นางฟังผิดไปหรือไม่?เรื่องแบบนี้ ไฉนจึงไปถามเด็กสาวผู้ยังมิได้ออกเรือน?จริงสิ ตั้งแต่นางมาถึงก็ไม่เห็นสะใภ้ใหญ่ หวังซื่อ เลยสักครั้ง!ตามปกติแล้ว หากเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ไม่ใช่ว่าควรที่จะเรียกสะใภ้ใหญ่มาคิดหาวิธี แล้วจึงเอ่ยปลอบหรอกหรือ?หรือว่าในจวนนี้มีเรื่องใดเกิดขึ้น?สุนัขที่ฮูหยินผู้เฒ่าชีเลี้ยงไว้เดินวนเวียนอยู่รอบปลายเท้าของชีหยวน นางจึงอุ้มมันขึ้นมาลูบเล่นเบา ๆ ครั้นได้ยินคำถามของฮูหยินผู้เฒ่าชี นางจึงหันไปมองชีฟางอวิ๋น และกล่าวด้วยเสียงทุ้มว่า “ก็ขึ้นอยู่กับว่าท่านป้าอยากให้เป็นเช่นไร?”......ชีฟางอวิ๋นกล่าวด้วยความขมขื่นเต็มอกว่า “ข้าจะทำอะไรได้เล่า? บ้านพวกเขาก็แสดงให้เห็นชัดเจนอยู่แล้วว่าต้องการบีบคั้นข้า เห็นว่าตอนนี้ลูกของข้าก็โตจนถึงวัยที่จะแต่งงานแล้ว อยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญ จะทะเลาะกับพวกเขาก็ทำไม่ได้!”ฮูหยินผู้เฒ่าชีก็อดกลั้นความโกรธไว้อย่างสุดกำลัง “เรื่องภรรยาเท่าเทียมนี้มันไร้สาระสิ้นดี! ภรรยาเท่าเทียมอะไร ตระกูลที่มีกฎเกณฑ์ไม่เคยยอมรับเรื่องเหล่านี้ มีแต่พวกพ่อค้าต่ำศักดิ์เท่านั้นที่ทำกัน พูดว่าเท่าเทียมกัน แต่เอาเข้าจริง ๆ มันก็แค่ปัญหายุ่งเหย
นางร้องไห้พลางพูดว่า “ไม่ได้ ข้าต้องกลับไป! หรูอี้สุขภาพไม่ค่อยดีอยู่แล้ว หากข้าไม่อยู่ที่จวน ไม่รู้ว่าแม่สามีจะทำอย่างไรกับนางบ้าง!”ฮูหยินผู้เฒ่าชีโกรธจนมือสั่นเพิ่งจะกลับมาบ้านเดิมไม่ทันไร เด็กก็ป่วยเสียแล้ว ไหนเลยจะบังเอิญเช่นนี้?นี่มันชัดเจนว่ากำลังใช้ลูกมาเป็นเครื่องมือบีบคั้นตระกูลชี คิดว่าตนเองเหนือกว่าจึงไม่หวาดกลัว พวกเขามั่นใจว่าชีฟางอวิ๋นไม่อาจทิ้งลูกได้ฮูหยินผู้เฒ่าชีอดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจเข้าลึก แล้วมองไปที่ชีหยวน “อาหยวน เจ้ามีวิธีอะไรบ้างหรือไม่?”“วิธีมีมากมายเจ้าค่ะ” ชีหยวนยิ้มบาง ๆ ก่อนตอบ “เพียงแค่ต้องดูว่าท่านป้าจะยอมเสียสละอะไรหรือไม่เท่านั้น”ฮูหยินผู้เฒ่าชีตัดสินใจแทนบุตรสาวทันที “ยอม! หากพวกเขากล้าก่อเรื่อง เราก็จะตอบโต้ด้วยเรื่องที่ใหญ่กว่า! เจ้าลงมือจัดการไปได้เลย!”พอเห็นชีหยวนเดินออกไป ชีฟางอวิ๋นก็อดไม่ได้ที่จะหันมามองคนทั้งสามในห้อง “ท่านพ่อ ท่านแม่ พี่ใหญ่ หมายความว่าอย่างไรกัน? ทำไมพวกท่านถึงให้ชีหยวนเป็นคนจัดการเรื่องนี้เล่าเจ้าคะ?”ชีเจิ้นมีสีหน้ากระอักกระอ่วนเล็กน้อยแต่ฮูหยินผู้เฒ่าชีกลับยิ้มบาง ๆ “เพราะไม่มีใครเหมาะที่จะช่วยเจ้าแก้แค้นไ
