นางมีแผลเป็นบนใบหน้าและบนร่างกายก็มีด้วยเช่นกัน ตอนที่นางกระโดดลงจากหน้าผา ถึงแม้ว่าจะตกลงบนพื้นราบชั้นแรก แต่นางก็ไม่สามารถทรงตัวได้ และได้กลิ้งลงมาที่พื้นราบถัดไปแล้วจากนั้นนางก็รีบซ่อนตัวที่หินที่ยื่นออกมาด้านล่างอย่างรวดเร็วรอจนองครักษ์ทั้งสองจากไป นางถึงกล้าที่จะปรากฏตัวออกมา โชคดีที่ตรงนั้นมีแสงแดดสาดส่องมา จนทำให้นางสามารถแก้เชือกได้อย่างราบรื่น และรอจนถึงเซียวท่ามาช่วยได้“เจ็บไหม?” เขาถามด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้ง ด้วยความสุขุมนุ่มลึกที่มีสเน่ห์น่าหลงใหล นัยน์สีดำของเขาราวกับบ่อน้ำลึกสองบ่อ สะท้อนให้เห็นถึงรูปลักษณ์ของนางจื่ออานส่ายหัว "ไม่!" อันที่จริงมันก็ไม่เจ็บจริง ๆ คนที่เคยอยู่ในหน่วยสืบราชการลับจะถูกบาดแผลตื้น ๆ ทำให้ล้มลงได้อย่างไรกัน?นิ้วของมู่หรงเจี๋ยแตะลงไปบนแผลที่ค่อนข้างใหญ่ที่คอของนาง ปลายนิ้วแทบไม่มีอุณหภูมิ เย็นและสั่นเล็กน้อยของเขา เขาใช้กำลังทั้งหมดของร่างกายเพื่อยกมือขึ้นมาจื่ออานจับมือเขาแล้ววางลงอย่างนุ่มนวล พลางพูดว่า "ท่านอ๋องฟื้นขึ้นมาได้นั้น ช่างดียิ่งกว่าสิ่งอื่นใด มีอีกหลายคนที่เป็นห่วงพระองค์นะเพคะ"มุมปากของมู่หรงเจี๋ยโค้งขึ้นเล็กน้อย และมีรอ
เซียวท่าอุกินอาออกมา “นั่นมันแป้งที่หมอดูลวงโลกเถาเต๋อใช้ใส่แผลให้อาเจี๋ยนี่?”“เถาเต๋อ?” มูหรงเจี๋ยพอได้ยินคำนี้ ก็ลืมตาที่ดูเย็นชาขึ้นมา แล้วมองไปที่เซียวท่าเซียวท่ากล่าว "ตอนที่ท่านยังไม่รู้สึกตัว ไท่เฟยได้เรียกตัวนักพรตเถาเต๋อเข้ามารักษาท่าน และเขานำผงแป้งชนิดนี้มาทาบนบาดแผลของท่าน จากนั้นอาการของท่านก็แย่ลงอย่างน่าตกใจ"จื่ออานกล่าว "อาการของท่านไม่สู้ดีมาโดยตลอด แต่หลังจากที่ทาผงแป้งชนิดนี้ลงไปแล้ว แผลก็อักเสบจนเป็นหนองภายในสองชั่วยาม ข้าเลยสงสัยว่าผงแป้งชนิดนี้มีพิษ"“เถาเต๋อ!” มู่หรงเจี๋ยเอ่ยชื่อนั้นเบา ๆ “คนของอารามฝูเต๋อใช่ไหม?”“ใช่ ท่านก็รู้จักด้วยเหรอ?” เซียวท่ามองเขาด้วยความประหลาดใจ “ข้าไปสืบเรื่องคนผู้นี้ทีหลัง และพบว่าเขามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับไท่เฟยมานานแล้ว คนผู้นี้ปิดบังเจตนาร้ายไว้ คราวนี้ไท่เฟยถูกเขาแหกตาเข้าให้แล้ว"มู่หรงเจี๋ยไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่สีหน้าของเขาแลดูมืดหม่นมากจื่ออานเพียงสนใจแต่ผงแป้งเท่านั้น ไม่ใด้มองไปทางเขา ในทางกลับกันเซียวท่ามองไปที่มู่หรงเจี๋ย และเห็นว่าสีหน้าของเขาเปลี่ยนไปเป็นดูไม่ได้ในทันที และกล่าวถาม "เกิดอะไรขึ้น? รู้สึกเจ็บที
