ในวันที่เก้าต้นเดือนมิถุนายน เป็นวันที่แปดแล้วที่ร่างของผู้สำเร็จราชการแทนองค์จักรพรรดิหายไปราชทูตของเป่ยโม่ก็ได้มาถึงเมืองหลวง เขาก็คือท่านอ๋องฉีแห่งเป่ยโม่เขาเป็นตัวแทนของเป่ยโมมาเจริญสัมพันธไมตรีต่อสนธิสัญญาพันธมิตรกับต้าโจว เมื่อสิบห้าปีที่แล้วทั้งสองฝ่ายได้ลงนามในข้อตกลงยุติสงครามเพื่อความสงบสุข และจะมีการต่ออายุสัญญาทุก ๆ สามปีเมื่อผู้สำเร็จราชการแทนองค์จักรพรรดิสิ้นพระชนม์ หน้าที่สำคัญในการต้อนรับราชทูตนั้นแน่นอนว่าจะต้องตกเป็นของหวงไท่โห่ว พระนางทรงมีพระราชเสาวนีย์ให้เจ้ากรมพิธีการ และใต้เท้าซุยสำนักเสนาบดีตรวจราชการไปรับคนที่ประตูเมือง จากนั้นจึงทรงให้องค์รัชทายาทนำอ๋องอันไปเป็นตัวแทนจัดงานเลี้ยงต้อนรับภายในวังในช่วงหลายปีที่ผ่านมา อ๋องอันไม่เคยสนใจเรื่องราชกิจภายในราชสำนัก แต่เขาคุ้นเคยกับอ๋องฉีเป็นอย่างดี ดังนั้นจึงเป็นการเหมาะสมที่สุดที่จะให้เขาเตรียมการต้อนรับอ๋องฉีเมื่อราชทูตเข้าสู่เมืองหลวง สนธิสัญญาพันธมิตรก็ได้ลงนามอีกครั้ง ดังนั้นราษฎรในเมืองหลวงจึงเต็มไปด้วยความปิติยินดีเป่ยโม่เต็มไปด้วยม้าดี ดังนั้นครั้งนี้อ๋องฉีจึงนำม้าดีนับร้อยสายพันธุ์มาให้ ซึ่งพวกมัน
ราชวงศ์ต้าโจวไม่ควรทำการตัดสินใจเช่นนี้ แม้ว่าองค์รัชทายาทจะขึ้นครองราชย์ไม่ช้าก็เร็ว แต่ว่าจวบจนถึงตอนนี้ความสามารถขององค์รัชทายาทนั้นยังไม่มากพอ ไม่อาจดำรงคำแหน่งองค์จักรพรรดิได้ อย่างน้อยขั้นต่ำยังต้องขัดเกลาอีกนับสิบปีถ้อยคำนี้ได้ยินไปถึงหูของหวงไท่โฮ่วด้วย ทำให้หวงไท่โฮ่วไม่พอพระทัยเป็นอย่างมากฮองเฮาเฝ้าดูสีหน้าของหวงไท่โฮ่วมาโดยตลอด เมื่อเห็นว่านางแสดงสีหน้าเช่นนั้น ก็รู้ได้เลยว่านางกำลังคิดอะไรอยู่ในใจ นางยิ้มอย่างเย็นชา อย่างที่คาดไว้ นางไม่เคยคิดที่จะให้องค์รัชทายาทปกครองบ้านเมือง ดูท่าแล้วที่ท่านพ่อดึงคนมากมายเข้ามาเป็นพวกจะเป็นสิ่งที่จำเป็นจริง ๆหลังจากได้ยินคำพูดของเหลียงไท่ฟู่ อ๋องอันก็พูดเสียงเรียบว่า “ไท่ฟู่จะกังวลไปใย? องค์รัชทายาทย่อมจะไม่ถือสาท่านอ๋องอยู่แล้ว พวกเราก็เช่นกัน ผู้ไม่รู้ย่อมไม่ผิด จะว่าไปแล้วท่านอ๋องก็ไม่ได้มีเจตนาร้าย"หวงไท่โฮ่วกล่าว “เอาล่ะ อย่ามัวยืนกันอยู่เลย ท่านอ๋องเชิญนั่ง!”อ๋องฉีมองไปที่หวงไท่โฮ่ว และนึกได้ว่ายังไม่ได้แสดงความเคารพ เขารีบก้าวไปข้างหน้า "ราชทูตเป่ยโม่ขอถวายบังคมหวงไท่โฮ่วแห่งต้าโจว ขอให้พระองค์มีพระพลานามัยแข็งแรง มีอายุ
