังที่จะขยายอาณาเขตของแคว้น นอกจากนี้นางยังต้องการเสาะหาดินแดนอุดมสมบูรณ์เพื่อประชาชน เพราะหวังว่าพวกเขาจะสามารถอยู่อาศัยและทำกินอย่างสงบสุข และพึงพอใจโดยไม่ต้องทนทุกข์จากการพลัดถิ่นอย่างไรก็ตาม ในตอนนี้หากต้องการบรรลุอำนาจ นางจำต้องสละชีวิตประชาชนจำนวนมาก และนำเงินภาษีของทุกคนมาใช้ในการทำสงคราม ทำให้โรคร
มือสังหารเหล่านั้นแต่งกายคล้ายกับชาวต้าโจวและสวมหน้ากากผ้าสีดำ กลุ่มคนนิรนามราวเจ็ดถึงแปดคนกระโดดลงมาจากท้องฟ้ากลางวันแสก ๆ ทันทีที่เท้าของคนเหล่านั้นแตะพื้น พวกมันก็เริ่มโจมตีอย่างดุดันฉินโจวเห็นมือสังหารคนหนึ่งกระโดดขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับกระบี่ยาว จากนั้นร่ายรำอยู่หลายกระบวนท่าราวกับนางฟ้าโปรยดอกไม้ ขณะแสงแดดตกกระทบกระบี่ส่องกระจายไปทั่วเหล่าทหารที่เพิ่งมาถึงกระโจนเข้าไปร่วมวงต่อสู้อย่างรวดเร็วหลังจากประดาบกันไปกว่าร้อยครั้ง มือสังหารก็ถูกบีบบังคับให้ล่าถอย ฉินโจวจ่อกระบี่ไปที่คอของหนึ่งในมือสังหาร พลางถามเสียงเข้ม “ตอบข้า ใครเป็นคนส่งเจ้ามา?”มือสังหารตอบอย่างเย็นชา “ฆ่าไอ้หมารับใช้เป่ยโม่ให้หมด!”“หมารับใช้เป่ยโม่? เห็นได้ชัดว่าพวกเจ้าไม่ได้เป็นคนเป่ยโม่ พวกเจ้ามาจากต้าโจวใช่หรือไม่?” ฉินโจวโมโหอย่างมาก ขณะชี้ดาบไปยังหน้าอกของอีกฝ่าย “ไอ้เลวมู่หรงเจี๋ยส่งพวกเจ้ามาใช่หรือไม่?”“หญิงเลวอย่าเจ้ากล้าเอ่ยชื่อของท่านอ๋อง ทำให้พระองค์มัวหมองได้อย่างไร?” มือสังหารตะโกนฉินโจวชักดาบกลับพร้อมกล่าวอย่างเย็นชา “กลับไปซะ!”มือสังหารตกตะลึง ราวกับไม่คาดคิดว่าฉินโจวจะปล่อยตัวเขาไป”เ
ฉินโจวกล่าวด้วยความโมโห “ข้าหลอกลวงเจ้าเมื่อไร?”“ไม่งั้นรึ? เจ้าและอ๋องฉีเอ่ยปากว่า หากจื่ออันตกลงเดินทางมาที่เป่ยโม่ พวกเจ้าจะส่งองค์ชายรัชทายาทไปที่ต้าโจวเป็นองค์ประกัน แล้วพวกเจ้าทำตามที่พูดแล้วหรือไม่?”“องค์ชายรัชทายาทเดินทางไปยังต้าโจวแล้ว!”“ผู้ที่เดินทางไปยังต้าโจวคือองค์ชายเจ็ด ไม่ใช่องค์ชายรัชทายาท องค์ชายเจ็ดไม่ได้เป็นที่โปรดปราน ดังนั้นจักรพรรดิเป่ยโม่จะส่งเขาไปสังเวยเมื่อใดก็ได้”“เป็นไปไม่ได้!” ฉินโจวประหลาดใจอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าผู้ที่เดินทางไปคือองค์ชายรัชทายาท เพราะองค์จักรพรรดิทรงตรัสด้วยตนเองว่าจะส่งเขาไปที่ต้าโจว“เจ้าอย่าเพิ่งสนใจเรื่องนี้เลย ก่อนหน้านี้ทั้งสองแคว้นตกลงทำสนธิสัญญาสงบศึก หลังจากการแพร่ระบาดสิ้นสุดลง แต่เจ้ากลับวางแผนโจมตีพวกเราในขณะที่ข้ายังอยู่ที่เป่ยโม่ เจ้าจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร?” มู่หรงเจี๋ยกล่าวอย่างเคร่งเครียดฉินโจวตอบ “ผิดแล้ว เป็นเพราะต้าโจวที่เคลื่อนทัพโจมตีทหารฝั่งขวาของเราก่อน และสังหารทหารของเราไปกว่าร้อยคน ข้าจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเคลื่อนทัพเข้าไปใกล้ เพื่อบีบบังคับให้พวกเจ้าถอยกลับ”“ไร้สาระ กองทัพของเราหยุดเคลื่อนท
อย่างไรก็ตาม การจัดหาเสบียงอาหารสำหรับพื้นที่ภัยพิบัติยังไม่เพียงพอ และยังขาดแคลนเสื้อผ้าอาภรณ์ นอกจากนี้หลังจากที่พระชายาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มาถึงเป่ยโม่ ก็ยังไม่ได้รับใบสั่งยาแม้แต่ฉบับเดียว ดังนั้นความอดทนของประชาชนจึงค่อย ๆ หมดลง แต่ความโกรธและความขุ่นเคืองกลับยิ่งมากขึ้นทันทีที่ข่าวลือแพร่สะพัด ก็เป็นเสมือนเป็นการขว้างเปลวไฟใส่ ‘ระเบิด’ หนึ่งหมื่นตุน ทำให้มันระเบิดออกอย่างรวดเร็วผู้ประสบภัยนับไม่ถ้วนหลั่งไหลเข้าสู่เมืองหลวงอย่างรวดเร็วหลังจากที่ฉินโจวลงจากภูเขา นางก็พบว่าองค์จักรพรรดิทำอะไรกับทหารม้า และทหารเจ็ดหมื่นนายที่ประจำการที่เมืองหลวง ซึ่งเขาออกคำสั่งให้ทหารเหล่านั้นขับไล่เหล่าผู้ประสบภัยออกไปนางเห็นด้วยตาตนเองว่าทหารใต้บังคับบัญชาของนางสร้างกำแพงมนุษย์อันแน่นหนา เมื่อผู้ประสภัยเดินทางเข้ามา พวกเขาก็จะโบกหอกเพื่อขับไล่คนเหล่านั้นออกไปผู้ประสบภัยมากกว่าสิบรายได้รับบาดเจ็บจากหอกทหารเหล่านั้นอยู่ใต้บังคับบัญชาของนาง แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะไม่ได้ฆ่าผู้ใด แต่เมื่อสถานการณ์รุนแรงขึ้นจะต้องมีการฆ่าแกงกันอย่างแน่นอนฉินโจวโกรธจัดจึงขี่ม้าเข้าไปขวางเอาไว้ “หยุด หยุดเ
ฉินโจวกวาดสายตามองพลางเยาะเย้ยจื่ออันไม่สนใจนาง และพาหลินตานไปยังเขตตะวันตกภายในสองวันนี้มีผู้เสียชีวิตถึงสามคน ซึ่งทั้งหมดถูกหามออกไปหลังจากที่หลินตามเดินเข้ามาเขาหลั่งน้ำตาหลั่งน้ำตาขณะมองดูการเผาศพจื่ออันไม่คิดว่าเขาจะมีความอ่อนไหวมากเพียงนี้ “ท่านหมอหลิน ท่านเป็นอะไรหรือไม่?”หลินตานปาดน้ำตา “ข้าขอโทษ ข้าเพียง... คิดถึงครอบครัวขอรับ”“ครอบครัวของท่าน? แล้วตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ใดหรือ?” จื่ออันถาม“ตายหมดแล้วขอรับ ภรรยาและลูกสะใภ้ของข้าตายเพราะเหตุแผ่นดินไหวทั้งคู่ ส่วนลูกชายและหลานชายติดเชื้อโรคระบาดก่อนตายไปเช่นกัน ข้าจึงเป็นคนเดียวที่เหลือรอด” หลินตานสูดหายใจเข้าลึก ใบหน้าที่อยู่ภายใต้ผมสีขาวฉายแววความเศร้าโศกและหดหู่จื่ออันไม่คาดคิดว่าเขาจะมาจากพื้นที่โรคระบาดเช่นกัน เมื่อเห็นสีหน้าเศร้าสร้อย จื่ออันก็ไม่รู้จะปลอบใจเขาเช่นไร จึงได้แต่นิ่งเงียบและอยู่เคียงข้างไม่นานหลินตานก็ถามว่า “ท่านหมอเซี่ย โรคระบาดนี้สามารถรักษาหายได้จริงหรือขอรับ?”ตอนนั้นเองจื่ออันก็นึกได้ว่าเขาเป็นหมอเท้าเปล่า และหลังจากเดินทางพเนจรไปที่ต่าง ๆ เขาอาจรู้จักจินเย่าฉือก็เป็นได้ ดังนั้นจึงรีบถามว