ตระกูลโจวนั้น แม้จะเป็นขุนนางแต่ก็ไม่ได้โดดเด่นมากนัก สิ่งที่ทำให้ตระกูลโจวเป็นที่รู้จักอย่างแท้จริง ก็คือซุ้มประกาศเกียรติคุณพรหมจรรย์ที่ตั้งอยู่หน้าศาลบรรพบุรุษตระกูลโจว!ห่างออกไปเพียงหนึ่งหรือสองจั้ง ก็จะเห็นซุ้มประกาศเกียรติคุณพรหมจรรย์ตั้งตระหง่านอยู่สูงส่ง ตามแนวถนนรอบศาลบรรพบุรุษตระกูลโจว มีซุ้มประกาศเกียรติคุณเรียงรายถึงสิบสองถึงสิบสามซุ้มดังนั้น ถนนสายนี้จึงถูกเรียกว่าถนนซุ้มประกาศเกียรติคุณโจวผิงริมฝีปากสั่นระริก เมื่อเห็นผู้คนกลุ่มใหญ่มากมายมุงล้อมถนนซุ้มประกาศเกียรติคุณอยู่ไกล ๆ เขาควบม้าพุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว แล้วรีบกระโดดลงจากหลังม้า พลางตะโกนเสียงดังลั่น “ใครทำ?! ใครกล้ามาแตะต้องซุ้มประกาศเกียรติคุณของตระกูลโจวข้า?!”แน่นอนว่าทุกคนในตระกูลโจวไม่ได้อาศัยอยู่ในจวนเดียวกันทั้งหมดดังนั้นเมื่อเกิดเรื่องขึ้น คนในตระกูลที่อยู่ใกล้ศาลบรรพบุรุษก็รีบมาดูสถานการณ์ทันทีในเวลานี้ นายท่านผู้เฒ่ารองโจวที่เป็นผู้ทรงคุณวุฒิที่สุดในตระกูลคนหนึ่ง ได้จับแขนโจวผิงไว้ พลางขมวดคิ้วแน่นและถามว่า “พวกเจ้าทำอะไรลงไป!”......โจวผิงทำหน้าตางุนงง ซุ้มประกาศเกียรติคุณพรหมจรรย์ถูกทุบ
ชื่อเสียงของตระกูลโจวเลื่องลือไปทั่วเพราะเรื่องนี้เมื่อก่อนตอนที่ผู้คนได้ยินเรื่องราวนี้ ล้วนทอดถอนใจเป็นเสียงเดียวกันว่าบุตรีตระกูลโจวนั้นเปี่ยมด้วยคุณธรรมและจงรักภักดี และตระกูลโจวก็เป็นคนรักษาสัจจะแต่ตอนนี้ เมื่อคำพูดของโจวคุนดังออกมา เกรงว่าในอนาคต หญิงสาวทั่วทั้งเมืองหลวงคงพากันเกลียดชังโจวผิงเข้ากระดูกดำก็จริงไม่ใช่หรือ?สตรีตระกูลโจวยอมเสียชีวิตไปเพื่ออะไร? เพื่อแลกมากับการที่บุรุษในตระกูลจะใช้ชีวิตเหลวแหลกโดยไร้ความยับยั้งชั่งใจอย่างนั้นหรือ?เดิมที การมีเล็กมีน้อยไม่ใช่เรื่องผิดอะไรสำหรับผู้ชายแล้ว เรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ มักเป็นเรื่องปกติในยามที่ยังไม่ได้แต่งภรรยาก็ติดพันสถานเริงรมย์ พอแต่งงานแล้วก็มักมีสามภรรยาสี่อนุสิ่งเหล่านี้นับว่าเป็นเรื่องแสนธรรมดาแต่มีเพียงตระกูลธรรมดาเท่านั้นที่เป็นเช่นนั้นทว่าสำหรับตระกูลโจว ในเมื่อตระกูลโจวยึดถือชื่อเสียงอันดีงามเช่นนี้ ก็ควรให้ทั้งชายและหญิงได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกันมิใช่หรือ?ไป๋จื่อที่ยืนมองอยู่ไม่ไกลถึงกับถ่มน้ำลายออกมาอย่างอดไม่ไหว “คนบ้าอะไร! สตรีต้องแต่งงานกับป้ายวิญญาณหลังคู่หมั้นตาย แต่บุรุษกลับเสเพลเลี
