หลงอิงและจงเจิ้งเฟยต่างมีข้อมูลภายใน และการคาดการณ์ของพวกนางก็แม่นยำ การสอบแข่งขันในวันนี้คือการจับคู่เครื่องยาสมุนไพรเพื่อกลั่นโอสถ และผู้ชนะจะถูกตัดสินจากคุณภาพของเม็ดยาเหลยเหวินพูดกับหลิงอวี๋ด้วยความรู้สึกผิด “เสี่ยวอวี๋ ข้าอยู่กลุ่มเดียวกับเฟยเฟย เจ้าไปหาคู่เองก็แล้วกัน! ต้องขอโทษด้วย พอดีพวกเรานัดกันไว้แล้ว!”“มิเป็นไร ข้าจะไปหาคู่เอง!”ยังมิทันที่หลิงอวี๋จะพูดจบ ก็มีบัณฑิตหลายคนพากันเดินเข้ามาหานางพวกนางทุกคนคิดว่าหากได้คู่กับหลิงอวี๋ที่ได้คะแนนสูงในการสอบจำแนกสมุนไพรและการสอบเขียนตำรับยา พวกนางก็จะได้เปรียบ“สิงอวี๋ เจ้ามาคู่กับข้าเถิด!”“สิงอวี๋ คู่กับข้าสิ คะแนนของข้ามิแย่หนา หากคู่กับข้าพวกเราจะต้องชนะแน่นอน!”บัณฑิตหลายคนพากันยื้อแย่งหลิงอวี๋เข้ากลุ่มหลงอิงเองก็เดินเข้ามาหาและพูดพร้อมกับยิ้มตาหยี “สิงอวี๋ พวกเรามาคู่กันเถอะ!”บัณฑิตหลายคนที่มาก่อนต่างมองหน้ากัน มิกล้าแย่งชิงกันอีก แต่กลับจ้องหลิงอวี๋ตาปริบ ๆ ด้วยหวังว่าหลิงอวี๋จะเลือกตน“ข้าจับคู่กับหลงอิงก็แล้วกัน!”หลิงอวี๋รับเงินห้าหมื่นจากหลงอิงมาแล้ว แน่นอนว่าต้องเลือกเพียงหลงอิงเท่านั้นบัณฑิตหลายคนที่มิ
มิเพียงเย่ซื่อฝานเท่านั้นที่ให้ความสนใจหลิงอวี๋ แม้แต่ต่งเฉิงและไป่หลี่ไห่ก็จ้องมองไปที่หลิงอวี๋ด้วยเช่นกันเมื่อเห็นหลิงอวี๋เลือกสมุนไพรเหล่านี้ ต่งเฉิงก็ถอนหายใจและกล่าวว่า “มิรู้ว่าเด็กคนนี้มิรู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำหรือว่ามีความสามารถจริง ๆ ?”ไป่หลี่ไห่รู้เรื่องที่เหมียวหยางพยายามโน้มน้าวหลิงอวี๋ให้มาเข้าร่วมกับเขามิสำเร็จแล้ว ด้วยเหตุนี้ วันนี้ตอนที่เขาไปถึงสำนักศึกษาชิงหลง ต่งเฉิงจึงเรียกเขาไปตำหนิอยู่ครู่หนึ่งแม้ไป่หลี่ไห่จะได้รับการสนับสนุนจากเจ้าแห่งทะเล แต่ต่งเฉิงกลับมิไว้หน้าซ้ำยังกล่าวตำหนิเขาที่ปล่อยให้ศิษย์ของตนประพฤติตัวมิเหมาะสมและทำลายชื่อเสียงของสำนักศึกษาชิงหลงต่งเฉิงเตือนไป่หลี่ไห่อย่างเด็ดขาดว่า หากมีครั้งต่อไปเขาจะมิยอมปล่อยเหมียวหยางไปง่าย ๆ แน่ไป่หลี่ไห่ทั้งอายทั้งโกรธ แต่ความอาวุโสของต่งเฉิงทำให้เขามิสามารถโต้แย้งอย่างไร้มารยาทได้ เขาจึงทำได้แค่ต้องกล้ำกลืนฝืนทนไปไป่หลี่ไห่เป็นนักปรุงโอสถที่ผู้คนให้การยกย่องมากที่สุดในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา บางคนถึงกับบอกว่าความสำเร็จในภายภาคหน้าของไป่หลี่ไห่จะต้องแซงหน้าเย่ซงเฉิงอย่างแน่นอนด้วยเหตุนี้ หลายปีที่ผ่านม