จื่ออันพูดไม่ออกไปชั่วขณะ คนตายปรากฎตัวต่อหน้าทุกคน ไม่ต้องพันแผลให้ดีก็ต้องเจิดจรัสอย่างแน่นอน อีกทั้งยังทำให้คนตกใจได้อีกเซียวท่าแอบมองจื่ออันแล้วก็มองไปที่มูหรงเจี๋ย "พวกเจ้ามองอะไรกัน? เซี่ยจื่ออัน เจ้าเป็นห่วงท่านอ๋องเหรอ?"จื่ออันรีบหันศีรษะไปทางอื่น "เขาเป็นคนไข้ของข้า ข้าเป็นห่วงคนไข้ของตัวเองแล้วมันจะมีปัญหาอะไร? เตรียมตัวทานอาหารกันเถอะ"เซียวท่ามองไปที่นางอย่างมึนงง "เจ้าหน้าแดงแล้ว? ทำไมเจ้าถึงหน้าแดง?"ซูชิงเข้ามาพร้อมกับอาหาร และพูดกับเซียวท่า"พอได้แล้ว เรื่องพวกนี้เจ้าไม่เข้าใจหรอก จะถามมากมายไปทำไม? ทานอาหารกันเถอะ"เซียวท่ารู้สึกประหลาดใจมาก "เจ้าเข้าใจเหรอ? งั้นเจ้าบอกข้ามาหน่อย"ซูชิงพูดอย่างอารมณ์เสีย: “ทานอาหารกันได้แล้ว”จื่ออันออกไปอย่างรวดเร็ว ไม่กล้าแม้แต่จะมองมู่หรงเจี๋ยด้วยซ้ำ หลังจากออกไปนางก็รำคาญกับความใจเสาะของตนเอง ยังไงเสียนางก็เป็นคนสมัยใหม่ที่มาที่นี่ แค่ถูกเซียวท่าพูดใส่ไม่กี่คำก็เขินอายอย่างไร้เหตุผลแล้วหรือ?เขาพูดว่านางเป็นห่วงมู่หรงเจี๋ยก็ถือเป็นจริงเป็นจังแล้ว? ถึงแม้จะเป็นห่วงแต่มันก็ถือเป็นเรื่องปกตินี่ เพื่อที่จะช่วยชีวิตเขา ทำเอานาง
นางหวังอย่างยิ่งว่าจะสามารถใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ได้ตลอดไปไม่เปลี่ยนแปลง“จื่ออัน!” มู่หรงเจี๋ยมองนาง หางตาที่เยือกเย็นของเขาแปรเปลี่ยนเป็นดวงตาที่อ่อนโยนอย่างหาใดเปรียบมิได้“เพคะ!” จื่ออันตอบอย่างแผ่วเบา พยายามไม่สบตาเขา แม้ว่าเขาจะดูอ่อนโยนและเป็นมิตรมากแค่ไหน แต่หลังจากคืนนี้ไปเขาจะเปลี่ยนกลับไปเป็นผู้สำเร็จราชการผู้สูงส่งคนนั้นนางไม่อาจปล่อยให้ตัวเองปรับตัวเข้าหาเขาผู้นี้ มิฉะนั้นเธอจะผิดหวังในอนาคต“คืนนี้เจ้ากับข้ากลับไปที่วังด้วยกัน การเดินทางครั้งนี้อาจมีอันตราย แต่ว่าข้าจะปกป้องให้เจ้าปลอดภัยอย่างสุดกำลัง หลังจากกลับวังไปแล้ว หากทุกอย่างเป็นไปด้วยดี คืนนี้ประกาศเรื่องการอภิเษกสมรสของพวกเรา”จื่ออันเงยหน้ามองเขา รอยแผลและเลือดที่คั่งบนใบหน้าของนางชัดเจนขึ้นเล็กน้อย "ท่านอ๋อง อภิเษกกับข้า คือ..." นางอยากถามว่าที่แต่งงานกับนางเป็นเพราะทำตามพระราชเสาวนีย์ หรือเพราะข้อดีเพียงเล็กน้อยของนาง?แต่ก็ถามไม่ออก พอเกือบจะพูดออกมา ก็ต้องกลืนคำพูดเข้าไป"การอภิเษกกับข้านั้นเป็นความคิดของหวงไท่โฮ่ว ท่านสามารถคัดค้านพระองค์ได้"“เหตุผลในการคัดค้าน?” มู่หรงเจี๋ยกล่าวถามอย่างแผ่วเบา ความอ่อ
ร่างกายของมู่หรงเจี๋ยแข็งทื่อไปชั่วขณะ แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะการสัมผัสใกล้ชิดกับหญิงสาว แต่เพราะนางซุกที่อกเขาราวกับเป็นแมว ทำให้หัวใจของเขาสั่นไหวไปชั่วขณะอย่างไรก็ตาม ความรู้สึกนี้แฝงไปด้วยความรู้สึกที่ดีอย่างลึกซึ้งเขาเพิ่งจะยื่นมือออกไปหมายจะกอดนาง แต่นางกลับผละออกไปแล้ว นางคลำหาของบนตัว ท้ายที่สุดก็ทำได้เพียงหยิบห่อใส่เข็มและผ้าเช็ดหน้าออกจากแขนเสื้อ แถมผ้าเช็ดหน้าก็ยังสกปรกมากอีกด้วยนางเคอะเขินเล็กน้อย นางคลำไปที่มวยผม มีเพียงปิ่นปักผมอันเดียว ถ้าดึงออกเส้นผมก็จะร่วงลงมาแต่นางก็ยังคงดึงมันออกมา เมื่อวางห่อใส่เข็มลงเรียบร้อยแล้ว จากนั้นนางก็ถือผ้าเช็ดหน้ากับปิ่นปักผมไว้ในมือ "ท่านอยากได้ชิ้นไหน?"