วันรุ่งขึ้นตำหนักอ๋องอี้จวนยามซื่อ(1) ถึงพบว่าหลิงอวี๋หายตัวไปตอนเก้าโมงเช้าผู้มาแจ้งข่าวเซียวหลินเทียนคือแม่นมลี่ นางตื่นเช้ามาพลันพบว่าหลิงอวี๋และอีกสองคนไม่อยู่เรือนบุหงาเริ่มแรกแม่นมลี่คิดว่าทั้งสามคนตื่นแต่เช้าไปโรงเหยียนหลิงแล้วแม่นมลีมิได้ใส่ใจนัก พลางทำอาหารเช้าให้หลิงเยวี่ยและคนรับใช้อีกสองคนโดยสั่งฉีฮู๋ ฉีเต๋อพาหลิงเยวี่ยไปทาน ส่วนตัวเองไปซื้อกับข้าวแม่นมลี่เพิ่งออกประตูก็บังเอิญเจอหลี่ชุงเข้า หลี่ชุงกล่าวร้อนรน“แม่นมลี่ อาจารย์ข้าอยู่หรือไม่? คนไข้หลายคนที่ลงทะเบียนนางไว้เมื่อเช้านี้กำลังรอนางตรวจอยู่เจ้าค่ะ!”“จนตอนนี้นางยังไม่ไปโรงเหยียนหลิงเลย หมอเลี่ยวให้ข้ามาถามดูว่าอาจารย์ข้าวันนี้มีธุระไม่อาจไปนั่งตรวจได้แล้วหรือไม่?”“คุณหนูข้ามิใช่ไปตั้งนานแล้วรึ?” แม่นมลี่เอ่ยประหลาดใจ“มิได้ไปเจ้าค่ะ!”หลี่ชุงพูดแปลกใจ “ตระกูลหลี่ว์ก็ส่งคนมาถามแล้วด้วยว่าอาจารย์รับปากกับพวกเขาจะไปตรวจฮูหยินใหญ่หลี่ว์เมื่อคืน ไยมิได้ไป!”“พ่อบ้านหลี่ว์ยังอารมณ์เสียนิดหน่อยด้วย กล่าวว่าอาจารย์ข้าเลื่องชื่อแล้วจะไม่เห็นตระกูลหลี่ว์ในสายตารึ! พูดจาเชื่อถือมิได้!”แม่นมลี่เหงื่อเย็นตก
เซียวหลินเทียนไม่ไปข้างนอกแล้ว กล่าวต่อแม่นมลี่ว่า“เจ้ากลับเรือนบุหงาก่อน ดูแลหลิงเยวี่ยให้ดี ในสองวันนี้พวกเจ้าพักอยู่ตำหนักอ๋องอี้ไม่อนุญาตให้ออกข้างนอก!”“หลี่ชุง เจ้าไปบอกหมอเลี่ยวว่าพระชายาอ๋องอี้ป่วยหนัก ในสองวันนี้ก็ไม่ไปนั่งตรวจที่โรงเหยียนหลิง ให้เขาเชิญท่านหัวช่วยนั่งตรวจก่อนเสีย!”“จำไว้ว่าบอกความจริงหมอเลี่ยวกับท่านหัวได้ แต่เผยต่อสาธารณะมิได้!”หลี่ชุงเข้าใจความร้ายแรงของเหตุการณ์แล้ว พลางผงกศีรษะรู้ความ“หม่อมฉันทราบแล้วเพคะ หม่อมฉันจะทำตามคำสั่งท่านอ๋องแน่นอนเพคะ!”“เหวินซวง เจ้าเตรียมของกำนัลส่งไปคฤหาสน์หลี่ว์บอกว่าพระชายาติดไข้หวัดมิอาจไปรักษาได้ชั่วคราว ให้เจ้าส่งไปขออภัยเสีย”“รอหลังพระชายาหายแล้ว จะไปจวนรักษาฮูหยินใหญ่แน่นอน!”ชิวเหวินซวงพยักหน้า แม้ในใจหมายให้หลิงอวี๋ทำตระกูลหลี่ว์ขุ่นเคืองจะตายแต่พอนึกถึงว่าหลี่ว์เซียงดำรงตำแหน่งอันทรงเกียรติ ซึ่งตนอยากเป็นพระชายาอ๋องอี้ ดังนั้นผลประโยชน์ของเซียวหลินเทียนเลยมาก่อนการคบหาหลี่ว์เซียง นั่นก็เป็นผลประโยชน์ในอนาคตที่ต้องมี!แป๊บเดียวจ้าวซวนก็รุดมาแล้ว หลังได้ยินการวิเคราะห์ของเซียวหลินเทียน จ้าวก็ซวนพลันเ
