จื่ออานต้องการที่จะออกไปให้เร็วที่สุด เมื่อออกจากพระตำหนักอี๋หลานได้ นางก็จะปลอดภัยแล้วอย่างไรก็ตามนางยังต้องแน่ใจว่าตนเองจะสามารถออกจากเขตพระหนักอี๋หลานได้อย่างปลอดภัย เพราะเมื่อนางจากไป แหวนแห่งจิตวิญญาณปล่อยพลังงานไฟฟ้าออกมาก็จะไม่สามารถรบกวนคลื่นสมองของพระสนมอี๋ได้อีกต่อไป พระนางจะต้องรู้สึกตัวขึ้นมาแน่ และจะส่งคนมาดักฆ่านางพระตำหนักเยว่ชิงประตูพระตำหนักปิดอยู่ พระสนมเหมยนั่งอยู่ในพระตำหนัก เซี่ยหลินก็นั่งอยู่ที่มุมหนึ่งในนั้น ชายสวมชุดดำคนหนึ่งที่ใบหน้าปกคลุมไปด้วยหนวดเคราเขานั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามพระสนมเหมยบนโต๊ะที่อยู่ด้านหน้าพวกเขาต่างมีถ้วยชาวางไว้หนึ่งใบ มันยังกรุ่น ๆอยู่ แสดงให้รู้ว่าคนที่มาเพิ่งจะนั่งลงไปได้ไม่นาน"ข้าไม่รู้จะทำยังไงแล้วก็เลยให้นางไปพระตำหนักอี๋หลาน ตามนิสัยของพระสนมอี๋แล้วจะต้องไม่ให้นางออกมาจากพระหนักอย่างปลอดภัยโดยเด็ดขาด" พระสนมเหมยกล่าวอย่างจริงจัง"พระนางมีความมั่นใจหรือ?" ชายที่มีเคราถามพระสนมเหมยยิ้มเย้ยหยัน "น้องชาย พระตำหนักคือที่ของข้า หากเพียงคน ๆ เดียวข้ายังไม่สามารถฆ่าได้ แล้วจะรักษาตำแหน่งพระสนมเหมยมาได้ตั้งหลายปีได้อย่างไร?""กระหม่
"อะไรนะ?" พระสนมเหมยกัดฟันแล้วมองไปที่เขา "เจ้าเสียสติไปแล้วเหรอ จะให้คนของข้าลงมือ?”มหาเสนาบดีเซี่ยกล่าว "พระสนม เซี่ยจื่ออานจะต้องรู้ว่าตนเองติดกับดักเข้าให้แล้ว นางจะต้องสงสัยท่าน หากนางไปเข้าเฝ้าหวงไท่โฮ่ว กล่าวถึงเรื่องของวันนี้ ถึงแม้ว่าหวงไท่โฮ่วจะไม่เชื่อนางทั้งหมด แต่ก็ต้องถามความคิดเห็นของท่านบ้างอย่างแน่นอน"พระสนมเหมยกล่าวอย่างโกรธเคือง "เซี่ยหวายจุน ข้าไม่น่าช่วยเจ้าเลย""พระนางไม่ได้ช่วยกระหม่อม พวกเราก็แค่ร่วมมือกันเพื่อผลโยชน์ของตนเอง" มหาเสนาบดีเซี่ยกล่าวอย่างมีเลศนัยพระสนมเหมยมองไปที่ใบหน้าที่แลเยือกเย็นดุจน้ำแข็งของเขา แล้วก็โมโหมาก"เจ้านี่ช่างไร้ยางอายได้ถึงขีดสุดจริง ๆ"มหาเสนาบดีเซี่ยเมินเฉยต่อการดูหมิ่นของพระสนมเหมยอย่างสิ้นเชิง กล่าวด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว "ยังต้องให้พระนางรีบส่งคนไปดักฆ่าเซี่ยจื่ออาน นังเด็กนอกคอกนั่น เพื่อตัวพระนางเอง และก็เพื่อกระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ"พระสนมเหมยมองไปที่องครักษ์ "อาฟา เจ้าพูดซิ"องครักษ์อาฟาเป็นคนที่นางไว้วางใจได้ อาฟาเป็นพี่น้องกับต้าฉวนที่อยู่ในพระตำหนักของพระสนมอี๋ ดังนั้นพระสนมเหมยจึงสามารถติดสินบนต้าฉวนได้อย่างง่ายดา