ในห้องปรุงโอสถมิได้มีเพียงเครื่องยาสมุนไพร แต่ยังมีน้ำหลายชนิดที่สามารถเติมลงไปเพื่อผสมเครื่องยาสมุนไพรเข้ากัน น้ำเหล่านี้เป็นส่วนประกอบพื้นฐานที่ใช้ในการปรุงโอสถในชีวิตประจำวันน้ำแต่ละชนิดที่ผสมกับเครื่องยาสมุนไพรให้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกัน ดังนั้นไป่หลี่ไห่จึงสนใจเป็นอย่างยิ่งว่าสิ่งที่หลิงอวี๋เติมเข้าไปคืออะไร“อาจารย์ ข้าเห็นแล้ว มันคือน้ำเปล่าขอรับ!”เหมียวหยางพูดอย่างดูแคลนน้ำเปล่ารึ?เมื่อได้ยินเช่นนั้น ไป๋หลี่ไห่ก็รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง เขามองไปที่เย่ซื่อฝานแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “พี่เย่ ข้าว่าครั้งนี้ว่าที่ศิษย์ของท่านจะต้องพ่ายแพ้อย่างแน่นอน!”“หากนางเติมน้ำชนิดอื่นลงไปก็อาจทำให้อัตราความสำเร็จสูงขึ้นได้บ้าง แต่นี่น้ำเปล่า… มีเพียงคนที่ไม่มีความรู้เรื่องการปรุงโอสถเท่านั้นที่จะเติมน้ำชนิดนี้ลงไป!”เมื่อจางอิ๋งได้ยินคำพูดของเหมียวหยาง นางก็รู้สึกเป็นกังวลแทนหลิงอวี๋ขึ้นมา และคิดว่าตนกำลังจะเสียเงินสองหมื่นไปโดยเปล่าประโยชน์!แต่เย่ซื่อฝานกลับกล่าวอย่างมิรีบร้อน “สิ่งที่พวกเราต้องการคือผลลัพธ์ ไยต้องสนใจกระบวนการด้วยเล่า!”“ข้าว่าว่าที่ศิษย์ของข้าผู้นี้มีความคิดที่ดีทีเดีย
ทุกคนที่อยู่ข้างนอกมีอารมณ์ที่แตกต่างกันไป ขณะที่กำลังคิดฟุ้งซ่าน พวกเขาก็เห็นหลิงอวี๋นำเครื่องยาสมุนไพรอีกกองหนึ่งมาให้หลงอิงมิเพียงเย่ซื่อฝานเท่านั้น แต่ไป่หลี่ไห่และคนอื่น ๆ ก็จ้องมองการกระทำของหลิงอวี๋ด้วยเช่นกัน พวกเขาเห็นว่าหลิงอวี๋หยิบสมุนไพรขึ้นมาโดยมิได้ใช้ตาชั่งยาในการตวงเลย ทุกอย่างล้วนถูกหยิบขึ้นมาด้วยมือเปล่าทั้งสิ้นนางหยิบนั่นหยิบนี่โยนลงไป ราวกับเด็กที่กำลังเล่นซนเหมียวหยางอดมิได้ที่จะพูดจาดูแคลน “การที่นางกลั่นยาเตาแรกออกมาได้นั่นถือว่าเป็นเรื่องที่โชคดีนัก ให้นางทำอีกครั้งดูสิ นางไม่มีทางทำสำเร็จหรอก!”ปริมาณของโอสถแต่ละชนิดจะมีตัวเลขที่แน่นอน ซึ่งเป็นผลที่ได้มาจากบรรพบุรุษมากมายที่ประสบกับความล้มเหลวมานับมิถ้วนหลิงอวี๋หยิบเครื่องยาสมุนไพรขึ้นมาอย่างลวก ๆ นางคงมิรู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองเก็บมาได้เท่าไรแล้วหากปรุงอีกรอบแล้วกะปริมาณมิถูกต้อง โอสถที่กลั่นออกมาอาจจะมิเป็นไปตามต้องการเย่ซื่อฝานเองก็รู้ความจริงข้อนี้ แต่เขากลับมิได้มองหลิงอวี๋เช่นนั้นเขารู้ว่าปรมาจารย์ที่แท้จริงนั้น เมื่อสั่งสมประสบการณ์มาหลายสิบปี ก็จะสามารถกะปริมาณเครื่องยาสมุนไพรที่หยิบมาได้เพียง