แต่เดินมาครึ่งค่อนวันแล้วหลิงอวี๋ยังมิได้ออกป่าเลยนางยันไม่ไหวแล้ว พลางพักผ่อนอยู่ใต้ต้นไม้หลิงอวี๋เสียเลือดไปมากและวิงเวียนศีรษะนางหยิบน้ำกลูโคสสองขวดจากมิติแล้วดื่ม ค่อยรู้สึกว่าตัวเองมีชีวิตชีวาขึ้นหน่อยครั้นมองป่าอันไม่มีที่สิ้นสุดข้างหน้า หลิงอวี๋ก็ไม่ใจร้อนหาทางแล้วนางคือคนป่วยบาดเจ็บสาหัส ทำได้แค่ดูแลร่างกายตัวเองไปก่อนนางหยิบพรมออกจากมิติ กะจะหลับก่อนสักตื่นค่อยว่ากันค่ำมืดเสียแล้วในที่สุดหลิงอวี๋ก็ออกจากป่าแล้ว นางทั้งหิวและเหนื่อย ก่อนจะเห็นแสงไฟบ้านคนจากไกล ๆหลิงอวี๋ฝืนยันเดินต่อ กระทั่งถึงบ้านหลังนั้น เนื่องด้วยแสงจันทร์ทำให้มองชัดว่าคือครอบครัวคนชีวิตลำบากยากแค้นกำแพงรั้วส่วนหนึ่งชำรุดทรุดลง ประตูใหญ่คือกระดานไม้หยาบ ๆ สองแผ่น“มีคนอยู่ไหม?”หลิงอวี๋เคาะประตูพลางกล่าวไร้เรี่ยวแรง “ข้ามาเยี่ยมญาติ ฟ้ามืดแล้วขอค้างสักคืน!”แสงไฟภายในบ้านดับลงทันที หลิงอวี๋เห็นแล้วใจก็สิ้นหวังนางเคาะประตู รักษาลมหายใจกล่าวว่า“ได้โปรดช่วยให้ข้าค้างสักคืน ข้าได้รับบาดเจ็บ… ข้าใกล้ยันไว้ไม่ไหวแล้ว… ข้าจะตอบแทนพวกเจ้าด้วย!”ด้านในยังคงไร้ซึ่งเสียงและไร้การเคลื่อนไหวเช่
หลิงอวี๋ก็ไม่ได้พบอะไรมีค่าวางอยู่ในเรือน นางถูกแม่อาเป่าพยุงไปนั่งบนเตียงและยังได้กลิ่นเหม็นฉี่ด้วย“แม่นางน้อยหิวหรือยัง แม่อาเป่าเจ้ายกน้ำมาให้นางล้างหน่อย ข้าจักไปดูว่ายังมีอะไรทำให้นางกินบ้าง!”ท่านป้าเก็บชามเปล่าบนโต๊ะขณะเอ่ยหลิงอวี๋ตาเฉียบแหลมเห็นชามสี่ใบ แต่ในเรือยมีแค่สามคน!นางนึกถึงเสียงที่ตัวเองได้ยินเลือนรางแล้วขบคิดถึงชามสี่ใบนี้อีกที นั่นก็ยืนยันว่าก่อนหน้ามีสี่คนในบ้านจริง ๆเป็นตนมาแล้วรบกวนพวกเขา คนคนนั้นก็รีบเข้าเขาเร้นกายเสียแล้วเหตุในต้องหลบ?กำลังหลบหนีผู้ใดอยู่หรือ?ขณะหลิงอวี๋กำลังครุ่นคิด แม่อาเป่าก็ยกน้ำมาแล้ว นางเอ่ยค่อนข้างวุ่นใจว่า“ที่บ้านไม่มีน้ำแล้ว ไปหาบน้ำมืด ๆ ค่ำ ๆ ไม่ดีนัก เจ้าเอาไปล้างเถอะ!”หลิงอวี๋วุ่นตลอดวันทั้งเนื้อทั้งตัวเต็มไปด้วยฝุ่น นางเห็นอ่างไม้หยาบ ๆ และผ้าเช็ดหน้าที่พาดด้านบนเป็นเศษผ้าจากเสื้อผ้าหลิงอวี๋ก็ไม่กล้าเมินพลางยันกายลุกไปล้างพร้อมเอ่ยว่า“แม่อาเป่า ข้าแซ่อวี๋ เจ้าเรียกข้าแม่นางอวี๋เถิด!”เมื่อไม่ได้รู้แจ้งว่าตนถูกใครไล่ฆ่าอยู่ หลิงอวี๋เลยไม่กล้าเอ่ยถึงพระชายาอ๋องอี้กับแม่นางหลิงอีก จำต้องปั้นแต่งชื่อปลอมเสีย“