มู่หรงเจี๋ยมองไปที่มือของนาง และมองไปที่แหวนแห่งจิตวิญญาณ "แหวนวงนี้..."“อันนี้ไม่ได้ แหวนนี้ไม่ได้ มันสำคัญมากและเป็นของที่ระลึกมีคุณค่ามาก” จื่ออันผงะ และรีบซ่อนมือของนางไว้มู่หรงเจี๋ยรู้ว่าแหวนวงนี้มีความพิเศษอยู่บ้าง ตอนที่เห็นนางฝังเข็มให้อ๋องเหลียงแล้วใช้แหวนวงนี้กดลงไป “ข้ากำลังจะบอกว่าแหวนวงนี้น่าเกลียด ข้าไม่ต้องการมัน” เขาหยิบปิ่นปักผมมาเพื่อใช้เกล้าผมให้จื่ออัน เกล
การปรากฏตัวของหยวนซื่อ ดึงดูดความสนใจเป็นอย่างมาก หญิงสาวผู้มีพรสวรรค์ที่หายสาบสูญไปหลายสิบปี ราวกับกําลังเดินออกมาจากภาพวาด ทําให้หลายคนในที่นี้นึกถึงตอนที่ขุนนางชั้นสูงในเมืองหลวงไล่ตามนางไปเมื่อสิบกว่าปีก่อนตั้งแต่นางปรากฏตัว ดวงตาขององค์ชายอันก็ไม่เคยละสายตาไปจากนางอ๋องฉีที่นั่งข้างองค์ชายอัน กระซิบเบา ๆ ว่า “คุณหนูใหญ่หยวน ช่างไม่ต่างจากเมื่อก่อนเลย”ระหว่างที่ทั้งสองแคว้นทําสงคราม องค์ชายอันและองค์ชายฉีก็เริ่มสัญจรไปมา แม้ว่าตอนนั้นจะเป็นศัตรู อ๋องฉีก็รู้ถึงความสำคัญของสุภาพบุรุษ และองค์ชายอันก็ชื่นชมหยวนซื่อ อ๋องฉีก็รู้เรื่องนี้เช่นกันในที่สุดความสัมพันธ์นี้ก็จบลงด้วยดี และในเวลานั้นเขาได้แสดงความเสียใจเมื่อมหาเสนาบดีเซี่ยเห็นว่าทุกคนให้ความสนใจกับหยวนซื่อ มันทำให้เขาพอใจมากเขาพาหยวนซื่อมาร่วมงานคืนนี้ มีจุดประสงค์ชัดเจนมาก เพื่อใช้หยวนซื่อดึงดูดความสนใจของทุกคน ก่อนออกเดินทางเขาได้สั่งสอนหยวนซื่อไว้แล้ว หากครู่หนึ่งก็มีข้อถกเถียงเรื่องการบริหารบ้านเมือง นางจะออกมาพูดแทนองค์รัชทายาทเขารู้จักอิทธิพลของหยวนซื่ออย่างลึกซึ้ง ชื่อเสียงของหยวนซื่อนั้นไม่เพียงเพราะนางเป็นผ
ขุนนางที่ไม่รู้เรื่องถามท่านอัครเสนาบดีเซี่ยด้วยรอยยิ้ม "ท่านมหาเสนาบดี ท่านมีข่าวดีอะไรท่านก็พูดมาเถอะ อย่ามัวแต่ยกแก้วขึ้นรอ พวกเราร้อนใจมาก”มหาเสนาบดีเซี่ยมองไปรอบ ๆ ฝูงชน รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาลึกซึ้งขึ้น "เป็นเช่นนั้น ฮองเฮาได้มีพระราชโองการให้องค์รัชทายาทอภิเษกกับหว่านเอ๋ออย่างเป็นทางการแล้ว” เมื่อคําพูดนี้หลุดออกมา ฉากนี้ก็นิ่งงันไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็เริ่มมีเสียงแสดงความยินดีดังขึ้นอย่างช้า ๆ"ขอแสดงความยินดีท่านมหาเสนาบดี ขอแสดงความยินดีกับองค์รัชทายาท ยินดีกับคุณหนูรอง