“เปิดเตาเลย!”หลงอิงที่อยู่ในค่ายกลตะโกนด้วยความตื่นเต้นหลิงอวี๋เปิดเตาและเทโอสถออกมาโอสถจำนวนมากหล่นลงบนจานทีละเม็ดเสียงดังขลุก ๆ โอสถแต่ละเม็ดที่เด้งขึ้นมาทำให้ทุกคนกลั้นหายใจนับจำนวนอย่างเงียบ ๆ“ยี่สิบ… ยี่สิบห้า… ยี่สิบเจ็ด!”โอสถทั้งหมดถูกเทลงบนจาน หลังจากทุกคนนับเสร็จก็พากันมองไปที่หลิงอวี๋ด้วยความมิอยากเชื่อ“เหมียวหยาง ยี่สิบเจ็ดเม็ดรึ? ข้ามิได้นับผิดใช่หรือไม่?”ไป่หลี่ไห่ถามด้วยเสียงสั่นเครือนี่คือสิ่งที่เย่ซื่อฝานอยากจะถามเช่นกันเมื่อพิจารณาจากขนาดของเตากลั่นและจำนวนเครื่องยาสมุนไพร หากอัตราความสำเร็จของโอสถเตานี้มีถึงสิบส่วน ก็จะมีโอสถทั้งหมดสามสิบเม็ดขณะนี้หลิงอวี๋กลั่นโอสถออกมาได้ยี่สิบเจ็ดเม็ด ดังนั้นอัตราความสำเร็จจึงอยู่ที่เก้าในสิบ!นี่เป็น… เป็นอัตราความสำเร็จที่น่าตกใจยิ่งนัก!แม้แต่ปรมาจารย์ปรุงโอสถอย่างเย่ซื่อฝานและไป่หลี่ไห่ หากอยากได้อัตราความสำเร็จสูงถึงขั้นนี้ก็มีแต่ต้องกลั่นโอสถระดับต้นเท่านั้น แทบจะเป็นไปมิได้เลยที่โอสถระดับกลางจะบรรลุอัตราความสำเร็จถึงเก้าในสิบ“ช้าก่อน พวกเจ้าดูสิว่านั่นอะไร?”จู่ ๆ เย่ซื่อฝานก็พูดขึ้นทุกคนมองตามสายตา
หลิงอวี๋มิรู้เลยว่าโอสถสองเม็ดที่นางกลั่นได้มีอัตราความสำเร็จสูงกว่าของคนอื่น ๆ มาก ดังนั้นนางและหลงอิงจึงกลายเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงในสำนักศึกษาชิงหลงตั้งแต่ยังมิออกมาจากค่ายกลด้วยซ้ำ“ครั้งนี้มีอัจฉริยะปรากฏตัวในหอปรุงโอสถ อัตราความสำเร็จของโอสถทั้งสองเตาแซงหน้าปรมาจารย์เย่และปรมาจารย์ไป่หลี่ไปแล้ว ไป ไปดูกันว่าอัจฉริยะผู้นั้นคือใคร!”ทางด้านของเซียวหลินเทียนที่ผ่านการประเมินได้มารวมกลุ่มกับเผยอวี้อีกครั้งและกำลังจะออกไปรอกลุ่มของเถาจื่อ เขาก็ได้ยินเสียงของบรรดาบัณฑิตโห่ร้องกันอย่างตื่นเต้น“นางลงทะเบียนชั้นเรียนของปรมาจารย์ท่านไหนรึ?”“ชั้นเรียนของปรมาจารย์เย่!”“โอ้โห เช่นนี้มิใช่ว่าหอโอสถซ่างกู่แย่งสมบัติล้ำค่าไปแล้วหรอกรึ! แล้วคนผู้นั้นมีที่มาที่ไปอย่างไรเล่า?”“มิรู้สิ มิเคยได้ยินชื่อนางมาก่อนเลย!”เซียวหลินเทียนคิดว่ามันคงไร้ประโยชน์ที่จะรออยู่ข้างนอก สู้ไปดูกับพวกเขาดีกว่า จะได้ตามหาหลิงอวี๋ไปด้วย“ไป ไปดูกันเถอะ!”เซียวหลินเทียนพาคนสองคนเดินตามฝูงชนไปที่หอปรุงโอสถบรรดาบัณฑิตที่อยู่ข้างหน้ายังคงสนทนากันอย่างกระตือรือร้นในขณะที่เซียวหลินเทียนและอีกสองคนฟังอยู่เงียบ ๆ
หลิงอวี๋เดินตามจางอิ๋งมาถึงห้องโถง ซึ่งบัณฑิตใหม่ทั้งหมดได้มารวมตัวกันที่นี่ทั้งสองชั้นเรียนได้คัดเลือกบัณฑิตที่คุณสมบัติผ่านเกณฑ์เรียบร้อยแล้ว ส่วนผู้เข้าสอบที่ถูกคัดออกคนอื่น ๆ จะมิสามารถเข้ามาได้หลิงอวี๋เดินตามจางอิ๋งไปยืนในชั้นเรียนของเย่ซื่อฝาน เหลยเหวินและจงเจิ้งเฟยต่างก็มองหลิงอวี๋ด้วยสายตาแปลก ๆทั้งสองคาดมิถึงว่าหลิงอวี๋จะมีความสามารถโดดเด่นและทำคะแนนออกมาได้ดี