ก่อนที่เซียวท่าจะออกไป ซูชิงก็ได้เข้ามาเซียวท่าถาม "เจ้าจัดวางกองกำลังไว้ดีแล้วหรือยัง?"“วางใจได้ บริเวณใกล้ ๆ นี้ได้มีการดักซุ่มไว้ทั้งหมดแล้ว เมื่อมีคนค้นหาแถว ๆ นี้ พวกที่อยู่ห่างออกไปห้าลี้ ท่านก็จะได้รู้” ซูชิงกล่าว“งั้นก็ดี ข้าจะออกไปซื้อของสักหน่อย เจ้าคอยสังเกตุการณ์ที่นี่” เซียวท่าพูดพลางแล้วก็เดินไปจูงม้าซูชิงรีบหยุด "ท่านแม่ทัพ ท่านปลอมตัวสักหน่อยเถิด เวลาจะเข้าออกจากเมือง มันจะได้ไม่ดึงดูดความสนใจของผู้คน"“จริงด้วย!” เซียวท่าเข้าไปด้านในเรือน เปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าที่แลดูเรียบง่ายและติดเคราปลอม ที่นี่คือที่ที่พวกเขาใช้เพื่อพักผ่อน พวกเขาปลูกผัก ตกปลาและปรุงอาหาร เจ้านายเหล่านี้ล้วนไม่มีงานอดิเรกอื่น ๆ มีแต่พวกงานสวนงานเกษตรพวกนี้ที่ทำให้พวกเขามีความสุข ดังนั้นสิ่งของ ๆ ชาวนา ในเรือนหลังนี้มีทุกอย่างในกลางดึก อุณหภูมิร่างกายของมู่หรงเจี๋ยสูงขึ้นเรื่อย ๆจื่ออานให้เขากินยา แล้วเช็ดตัวเขาด้วยสุราเพื่อทำให้ตัวเขาเย็นลงสุรานี้เป็นสุราที่แรงที่สุด ประมาณหกสิบดีกรี และแอลกอฮอล์ที่ทางการแพทย์ใช้จะอยู่ที่เจ็ดสิบห้าดีกรี แม้ว่าสุรานี้จะไม่เหมาะเท่าแอลกอฮอล์ในการฆ่าเชื้อบา
เวลาผ่านไปสองชั่วยาม ในที่สุดอุณหภูมิร่างกายก็ลดลงอย่างช้า ๆเมื่อได้ยินว่าอุณหภูมิร่างกายลดลงแล้ว ซูชิงและเซียวท่าต่างก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก จื่ออานเห็นว่าพวกเขาเหนื่อยมากแล้ว จึงเอ่ยว่า “ตอนนี้สถานการณ์ทรงตัวแล้ว พวกท่านควรไปนอนพักเสียก่อน พรุ่งนี้ยังมีเรื่องที่ต้องทำอีกมาก”เซียวท่ากล่าวว่า “ไม่ ท่านต่างหากที่ควรไปนอน ข้าจะดูแลที่นี่เอง”เซียวท่าเห็นว่าเธอเหนื่อยมากในช่วงสองสามวันที่ผ่านมานี้ ไม่ได้เห็นเธอใช้ชีวิตอย่างสงบสุขเลยจื่ออานส่ายหัว “ไม่ ข้ายังต้องตรวจดูอีกครั้ง เราทั้งสามไม่ควรถ่วงเวลาไว้ พวกท่านไปนอนก่อน อีกสองชั่วยามค่อยเปลี่ยนคนอื่นมาแทนข้า ก็เท่ากับว่าเราทั้งสามคนสามารถได้พักผ่อนเหมือนกัน”“ได้” เซียวท่าและซูชิงออกไป พวกเขาเดินไปจัดว่าใครจะมารับช่วงต่อแทนจื่ออานหลังจากที่ผ่านไปสองชั่วยามหลังจากที่ทั้งสองออกไปแล้ว จื่ออานก็ตรวจดูอุณหภูมิร่างกายของเขาอีกครั้ง มันก็ค่อย ๆ ลดลงเรื่อย ๆ เห็นได้จากที่ศีรษะที่ค่อย ๆ ขับเหงื่อออกมาทีละน้อยเหงื่อออกได้ดี แสดงว่าการเผาผลาญก็กลับคืนมาจื่ออานถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก เธอนั่งลงที่ขอบเตียง มองดูใบหน้าที่สง่าของมู่หรงเจ