มหาเสนาบดีเซี่ยกล่าวอย่างรำคาญ “เขาน่ะเหรอ กระหม่อมเอง ก็ไม่ได้สนใจอีกแล้วว่าจะมีหรือไม่มีลูกคนนี้"พระสนมเหมยส่ายหัวแล้วกล่าว “เจ้านี่มันฟั่นเฟือนไปแล้วจริง ๆ เจ้ามีเขาเป็นบุตรชายเพียงคนเดียว เขาจะโง่เขลาขนาดไหน ยังไงก็เป็น บุตรของเจ้าอยู่ดี”มหาเสนาบดีเซี่ยยิ้มเย้ยหยัน “เช่นนั้นเหรอ? เขาเป็นบุตรชายของกระหม่อม แต่เขาจะไม่ใช่บุตรคนสุดท้าย”เขานั่งลง ถือถ้วยน้ำชาลายครามสีขาวไว้ในมือ ตั้งแต่ที่เขากัดฟันจนเปลี่ยนเป็นท่าทางที่เมินเฉยเขาก็ยังนั่งที่เดิมอยู่อย่างนั้นด้วยใบหน้าที่มืดมนพระสนมเหมยรู้สึกว่าเมื่อมองไปที่ใบหน้าของเขา มันมีความน่ากลัวบางอย่างที่กล่าวออกมาเป็นคำพูดไม่ได้แตกต่างจากตัวเขาในตอนก่อนหน้านี้เป็นอย่างมากราวกับว่าเขากำลังวางแผนบางอย่างในใจ และไม่รู้สึกเสียดายแผนการทั้งหมดที่ได้วางไว้ในขณะเดียวกัน หลังจากที่จื่ออานออกจากพระตำหนักอี๋หลานแล้ว นางก็รีบเดินไปที่ริมทะเลสาบนางเดินเร็วมาก องครักษ์ต้าฉวนก็ตามนางไปอย่างรวดเร็วเช่นกันเมื่อเขาพบว่านางไม่ได้ไปที่พระตำหนักเยว่ชิง เขาเรียกให้จื่ออานหยุด "ช้าก่อน เจ้าจะไปพระหนักเยว่ชิงมิใช่หรือ?"จื่ออานไม่ได้หยุดเดิน ที่นี่ย
อาฟาเห็นต้าฉวนติดตามนางไปตามริมแนวทะเลสาบ เขาก็ติดตามไปเช่นกันบริเวณนี้มีร่มเงาของต้นไม้ที่เจริญงอกงามกลายเป็นป่า ซึ่งมันก็เป็นโล่กำบังอย่างดี เพื่อไม่ให้ทางด้านของพระตำหนักซีเหวยรู้เรื่อง พวกเขาจึงต้องหลบซ่อนอย่างระมัดระวังเดินไปรอบ ๆ และข้ามไปฝั่งตรงข้ามที่นี่เป็นพระตำหนักที่ถูกทิ้งร้างไว้ แทบไม่มีคนเข้าออก มีแต่ข้าหลวงในวังเข้ามาทำความสะอาดทุกเดือน แต่เนื่องจากไม่มีคนอาศัยอยู่ คนทำความสะอาดจึงมาแค่เดือนละครั้งเท่านั้นอาฟาสังเกตว่าที่ในพุ่มดอกโบตั๋นมีเงาคนเคลื่อนไหวลื่อนไหวอยู่ เขาไม่คิดอะไรเลย หยิบคันธนูและลูกธนูที่อยู่ด้านหลังออกมา เขาหมอบลงแล้ว ง้างคันธนู ยิงลูกธนูออกไปหัวลูกธนูตัดผ่านอากาศพุ่งตรงไปที่พุ่มดอกไม้นั้นได้ยินเพียงเสียงโลหะที่ปักลงในผิวหนังเท่านั้น และมีคนล้มลงไปที่พื้นดังตุบอาฟาเดินไปตรงนั้น เห็นเพียงคน ๆนึงในพุ่มดอกไม้นอนจมกองเลือดอยู่ อาฟาพลิกตัวเขาขึ้นมา เมื่อเห็นใบหน้าแล้ว อาฟาก็อ้าปากค้างด้วยความตกใจ ที่แท้เขาก็คือเซี่ยหลินบุตรชายคนเดียวของท่านมหาเสนาบดีเซี่ยเซี่ยหลินกระตุกไปทั้งตัว เลือดไหลทะลักออกจากหน้าอก ดวงตาของเขาเบิกกว้าง ใบหน้าบิดเบี้ยวไปด
จื่ออานแอบกลับไปที่พระตำหนักฉางเชิง นางไม่ได้เข้ามาทางประตูพระตำหนัก แต่นางปีนกำแพงเข้ามาแม่นมหยางกำลังจัดของในห้องที่นางพักอยู่ เมื่อเห็นนางที่เข้ามาโดยที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเต็มไปด้วยเลือด หัวใจของแม่นมก็แทบจะหยุดเต้นด้วยความตกใจ แต่พอเห็นว่านั่นไม่ใช่เลือดของจื่ออาน แม่นมก็โล่งใจ รีบปิดประตูอย่างรวดเร็ว“เกิดเรื่องอะไรขึ้น?” แม่นมรีบถามจื่ออานทรุดลงไปนั่งที่พื้น เอามือปิดหน้าไว้ น้ำตาไหลซึมออกมาจากร่องนิ้ว มันทำให้แม่นมหยางกลัวมากนางก็ไม่ได้เอ่ยถาม และรีบหยิบชุดสำหรับให้จื่ออานผลัดเปลี่ยนออกมา ดึงตัวจื่ออานขึ้นมาเพื่อเปลี่ยนชุดให้จากนั้นก็นำชุดที่เปื้อนเลือดของจื่ออานไปเผานางออกไปตักน้ำเพื่อให้จื่ออานใช้ชำระล้างคราบเลือดที่มือและใบหน้า จากนั้นก็กล่าว “คุณหนูใหญ่ ไม่ว่าเพิ่งจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับท่าน ก็ไม่ต้องคิดอะไรทั้งนั้น ท่านจะต้องฮึดสู้ขึ้นมา มิเช่นนั้นคนที่จะตายรายต่อไปก็คือท่าน”จื่ออานเช็ดหน้า น้ำเสียงเยือกยะเย็น "แม่นมโปรดวางใจ ข้าไม่เป็นอะไร"นางนั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งและมองดูใบหน้าซีดขาวในกระจก พร้อมกล่าวออกมา "แม่นม ท่านข่วยแต่งหน้าให้ข้าสักหน่อย ข้าจะไปเข้าเ
พระสนมเหมยกล่าวอย่างเย็นชา "วันนี้นางก็กลับจวนแล้ว เจ้ามีโอกาสมากมายที่จะได้ฆ่านาง"มหาเสนาบดีเซี่ยส่ายหัว "ไม่อาจลงมือที่จวนได้พ่ะย่ะค่ะ หากนางตายที่จวน ข้าจะถูกสงสัย""งั้นลงมือในวัง ข้าจะไม่ถูกสงสัยงั้นสิ? พระสนมอี๋ไม่ใช่คนโง่ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป นางจะไม่เชื่อใจข้าอีก" พระสนมเหมยขุ่นเคืองพระทัยเป็นอย่างมาก มีความสัมพันธ์อันดีกับพระสนมอี๋มาตั้งหลายปี ไม่ง่ายเลยที่จะเป็นเพื่อนกับนาง กลับคิดไม่ถึงว่าครั้งนี้เรื่องราวต้องมาลงเอยแบบนี้มหาเสนาบดีเซี่ยมองไปที่นาง เขาไม่เข้าใจอาการที่ทั้งนอบน้อมและระมัดระวังเช่นนั้น เขาเพียงจองหองและต่อต้าน "พระสนมพ่ะย่ะค่ะ ท่านควรติดต่อกับพระสนมอี๋ให้น้อยลงหน่อย นางน่ะซับซ้อน พระนางเองก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนาง"พระสนมเหมยโบกมือ "พอเถอะ เจ้ากลับไปได้แล้ว"มหาเสนาบดีเซี่ยมองไปรอบ ๆ "เซี่ยหลินล่ะ?"พระสนมเหมยกล่าว "เจ้าเพิ่งจะไล่ให้เขาออกไปเล่นที่ด้านนอกมิใช่หรือ?"มหาเสนาบดีเซี่ยโมโหมาก "เจ้าเด็กโง่นี่ สร้างแต่ปัญหาให้กระหม่อม"พระสนมเหมยเรียกนางข้าหลวงเข้ามา และให้นางไปตามหาเซี่ยหลินนางข้าหลวงเพิ่งออกไป จื่ออานก็มาถึงอาฟาที่เห็นจื่ออาน ดวงตาเป
คำพูดนี้เมื่อเข้าหูมหาเสนาบดีเซี่ย เขาก็พูดรุนแรงออกไปไม่ได้พระสนมเหมยเมื่อเห็นเขาไม่พูดอะไร ก็พูดต่อ "เจ้าเพิ่งพูดว่าเกิดเรื่องไม่คาดคิด มันคือเรื่องอะไร?"จื่ออานหันกลับไปมองที่พระสนมเหมย "ตอนจื่ออานไปเข้าเฝ้าหวงไท่โฮ่ว ก็ได้ผ่านพระตำหนักของพระสนมอี๋ ได้เห็นเรื่องบางอย่าง พระนางอยากทราบหรือไม่ว่าเรื่องอะไร?"ใบหน้าของพระสนมเหมยนิ่งเฉย หายใจลำบากเล็กน้อย "เรื่องอะไรกัน?"