ซึ่งเป็นคะแนนที่สูงจนบัณฑิตในรอบเกือบสิบปีนี้เทียบมิติด และสุดท้ายนางก็ได้กลายมาเป็นศิษย์ของเย่ซื่อฝานส่วนพวกนางนั้นเป็นเพียงบัณฑิตธรรมดา แม้จะได้รับการสั่งสอนจากเย่ซื่อฝาน แต่ก็เรียกเย่ซื่อฝานว่าท่านครูได้เท่านั้น ในขณะที่หลิงอวี๋กลับสามารถเรียกเย่ซื่อฝานว่า ท่านอาจารย์การเป็นศิษย์กับการเป็นบัณฑิตมีความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด“เสี่ยวอวี๋ ยินดีด้วยนะ!”เหลยเหวินยังมีทัศนคติที่ดี รู้จักตนเอง และพอใจที่ได้เป็นบัณฑิตของเย่ซื่อฝานแล้ว มิได้ฝันถึงสิ่งที่เกินตัวไปมากนักคำแสดงความยินดีนี้จึงเป็นสิ่งที่ออกมาจากใจจงเจิ้งเฟยกลับรู้สึกจิตใจมิมั่นคง แต่ก็เป็นเพียงช่วงเวลาสั้น ๆ เท่านั้น นางรู้ดีว่าวิชาปรุงโอสถมิได้ขึ้
หลิงอวี๋ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงปฏิเสธ นางกล่าวว่า “ศิษย์พี่หญิง ฝากท่านขอบคุณความปรารถนาดีของท่านอาจารย์แทนข้าด้วย!”“บ้านข้ามีกฎของครอบครัวอยู่ว่าห้ามหยิบยืมเงินจากคนนอกโดยมิจำเป็น ตอนที่ท่านปู่ของข้ายังมีชีวิตอยู่เคยเตือนข้ากับท่านพี่ไว้ว่ามีเงินเท่าไรก็ใช้เท่าที่มี!”“สิงอวี๋มิกล้าขัดคำสอนของท่านปู่ ความปรารถนาดีของท่านอาจารย์นั้นข้าขอขอบคุณจากใจจริง! ข้าจะพึ่งพาความพยายามของตัวเอง ข้าจะหาเงินและคิดหาวิธีร่วมกับพี่ชายเพื่อเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัยของพวกเรา”หลิงอวี๋มิรับตั๋วเงินสามแสน พลางพูดด้วยรอยยิ้ม “ในเมื่อนี่คือเงินที่ท่านอาจารย์และศิษย์พี่หญิงเดิมพันชนะมา มันก็ควรจะเป็นของพวกท่าน! หากท่านอาจารย์คิดว่านี่คือเงินที่ได้มาอย่างมิชอบ จะสามารถบริจาคให้กับคนที่ต้องการความช่วยเหลือก็ได้!”จางอิ๋งคาดมิถึงว่าหลิงอวี๋ผู้ยากจนจะมิถูกเงินสามแสนที่ตกจากท้องฟ้าลงมาอยู่ตรงหน้าล่อใจ ทำเอานางรู้สึกนับถือขึ้นมานางปฏิบัติตามคำกำชับของเย่ซื่อฝานและมิบังคับให้หลิงอวี๋รับเงิน นางจึงเก็บตั๋วเงินกลับไปและกล่าวลาหลิงอวี๋เมื่อหลิงอวี๋เดินออกมา คนส่วนใหญ่ที่อยู่ที่ลานก็ออกไปแล้ว เม
ก็มิรู้ว่าเพราะเหตุใดเช่นกัน!เป็นเพราะได้ยินหยางหงหนิงบอกว่าเย่หรงชอบหลิงอวี๋หรือ?หรือเป็นเพราะเมื่อครู่ได้ยินเย่หรงพูดซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าตัวเขาไร้ประโยชน์ และไม่มีอะไรดี?หรือบางทีอาจจะเป็นเพราะเคยได้ยินผู้รอบรู้เล่าเรื่องภูมิหลังของเย่หรง เมื่อหลิงอวี๋เห็นเย่หรงจึงไม่มีความระแวดระวังดังเช่นก่อนหน้านี้นี่คือคนที่น่าสงสารคนหนึ่ง!หลิงอวี๋มองใบหน้าที่คุ้นเคยนั้นแล้วเอ่ยขึ้นมาอย่างประหม่า “คุณชายเย่ ข้ามิได้ตั้งใจจะแอบฟัง ข้าแค่ผ่านมา… แค่ผ่านมาเท่านั้นเอง!”