ด้วยพ่ะย่ะค่ะ"แม้จะเป็นคนที่รู้ภายหลังมากแค่ไหน แต่ก็รู้ว่าการที่ท่านมหาเสนาบดีเซี่ยได้ประกาศเรื่องการแต่งงานระหว่างองค์รัชทายาทกับเซี่ยหว่านเอ๋อในตอนนี้ ก็เท่ากับการประกาศจุดยืนของตนเองอย่างไรก็ตามคนส่วนใหญ่กําลังคิดว่าฮองเฮาและจวนอัครเสนาบดีมีความสัมพันธ์กันอย่างต่อเนื่องประการแรกคุณหนูใหญ่ได้กลับใจที่อภิเษกกับอ๋องเหลียง จากนั้นองค์รัชทายาทจะแต่งงานกับคุณหนูรอง ความลึกลับของเรื่องนี้ชัดเจนมากไม่ว่าจะเป็นอย่างไรก็ตาม ความสุขในครั้งนี้มักจำเป็นใบหน้าของหวงไท่โฮ่วดูมืดดำคล้ำและไม่สามารถทําอะไรได้ เพีย
เป็นเพราะตราประทับของคนผู้นี้ เงื่อนไขของการลงนามในพันธสัญญาจึงให้คำมั่นและบังคับใช้จากคนผู้นี้จึงจะดำเนินการได้ ดังนั้นมีเพียงผู้สำเร็จราชการเท่านั้นที่มีอำนาจลงนามองค์รัชทายาทไม่ได้ใส่ใจเรื่องการที่มหาเสนาบดีเซี่ยประกาศเรื่องการแต่งงานของเขากับเซี่ยหว่านเอ๋อเลยแม้แต่น้อย เขารับคําแสดงความยินดีจากขุนนางมากมาย และดูสงบนิ่งอย่างยิ่งอย่างไรก็ตามทันทีที่อ๋องฉีกล่าวเช่นนี้ เขาก็ประหม่าขึ้นมา เขาใช้สายตากวาดมองไปทั่วใบหน้าของเชื้อพระวงศ์และขุนนางอ๋องหลี่ยืนขึ้นมองหวงไท่โฮ่ว “การลงนามในพันธสัญญานี้จำเป็นต้องลงนาม เมันเกี่ยวข้องกับแผนร้อยปีของทั้งสองแคว้น และความสัมพันธ์อันดีระหว่างแคว้น แต่วันนี้ผู้สําเร็จราชการยังไม่ทราบที่อยู่ ใครจะเป็นผู้ลงนามในพันธสัญญานี้พ่ะย่ะค่ะ?”มีผู้คนมากมายในที่สถานที่นั้น ไม่มีใครกล้าที่จะส่งเสียง แม้แต่ลมหายใจของพวกเขาก็ดูเหมือนจะถูกกลั้นไว้อย่างจงใจ เพื่อรอคำตอบจากหวงไท่โฮ่วสมัครพรรคพวกของไท่ฟู่อดทนรอกันอย่างตื่นเต้นและกังวลมากแม้แต่เหลียงไท่ฟู่ที่ผ่อนคลายมาตลอดก็มีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้น เขาสบตากับฮองเฮา ฮองเฮาดูประหม่ามาก นางกําผ้าเช็ดหน้าเบา ๆหวงไท่
ร่างกายของแม่ทัพเฒ่าฉินสั่นสะท้านด้วยความโกรธ “เจ้าสาปแช่งปู่รึ เจ้าเคยคำนึงถึงญาติพี่น้องหรือไม่?”เมื่อหมอหลวงมาถึง กลับไม่มีคนในตระกูลฉินคอยเฝ้าเขาอยู่ในห้อง ดังนั้นจึงมีเพียงแต่บ่าวรับใช้หลังจากตรวจสอบอาการเสร็จ หมอหลวงก็กล่าวด้วยสีหน้าตกตะลึง “ท่านแม่ทัพเฒ่า เมื่อไม่กี่วันมานี้ท่านได้ไปที่ใดมา? แล้วท่านเคยเข้าไปในพื้นที่โรคระบาดหรือไม่?” “ไม่เคย ข้าไม่เคยไปที่นั่น” สีหน้าของแม่ทัพเฒ่าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เมื่อได้ยินคำพูดของหมอหลวง “ท่านกำลังสงสัยว่าข้าติดเชื้อโรคระบาดใช่หรือไม่?”“อาการช่างคล้ายคลึงกันยิ่งนัก” หมอกลวงกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด“เป็นไปไม่ได้!” แม่ทัพเฒ่าฉินรู้สึกตื่นตระหนกอย่างมาก “ท่านวินิจฉัยผิดหรือไม่?”