จื่ออานยิ้ม รอยยิ้มของนางดูแปลกมาก "พระสนมเพคะ จื่ออานบอกพระนางได้เพียงคนเดียวเท่านั้น"พระสนมเหมยหยุดคิดไปครู่นึง "เจ้ามานี่ซิ!"จื่ออานก้าวขึ้นไปทีละขั้นทีละขั้นจนถึงตรงหน้าพระพักตร์ของพระสนมเหมย จากนั้นโน้มลงไปที่ข้างหูนาง "ตอนที่หม่อมฉันอยู่ที่พระตำหนักอี๋หลานได้เห็นองค์รัชทายาทออกมาจากห้องบรรทมของพระสนมอี๋ จากนั้นหม่อมฉันก็บอกพระสนมอี๋ว่า พระสนมเหมยให้หม่อมฉันไปที่นั่นเพคะ”สีหน้าของพระสนมเหมยเปลี่ยนไปทันที "เจ้าว่าอย่างไรนะ?"จื่ออานแสยะยิ้ม รอยยิ้มนางช่างดูมืดมนและน่าขนลุก "หม่อมฉันบอกว่า พระสนมเหมยเจาะจงให้หม่อมฉันมาในยามนี้โดยเฉพาะเพคะ"พระสนมเหมยกัดฟันพูด "เจ้า..."ทั่วทั้งวังมีแต่นางผู้เดียวที่ร
จื่ออานปล่อยเขา นางยิ้มอย่างเยือกเย็น และมองเขาอย่างเหยียดหยาม แล้วหันหลังเดินจากไปที่ประตูพระตำหนัก อาฟาที่ยืนอยู่ตรงประตู เขาได้ยินการเคลื่อนไหวและการสนทนา พอจื่ออานเดินออกมา เขาก็กล่าวอย่างเย็นชา "กะอีแค่ได้อภิเษกกับผู้สำเร็จราชการแทนองค์จักรพรรดิ? ถึงกับจองหองแบบนี้เลยเหรอ? จะได้อภิเษกหรือไม่นั้นก็ยังไม่รู้เลย ผู้สำเร็จราชการแทนองค์จักรพรรดิไม่ใช่คนโง่ เขาจะอภิเษกกับสตรีที่ประพฤติชั่วเช่นนี้หรือ?"เป้าหมายของจื่ออานที่มาพระตำหนักเยว่ชิงก็คือเขา เพื่อเผชิญหน้ากับเขานางจึงมา ดังนั้นไม่ว่าเขาจะพูดหรือไม่พูด กริยาท่าทางในการพูดจะเป็นเช่นไร วันนี้เขาจะต้องตายดังนั้นหลังจากที่เขาพูดแล้ว จื่ออานก็ยิ้มให้เขาอย่างมีเสน่ห์ หน้าตาของนางราวกับว่าพบเจอกับเรื่องน่ายินดีมาอาฟามองนางอย่างชิงชัง ใครจะรู้ว่ารอยยิ้มนั้นนางมอบให้กับคนที่อยู่ด้านหลังเขาดูจื่ออานเดินไปใกล้ ๆเขา และจ้องไปที่ดวงตา "เซี่ยหลินอยู่ข้างหลังเจ้า"สีหน้าของอาฟาเปลี่ยนไปมาก เขาหันหลังกลับไปทันที กลับพบว่าที่ด้านหลังของเขาไม่มีใครทั้งนั้นเขาโมโหมาก "เล่นบ้าอะไรของเจ้า"ใบหน้าของจื่ออานดูไร้อารมณ์ "เจ้ากลัวเซี่ยหลินม
ร่างกายของแม่ทัพเฒ่าฉินสั่นสะท้านด้วยความโกรธ “เจ้าสาปแช่งปู่รึ เจ้าเคยคำนึงถึงญาติพี่น้องหรือไม่?”เมื่อหมอหลวงมาถึง กลับไม่มีคนในตระกูลฉินคอยเฝ้าเขาอยู่ในห้อง ดังนั้นจึงมีเพียงแต่บ่าวรับใช้หลังจากตรวจสอบอาการเสร็จ หมอหลวงก็กล่าวด้วยสีหน้าตกตะลึง “ท่านแม่ทัพเฒ่า เมื่อไม่กี่วันมานี้ท่านได้ไปที่ใดมา? แล้วท่านเคยเข้าไปในพื้นที่โรคระบาดหรือไม่?” “ไม่เคย ข้าไม่เคยไปที่นั่น” สีหน้าของแม่ทัพเฒ่าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เมื่อได้ยินคำพูดของหมอหลวง “ท่านกำลังสงสัยว่าข้าติดเชื้อโรคระบาดใช่หรือไม่?”“อาการช่างคล้ายคลึงกันยิ่งนัก” หมอกลวงกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด“เป็นไปไม่ได้!” แม่ทัพเฒ่าฉินรู้สึกตื่นตระหนกอย่างมาก “ท่านวินิจฉัยผิดหรือไม่?”