เย่หรงจ้องมองนางอย่างดุร้าย และเมื่อเห็นท่าทางตื่นตระหนกของศิษย์น้อยของเย่ซื่อฝาน ดูมิคล้ายกับพูดโกหกอยู่ เขาก็เอ่ยถามอย่างมิคาดคิด “เจ้าดื่มสุราเป็นหรือไม่?”เอ๊ะ นี่คือคำถามอะไรกัน?“มินับว่าดื่มเป็นเจ้าค่ะ!” หลิงอวี๋เอ่ยด้วยความเขินอายนางมิรู้ด้วยซ้ำว่าตนสามารถดื่มได้มากแค่ไหน แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าดื่มเป็นหรือไม่“ไป ข้าจะเลี้ยงสุราเจ้าเอง!”เย่หรงมิพูดพร่ำทำเพลง แล้วเดินเข้ามาคว้าแขนของหลิงอวี๋เดินไป“คุณชายเย่ ข้าไปดื่มกับท่านมิได้เจ้าค่ะ!”หลิงอวี๋ตกใจ แล้วก็ดิ้นรนพลางเอ่ยออกมาแม้แต่คนตาบอดก็ยังมองเห็นชัดเจนว่
เย่ซื่อฝานทำการสอนหลิงอวี๋เป็นเวลาครึ่งวันแล้วก็กังวลว่า นางจะมิสามารถดูดซับความรู้ไปได้ทั้งหมด ในเวลาที่เหลือจึงปล่อยให้หลิงอวี๋ทำความคุ้นเคยกับเครื่องยาสมุนไพรด้วยตนเองหลิงอวี๋จึงขออนุญาตจากเย่ซื่อฝาน เรียนรู้อยู่ในห้องปรุงโอสถของเย่ซื่อฝานไปในตอนอาหารเที่ยง เย่ซื่อฝานก็ชวนหลิงอวี๋ไปกินข้าวด้วยกัน แต่หลิงอวี๋ปฏิเสธ บอกว่าตนมีอาหารแห้งมาแล้วเย่ซื่อฝานหมดคำพูดไปเลย เขาคำนึงถึงหลิงอวี๋ว่าเป็นเพราะความภาคภูมิใจในตนเองอาจทำให้เกิดปัญหา จึงมิอยากกินอาหารร่วมกับคนตระกูลเย่ เขาจึงให้คนรับใช้นำอาหารกลางวันไปให้หลิงอวี๋เพียงลำพังหลิงอวี๋ยืมใช้เตากลั่นโอสถของเย่ซื่อฝาน แล้วทำการกลั่นโอสถเสริมพลังวิญญาณไปสองเตา แต่มีอัตราความสำเร็จเพียงสี่ส่วนเท่านั้นนี่เป็นเพราะว่าพลังของหลิงอวี๋ในตอนนี้มิเพียงพอ จึงทำให้หลิงอวี๋ยิ่งมุ่งมั่นที่จะดึงเข็มเงินออกมากขึ้นหลิงอวี๋นำโอสถไปเพียงขวดเดียว ส่วนที่เหลือก็ถือเป็นการชดเชยการใช้เครื่องยาสมุนไพรของเย่ซื่อฝานไปเสียนอกจากนี้ หลิงอวี๋ยังใช้เครื่องยาสมุนไพรของเย่ซื่อฝานทำสองสิ่งด้วย นั่นก็คือจัดเตรียมเป็นยาพิษหนึ่ง และยาแก้พิษอีกหนึ่งนางพูดไปแล้วว่
กระทั่งผู้รอบรู้ฝ่าฝนกลับเข้ามา เขาก็เห็นหลิงอวี๋กำลังนั่งอยู่บนธรณีประตูที่ถูกทำลาย พร้อมทั้งมีห่อสัมภาระเล็ก ๆ สองห่อวางอยู่ข้างกาย“น้องหญิง… มันเกิดอะไรขึ้น? ใครเป็นคนทำ?”เมื่อผู้รอบรู้เห็นประตูใหญ่ถูกทำลายไป เขาก็เอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ“ท่านพี่ เราอยู่ที่นี่มิได้แล้ว! คืนนี้พวกเราไปอยู่ที่โรงเตี๊ยมกันก่อน แล้ววันพรุ่งค่อยคิดหาทางกันเถิด!”หลิงอวี๋ยืนขึ้นอย่างสงบ แล้วยื่นสัมภาระห่อหนึ่งให้กับผู้รอบรู้เมื่อผู้รอบรู้เห็นความยุ่งเหยิงและเรือนที่ถูกฝนซัดสาด อีกทั้งหลังคาที่พังทลาย เขาก็เข้าใจทุกอย่างในทันที“เหมียวหยางทำหรือ?”“อืม! ไม่มีทางเป็นผู้อื่นนอกจากเขา!”