หลังจากขว้างหินเสร็จ ไป๋จื่อก็แอบย่องกลับไปข้างชีหยวน แต่ทันใดนั้นก็อดไม่ได้ที่จะเบิกตากว้าง “คุณหนูเจ้าคะ ท่านดูนั่นสิ!”นางชี้ไปที่ต้นไม้ข้าง ๆ ชีหยวนจึงหันไปมอง ก็เห็นว่าลิ่วจินกำลังนั่งอยู่บนยอดไม้โบกมือทักทายนางชัดเจนว่า คนที่เริ่มนำปาไข่ไก่เมื่อครู่ก็คือเขานั่นเองช่าง...ชีหยวนไอเบา ๆ หนึ่งครั้ง ก่อนหมุนตัวขึ้นไปบนรถม้าไป๋จื่อรีบตามขึ้นไป พลางมองชีหยวนด้วยความตื่นเต้นดีใจ “คุณหนูเจ้าคะ แล้วเราจะทำอะไรต่อดี?”ในที่สุดนางก็เข้าใจแล้วว่าทำไมคุณหนูถึงบอกว่าชอบจัดการเรื่องแบบนี้ที่แท้ การได้เห็นผู้ชายเลว ๆ ต้องขายหน้ามันทำให้มีความสุขถึงเพียงนี้นี่เอง!ใช่แล้ว ทำไมความทุกข์ยากลำบากต้องตกอยู่กับผู้หญิง แต่ผู้ชายกลับได้ประโยชน์!ควรจะให้พวกผู้ชายเลว ๆ เหล่านี้ได้รับบทเรียนอย่างสาสมเสียบ้าง!ชีหยวนเอนตัวพิงไปด้านหลัง พร้อมยิ้มบาง ๆ “ต่อจากนี้ ก็รอให้คนมาขอร้องเราเอง”บนต้นไม้ เมื่อเห็นชีหยวนขึ้นรถม้าจากไป ลิ่วจินก็ลูบคอตัวเองเบา ๆ ก่อนหันไปมองปาเป่า “ไม่รู้ทำไม ข้ารู้สึกว่าคอมันเย็นวูบวาบยังไงไม่รู้”ปาเป่ากลอกตา “เพราะมือเจ้ามันซุกซนเอง! องค์ชายสั่งให้เราคุ้มครองคุณหนูให
นายท่านผู้เฒ่ารองโจวรู้สึกจนใจ เล่าเหตุการณ์ทั้งหมดในวันนี้ให้ฟังเมื่อเห็นฮูหยินผู้เฒ่าโจวโกรธจนแทบกระอักเลือด นายท่านผู้เฒ่ารองก็กลั้นใจพูดว่า “คำเล่าลือพูดต่อ ๆ กันไปมากเข้าจะกลายเป็นจริง หากปล่อยให้แพร่กระจายออกไป ย่อมไม่เป็นผลดีกับตระกูลเรา เกรงว่าคงต้องขอให้ท่านและโจวผิงอดทนอดกลั้นสักหน่อย รีบไปรับภรรยาของโจวผิงกลับมา เรื่องนี้ถึงจะสงบลงได้”เรื่องภรรยาเอกเท่าเทียมนั้นก็อย่าได้คิดจะพูดถึงอีกต่อไปคงต้องหาวิธีประกาศต่อภายนอกว่าเรื่องทั้งหมดเป็นเพียงความเข้าใจผิดไม่เช่นนั้น ซุ้มประกาศเกียรติคุณที่เหลืออยู่คงไม่อาจรักษาไว้ได้แล้วโจวผิงที่มีความรู้กว้างขวางกว่าฮูหยินผู้เฒ่าโจวเล็กน้อย เมื่อได้รับสัญญาณจากนายท่านผู้เฒ่ารอง จึงได้แต่พยายามกล้ำกลืนความโกรธในใจ ช่วยพูดปลอบฮูหยินผู้เฒ่าโจวจนสงบลงได้ในที่สุดทั้งครอบครัวจึงนำของขวัญติดตัวไปยังจวนตระกูลชีในทันทีฮูหยินผู้เฒ่าชีและคนอื่น ๆ ต่างก็ทราบเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นในวันนี้แล้วเมื่อได้ยินว่าชีหยวนไปหาโจวคุนและให้เขาทุบซุ้มประกาศเกียรติคุณของตระกูลโจว ทุกคนต่างมีสีหน้าแปลกใจโดยเฉพาะชีฟางอวิ๋น นางอ้าปากค้างพลางร้องออกมา