“ข้าจะจัดยาให้ท่านสองชนิดก่อน หากดื่มยาเหล่านี้แล้วไม่ได้ผล เช่นนั้นไม่ใช่ก็ใกล้เคียงแล้วขอรับ” หมอหลวงกล่าวแม่ทัพเฒ่าฉินกล่าวด้วยความลนลาน “ฉินโจวบังคับให้ท่านพูดเช่นนี้ใช่หรือไม่?”หมอหลวงรู้สึกประหลาดใจ “แม่ทัพเฒ่า ท่านหมายความว่าอย่างไร? เหตุใดแม่ทัพฉินถึงต้องบังคับให้ข้าพูดเช่นนี้?”หมอหลวงชะงักไปชั่วครู่หนึ่งแล้วโพล่งถาม “ท่านเคยพูดคุยกับองค์ชายเ
นางสามารถเสียสละได้ แต่จะไม่มีทางทรยศต่อประชาชนเป่ยโม่เด็ดขาดสำหรับความจงรักภักดีต่อองค์จักรพรรดิและประเทศชาติ นางจะต้องรักประชาชนก่อน จึงจะสามารถภักดีต่อองค์จักรพรรดิได้ฉินโจวกล่าวคำเบา “ข้าเข้าไปในพระราชวังเพื่อเชิญหมอหลวงแล้ว ท่านปู่พักผ่อนก่อนเถิด ข้าจะออกไปเดินเล่นรับลมสักหน่อย”ดวงตาของแม่ทัพเฒ่าฉินอัดแน่นด้วยความโกรธ แต่ก็พยายามอย่างหนักเพื่อระงับมันฉินโจวเดินออกจากห้อง และเห็นว่าฉินเป้าน้องชายของตนนั่งอยู่ที่สวน เมื่อเห็นนางเดินออกมา เขาก็ถามว่า “ท่านปู่เป็นอย่างไรบ้าง?”ฉินโจวจำคำพูดของท่านปู่ได้อย่างแม่นยำ จึงเมินเฉยต่อเขาและตอบอย่างใจเย็น “เข้าไปดูด้วยตนเองสิ”ฉินเป้าคลี่ยิ้ม แต่มันกลับดูอ้างว้างอย่างยิ่ง “ข้าได้ยินสิ่งที่ท่านปู่พูดกับท่านแล้ว ข้าไม่อยากเข้าไป”ฉินโจวตกตะลึง “เพราะเหตุใด เขาทุ่มเทความพยายามทั้งหมดไปกับหารวางแผนเพื่อเจ้า เจ้าควรขอบคุณท่านปู่สิ”ฉินเป้าหัวเราะเยาะ “จริงรึ? หากเขาทอดทิ้งท่านเพื่อตระกูลได้ ในอนาคตเขาจะไม่ทอดทิ้งข้าหรือ? ข้าไม่ต้องการชื่อเสียงหรือความดีงามใด ๆ พวกมันไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการเลย”ฉินโจวดูถูกน้องชายมาโดยตลอด เพราะเขาไม่ได
ทั้งสองคนเดินออกไปและหยุดอยู่บนทางเดิน หมอมองฉินโจวพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “ท่านแม่ทัพ ข้ากำลังสงสัยว่าท่านแม่ทัพเฒ่าจะป่วยด้วยโรคระบาดขอรับ”ฉินโจวตกตะลึง “โรคระบาด? เป็นไปได้อย่างไร? ปู่ของข้าไม่เคยออกไปข้างนอก และไม่เคยติดต่อกับผู้ป่วยโรคนี้เลย แล้วเขาจะติดเชื้อโรคระบาดได้อย่างไร?”“ข้าเคยรักษาผู้ป่วยโรคระบาดมาก่อน ซึ่งอาการคล้ายคลึงกันอย่างมาก ผู้ป่วยจะมีไข้สูง ไอ ตาแดง หายใจเร็วขึ้น เมื่อเกิดอาการเหล่านี้พร้อมกันจะอันตรายอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นโรคนี้ยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาดขอรับ” หมอกล่าว“เป็นไปไม่ได้ หากจะติดเชื้อโรคระบาดก็ต้องสัมผัสกับผู้ป่วยที่มีเชื้ออยู่แล้ว แต่ท่านปู่ของข้าไม่เคยใกล้ชิดคนเหล่านั้นเลย แล้วเขาจะติดเชื้อได้อย่างไร?” ฉินโจวยังคงไม่เชื่อหมอประสานหมัด “ทั้งหมดนี้คือคำวินิจฉัยของข้า หากท่านแม่ทัพไม่เชื่อ ก็สามารถขอให้หมอคนอื่นมาตรวจดูได้ หรือท่านจะพาเขาไปที่พระราชวัง และขอให้หมอหลวงช่วยตรวจอาการ ข้าไร้ความสามารถ จึงอาจวินิจฉัยผิดพลาดได้ ลาก่อนขอรับ ๆ!”สิ้นคำ หมอก็หยิบกล่องยาแล้วออกไปโดยไม่เขียนใบสั่งยาด้วยซ้ำฉินโจวสับสนไม่น้อย ท่านปู่ติดเชื้อโร