มู่หรงเจี๋ยยิ้มอย่างกะทันหัน ยื่นมือออกไปเรียกให้เธอเข้ามาจื่ออานนั่งลงข้าง ๆ เขา และมองไปที่เขา“เจ้าให้ข้าจิบสักหน่อยเถิด ข้าจะบอกความลับแก่เจ้า เป็นความลับที่เกี่ยวกับเจ้า” มู่หรงเจี๋ยพูดอย่างจริงจังจื่ออานลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ความลับของเธอ? เธอมีความลับอะไรที่เขารู้แต่ตัวเองไม่รู้? เป็นความลับของเจ้าของเดิมหรือไม่? แม้ว่าความทรงจำของเจ้าของเดิมจะยังคงอยู่ในใจของเขาเอง แต่ก็มีบางส่วนที่หายไปใจเธอเต้นแรง แต่ก็ยังส่ายหัว “อยากดื่มก็ไปเอาเอง ท่านอาการดีขึ้นแล้ว ก็ต้องไปหยิบเองได้”แม้ว่าจะมีความสนใจอยู่มาก แต่เธอก็ยังมีจรรยาบรรณของความเป็นหมอ สีหน้าของมู่หรงเจี๋ยหม่นลง “ช่างเป็นผู้หญิงที่ดื้อรั้นยิ่งนัก ไม่ชอบเลย”จื่ออานวางมือลงบนเตียง แล้วพูดว่า “ผู้ป่วยที่ไม่เชื่อฟังจนเกินไป หมอก็ไม่ชอบเหมือนกัน”มู่หรงเจี๋ยมองไปที่ใบหน้าของเธอ อดไม่ได้ที่จะยื่นมือออกมาอีกครั้ง “หน้าของเจ้าเหมือนเจ้าแมวที่ทำตาขาวด้วยความหวาดกลัว ไปเอายามาหน่อย”“ไม่เห็นจะมีเลย ที่นี่ไม่มีกระจก ไม่เป็นไรหรอก แผลที่ผิวหนังภายนอกประเดี๋ยวก็หายดี” จื่ออานไม่ได้ฆ่าเชื้อที่แผลด้วยซ้ำ“เอามานี่” มู่หรงเจี๋ยสั
จื่ออานใช้ฝ้ายจุ่มอีกครั้ง มู่หรงเจี๋ยขมวดคิ้วและพูดว่า “เจ้าต้องทำให้ชุ่มอีกหน่อยนะ”จื่ออานโยนฝ้ายทิ้งไป “ไม่ได้ แค่อึกเดียวก็พอแล้ว”“ให้อีกสักอึกได้ไหม?” ดวงตาของมู่หรงเจี๋ยเบิกกว้างและมองเขาอย่างไม่พอใจ “แค่นั้นข้ายังไม่รู้รสชาติของเหล้าเลยว่าเป็นยังไง”จื่ออานยืนขึ้นและพูดว่า “ถ้าดื่มไม่ได้ งั้นก็ให้ดื่มยาแทนก็แล้วกัน ท่านตื่นแล้วไม่จำเป็นต้องกินอีก”“หมออย่างเจ้าไม่สนใจใยดีคนไข้เสียเลย” มู่หรงเจี๋ยพึมพำจื่ออานไม่สนใจเขา และออกไปอุ่นยาเธอนำยามาให้ และเห็นเขานอนเงียบ ๆ อยู่บนเตียงด้วยสีหน้าที่พูดไม่ออก ซึ่งไม่รู้ว่ามันเศร้าหรืออารมณ์โกรธกันแน่เมื่อเห็นเธอเข้ามา เขาก็คว้าแขนของเธอไปทันที และมองไปทางด้านข้างของเธอด้วยท่าทางที่ผ่อนคลายมากขึ้นจื่ออานแสร้งทำเป็นว่าไม่เห็นเขา จึงนั่งลงข้างเตียง แล้วเอาช้อนป้อนยาเขาให้ความร่วมมือดีมาก ดื่มยาทั้งหมดจนหมด จากนั้นก็ถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอกเขาไม่ได้ถามเกี่ยวกับการย้ายมาที่นี่หลังจากที่เขาได้รับบาดเจ็บ ราวกับว่าเขาไม่สนใจเลยจื่ออานวางถ้วยยาลง แล้วก็หาวโดยไม่รู้ตัวมู่หรงเจี๋ยมองไปที่นาง “ขึ้นมานอนเถิด”จื่ออานหันกลับมา เก