แสงจันทร์ค่อย ๆ ลาลับขอบฟ้า ทันใดนั้น สวี่อินอินก็รู้สึกเหมือนกับว่ามีภูเขาลูกหนึ่งทับลงบนร่างกายของตนเองความเจ็บปวดแผ่ซ่านไปทั่วอก นางรู้สึกราวกับปลาที่ขาดน้ำ พยายามอ้าปากเพื่อสูดอากาศหายใจ ก่อนจะเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึงสิ่งที่ปรากฏแก่สายตาคือ ใบหน้าที่ดูดุร้าย ส่วนประกอบบนใบหน้าดูแข็งกระด้างเป็นติงเฉิงหย่ง!สวี่อินอินตกตะลึงอย่างยิ่ง ฉากนี้ช่างคุ้นเคยเสียจริงแต่มันจะเป็นไปได้อย่างไร?นางยังไม่ทันได้ไตร่ตรอง เสียงเล็กแหลมของหลี่ซิ่วเหนียงก็ดังขึ้น “เจ้าจะเล่นก็เล่นไป แต่อย่าทำให้ตายเสียล่ะ!”เป็นหลี่ซิ่วเหนียง แม่บุญธรรมของนาง!สวี่อินอินโกรธจนดวงตาแทบถลนออกมา สั่นเทิ้มไปทั้งตัวนางกลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้ง ย้อนเวลากลับมาเมื่อสิบสามปีก่อน!ตอนที่นางเพิ่งจะรู้ว่าตนเองเป็นคุณหนูใหญ่แห่งจวนหย่งผิงโหวในเมืองหลวงหลังจากที่จวนหย่งผิงโหวมาตรวจสอบแล้ว พวกเขาบอกว่าจะส่งคนมารับนางทว่า ในคืนนั้นเองนางก็เกิดเรื่องขึ้นแล้ว!หลี่ซิ่วเหนียงขังนางเอาไว้ในห้องเก็บฟืน แล้วพาติงเฉิงหย่งมา นางต่อสู้อย่างสุดกำลังจึงรอดพ้นจากการถูกข่มเหง แต่วันรุ่งขึ้น หลี่ซิ่วเหนียงก็พาคนมาจับนางในข้อ
หลี่ซิ่วเหนียงนำผู้คนกลุ่มหนึ่งรีบรุดฝ่าแสงจันทร์กลับไปที่นางหามา ล้วนขึ้นชื่อว่าเป็นผู้หญิงขี้นินทาประจำหมู่บ้าน สามารถพูดจาบิดเบือนความจริงได้เมื่อคนเหล่านี้เห็นสวี่อินอินและติงเฉิงหย่งนอนอยู่บนเตียงเดียวกัน คงจะถ่มน้ำลายรุมด่าทอสวี่อินอินจนไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดแน่!ฮึ คุณหนูสูงศักดิ์ที่ยังไม่ทันกลับบ้านก็เสียความบริสุทธิ์ไปเสียแล้ว ยังจะเรียกว่าคุณหนูสูงศักดิ์ได้อีกหรือ?นางเคยเป็นแม่นมอยู่ในจวนโหว ย่อมรู้ดีว่าพวกชนชั้นสูงเหล่านั้นทั้งเรื่องมากและจู้จี้จุกจิก มีหรือที่จะอยากได้หญิงสำส่อนที่เคยนอนกับคนอื่นแล้ว?เมื่อถึงตอนนั้น หญิงสำส่อนที่เสียตัวก่อนแต่งงาน กับคุณหนูผู้สูงศักดิ์ที่มีความรู้ความสามารถ ต่อให้จวนหย่งผิงโหวหลับตาเลือก ก็คงเลือกได้ไม่ยากคิดจะกลับไปขวางทางลูกสาวของนาง ฝันไปเถอะ!คิดได้ดังนั้น หลี่ซิ่วเหนียงก็แทบทนรอไม่ไหวแล้ว อยากจะรีบกลับถึงบ้านเสียเดี๋ยวนี้เลยใครจะไปรู้ว่า ห่างจากประตูบ้านประมาณหนึ่งร้อยเมตร หัวหน้าหมู่บ้านกลับพาคนกลุ่มใหญ่ถือคบเพลิงมาล้อมพวกนางเอาไว้หลี่ซิ่วเหนียงชะงักไปครู่หนึ่ง “หัวหน้าหมู่บ้าน? ท่านทำแบบนี้หมายความว่าอย่างไร?”หัวหน้าหม