หัวใจของฉินโจวเย็นเยียบราวกับน้ำ “ใช่ ตราบใดที่ข้าตายในสนามรบ ตระกูลฉินก็ยังจะเป็นผู้กล้า และเป็นขุนนางผู้มีเกียรติ”แม่ทัพเฒ่าฉินเงียบไปครู่ใหญ่ จากนั้นกล่าวคำเบา “ในฐานะหลานสาวตระกูลฉิน มันเป็นหน้าที่ของเจ้าที่ต้องเสียสละเพื่อชื่อเสียง และรากฐานของตระกูล”ฉินโจวกำหมัดแน่นด้วยความไม่พอใจ “หลายปีที่ผ่านมานี้ ข้ายังทำไม่พออีกหรือ? ตอนนี้มีใครในตระกูลฉินบ้างที่ไม่เกาะกินเลือดนี้ของข้า?”แม่ทัพเฒ่าฉินลุกยืนขึ้นพลางกล่าวอย่างเย็นชา “ข้าเคยเตือนเจ้าแล้ว คราวนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เจ้าจะต้องเข้าไปในพระราชวัง ข้าให้คำมั่นกับฮองเฮาเฉาแล้ว ว่าวันนี้เจ้าจะไปที่นั่นเพื่อทูลขอรับคำสั่ง หากเจ้าไม่ไป ข้าก็จะรับคำสั่งและออกรบด้วยตนเอง”“ท่าน...” ฉินโจวมองเขาด้วยสายตาโศกเศร้า “ท่านปู่ ข้าก็เป็นหลานสาวของท่านเหมือนกัน ท่านไม่สงสารข้าบ้างหรือ?”“ปู่สงสารเจ้าสิ แต่ภารกิจหน้าที่ของตระกูลฉินจะต้องถูกส่งต่อ ตอนนี้น้องชายของเจ้าโตพอแล้ว เจ้าจะต้องพาเขาไปสร้างความสำเร็จทางการทหารด้วย และเจ้าจะได้รับส่วนแบ่งของน้องเจ้า เมื่อถึงเวลานั้น ตระกูลฉินก็จะได้ผู้สืบทอดคนใหม่”ฉินโจวผงะไปชั่วครู่ ก่อนระเบิดหัวเราะ
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินโจว แม่ทัพเฒ่าฉินก็โมโหมากจนเคราสั่นสะท้าน “อาโจว อะไรจะสำคัญไปกว่าการบรรลุเป้าหมายอันยิ่งใหญ่? องค์จักรพรรดิเพียงต้องการขยายอาณาเขตของแคว้น เจ้าควรรู้เอาไว้ว่าเมื่อเรายึดครองต้าโจวสำเร็จ เป่ยโม่จะมีพื้นที่เพิ่มมากกว่าครึ่งหนึ่ง และมันจะเป็นความดีความชอบของตระกูลฉิน ทำให้ตระกูลของเราถูกจดจำไปหลายชั่วอายุคน! นี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าต้องการมาตลอดรึ? เจ้าไม่ต้องการบอกคนทั้งโลก ว่าแม้ฉินโจวจะเป็นสตรี แต่นางก็สามารถประสบความสำเร็จได้อย่างผ่าเผยหรือ?”ฉินโจวมองดูใบหน้าที่ฉายแววตื่นเต้นปนโกรธเกรี้ยวของปู่ ทันใดนั้นนางก็สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติถูกต้อง มันคือความต้องการของนาง แต่ความสำเร็จของนางจะต้องไม่แลกกับการเหยียบย่ำกระดูกของประชาชนชาวเป่ยโม่นางรักเป่ยโม่และหวังที่จะขยายอาณาเขตของแคว้น นอกจากนี้นางยังต้องการเสาะหาดินแดนอุดมสมบูรณ์เพื่อประชาชน เพราะหวังว่าพวกเขาจะสามารถอยู่อาศัยและทำกินอย่างสงบสุข และพึงพอใจโดยไม่ต้องทนทุกข์จากการพลัดถิ่นอย่างไรก็ตาม ในตอนนี้หากต้องการบรรลุอำนาจ นางจำต้องสละชีวิตประชาชนจำนวนมาก และนำเงินภาษีของทุกคนมาใช้ในการทำสงคราม ทำให้โรคร