นางหมายซ่อน ทว่าไม่มีที่หลบในเรือนหลังนี้โดยสิ้นเชิง“เปิดประตู… เปิดประตู… ค้นหาทหารหนีทัพ!”หลิงอวี๋ยังไม่ได้ตอบโต้ พลันได้ยินเสียงดังปังและประตูด้านนอกถูกถีบอ้าเสียแล้วอาเป่าตกใจจนร้องไห้งอแงเสียงดัง“แม่อาเป่า เจ้าพาอาเป่าหนีไปผ่านกำแพงหลังเร็ว!”เสียงพูดท่านป้าจางยังไม่ทันจบ ชายหน้าเหี้ยมหลายคนก็พรวดพราดเข้ามาแล้วหลิงอวี๋ดูแล้วไฉนจะเป็นทหารประจำการอะไรล่ะ เป็นแค่พวกกุ๊ยไม่กี่คนเองหัวโจกหน้าตากิริยาถ่อยเหมือนกับชายฟันเหลืองร่างกายฉกรรจ์ จมูกอ้วนใหญ่ สวมแค่เสื้อม่อฮ่อมแขนกุดเผยแขนหยาบสากและดำคล้ำ บนหน้ายังมีแผลเป็นยาวสายหนึ่ง“ป้าจาง นี่ทำอะไรน่าอร่อยจัง? เรียกมาครึ่งค่อนวันแล้วก็ไม่เปิดประตู!”ชายมีแผลเป็นพลันเปิดปากแสดงอารมณ์ขุ่น“อู๋เอ้อร์โก่ว บ้านเราไฉนจะยังมีอะไรกินอีก นี่เพราะมีแขกเลยทำหมี่บัควีตให้นางอิ่มท้องไงล่ะ”ท่านป้าจางส่งยิ้มพลางชี้หลิงอวี๋อู๋เอ้อร์โก่วปรายมองหลิงอวี๋ แม้หลิงอวี๋เป็นแผลที่หน้า แต่ผิวพรรณละเอียดอ่อนหน้าตาสะสวย เดิมไม่เหมือนคนที่โตมาในเขตภูเขาข้นแค้นห่างไกลเลย“นางคือผู้ใด? ไยข้าไม่ยักรู้ว่าเจ้ามีญาติเช่นนี้?”ท่านป้าส่งยิ้ม “แม่นาง
หลิงอวี๋ทั้งโกรธทั้งร้อนใจไม่กล้าดิ้นรน เดิมนางมิใช่คู่ต่อสู้กุ๊ยพวกนี้เลย นางต้องรักษาชีวิตไว้ก่อนค่อยว่ากันรอดูว่ากุ๊ยพวกนี้จะพาตนไปที่ใดแล้วค่อยหาโอกาสหลบหนี…หลิงอวี๋กับแม่อาเป่าถูกลากขึ้นรถม้าคันหนึ่งป้าจางร้องลั่นแทบขาดใจ “อู๋เอ้อร์โก่ว ข้าโขกหัวคำนับให้เจ้าแล้ว เจ้าอย่าพาแม่อาเป่าไป!”“ขอร้องเจ้าปล่อยนางเถิด!”อู้เอ้อร์โก่วไม่สั่นไหว หลังเอาสตรีสองคนโยนขึ้นรถม้าก็ให้ลิ่วล้อบังคับรถม้าไปทันทีเสียงโศกาของป้าจางมากไกลเรื่อย ๆในตู้รถม้า แม่อาเป่าขดตัวอยู่ข้าง ๆ ร่ำไห้ ‘ฮือฮือ’ เสียงแผ่วอย่างพรั่นพรึงหลิงอวี๋ยื่นมือคลำช่วงเอวเปี่ยมโลหิตอย่างเงียบเชียบนางไม่สนใจปลอบแม่อาเป่า พลางควานหายาทาแผลจากในอกมาห้ามเลือดก่อนนี่เป็นภัยไร้เค้าโดยแท้ แค่อาศัยที่พักแรมยังแหย่พวกกุ๊ยนี้จนได้ รู้เช่นนี้นางยอมค้างคืนอยู่ในป่าดีเสียกว่าหลิงอวี๋จัดการปากแผลไว้ชั่วคราวแล้ว พลางหมายสังเกตกุ๊ยเสียหน่อยว่าจะพาพวกนางไปที่ใดแต่นอกรถม้ามืดสนิท เห็นอะไรก็ไม่ชัดทั้งสิ้นหลิงอวี๋จำต้องปล่อยไปรถม้าวิ่งมาครึ่งชั่วยามก็หยุดลงหลิงอวี๋กับแม่อาเป่าถูกกุ๊ยสองสามคนลากลงรถม้าอย่างหยาบคายหลิงอวี๋