หลังจากสองชั่วยามที่เซียวท่ากลับมา เขาเปิดประตูเข้ามาคิดที่จะเปลี่ยนเวร แต่กลับพบว่าจื่ออานนอนอยู่บนเตียง และหลับสนิทแล้วเธอหันหน้าไปทางมู่หรงเจี๋ย มือเธออยู่ที่หน้าผากของเขา เธอน่าจะตรวจหน้าผากของเขาเพื่อวัดไข้มู่หรงเจี๋ยไม่ได้หลับ แต่เขาไม่ได้ขยับตัว เพียงแค่กลอกตามองไปรอบ ๆ เซียวท่า และส่งสัญญาณให้เขาไม่ให้ส่งเสียงดังเซียวท่าดูประหลาดใจเล็กน้อย แต่เขาค่อย ๆ ย่องกลับไป กลับมาที่ห้องข้าง ๆ เขาปลุกซูชิงให้ตื่น ซูชิงก็กระโดดขึ้นมา “เกิดอะไรขึ้น ตัวร้อนอีกแล้วเหรอ?”“ไม่” เซียวท่านั่งลง “แต่ข้าเห็นพวกเขานอนด้วยกัน”ซูชิงได้ยินไม่ผิด เขาพลิกตัวและบ่นพึมพำว่า “นอนด้วยกันก็ไม่เป็นไรหรอก ตอนนี้ท่านอ๋องก็ไม่สามารถทำอะไรนางได้”เซียวท่าลุกขึ้น “แต่ท่านอ๋องบอกข้าไม่ให้ปลุกนาง”ซูชิงดึงผ้าห่มออก แล้วพูดอย่างหมดความอดทนว่า “จะใช่เรื่องใหญ่อะไรกันเล่า? ก็คนกำลังหลับ”“แต่ทว่าเจ้าเคยเห็นท่านอ๋องห่วงใยผู้หญิงแบบนี้เสียเมื่อไหร่กันเล่า” เซียวท่าสะกิดไปที่หลังของเขา “เจ้าไม่รู้สึกว่ามันแปลกบ้างหรือ?”“มีอะไรที่น่าแปลกล่ะ? ก็แค่นอนเตียงเดียวกันเฉย ๆ ไม่ใช่หรือไง? คืนนี้ข้ากับเจ้าก็นอนเตีย
องค์จักรพรรดิประชวรมานานแค่ไหน? พรรคพวกขององค์รัชทายาทก็อาละวาดถึงเพียงนี้ แล้วคนมากมายก็คุกเข่าอยู่หน้าตําหนักโซ่วหนิงของนาง คิดว่านางตาบอดจริง ๆ หรือ? ไม่เห็นเหรอว่าพวกเขาต้องการทําอะไร?หวงไท่โฮ่วเสียใจจริง ๆ ที่มู่หรงเจี๋ยตายแล้ว แม้แต่ศพก็ยังไม่พบเจอ หลังจากคนขององค์รัชทายาทค้นหามาทั้งวัน พวกเขาก็เริ่มเข้าวัง เพื่อมาบีบบังคับนางไม่มีใครเลยที่จะเข้าใจความรู้สึกของเธอ เขาเป็นเด็กที่เธอเลี้ยงดูมาตั้งแต่เล็กจนโต จากชีวิตที่อ่อนวัยสู่การรับผิดชอบส่วนตัว หลังจากที่เรียกเธอว่าเสด็จแม่แล้ว เขาก็มีความสัมพันธ์ที่เกี่ยวข้องกันทางสายเลือด ไม่มีใครมาถามเธอเลยแม้แต่คำเดียว และไม่มีใครมาแสดงความเสียใจกับเธอเลยสักนิดเดียวในตอนเที่ยง ฮองเฮาก็เสด็จมาด้วยเช่นกันพอเข้าไปในห้องโถงก็ปลอบใจเธอสองสามคำ แล้วพูดว่า “เสด็จแม่ ทุกวันนี้เหล่าขุนนางหลายร้อยคนคุกเข่าอยู่ด้านนอกนั้นมันไม่ใช่ทางแก้ไข หรือว่าเราต้องตัดสินใจทำอะไรกันตั้งแต่เนิ่น ๆ แล้วเพคะ บ้านเมืองจะขาดฮ่องเต้ไม่ได้แม้แต่เพียววันเดียว”ดวงตาของหวงไท่โฮ่วดูเย็นชา “ฝ่าบาทยังไม่สิ้นพระชนม์ เจ้ากลับมาพูดเยี่ยงนี้ เจ้ากังวลขนาดนั้นเลยงั้นหรือ?