นายท่านผู้เฒ่ารองโจวรู้สึกจนใจ เล่าเหตุการณ์ทั้งหมดในวันนี้ให้ฟังเมื่อเห็นฮูหยินผู้เฒ่าโจวโกรธจนแทบกระอักเลือด นายท่านผู้เฒ่ารองก็กลั้นใจพูดว่า “คำเล่าลือพูดต่อ ๆ กันไปมากเข้าจะกลายเป็นจริง หากปล่อยให้แพร่กระจายออกไป ย่อมไม่เป็นผลดีกับตระกูลเรา เกรงว่าคงต้องขอให้ท่านและโจวผิงอดทนอดกลั้นสักหน่อย รีบไปรับภรรยาของโจวผิงกลับมา เรื่องนี้ถึงจะสงบลงได้”เรื่องภรรยาเอกเท่าเทียมนั้นก็อย่าได้คิดจะพูดถึงอีกต่อไปคงต้องหาวิธีประกาศต่อภายนอกว่าเรื่องทั้งหมดเป็นเพียงความเข้าใจผิดไม่เช่นนั้น ซุ้มประกาศเกียรติคุณที่เหลืออยู่คงไม่อาจรักษาไว้ได้แล้วโจวผิงที่มีความรู้กว้างขวางกว่าฮูหยินผู้เฒ่าโจวเล็กน้อย เมื่อได้รับสัญญาณจากนายท่านผู้เฒ่ารอง จึงได้แต่พยายามกล้ำกลืนความโกรธในใจ ช่วยพูดปลอบฮูหยินผู้เฒ่าโจวจนสงบลงได้ในที่สุดทั้งครอบครัวจึงนำของขวัญติดตัวไปยังจวนตระกูลชีในทันทีฮูหยินผู้เฒ่าชีและคนอื่น ๆ ต่างก็ทราบเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นในวันนี้แล้วเมื่อได้ยินว่าชีหยวนไปหาโจวคุนและให้เขาทุบซุ้มประกาศเกียรติคุณของตระกูลโจว ทุกคนต่างมีสีหน้าแปลกใจโดยเฉพาะชีฟางอวิ๋น นางอ้าปากค้างพลางร้องออกมา
หลังจากขว้างหินเสร็จ ไป๋จื่อก็แอบย่องกลับไปข้างชีหยวน แต่ทันใดนั้นก็อดไม่ได้ที่จะเบิกตากว้าง “คุณหนูเจ้าคะ ท่านดูนั่นสิ!”นางชี้ไปที่ต้นไม้ข้าง ๆ ชีหยวนจึงหันไปมอง ก็เห็นว่าลิ่วจินกำลังนั่งอยู่บนยอดไม้โบกมือทักทายนางชัดเจนว่า คนที่เริ่มนำปาไข่ไก่เมื่อครู่ก็คือเขานั่นเองช่าง...ชีหยวนไอเบา ๆ หนึ่งครั้ง ก่อนหมุนตัวขึ้นไปบนรถม้าไป๋จื่อรีบตามขึ้นไป พลางมองชีหยวนด้วยความตื่นเต้นดีใจ “คุณหนูเจ้าคะ แล้วเราจะทำอะไรต่อดี?”ในที่สุดนางก็เข้าใจแล้วว่าทำไมคุณหนูถึงบอกว่าชอบจัดการเรื่องแบบนี้ที่แท้ การได้เห็นผู้ชายเลว ๆ ต้องขายหน้ามันทำให้มีความสุขถึงเพียงนี้นี่เอง!ใช่แล้ว ทำไมความทุกข์ยากลำบากต้องตกอยู่กับผู้หญิง แต่ผู้ชายกลับได้ประโยชน์!ควรจะให้พวกผู้ชายเลว ๆ เหล่านี้ได้รับบทเรียนอย่างสาสมเสียบ้าง!ชีหยวนเอนตัวพิงไปด้านหลัง พร้อมยิ้มบาง ๆ “ต่อจากนี้ ก็รอให้คนมาขอร้องเราเอง”บนต้นไม้ เมื่อเห็นชีหยวนขึ้นรถม้าจากไป ลิ่วจินก็ลูบคอตัวเองเบา ๆ ก่อนหันไปมองปาเป่า “ไม่รู้ทำไม ข้ารู้สึกว่าคอมันเย็นวูบวาบยังไงไม่รู้”ปาเป่ากลอกตา “เพราะมือเจ้ามันซุกซนเอง! องค์ชายสั่งให้เราคุ้มครองคุณหนูให