มือสังหารเหล่านั้นแต่งกายคล้ายกับชาวต้าโจวและสวมหน้ากากผ้าสีดำ กลุ่มคนนิรนามราวเจ็ดถึงแปดคนกระโดดลงมาจากท้องฟ้ากลางวันแสก ๆ ทันทีที่เท้าของคนเหล่านั้นแตะพื้น พวกมันก็เริ่มโจมตีอย่างดุดันฉินโจวเห็นมือสังหารคนหนึ่งกระโดดขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับกระบี่ยาว จากนั้นร่ายรำอยู่หลายกระบวนท่าราวกับนางฟ้าโปรยดอกไม้ ขณะแสงแดดตกกระทบกระบี่ส่องกระจายไปทั่วเหล่าทหารที่เพิ่งมาถึงกระโจนเข้าไปร่วมวงต่อสู้อย่างรวดเร็วหลังจากประดาบกันไปกว่าร้อยครั้ง มือสังหารก็ถูกบีบบังคับให้ล่าถอย ฉินโจวจ่อกระบี่ไปที่คอของหนึ่งในมือสังหาร พลางถามเสียงเข้ม “ตอบข้า ใครเป็นคนส่งเจ้ามา?”มือสังหารตอบอย่างเย็นชา “ฆ่าไอ้หมารับใช้เป่ยโม่ให้หมด!”“หมารับใช้เป่ยโม่? เห็นได้ชัดว่าพวกเจ้าไม่ได้เป็นคนเป่ยโม่ พวกเจ้ามาจากต้าโจวใช่หรือไม่?” ฉินโจวโมโหอย่างมาก ขณะชี้ดาบไปยังหน้าอกของอีกฝ่าย “ไอ้เลวมู่หรงเจี๋ยส่งพวกเจ้ามาใช่หรือไม่?”“หญิงเลวอย่าเจ้ากล้าเอ่ยชื่อของท่านอ๋อง ทำให้พระองค์มัวหมองได้อย่างไร?” มือสังหารตะโกนฉินโจวชักดาบกลับพร้อมกล่าวอย่างเย็นชา “กลับไปซะ!”มือสังหารตกตะลึง ราวกับไม่คาดคิดว่าฉินโจวจะปล่อยตัวเขาไป”เ
ฉินโจวกล่าวด้วยความโมโห “ข้าหลอกลวงเจ้าเมื่อไร?”“ไม่งั้นรึ? เจ้าและอ๋องฉีเอ่ยปากว่า หากจื่ออันตกลงเดินทางมาที่เป่ยโม่ พวกเจ้าจะส่งองค์ชายรัชทายาทไปที่ต้าโจวเป็นองค์ประกัน แล้วพวกเจ้าทำตามที่พูดแล้วหรือไม่?”“องค์ชายรัชทายาทเดินทางไปยังต้าโจวแล้ว!”“ผู้ที่เดินทางไปยังต้าโจวคือองค์ชายเจ็ด ไม่ใช่องค์ชายรัชทายาท องค์ชายเจ็ดไม่ได้เป็นที่โปรดปราน ดังนั้นจักรพรรดิเป่ยโม่จะส่งเขาไปสังเวยเมื่อใดก็ได้”“เป็นไปไม่ได้!” ฉินโจวประหลาดใจอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าผู้ที่เดินทางไปคือองค์ชายรัชทายาท เพราะองค์จักรพรรดิทรงตรัสด้วยตนเองว่าจะส่งเขาไปที่ต้าโจว“เจ้าอย่าเพิ่งสนใจเรื่องนี้เลย ก่อนหน้านี้ทั้งสองแคว้นตกลงทำสนธิสัญญาสงบศึก หลังจากการแพร่ระบาดสิ้นสุดลง แต่เจ้ากลับวางแผนโจมตีพวกเราในขณะที่ข้ายังอยู่ที่เป่ยโม่ เจ้าจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร?” มู่หรงเจี๋ยกล่าวอย่างเคร่งเครียดฉินโจวตอบ “ผิดแล้ว เป็นเพราะต้าโจวที่เคลื่อนทัพโจมตีทหารฝั่งขวาของเราก่อน และสังหารทหารของเราไปกว่าร้อยคน ข้าจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเคลื่อนทัพเข้าไปใกล้ เพื่อบีบบังคับให้พวกเจ้าถอยกลับ”“ไร้สาระ กองทัพของเราหยุดเคลื่อนท