“ข้าจะจัดยาให้ท่านสองชนิดก่อน หากดื่มยาเหล่านี้แล้วไม่ได้ผล เช่นนั้นไม่ใช่ก็ใกล้เคียงแล้วขอรับ” หมอหลวงกล่าวแม่ทัพเฒ่าฉินกล่าวด้วยความลนลาน “ฉินโจวบังคับให้ท่านพูดเช่นนี้ใช่หรือไม่?”หมอหลวงรู้สึกประหลาดใจ “แม่ทัพเฒ่า ท่านหมายความว่าอย่างไร? เหตุใดแม่ทัพฉินถึงต้องบังคับให้ข้าพูดเช่นนี้?”หมอหลวงชะงักไปชั่วครู่หนึ่งแล้วโพล่งถาม “ท่านเคยพูดคุยกับองค์ชายเ
นางสามารถเสียสละได้ แต่จะไม่มีทางทรยศต่อประชาชนเป่ยโม่เด็ดขาดสำหรับความจงรักภักดีต่อองค์จักรพรรดิและประเทศชาติ นางจะต้องรักประชาชนก่อน จึงจะสามารถภักดีต่อองค์จักรพรรดิได้ฉินโจวกล่าวคำเบา “ข้าเข้าไปในพระราชวังเพื่อเชิญหมอหลวงแล้ว ท่านปู่พักผ่อนก่อนเถิด ข้าจะออกไปเดินเล่นรับลมสักหน่อย”ดวงตาของแม่ทัพเฒ่าฉินอัดแน่นด้วยความโกรธ แต่ก็พยายามอย่างหนักเพื่อระงับมันฉินโจวเดินออกจากห้อง และเห็นว่าฉินเป้าน้องชายของตนนั่งอยู่ที่สวน เมื่อเห็นนางเดินออกมา เขาก็ถามว่า “ท่านปู่เป็นอย่างไรบ้าง?”ฉินโจวจำคำพูดของท่านปู่ได้อย่างแม่นยำ จึงเมินเฉยต่อเขาและตอบอย่างใจเย็น “เข้าไปดูด้วยตนเองสิ”ฉินเป้าคลี่ยิ้ม แต่มันกลับดูอ้างว้างอย่างยิ่ง “ข้าได้ยินสิ่งที่ท่านปู่พูดกับท่านแล้ว ข้าไม่อยากเข้าไป”ฉินโจวตกตะลึง “เพราะเหตุใด เขาทุ่มเทความพยายามทั้งหมดไปกับหารวางแผนเพื่อเจ้า เจ้าควรขอบคุณท่านปู่สิ”ฉินเป้าหัวเราะเยาะ “จริงรึ? หากเขาทอดทิ้งท่านเพื่อตระกูลได้ ในอนาคตเขาจะไม่ทอดทิ้งข้าหรือ? ข้าไม่ต้องการชื่อเสียงหรือความดีงามใด ๆ พวกมันไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการเลย”ฉินโจวดูถูกน้องชายมาโดยตลอด เพราะเขาไม่ได
ทั้งสองคนเดินออกไปและหยุดอยู่บนทางเดิน หมอมองฉินโจวพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “ท่านแม่ทัพ ข้ากำลังสงสัยว่าท่านแม่ทัพเฒ่าจะป่วยด้วยโรคระบาดขอรับ”ฉินโจวตกตะลึง “โรคระบาด? เป็นไปได้อย่างไร? ปู่ของข้าไม่เคยออกไปข้างนอก และไม่เคยติดต่อกับผู้ป่วยโรคนี้เลย แล้วเขาจะติดเชื้อโรคระบาดได้อย่างไร?”“ข้าเคยรักษาผู้ป่วยโรคระบาดมาก่อน ซึ่งอาการคล้ายคลึงกันอย่างมาก ผู้ป่วยจะมีไข้สูง ไอ ตาแดง หายใจเร็วขึ้น เมื่อเกิดอาการเหล่านี้พร้อมกันจะอันตรายอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นโรคนี้ยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาดขอรับ” หมอกล่าว“เป็นไปไม่ได้ หากจะติดเชื้อโรคระบาดก็ต้องสัมผัสกับผู้ป่วยที่มีเชื้ออยู่แล้ว แต่ท่านปู่ของข้าไม่เคยใกล้ชิดคนเหล่านั้นเลย แล้วเขาจะติดเชื้อได้อย่างไร?” ฉินโจวยังคงไม่เชื่อหมอประสานหมัด “ทั้งหมดนี้คือคำวินิจฉัยของข้า หากท่านแม่ทัพไม่เชื่อ ก็สามารถขอให้หมอคนอื่นมาตรวจดูได้ หรือท่านจะพาเขาไปที่พระราชวัง และขอให้หมอหลวงช่วยตรวจอาการ ข้าไร้ความสามารถ จึงอาจวินิจฉัยผิดพลาดได้ ลาก่อนขอรับ ๆ!”สิ้นคำ หมอก็หยิบกล่องยาแล้วออกไปโดยไม่เขียนใบสั่งยาด้วยซ้ำฉินโจวสับสนไม่น้อย ท่านปู่ติดเชื้อโร