หลิงอวี๋ยิ้มเยาะแล้วเอ่ยออกไป “ท่านพี่ พวกเราไปกันเถิด! ภายในสิบวัน ข้าจะทำให้เหมียวหยางควักเงินออกมาสร้างบ้านของเราใหม่ให้จงได้!”ผู้รอบรู้ตะลึงไปครู่หนึ่ง แล้วมองไปทางหลิงอวี๋แล้วเขาก็เห็นใบหน้าของนางที่ถูกชะล้างด้วยฝนนั้น เต็มไปด้วยความเย็นชาและความมุ่งมั่น“เจ้าจะทำกระไร?”ผู้รอบรู้มิได้คลางแคลงใจว่าหลิงอวี๋กำลังโอ้อวดหรือไม่ เขามองออกอยู่แล้วว่าที่หลิงอวี๋มั่นใจเช่นนี้นางจะต้องคิดวิธีดี ๆ ออกแล้วแน่นอน“
ผลลัพธ์ก็คือ หลังจากทดลองไปหนึ่งคืนหลิงอวี๋ได้กลั่นไปแล้วสามเตา และอัตราความสำเร็จสูงที่สุดในการกลั่นโอสถคือเจ็ดส่วนแต่นางก็พอใจแล้ว เนื่องจากนี่เป็นครั้งแรกในการกลั่นโอสถของตน มีอัตราความสำเร็จสูงถึงเพียงนี้ก็นับว่าดีแล้วเมื่อเห็นว่าฟ้าสางแล้ว หลิงอวี๋ก็รีบอาบน้ำและทำอาหารเช้า กระทั่งผู้รอบรู้ตื่นขึ้นมา นางก็นำโอสถที่กลั่นออกมาได้ให้เขาไปขาย และซื้อเครื่องยาสมุนไพรบางส่วนกลับมาอีกหลิงอวี๋วางแผนจะกลั่นโอสถเสริมพลังวิญญาณในคืนนี้แต่สิ่งที่ทำให้หลิงอวี๋และผู้รอบรู้คาดมิถึงก็คือ หลังจากที่ทั้งสองคนออกจากบ้านไป ก็มีกลุ่มคนเข้ามา และเตะประตูเปิดออกอย่างโหดร้าย จากนั้นก็ทุบทำลายเรือนที่พวกเขาสองคนซ่อมแซมกันมาอย่างยากลำบากจนพังยับเยินเตากลั่นโอสถก็ถูกทำลายไปเช่นกัน และเครื่องยาสมุนไพรที่เหลือก็ถูกทำลายไปด้วยวันนี้หลิงอวี๋เรียนครึ่งวัน นางพะวงเรื่องการกลั่นโอสถจึงกลับมาก่อน แต่เดินไปได้ครึ่งทางฝนก็โปรยปรายลงมาแล้วหลิงอวี๋จึงรีบวิ่งไปอย่างรวดเร็ว แต่ไปถึงแค่ปากตรอก ฝนก็ตกหนักขึ้นเรื่อย ๆ หลิงอวี๋จึงเปียกโชกเป็นลูกหมาตกน้ำไปในชั่วพริบตาจากนั้นนางก็เร่งฝีเท้าไป และขณะที่กำลังวิ่งอ
เรื่องเกี่ยวกับราชวงศ์ในเมืองหลวงแดนเทพและตระกูลใหญ่ทั้งหลายนั้น ผู้รอบรู้บอกหลิงอวี๋ไว้หมดแล้วนับตั้งแต่มหาเทพหลงอี้ก่อตั้งแดนเทพขึ้นมา ตระกูลหลงก็ปกครองมาเป็นเวลาแปดร้อยปีแล้วก่อนหน้านี้มีหลงอี้คอยสนับสนุนตระกูลหลงอยู่ ดังนั้นแม้ว่าจะมีคนมิพอใจ แต่พวกเขาก็ล้วนถูกอำนาจเทพของหลงอี้กดขี่ไว้ ทำให้มิสามารถต่อต้านได้แต่ตอนนี้หลงอี้อาจจะไม่มีชีวิตอยู่แล้ว บรรดาตระกูลใหญ่ที่ถูกกดขี่ไว้เหล่านี้ ผู้ใดจะยอมทนให้ตระกูลหลงกดหัวทุกคนไว้กันเล่า?จากการพัฒนามาหลายร้อยปี ตระกูลใหญ่เหล่านี้ล้วนร่ำรวยพอที่จะเป็นศัตรูกับแผ่นดินได้แล้ว มีลูกหลานอยู่ตั้งมากมาย หากตระกูลใดได้นั่งอยู่ในตำแหน่งนั้น ก็หมายถึงการเปลี่ยนอำนาจ มีเกียรติยศรุ่งเรืองไร้ขีดจำกัด และสามารถกำหนดกฎเกณฑ์ได้เองยามนี้ที่ยังอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข นั่นก็เป็นเพราะตระกูลใหญ่เหล่านี้กำลังรอโอกาสอยู่ก่อนที่พายุจะมาถึง สำนักต่าง ๆ ล้วนรับสมัครคนที่มีความสามารถกันอย่างกระตือรือร้น และการกระทำเช่นนี้ของตระกูลหลงนั้น ก็เพียงเพื่อสร้างความมั่นคงให้กับอำนาจปกครองของตนเองเท่านั้นหลิงอวี๋มิได้สนใจการต่อสู้ภายในเหล่านี้นัก แต่นางกลับถูกดึงเ