อย่างไรก็ตาม การจัดหาเสบียงอาหารสำหรับพื้นที่ภัยพิบัติยังไม่เพียงพอ และยังขาดแคลนเสื้อผ้าอาภรณ์ นอกจากนี้หลังจากที่พระชายาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มาถึงเป่ยโม่ ก็ยังไม่ได้รับใบสั่งยาแม้แต่ฉบับเดียว ดังนั้นความอดทนของประชาชนจึงค่อย ๆ หมดลง แต่ความโกรธและความขุ่นเคืองกลับยิ่งมากขึ้นทันทีที่ข่าวลือแพร่สะพัด ก็เป็นเสมือนเป็นการขว้างเปลวไฟใส่ ‘ระเบิด’ หนึ่งหมื่นตุน ทำให้มันระเบิดออกอย่างรวดเร็วผู้ประสบภัยนับไม่ถ้วนหลั่งไหลเข้าสู่เมืองหลวงอย่างรวดเร็วหลังจากที่ฉินโจวลงจากภูเขา นางก็พบว่าองค์จักรพรรดิทำอะไรกับทหารม้า และทหารเจ็ดหมื่นนายที่ประจำการที่เมืองหลวง ซึ่งเขาออกคำสั่งให้ทหารเหล่านั้นขับไล่เหล่าผู้ประสบภัยออกไปนางเห็นด้วยตาตนเองว่าทหารใต้บังคับบัญชาของนางสร้างกำแพงมนุษย์อันแน่นหนา เมื่อผู้ประสภัยเดินทางเข้ามา พวกเขาก็จะโบกหอกเพื่อขับไล่คนเหล่านั้นออกไปผู้ประสบภัยมากกว่าสิบรายได้รับบาดเจ็บจากหอกทหารเหล่านั้นอยู่ใต้บังคับบัญชาของนาง แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะไม่ได้ฆ่าผู้ใด แต่เมื่อสถานการณ์รุนแรงขึ้นจะต้องมีการฆ่าแกงกันอย่างแน่นอนฉินโจวโกรธจัดจึงขี่ม้าเข้าไปขวางเอาไว้ “หยุด หยุดเ
ฉินโจวกวาดสายตามองพลางเยาะเย้ยจื่ออันไม่สนใจนาง และพาหลินตานไปยังเขตตะวันตกภายในสองวันนี้มีผู้เสียชีวิตถึงสามคน ซึ่งทั้งหมดถูกหามออกไปหลังจากที่หลินตามเดินเข้ามาเขาหลั่งน้ำตาหลั่งน้ำตาขณะมองดูการเผาศพจื่ออันไม่คิดว่าเขาจะมีความอ่อนไหวมากเพียงนี้ “ท่านหมอหลิน ท่านเป็นอะไรหรือไม่?”หลินตานปาดน้ำตา “ข้าขอโทษ ข้าเพียง... คิดถึงครอบครัวขอรับ”“ครอบครัวของท่าน? แล้วตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ใดหรือ?” จื่ออันถาม“ตายหมดแล้วขอรับ ภรรยาและลูกสะใภ้ของข้าตายเพราะเหตุแผ่นดินไหวทั้งคู่ ส่วนลูกชายและหลานชายติดเชื้อโรคระบาดก่อนตายไปเช่นกัน ข้าจึงเป็นคนเดียวที่เหลือรอด” หลินตานสูดหายใจเข้าลึก ใบหน้าที่อยู่ภายใต้ผมสีขาวฉายแววความเศร้าโศกและหดหู่จื่ออันไม่คาดคิดว่าเขาจะมาจากพื้นที่โรคระบาดเช่นกัน เมื่อเห็นสีหน้าเศร้าสร้อย จื่ออันก็ไม่รู้จะปลอบใจเขาเช่นไร จึงได้แต่นิ่งเงียบและอยู่เคียงข้างไม่นานหลินตานก็ถามว่า “ท่านหมอเซี่ย โรคระบาดนี้สามารถรักษาหายได้จริงหรือขอรับ?”ตอนนั้นเองจื่ออันก็นึกได้ว่าเขาเป็นหมอเท้าเปล่า และหลังจากเดินทางพเนจรไปที่ต่าง ๆ เขาอาจรู้จักจินเย่าฉือก็เป็นได้ ดังนั้นจึงรีบถามว