หัวใจของฉินโจวเย็นเยียบราวกับน้ำ “ใช่ ตราบใดที่ข้าตายในสนามรบ ตระกูลฉินก็ยังจะเป็นผู้กล้า และเป็นขุนนางผู้มีเกียรติ”แม่ทัพเฒ่าฉินเงียบไปครู่ใหญ่ จากนั้นกล่าวคำเบา “ในฐานะหลานสาวตระกูลฉิน มันเป็นหน้าที่ของเจ้าที่ต้องเสียสละเพื่อชื่อเสียง และรากฐานของตระกูล”ฉินโจวกำหมัดแน่นด้วยความไม่พอใจ “หลายปีที่ผ่านมานี้ ข้ายังทำไม่พออีกหรือ? ตอนนี้มีใครในตระกูลฉินบ้างที่ไม่เกาะกินเลือดนี้ของข้า?”แม่ทัพเฒ่าฉินลุกยืนขึ้นพลางกล่าวอย่างเย็นชา “ข้าเคยเตือนเจ้าแล้ว คราวนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เจ้าจะต้องเข้าไปในพระราชวัง ข้าให้คำมั่นกับฮองเฮาเฉาแล้ว ว่าวันนี้เจ้าจะไปที่นั่นเพื่อทูลขอรับคำสั่ง หากเจ้าไม่ไป ข้าก็จะรับคำสั่งและออกรบด้วยตนเอง”“ท่าน...” ฉินโจวมองเขาด้วยสายตาโศกเศร้า “ท่านปู่ ข้าก็เป็นหลานสาวของท่านเหมือนกัน ท่านไม่สงสารข้าบ้างหรือ?”“ปู่สงสารเจ้าสิ แต่ภารกิจหน้าที่ของตระกูลฉินจะต้องถูกส่งต่อ ตอนนี้น้องชายของเจ้าโตพอแล้ว เจ้าจะต้องพาเขาไปสร้างความสำเร็จทางการทหารด้วย และเจ้าจะได้รับส่วนแบ่งของน้องเจ้า เมื่อถึงเวลานั้น ตระกูลฉินก็จะได้ผู้สืบทอดคนใหม่”ฉินโจวผงะไปชั่วครู่ ก่อนระเบิดหัวเราะ
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินโจว แม่ทัพเฒ่าฉินก็โมโหมากจนเคราสั่นสะท้าน “อาโจว อะไรจะสำคัญไปกว่าการบรรลุเป้าหมายอันยิ่งใหญ่? องค์จักรพรรดิเพียงต้องการขยายอาณาเขตของแคว้น เจ้าควรรู้เอาไว้ว่าเมื่อเรายึดครองต้าโจวสำเร็จ เป่ยโม่จะมีพื้นที่เพิ่มมากกว่าครึ่งหนึ่ง และมันจะเป็นความดีความชอบของตระกูลฉิน ทำให้ตระกูลของเราถูกจดจำไปหลายชั่วอายุคน! นี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าต้องการมาตลอดรึ? เจ้าไม่ต้องการบอกคนทั้งโลก ว่าแม้ฉินโจวจะเป็นสตรี แต่นางก็สามารถประสบความสำเร็จได้อย่างผ่าเผยหรือ?”ฉินโจวมองดูใบหน้าที่ฉายแววตื่นเต้นปนโกรธเกรี้ยวของปู่ ทันใดนั้นนางก็สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติถูกต้อง มันคือความต้องการของนาง แต่ความสำเร็จของนางจะต้องไม่แลกกับการเหยียบย่ำกระดูกของประชาชนชาวเป่ยโม่นางรักเป่ยโม่และหวังที่จะขยายอาณาเขตของแคว้น นอกจากนี้นางยังต้องการเสาะหาดินแดนอุดมสมบูรณ์เพื่อประชาชน เพราะหวังว่าพวกเขาจะสามารถอยู่อาศัยและทำกินอย่างสงบสุข และพึงพอใจโดยไม่ต้องทนทุกข์จากการพลัดถิ่นอย่างไรก็ตาม ในตอนนี้หากต้องการบรรลุอำนาจ นางจำต้องสละชีวิตประชาชนจำนวนมาก และนำเงินภาษีของทุกคนมาใช้ในการทำสงคราม ทำให้โรคร