ชื่อเสียงของตระกูลโจวเลื่องลือไปทั่วเพราะเรื่องนี้เมื่อก่อนตอนที่ผู้คนได้ยินเรื่องราวนี้ ล้วนทอดถอนใจเป็นเสียงเดียวกันว่าบุตรีตระกูลโจวนั้นเปี่ยมด้วยคุณธรรมและจงรักภักดี และตระกูลโจวก็เป็นคนรักษาสัจจะแต่ตอนนี้ เมื่อคำพูดของโจวคุนดังออกมา เกรงว่าในอนาคต หญิงสาวทั่วทั้งเมืองหลวงคงพากันเกลียดชังโจวผิงเข้ากระดูกดำก็จริงไม่ใช่หรือ?สตรีตระกูลโจวยอมเสียชีวิตไปเพื่ออะไร? เพื่อแลกมากับการที่บุรุษในตระกูลจะใช้ชีวิตเหลวแหลกโดยไร้ความยับยั้งชั่งใจอย่างนั้นหรือ?เดิมที การมีเล็กมีน้อยไม่ใช่เรื่องผิดอะไรสำหรับผู้ชายแล้ว เรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ มักเป็นเรื่องปกติในยามที่ยังไม่ได้แต่งภรรยาก็ติดพันสถานเริงรมย์ พอแต่งงานแล้วก็มักมีสามภรรยาสี่อนุสิ่งเหล่านี้นับว่าเป็นเรื่องแสนธรรมดาแต่มีเพียงตระกูลธรรมดาเท่านั้นที่เป็นเช่นนั้นทว่าสำหรับตระกูลโจว ในเมื่อตระกูลโจวยึดถือชื่อเสียงอันดีงามเช่นนี้ ก็ควรให้ทั้งชายและหญิงได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกันมิใช่หรือ?ไป๋จื่อที่ยืนมองอยู่ไม่ไกลถึงกับถ่มน้ำลายออกมาอย่างอดไม่ไหว “คนบ้าอะไร! สตรีต้องแต่งงานกับป้ายวิญญาณหลังคู่หมั้นตาย แต่บุรุษกลับเสเพลเลี
ตระกูลโจวนั้น แม้จะเป็นขุนนางแต่ก็ไม่ได้โดดเด่นมากนัก สิ่งที่ทำให้ตระกูลโจวเป็นที่รู้จักอย่างแท้จริง ก็คือซุ้มประกาศเกียรติคุณพรหมจรรย์ที่ตั้งอยู่หน้าศาลบรรพบุรุษตระกูลโจว!ห่างออกไปเพียงหนึ่งหรือสองจั้ง ก็จะเห็นซุ้มประกาศเกียรติคุณพรหมจรรย์ตั้งตระหง่านอยู่สูงส่ง ตามแนวถนนรอบศาลบรรพบุรุษตระกูลโจว มีซุ้มประกาศเกียรติคุณเรียงรายถึงสิบสองถึงสิบสามซุ้มดังนั้น ถนนสายนี้จึงถูกเรียกว่าถนนซุ้มประกาศเกียรติคุณโจวผิงริมฝีปากสั่นระริก เมื่อเห็นผู้คนกลุ่มใหญ่มากมายมุงล้อมถนนซุ้มประกาศเกียรติคุณอยู่ไกล ๆ เขาควบม้าพุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว แล้วรีบกระโดดลงจากหลังม้า พลางตะโกนเสียงดังลั่น “ใครทำ?! ใครกล้ามาแตะต้องซุ้มประกาศเกียรติคุณของตระกูลโจวข้า?!”แน่นอนว่าทุกคนในตระกูลโจวไม่ได้อาศัยอยู่ในจวนเดียวกันทั้งหมดดังนั้นเมื่อเกิดเรื่องขึ้น คนในตระกูลที่อยู่ใกล้ศาลบรรพบุรุษก็รีบมาดูสถานการณ์ทันทีในเวลานี้ นายท่านผู้เฒ่ารองโจวที่เป็นผู้ทรงคุณวุฒิที่สุดในตระกูลคนหนึ่ง ได้จับแขนโจวผิงไว้ พลางขมวดคิ้วแน่นและถามว่า “พวกเจ้าทำอะไรลงไป!”......โจวผิงทำหน้าตางุนงง ซุ้มประกาศเกียรติคุณพรหมจรรย์ถูกทุบ