ร่างกายของแม่ทัพเฒ่าฉินสั่นสะท้านด้วยความโกรธ “เจ้าสาปแช่งปู่รึ เจ้าเคยคำนึงถึงญาติพี่น้องหรือไม่?”เมื่อหมอหลวงมาถึง กลับไม่มีคนในตระกูลฉินคอยเฝ้าเขาอยู่ในห้อง ดังนั้นจึงมีเพียงแต่บ่าวรับใช้หลังจากตรวจสอบอาการเสร็จ หมอหลวงก็กล่าวด้วยสีหน้าตกตะลึง “ท่านแม่ทัพเฒ่า เมื่อไม่กี่วันมานี้ท่านได้ไปที่ใดมา? แล้วท่านเคยเข้าไปในพื้นที่โรคระบาดหรือไม่?” “ไม่เคย ข้าไม่เคยไปที่นั่น” สีหน้าของแม่ทัพเฒ่าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เมื่อได้ยินคำพูดของหมอหลวง “ท่านกำลังสงสัยว่าข้าติดเชื้อโรคระบาดใช่หรือไม่?”“อาการช่างคล้ายคลึงกันยิ่งนัก” หมอกลวงกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด“เป็นไปไม่ได้!” แม่ทัพเฒ่าฉินรู้สึกตื่นตระหนกอย่างมาก “ท่านวินิจฉัยผิดหรือไม่?”“ข้าจะจัดยาให้ท่านสองชนิดก่อน หากดื่มยาเหล่านี้แล้วไม่ได้ผล เช่นนั้นไม่ใช่ก็ใกล้เคียงแล้วขอรับ” หมอหลวงกล่าวแม่ทัพเฒ่าฉินกล่าวด้วยความลนลาน “ฉินโจวบังคับให้ท่านพูดเช่นนี้ใช่หรือไม่?”หมอหลวงรู้สึกประหลาดใจ “แม่ทัพเฒ่า ท่านหมายความว่าอย่างไร? เหตุใดแม่ทัพฉินถึงต้องบังคับให้ข้าพูดเช่นนี้?”หมอหลวงชะงักไปชั่วครู่หนึ่งแล้วโพล่งถาม “ท่านเคยพูดคุยกับองค์ชายเ
นางสามารถเสียสละได้ แต่จะไม่มีทางทรยศต่อประชาชนเป่ยโม่เด็ดขาดสำหรับความจงรักภักดีต่อองค์จักรพรรดิและประเทศชาติ นางจะต้องรักประชาชนก่อน จึงจะสามารถภักดีต่อองค์จักรพรรดิได้ฉินโจวกล่าวคำเบา “ข้าเข้าไปในพระราชวังเพื่อเชิญหมอหลวงแล้ว ท่านปู่พักผ่อนก่อนเถิด ข้าจะออกไปเดินเล่นรับลมสักหน่อย”ดวงตาของแม่ทัพเฒ่าฉินอัดแน่นด้วยความโกรธ แต่ก็พยายามอย่างหนักเพื่อระงับมันฉินโจวเดินออกจากห้อง และเห็นว่าฉินเป้าน้องชายของตนนั่งอยู่ที่สวน เมื่อเห็นนางเดินออกมา เขาก็ถามว่า “ท่านปู่เป็นอย่างไรบ้าง?”ฉินโจวจำคำพูดของท่านปู่ได้อย่างแม่นยำ จึงเมินเฉยต่อเขาและตอบอย่างใจเย็น “เข้าไปดูด้วยตนเองสิ”ฉินเป้าคลี่ยิ้ม แต่มันกลับดูอ้างว้างอย่างยิ่ง “ข้าได้ยินสิ่งที่ท่านปู่พูดกับท่านแล้ว ข้าไม่อยากเข้าไป”ฉินโจวตกตะลึง “เพราะเหตุใด เขาทุ่มเทความพยายามทั้งหมดไปกับหารวางแผนเพื่อเจ้า เจ้าควรขอบคุณท่านปู่สิ”ฉินเป้าหัวเราะเยาะ “จริงรึ? หากเขาทอดทิ้งท่านเพื่อตระกูลได้ ในอนาคตเขาจะไม่ทอดทิ้งข้าหรือ? ข้าไม่ต้องการชื่อเสียงหรือความดีงามใด ๆ พวกมันไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการเลย”ฉินโจวดูถูกน้องชายมาโดยตลอด เพราะเขาไม่ได