ขณะที่หลิงอวี๋กำลังจะออกไป จู่ ๆ นางก็นึกถึงบางอย่างขึ้นมา จึงเอ่ยถามออกไป “คุณหนูหลง เจ้าประสบความสำเร็จในเรื่องนั้นแล้วหรือไม่?”เมื่อหลงอิงได้ยินเช่นนั้น นางก็รู้ทันทีว่าหลิงอวี๋ถามนางว่าฮูหยินผู้เฒ่าเฉียวชอบนางแล้วหรือไม่ การที่นางเอาชนะจ้าวหรุ่ยหรุ่ยได้ในครั้งนี้ ทั้งยังกลายเป็นคนที่ได้รับความนิยมในสำนักด้วย ซึ่งเป็นผลอันเนื่องมาจากความเสียสละของหลิงอวี๋หลงอิงยังมีจุดที่ต้องใช้หลิงอวี๋อยู่ จึงขยับตัวไปกระซิบที่ข้างหูนาง “สำเร็จไปกึ่งหนึ่งแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าเฉียวชอบข้ามาก แต่จ้าวหรุ่ยหรุ่ยเจ้าเล่ห์นั่น มิรู้ว่าใช้กลอุบายอะไรเข้าไปอยู่ในตระกูลเฉียว!”“ผู้ที่อยู่ใกล้ก็ย่อมได้ประโยชน์ก่อนผู้อื่น ข้ากังวลว่านางจะใช้คำพูดสวยหรูมาหลอกลวงฮูหยินผู้เฒ่า ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าไปเข้าข้างนางอีก!”“เฮ้อ มิรู้ว่าเฉียวไป๋รู้สึกอย่างไรกับข้าด้วย ช่างเฉยเมยนัก!”“จริงสิ มีคุณหนูตระกูลเก๋อคนหนึ่ง นางก็ไปตระกูลเฉียวทุกวันเช่นกัน ว่ากันว่านางเป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตเฉียวไป๋ไว้!”“เฮ้อ ชีวิตข้าช่างขมขื่นเหลือเกิน เหตุใดจึงมีศัตรูหัวใจมากมายถึงเพียงนี้!”ตระกูลเก๋อหรือ? คุณหนูที่หลงอิงพูดถึงผู้นี้
หลิงอวี๋อยู่ในห้อง นางกินโอสถเสริมพลังวิญญาณไปห้าเม็ดในคราวเดียว หลังจากที่นางประสบกับความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสไป เข็มเงินในท้องน้อยส่วนล่างสุดก็ถูกบีบออกจากในร่างกายของนางหลิงอวี๋รู้สึกเพียงว่า ทันทีที่เข็มเงินออกจากร่างกายไป ภายในตันเถียนก็มีกระแสลมก็พุ่งขึ้นมา ราวกับเขื่อนที่ระบายน้ำออกมา แล้วแรงดันที่มีพลังมหาศาลก็ไหลเข้าสู่ตันเถียนของนางความเจ็บปวดที่ตามมานั้นรุนแรงเป็นอย่างมาก แรงจนไม่มีอะไรหยุดยั้งได้ หลิงอวี๋ที่ถูกโจมตีกะทันหันเช่นนั้นจึงมิสามารถทนรับไหว และหมดสติไป“น้องหญิง… น้องหญิง เจ้าตื่นได้แล้ว!”หลิงอวี๋เองก็มิรู้ว่าตนหมดสติไปนานแค่ไหน เมื่อนางตื่นขึ้นมาก็เห็นแววตาที่ทั้งกังวลและทุกข์ใจของผู้รอบรู้แล้ว“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?”ผู้รอบรู้เห็นว่าหลิงอวี๋มองตนอย่างสับสน เขาจึงเอ่ยอย่างปวดใจ “รู้สึกแย่มากใช่หรือไม่?”หลิงอวี๋มองผ่านเขาไปเห็นหน้าต่าง และด้านนอกหน้าต่างนั้นดวงอาทิตย์ขึ้นแล้ว“ท่านพี่ ข้าสลบไปทั้งคืนเลยหรือ?”หลิงอวี๋เอ่ยถามอย่างมิอยากจะเชื่อ“อืม ข้าตกใจแทบแย่ นึกว่าเจ้าจะตายไปเช่นนี้เสียแล้ว! หากมิใช่ว่าข้าเห็นว่าเจ้ามิได้รับบาดเจ็บอะไร ข้าก็คงจะแบกเ