นางร้องไห้พลางพูดว่า “ไม่ได้ ข้าต้องกลับไป! หรูอี้สุขภาพไม่ค่อยดีอยู่แล้ว หากข้าไม่อยู่ที่จวน ไม่รู้ว่าแม่สามีจะทำอย่างไรกับนางบ้าง!”ฮูหยินผู้เฒ่าชีโกรธจนมือสั่นเพิ่งจะกลับมาบ้านเดิมไม่ทันไร เด็กก็ป่วยเสียแล้ว ไหนเลยจะบังเอิญเช่นนี้?นี่มันชัดเจนว่ากำลังใช้ลูกมาเป็นเครื่องมือบีบคั้นตระกูลชี คิดว่าตนเองเหนือกว่าจึงไม่หวาดกลัว พวกเขามั่นใจว่าชีฟางอวิ๋นไม่อาจทิ้งลูกได้ฮูหยินผู้เฒ่าชีอดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจเข้าลึก แล้วมองไปที่ชีหยวน “อาหยวน เจ้ามีวิธีอะไรบ้างหรือไม่?”“วิธีมีมากมายเจ้าค่ะ” ชีหยวนยิ้มบาง ๆ ก่อนตอบ “เพียงแค่ต้องดูว่าท่านป้าจะยอมเสียสละอะไรหรือไม่เท่านั้น”ฮูหยินผู้เฒ่าชีตัดสินใจแทนบุตรสาวทันที “ยอม! หากพวกเขากล้าก่อเรื่อง เราก็จะตอบโต้ด้วยเรื่องที่ใหญ่กว่า! เจ้าลงมือจัดการไปได้เลย!”พอเห็นชีหยวนเดินออกไป ชีฟางอวิ๋นก็อดไม่ได้ที่จะหันมามองคนทั้งสามในห้อง “ท่านพ่อ ท่านแม่ พี่ใหญ่ หมายความว่าอย่างไรกัน? ทำไมพวกท่านถึงให้ชีหยวนเป็นคนจัดการเรื่องนี้เล่าเจ้าคะ?”ชีเจิ้นมีสีหน้ากระอักกระอ่วนเล็กน้อยแต่ฮูหยินผู้เฒ่าชีกลับยิ้มบาง ๆ “เพราะไม่มีใครเหมาะที่จะช่วยเจ้าแก้แค้นไ
นางฟังผิดไปหรือไม่?เรื่องแบบนี้ ไฉนจึงไปถามเด็กสาวผู้ยังมิได้ออกเรือน?จริงสิ ตั้งแต่นางมาถึงก็ไม่เห็นสะใภ้ใหญ่ หวังซื่อ เลยสักครั้ง!ตามปกติแล้ว หากเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ไม่ใช่ว่าควรที่จะเรียกสะใภ้ใหญ่มาคิดหาวิธี แล้วจึงเอ่ยปลอบหรอกหรือ?หรือว่าในจวนนี้มีเรื่องใดเกิดขึ้น?สุนัขที่ฮูหยินผู้เฒ่าชีเลี้ยงไว้เดินวนเวียนอยู่รอบปลายเท้าของชีหยวน นางจึงอุ้มมันขึ้นมาลูบเล่นเบา ๆ ครั้นได้ยินคำถามของฮูหยินผู้เฒ่าชี นางจึงหันไปมองชีฟางอวิ๋น และกล่าวด้วยเสียงทุ้มว่า “ก็ขึ้นอยู่กับว่าท่านป้าอยากให้เป็นเช่นไร?”......ชีฟางอวิ๋นกล่าวด้วยความขมขื่นเต็มอกว่า “ข้าจะทำอะไรได้เล่า? บ้านพวกเขาก็แสดงให้เห็นชัดเจนอยู่แล้วว่าต้องการบีบคั้นข้า เห็นว่าตอนนี้ลูกของข้าก็โตจนถึงวัยที่จะแต่งงานแล้ว อยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญ จะทะเลาะกับพวกเขาก็ทำไม่ได้!”ฮูหยินผู้เฒ่าชีก็อดกลั้นความโกรธไว้อย่างสุดกำลัง “เรื่องภรรยาเท่าเทียมนี้มันไร้สาระสิ้นดี! ภรรยาเท่าเทียมอะไร ตระกูลที่มีกฎเกณฑ์ไม่เคยยอมรับเรื่องเหล่านี้ มีแต่พวกพ่อค้าต่ำศักดิ์เท่านั้นที่ทำกัน พูดว่าเท่าเทียมกัน แต่เอาเข้าจริง ๆ มันก็แค่ปัญหายุ่งเหย