ทั้งสองคนเดินออกไปและหยุดอยู่บนทางเดิน หมอมองฉินโจวพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “ท่านแม่ทัพ ข้ากำลังสงสัยว่าท่านแม่ทัพเฒ่าจะป่วยด้วยโรคระบาดขอรับ”ฉินโจวตกตะลึง “โรคระบาด? เป็นไปได้อย่างไร? ปู่ของข้าไม่เคยออกไปข้างนอก และไม่เคยติดต่อกับผู้ป่วยโรคนี้เลย แล้วเขาจะติดเชื้อโรคระบาดได้อย่างไร?”“ข้าเคยรักษาผู้ป่วยโรคระบาดมาก่อน ซึ่งอาการคล้ายคลึงกันอย่างมาก ผู้ป่วยจะมีไข้สูง ไอ ตาแดง หายใจเร็วขึ้น เมื่อเกิดอาการเหล่านี้พร้อมกันจะอันตรายอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นโรคนี้ยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาดขอรับ” หมอกล่าว“เป็นไปไม่ได้ หากจะติดเชื้อโรคระบาดก็ต้องสัมผัสกับผู้ป่วยที่มีเชื้ออยู่แล้ว แต่ท่านปู่ของข้าไม่เคยใกล้ชิดคนเหล่านั้นเลย แล้วเขาจะติดเชื้อได้อย่างไร?” ฉินโจวยังคงไม่เชื่อหมอประสานหมัด “ทั้งหมดนี้คือคำวินิจฉัยของข้า หากท่านแม่ทัพไม่เชื่อ ก็สามารถขอให้หมอคนอื่นมาตรวจดูได้ หรือท่านจะพาเขาไปที่พระราชวัง และขอให้หมอหลวงช่วยตรวจอาการ ข้าไร้ความสามารถ จึงอาจวินิจฉัยผิดพลาดได้ ลาก่อนขอรับ ๆ!”สิ้นคำ หมอก็หยิบกล่องยาแล้วออกไปโดยไม่เขียนใบสั่งยาด้วยซ้ำฉินโจวสับสนไม่น้อย ท่านปู่ติดเชื้อโร
หัวใจของฉินโจวเย็นเยียบราวกับน้ำ “ใช่ ตราบใดที่ข้าตายในสนามรบ ตระกูลฉินก็ยังจะเป็นผู้กล้า และเป็นขุนนางผู้มีเกียรติ”แม่ทัพเฒ่าฉินเงียบไปครู่ใหญ่ จากนั้นกล่าวคำเบา “ในฐานะหลานสาวตระกูลฉิน มันเป็นหน้าที่ของเจ้าที่ต้องเสียสละเพื่อชื่อเสียง และรากฐานของตระกูล”ฉินโจวกำหมัดแน่นด้วยความไม่พอใจ “หลายปีที่ผ่านมานี้ ข้ายังทำไม่พออีกหรือ? ตอนนี้มีใครในตระกูลฉินบ้างที่ไม่เกาะกินเลือดนี้ของข้า?”แม่ทัพเฒ่าฉินลุกยืนขึ้นพลางกล่าวอย่างเย็นชา “ข้าเคยเตือนเจ้าแล้ว คราวนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เจ้าจะต้องเข้าไปในพระราชวัง ข้าให้คำมั่นกับฮองเฮาเฉาแล้ว ว่าวันนี้เจ้าจะไปที่นั่นเพื่อทูลขอรับคำสั่ง หากเจ้าไม่ไป ข้าก็จะรับคำสั่งและออกรบด้วยตนเอง”“ท่าน...” ฉินโจวมองเขาด้วยสายตาโศกเศร้า “ท่านปู่ ข้าก็เป็นหลานสาวของท่านเหมือนกัน ท่านไม่สงสารข้าบ้างหรือ?”“ปู่สงสารเจ้าสิ แต่ภารกิจหน้าที่ของตระกูลฉินจะต้องถูกส่งต่อ ตอนนี้น้องชายของเจ้าโตพอแล้ว เจ้าจะต้องพาเขาไปสร้างความสำเร็จทางการทหารด้วย และเจ้าจะได้รับส่วนแบ่งของน้องเจ้า เมื่อถึงเวลานั้น ตระกูลฉินก็จะได้ผู้สืบทอดคนใหม่”ฉินโจวผงะไปชั่วครู่ ก่อนระเบิดหัวเราะ
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินโจว แม่ทัพเฒ่าฉินก็โมโหมากจนเคราสั่นสะท้าน “อาโจว อะไรจะสำคัญไปกว่าการบรรลุเป้าหมายอันยิ่งใหญ่? องค์จักรพรรดิเพียงต้องการขยายอาณาเขตของแคว้น เจ้าควรรู้เอาไว้ว่าเมื่อเรายึดครองต้าโจวสำเร็จ เป่ยโม่จะมีพื้นที่เพิ่มมากกว่าครึ่งหนึ่ง และมันจะเป็นความดีความชอบของตระกูลฉิน ทำให้ตระกูลของเราถูกจดจำไปหลายชั่วอายุคน! นี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าต้องการมาตลอดรึ? เจ้าไม่ต้องการบอกคนทั้งโลก ว่าแม้ฉินโจวจะเป็นสตรี แต่นางก็สามารถประสบความสำเร็จได้อย่างผ่าเผยหรือ?”