มือสังหารเหล่านั้นแต่งกายคล้ายกับชาวต้าโจวและสวมหน้ากากผ้าสีดำ กลุ่มคนนิรนามราวเจ็ดถึงแปดคนกระโดดลงมาจากท้องฟ้ากลางวันแสก ๆ ทันทีที่เท้าของคนเหล่านั้นแตะพื้น พวกมันก็เริ่มโจมตีอย่างดุดันฉินโจวเห็นมือสังหารคนหนึ่งกระโดดขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับกระบี่ยาว จากนั้นร่ายรำอยู่หลายกระบวนท่าราวกับนางฟ้าโปรยดอกไม้ ขณะแสงแดดตกกระทบกระบี่ส่องกระจายไปทั่วเหล่าทหารที่เพิ่งมาถึงกระโจนเข้าไปร่วมวงต่อสู้อย่างรวดเร็วหลังจากประดาบกันไปกว่าร้อยครั้ง มือสังหารก็ถูกบีบบังคับให้ล่าถอย ฉินโจวจ่อกระบี่ไปที่คอของหนึ่งในมือสังหาร พลางถามเสียงเข้ม “ตอบข้า ใครเป็นคนส่งเจ้ามา?”มือสังหารตอบอย่างเย็นชา “ฆ่าไอ้หมารับใช้เป่ยโม่ให้หมด!”“หมารับใช้เป่ยโม่? เห็นได้ชัดว่าพวกเจ้าไม่ได้เป็นคนเป่ยโม่ พวกเจ้ามาจากต้าโจวใช่หรือไม่?” ฉินโจวโมโหอย่างมาก ขณะชี้ดาบไปยังหน้าอกของอีกฝ่าย “ไอ้เลวมู่หรงเจี๋ยส่งพวกเจ้ามาใช่หรือไม่?”“หญิงเลวอย่าเจ้ากล้าเอ่ยชื่อของท่านอ๋อง ทำให้พระองค์มัวหมองได้อย่างไร?” มือสังหารตะโกนฉินโจวชักดาบกลับพร้อมกล่าวอย่างเย็นชา “กลับไปซะ!”มือสังหารตกตะลึง ราวกับไม่คาดคิดว่าฉินโจวจะปล่อยตัวเขาไป”เ
ฉินโจวกล่าวด้วยความโมโห “ข้าหลอกลวงเจ้าเมื่อไร?”“ไม่งั้นรึ? เจ้าและอ๋องฉีเอ่ยปากว่า หากจื่ออันตกลงเดินทางมาที่เป่ยโม่ พวกเจ้าจะส่งองค์ชายรัชทายาทไปที่ต้าโจวเป็นองค์ประกัน แล้วพวกเจ้าทำตามที่พูดแล้วหรือไม่?”“องค์ชายรัชทายาทเดินทางไปยังต้าโจวแล้ว!”“ผู้ที่เดินทางไปยังต้าโจวคือองค์ชายเจ็ด ไม่ใช่องค์ชายรัชทายาท องค์ชายเจ็ดไม่ได้เป็นที่โปรดปราน ดังนั้นจักรพรรดิเป่ยโม่จะส่งเขาไปสังเวยเมื่อใดก็ได้”“เป็นไปไม่ได้!” ฉินโจวประหลาดใจอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าผู้ที่เดินทางไปคือองค์ชายรัชทายาท เพราะองค์จักรพรรดิทรงตรัสด้วยตนเองว่าจะส่งเขาไปที่ต้าโจว“เจ้าอย่าเพิ่งสนใจเรื่องนี้เลย ก่อนหน้านี้ทั้งสองแคว้นตกลงทำสนธิสัญญาสงบศึก หลังจากการแพร่ระบาดสิ้นสุดลง แต่เจ้ากลับวางแผนโจมตีพวกเราในขณะที่ข้ายังอยู่ที่เป่ยโม่ เจ้าจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร?” มู่หรงเจี๋ยกล่าวอย่างเคร่งเครียดฉินโจวตอบ “ผิดแล้ว เป็นเพราะต้าโจวที่เคลื่อนทัพโจมตีทหารฝั่งขวาของเราก่อน และสังหารทหารของเราไปกว่าร้อยคน ข้าจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเคลื่อนทัพเข้าไปใกล้ เพื่อบีบบังคับให้พวกเจ้าถอยกลับ”“ไร้สาระ กองทัพของเราหยุดเคลื่อนท