แม่อาเป่ามองหลิงอวี๋พลางพูดอึก ๆ อัก ๆ ผู้หญิงส่ายหัว “ไม่รู้สิ แต่ผู้คุมเข้มงวดนัก พอมีคนเข้าใกล้ก็ปล่อยหมาป่ามากัดเลย!”“มีคนตัดฟืนผู้หนึ่งในหมู่บ้านเรา เพราะไม่ระวังพลาดถลันเข้าไป ผลคือถูกหมาป่ากัดจนตาย!”“พวกเขายังเดินแบกศพตามถนนด้วย กล่าวอ้างว่านี่คือจุดจบของคนที่บุกรุกเข้าเหมือง!”“กระนั้นแล้วไม่มีคนดูแลเลยหรือ?” หลิงอวี๋ถามอย่างฉงนแม่อาเป่าเช็ดหยาดน้ำตาพลางเอ่ยเสียงคับแค้น“ผู้ใดจะดูแลล่ะ! หมู่บ้านเยี่ยนเจียงแห่งนี้ปกครองโดยตระกูลอู๋ ลือว่าพวกเขายังมีคนชั้นสูงเป็นพรรคพวกอีก ทุกปีจะส่งเงินมหาศาลให้เขา!”“มิใช่ไม่มีคนไปร้องเรียน! แต่คนที่ร้องเรียนพวกนั้นถูกตระกูลอู๋ขัดขวาง แม้แต่ขุนนางก็มิได้พบทั้งสิ้น! เกิดไม่เห็นคน ตายไม่เห็นศพ(1)!”“นี่มิใช่ว่าพวกเจ้ามีประมาณร้อยครัวเรือนรึ? ทุกคนพร้อมใจกันก็ยังไร้ทางแก้ไข้หรือ?” หลิงอวี๋งงงัน“เมื่อก่อนมีประมาณร้อยครัวเรือน แต่บางครอบครัวทนฤทธิ์ของตระกูลอู๋ไม่ไหวเลยย้ายหนีแล้ว!”“ตอนนี้มีแค่ไม่กี่สิบครัวเรือน! บุรุษบางครอบครัวถูกตระกูลอู๋พาไปทำงานในถ้ำหมาป่า คนที่เหลือล้วนเลียแข้งเลียขาผู้มีอิทธิพลทั้งนั้น ใครจะแหย่ตระกูลอู๋เพื่อกง
จางเหมยมองท่าทีลำบากใจของหลิงอวี๋พลันเดาความคิดนางออกทันทีนางพูดเงียบ ๆ ว่า “แม่นางอวี๋ ข้าจะไปลองโน้มน้าวพวกนางดู!”“พวกนางก็คนเหมือนกัน หัวใจคนเรามันคือก้อนเนื้อ มีความรู้สึก ถ้าไม่ถูกบีบจนสิ้นหนทาง ผู้ใดจะยินยอมรอความตายเล่า!”หลิงอวี๋มองเหตุผลชัดเจนแบบนี้ของจางเหมย ความเด็ดขาดของนางช่างน่าชื่นชมนักหลิงอวี๋กระซิบว่า “เจ้าไปโน้มน้าวเถอะ! หากครอบครัวยอมหนีตามก็ไปหาท่านอ๋องอี้ที่เมืองหลวง เขาจะจัดหางานให้พวกเจ้า!”จางเหมยนัยน์ตาวับวาบพลางเอ่ย “ข้ารู้จักท่านอ๋องอี้ เล่าลือว่าเขาคือคนเก่งวรยุทธร้ายกาจ!”“แต่ข้ากลัวว่าเรายังไม่ถึงเมืองหลวงก็โดนคนตระกูลอู๋สกัดฆ่าเสียแล้ว!”หลิงอวี๋นึกถึงแม่นมลี่ที่เคยพูดว่าเซียวหลินเทียนมีเไร่นาอยู่หมู่บ้านเฉินเจีย พลันกล่าว“ท่านอ๋องอี้มีเไร่นาอยู่หมู่บ้านเฉินเจีย พวกเจ้าไม่ต้องไปเมืองหลวง ไปหลบซ่อนที่หมู่บ้านเฉินเจียก่อน!”“ให้พ่อบ้านในชนบทช่วยส่งข่าวแก่ท่านอ๋องอี้ เขาจะช่วยพวกเจ้า!”จางเหมยยิ่งฟังยิ่งใจสั่นเรื่อย ๆ แต่ยังไม่วางใจพลางกระซิบถาม“แม่นางอวี๋ เจ้าแน่ใจหรือว่าท่านอ๋องอี้จะช่วยเรา? เขาจะไม่เหมือนขุนนางชั้นผู้ใหญ่พวกนั้นเอาเราส่งให