ฉินโจวมองดูใบหน้าที่ฉายแววตื่นเต้นปนโกรธเกรี้ยวของปู่ ทันใดนั้นนางก็สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติถูกต้อง มันคือความต้องการของนาง แต่ความสำเร็จของนางจะต้องไม่แลกกับการเหยียบย่ำกระดูกของประชาชนชาวเป่ยโม่นางรักเป่ยโม่และหวังที่จะขยายอาณาเขตของแคว้น นอกจากนี้นางยังต้องการเสาะหาดินแดนอุดมสมบูรณ์เพื่อประชาชน เพราะหวังว่าพวกเขาจะสามารถอยู่อาศัยและทำกินอย่างสงบสุข และพึงพอใจโดยไม่ต้องทนทุกข์จากการพลัดถิ่นอย่างไรก็ตาม ในตอนนี้หากต้องการบรรลุอำนาจ นางจำต้องสละชีวิตประชาชนจำนวนมาก และนำเงินภาษีของทุกคนมาใช้ในการทำสงคราม ทำให้โรคร
มือสังหารเหล่านั้นแต่งกายคล้ายกับชาวต้าโจวและสวมหน้ากากผ้าสีดำ กลุ่มคนนิรนามราวเจ็ดถึงแปดคนกระโดดลงมาจากท้องฟ้ากลางวันแสก ๆ ทันทีที่เท้าของคนเหล่านั้นแตะพื้น พวกมันก็เริ่มโจมตีอย่างดุดันฉินโจวเห็นมือสังหารคนหนึ่งกระโดดขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับกระบี่ยาว จากนั้นร่ายรำอยู่หลายกระบวนท่าราวกับนางฟ้าโปรยดอกไม้ ขณะแสงแดดตกกระทบกระบี่ส่องกระจายไปทั่วเหล่าทหารที่เพิ่งมาถึงกระโจนเข้าไปร่วมวงต่อสู้อย่างรวดเร็วหลังจากประดาบกันไปกว่าร้อยครั้ง มือสังหารก็ถูกบีบบังคับให้ล่าถอย ฉินโจวจ่อกระบี่ไปที่คอของหนึ่งในมือสังหาร พลางถามเสียงเข้ม “ตอบข้า ใครเป็นคนส่งเจ้ามา?”มือสังหารตอบอย่างเย็นชา “ฆ่าไอ้หมารับใช้เป่ยโม่ให้หมด!”“หมารับใช้เป่ยโม่? เห็นได้ชัดว่าพวกเจ้าไม่ได้เป็นคนเป่ยโม่ พวกเจ้ามาจากต้าโจวใช่หรือไม่?” ฉินโจวโมโหอย่างมาก ขณะชี้ดาบไปยังหน้าอกของอีกฝ่าย “ไอ้เลวมู่หรงเจี๋ยส่งพวกเจ้ามาใช่หรือไม่?”“หญิงเลวอย่าเจ้ากล้าเอ่ยชื่อของท่านอ๋อง ทำให้พระองค์มัวหมองได้อย่างไร?” มือสังหารตะโกนฉินโจวชักดาบกลับพร้อมกล่าวอย่างเย็นชา “กลับไปซะ!”มือสังหารตกตะลึง ราวกับไม่คาดคิดว่าฉินโจวจะปล่อยตัวเขาไป”เ
ฉินโจวกล่าวด้วยความโมโห “ข้าหลอกลวงเจ้าเมื่อไร?”“ไม่งั้นรึ? เจ้าและอ๋องฉีเอ่ยปากว่า หากจื่ออันตกลงเดินทางมาที่เป่ยโม่ พวกเจ้าจะส่งองค์ชายรัชทายาทไปที่ต้าโจวเป็นองค์ประกัน แล้วพวกเจ้าทำตามที่พูดแล้วหรือไม่?”“องค์ชายรัชทายาทเดินทางไปยังต้าโจวแล้ว!”“ผู้ที่เดินทางไปยังต้าโจวคือองค์ชายเจ็ด ไม่ใช่องค์ชายรัชทายาท องค์ชายเจ็ดไม่ได้เป็นที่โปรดปราน ดังนั้นจักรพรรดิเป่ยโม่จะส่งเขาไปสังเวยเมื่อใดก็ได้”“เป็นไปไม่ได้!” ฉินโจวประหลาดใจอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าผู้ที่เดินทางไปคือองค์ชายรัชทายาท เพราะองค์จักรพรรดิทรงตรัสด้วยตนเองว่าจะส่งเขาไปที่ต้าโจว“เจ้าอย่าเพิ่งสนใจเรื่องนี้เลย ก่อนหน้านี้ทั้งสองแคว้นตกลงทำสนธิสัญญาสงบศึก หลังจากการแพร่ระบาดสิ้นสุดลง แต่เจ้ากลับวางแผนโจมตีพวกเราในขณะที่ข้ายังอยู่ที่เป่ยโม่ เจ้าจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร?” มู่หรงเจี๋ยกล่าวอย่างเคร่งเครียดฉินโจวตอบ “ผิดแล้ว เป็นเพราะต้าโจวที่เคลื่อนทัพโจมตีทหารฝั่งขวาของเราก่อน และสังหารทหารของเราไปกว่าร้อยคน ข้าจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเคลื่อนทัพเข้าไปใกล้ เพื่อบีบบังคับให้พวกเจ้าถอยกลับ”“ไร้สาระ กองทัพของเราหยุดเคลื่อนท