อย่างไรก็ตาม การจัดหาเสบียงอาหารสำหรับพื้นที่ภัยพิบัติยังไม่เพียงพอ และยังขาดแคลนเสื้อผ้าอาภรณ์ นอกจากนี้หลังจากที่พระชายาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มาถึงเป่ยโม่ ก็ยังไม่ได้รับใบสั่งยาแม้แต่ฉบับเดียว ดังนั้นความอดทนของประชาชนจึงค่อย ๆ หมดลง แต่ความโกรธและความขุ่นเคืองกลับยิ่งมากขึ้นทันทีที่ข่าวลือแพร่สะพัด ก็เป็นเสมือนเป็นการขว้างเปลวไฟใส่ ‘ระเบิด’ หนึ่งหมื่นตุน ทำให้มันระเบิดออกอย่างรวดเร็วผู้ประสบภัยนับไม่ถ้วนหลั่งไหลเข้าสู่เมืองหลวงอย่างรวดเร็วหลังจากที่ฉินโจวลงจากภูเขา นางก็พบว่าองค์จักรพรรดิทำอะไรกับทหารม้า และทหารเจ็ดหมื่นนายที่ประจำการที่เมืองหลวง ซึ่งเขาออกคำสั่งให้ทหารเหล่านั้นขับไล่เหล่าผู้ประสบภัยออกไปนางเห็นด้วยตาตนเองว่าทหารใต้บังคับบัญชาของนางสร้างกำแพงมนุษย์อันแน่นหนา เมื่อผู้ประสภัยเดินทางเข้ามา พวกเขาก็จะโบกหอกเพื่อขับไล่คนเหล่านั้นออกไปผู้ประสบภัยมากกว่าสิบรายได้รับบาดเจ็บจากหอกทหารเหล่านั้นอยู่ใต้บังคับบัญชาของนาง แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะไม่ได้ฆ่าผู้ใด แต่เมื่อสถานการณ์รุนแรงขึ้นจะต้องมีการฆ่าแกงกันอย่างแน่นอนฉินโจวโกรธจัดจึงขี่ม้าเข้าไปขวางเอาไว้ “หยุด หยุดเ
ฉินโจวกวาดสายตามองพลางเยาะเย้ยจื่ออันไม่สนใจนาง และพาหลินตานไปยังเขตตะวันตกภายในสองวันนี้มีผู้เสียชีวิตถึงสามคน ซึ่งทั้งหมดถูกหามออกไปหลังจากที่หลินตามเดินเข้ามาเขาหลั่งน้ำตาหลั่งน้ำตาขณะมองดูการเผาศพจื่ออันไม่คิดว่าเขาจะมีความอ่อนไหวมากเพียงนี้ “ท่านหมอหลิน ท่านเป็นอะไรหรือไม่?”หลินตานปาดน้ำตา “ข้าขอโทษ ข้าเพียง... คิดถึงครอบครัวขอรับ”“ครอบครัวของท่าน? แล้วตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ใดหรือ?” จื่ออันถาม“ตายหมดแล้วขอรับ ภรรยาและลูกสะใภ้ของข้าตายเพราะเหตุแผ่นดินไหวทั้งคู่ ส่วนลูกชายและหลานชายติดเชื้อโรคระบาดก่อนตายไปเช่นกัน ข้าจึงเป็นคนเดียวที่เหลือรอด” หลินตานสูดหายใจเข้าลึก ใบหน้าที่อยู่ภายใต้ผมสีขาวฉายแววความเศร้าโศกและหดหู่จื่ออันไม่คาดคิดว่าเขาจะมาจากพื้นที่โรคระบาดเช่นกัน เมื่อเห็นสีหน้าเศร้าสร้อย จื่ออันก็ไม่รู้จะปลอบใจเขาเช่นไร จึงได้แต่นิ่งเงียบและอยู่เคียงข้างไม่นานหลินตานก็ถามว่า “ท่านหมอเซี่ย โรคระบาดนี้สามารถรักษาหายได้จริงหรือขอรับ?”ตอนนั้นเองจื่ออันก็นึกได้ว่าเขาเป็นหมอเท้าเปล่า และหลังจากเดินทางพเนจรไปที่ต่าง ๆ เขาอาจรู้จักจินเย่าฉือก็เป็นได้ ดังนั้นจึงรีบถามว