หลิงอวี๋กอดโอสถสร้างรากฐานปราณและตำราบำเพ็ญตนออกจากบ้านตระกูลเย่ไปตลอดทางนั้นนางก็ได้แต่กังวล เพราะว่าตนถูกผนึกไว้จึงได้สูญเสียพลังไปเช่นนั้นหากฝึกฝนตามวิธีที่เย่ซื่อฝานสอนไว้ แล้วจะเกิดประโยชน์หรือ?หากนางมิสามารถเรียนการบำเพ็ญพลังวิญญาณได้ เย่ซื่อฝานจะผิดหวังในตัวนาง และยอมแพ้กับศิษย์เช่นนางหรือไม่?นางเดินกลับไปที่เรือนเล็กของตนอย่างมิรู้จะทำอย่างไร ผู้รอบรู้กลับมาถึงเรือนก่อนแล้ว เมื่อเขาเห็นหลิงอวี๋เดินเข้ามาด้วยใบหน้าเคร่งเครียด จึงเอ่ยถามด้วยความกังวล“น้องหญิง เกิดเรื่องอันใดขึ้น? เย่ซื่อฝานเปลี่ยนใจ มิยอมรับเจ้าเป็นศิษย์แล้วหรืออย่างไร?”“มิใช่!”หลิงอวี๋ส่ายหัว แล้วบอกผู้รอบรู้เรื่องที่เย่ซื่อฝานให้ตนเรียนการบำเพ็ญตนเมื่อผู้รอบรู้ได้ยินเช่นนั้น เขาก็เอ่ยออกมาอย่างมิเห็นด้วยนัก “เจ้าก็บอกเขาไปเถิดว่ามีคนปิดผนึกเจ้าไว้ พลังของเขาก็มิได้ต่ำ เขาน่าจะมีวิธีช่วยปลดผนึกให้เจ้าได้นะ!”หลิงอวี๋ยิ้มขมขื่น “พี่ใหญ่ ข้ามิกล้าบอกเขาหรอก! หากเขาถามข้าว่าใครเป็นคนปิดผนึกข้า ข้าจะอธิบายอย่างไรเล่า?”“นอกจากนี้ ข้าก็กังวลด้วยว่าหากมีคนรู้เรื่องนี้มากเกินไป มันจะดึงดูดศัตรูของข้าเ
“ท่านอาจารย์ ไป๋จื่อมิใช่กุญแจสำคัญของการทำยาหรอกเจ้าค่ะ แต่เป็นน้ำต่างหาก!”หลิงอวี๋ตอบออกไปอย่างอดทน “ในตอนที่ข้าระบุส่วนผสมยา ข้าพบว่าในโอสถชะลอวัยนั้นมีน้ำตะกั่วอยู่เจ้าค่ะ!”“ที่จริงแล้วสารตะกั่วนี้มิสามารถนำไปใช้ในเครื่องสำอางได้ แม้ว่ามันจะมีผลในการส่งเสริมการดูดซึมของเครื่องยาสมุนไพรตัวอื่น ๆ เข้าสู่ผิวหนังได้ แต่ตัวมันเองก็เป็นพิษเช่นกันเจ้าค่ะ!”หลิงอวี๋บอกสิ่งที่ตนรู้เกี่ยวกับสารตะกั่วให้เย่ซื่อฝานฟัง เมื่อเย่ซื่อฝานฟังแล้วก็พยักหน้าซ้ำ ๆแวดวงปรุงโอสถรู้เพียงแค่ผลการส่งเสริมการดูดซึมของสารตะกั่วมาโดยตลอด แต่กลับรู้อันตรายของสารตะกั่วเพียงผิวเผินเท่านั้นเมื่อเครื่องยาสมุนไพรที่เลือกใช้กับสารตะกั่วขัดขวางกันและกัน อัตราความสำเร็จในการทำยานั้นก็ย่อมต่ำลงเป็นธรรมดาหลิงอวี๋เลือกใช้เพียงแค่น้ำเปล่า และทิ้งสารตะกั่วไป เมื่อเป็นเช่นนี้น้ำเปล่าก็จะมิสามารถขัดขวางสรรพคุณของเครื่องยาสมุนไพรได้ และอัตราความสำเร็จในการทำยาก็จะสูงขึ้น“เช่นนั้นเหตุใดเจ้าจึงเติมน้ำปูนใสลงไปในโอสถสมานแผลเล่า?”เย่ซื่อฝานลืมตัวไปเสียสิ้นว่าตัวตนของเขากับหลิงอวี๋ในตอนนี้สลับกันอยู่ น้ำเสียงของเขาคล