อย่างไรก็ตาม การจัดหาเสบียงอาหารสำหรับพื้นที่ภัยพิบัติยังไม่เพียงพอ และยังขาดแคลนเสื้อผ้าอาภรณ์ นอกจากนี้หลังจากที่พระชายาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มาถึงเป่ยโม่ ก็ยังไม่ได้รับใบสั่งยาแม้แต่ฉบับเดียว ดังนั้นความอดทนของประชาชนจึงค่อย ๆ หมดลง แต่ความโกรธและความขุ่นเคืองกลับยิ่งมากขึ้นทันทีที่ข่าวลือแพร่สะพัด ก็เป็นเสมือนเป็นการขว้างเปลวไฟใส่ ‘ระเบิด’ หนึ่งหมื่นตุน ทำให้มันระเบิดออกอย่างรวดเร็วผู้ประสบภัยนับไม่ถ้วนหลั่งไหลเข้าสู่เมืองหลวงอย่างรวดเร็วหลังจากที่ฉินโจวลงจากภูเขา นางก็พบว่าองค์จักรพรรดิทำอะไรกับทหารม้า และทหารเจ็ดหมื่นนายที่ประจำการที่เมืองหลวง ซึ่งเขาออกคำสั่งให้ทหารเหล่านั้นขับไล่เหล่าผู้ประสบภัยออกไปนางเห็นด้วยตาตนเองว่าทหารใต้บังคับบัญชาของนางสร้างกำแพงมนุษย์อันแน่นหนา เมื่อผู้ประสภัยเดินทางเข้ามา พวกเขาก็จะโบกหอกเพื่อขับไล่คนเหล่านั้นออกไปผู้ประสบภัยมากกว่าสิบรายได้รับบาดเจ็บจากหอกทหารเหล่านั้นอยู่ใต้บังคับบัญชาของนาง แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะไม่ได้ฆ่าผู้ใด แต่เมื่อสถานการณ์รุนแรงขึ้นจะต้องมีการฆ่าแกงกันอย่างแน่นอนฉินโจวโกรธจัดจึงขี่ม้าเข้าไปขวางเอาไว้ “หยุด หยุดเ
ฉินโจวกวาดสายตามองพลางเยาะเย้ยจื่ออันไม่สนใจนาง และพาหลินตานไปยังเขตตะวันตกภายในสองวันนี้มีผู้เสียชีวิตถึงสามคน ซึ่งทั้งหมดถูกหามออกไปหลังจากที่หลินตามเดินเข้ามาเขาหลั่งน้ำตาหลั่งน้ำตาขณะมองดูการเผาศพจื่ออันไม่คิดว่าเขาจะมีความอ่อนไหวมากเพียงนี้ “ท่านหมอหลิน ท่านเป็นอะไรหรือไม่?”หลินตานปาดน้ำตา “ข้าขอโทษ ข้าเพียง... คิดถึงครอบครัวขอรับ”“ครอบครัวของท่าน? แล้วตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ใดหรือ?” จื่ออันถาม“ตายหมดแล้วขอรับ ภรรยาและลูกสะใภ้ของข้าตายเพราะเหตุแผ่นดินไหวทั้งคู่ ส่วนลูกชายและหลานชายติดเชื้อโรคระบาดก่อนตายไปเช่นกัน ข้าจึงเป็นคนเดียวที่เหลือรอด” หลินตานสูดหายใจเข้าลึก ใบหน้าที่อยู่ภายใต้ผมสีขาวฉายแววความเศร้าโศกและหดหู่จื่ออันไม่คาดคิดว่าเขาจะมาจากพื้นที่โรคระบาดเช่นกัน เมื่อเห็นสีหน้าเศร้าสร้อย จื่ออันก็ไม่รู้จะปลอบใจเขาเช่นไร จึงได้แต่นิ่งเงียบและอยู่เคียงข้างไม่นานหลินตานก็ถามว่า “ท่านหมอเซี่ย โรคระบาดนี้สามารถรักษาหายได้จริงหรือขอรับ?”ตอนนั้นเองจื่ออันก็นึกได้ว่าเขาเป็นหมอเท้าเปล่า และหลังจากเดินทางพเนจรไปที่ต่าง ๆ เขาอาจรู้จักจินเย่าฉือก็เป็นได้ ดังนั้นจึงรีบถามว