แต่ก่อนไม่มีการเปรียบเทียบ ดังนั้นท่านโหวผู้เฒ่าจึงรู้สึกว่าแม้บุตรชายจะไม่มีความสามารถมากนัก แต่อย่างน้อยก็สามารถรักษาสิ่งที่มีไว้ได้แต่ตอนมีชีหยวน หลานสาวที่เด็ดขาดและเฉียบขาดเป็นตัวเปรียบเทียบ เขาจึงรู้สึกว่าบุตรชายช่างลังเลและไม่มีความกล้าหาญเช่นบุรุษเสียเลยเขาจึงไม่อ้อมค้อมอีกต่อไป พูดตรงไปตรงมาว่า “บุตรสาวของเจ้าได้เลือกทางเดินให้เจ้าแล้ว เจ้าคิดว่าเจ้ายังมีทางเลือกอื่นอีกหรือ เจ้ากำลังเพ้อฝันอยู่หรือไง?”ชีเจิ้นยิ้มขมขื่นใช่แล้ว เหตุผลที่ชีหยวนยอมลดตัวกลับมา ท้ายที่สุดก็คงเป็นเพราะข่าวของพระชายาหลิ่วที่เขามีอยู่ในมือเขาถอนหายใจช้า ๆ “เช่นนั้นลูกจะไปหานาง...”ก่อนที่คำพูดจะจบ หลิวจงเคาะประตูพลางหอบหายใจ “ท่านโหวผู้เฒ่า ท่านโหว! เกิดเรื่องแล้วขอรับ!”......ไยถึงมีเรื่องอีกแล้ว?ชีเจิ้นนวดหัวคิ้วตัวเอง มองไปทางผู้เป็นบิดาอย่างอ่อนใจ แล้วตะโกนเสียงต่ำ “เข้ามา!”เมื่อหลิวจงเข้ามา เขาก็รีบถามทันที “คุณหนูใหญ่ทำอะไรอีกหรือ?”หลิวจงอุทานอย่างสงสัยออกมาหนึ่งที ก่อนจะเช็ดเหงื่อที่หน้าผากของตน “คุณหนูใหญ่? ท่านโหว ไม่ใช่คุณหนูใหญ่หรอกขอรับ!”โหวผู้เฒ่ากระแอมไอออกมาเบา ๆ หน
อ๋องฉีไม่รู้สึกว่านี่เป็นความโชคดี เมื่อเซี่ยกงกงยิ้มแย้มอีกครั้งและนำพระราชโองการมา เขาก็รู้สึกว่าโลหิตในร่างกายไม่ไหลเวียนตั้งแต่ยังเยาว์วัย อ๋องฉีได้รับความรักความเอ็นดูมากที่สุด ความยากลำบากที่สุดที่อ๋องฉีเคยได้ประสบคือสมรสพระราชทานที่ให้เขาแต่งหญิงกำพร้าเป็นพระชายาแต่เรื่องนั้นก็ถูกเขาจัดการได้ในทันที เขาก็เป็นคนแบบนี้ เห็นอะไรที่ไม่ถูกใจก็ไม่ทนแต่ครั้งนี้ เขาถึงกับถูกลดบรรดาศักดิ์เป็นจวิ้นอ๋อง!จวิ้นอ๋องกับชินอ๋อง ต่างกันเพียงตัวอักษรเดียว แต่สิ่งที่ได้รับห่างไกลกันมาก สิ่งที่เขาต้องเสียไปไม่ใช่เพียงแต่เงินทองปีละน้อยนิดเท่านั้น แต่ยังรวมถึงองครักษ์ด้วยตามปกติ ชินอ๋องที่ไปเขตปกครองมักจะมีกองทหารองครักษ์ตั้งแต่สามถึงห้าหมื่นนาย ซึ่งเป็นกองทหารองครักษ์ส่วนตัวและเป็นรากฐานความปลอดภัยในชีวิตของอ๋องผู้นั้นแต่หากเป็นจวิ้นอ๋อง ไม่เพียงจำนวนกองกำลังจะต้องลดลงกว่าครึ่งหนึ่งเท่านั้น ยังมีผลประโยชน์อื่น ๆ ที่ได้รับน้อยลงทั้งหมดอีกด้วยเขากัดฟันขอบพระทัย พอกลับเข้ามาก็ทำลายทุกสิ่งที่สามารถทุบทำลายได้ในห้องหนังสือในราชวงศ์ต้าโจว อ๋องฉีผู้ซึ่งเคยได้รับเกียรติเหนือกว่ารัชทายาท พลั
จวนอ๋องนั้นถูกสร้างเสร็จสิ้นหลังจากผ่านไปสามปีพวกเขาเป็นคู่สามีภรรยาที่ร่วมทุกข์สุขด้วยกันจริง ๆ ได้ไปยังจางโจวแดนดินที่แสนจะทุรกันดาร ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ปกครอง ร่วมกันสร้างจวนอ๋องจากที่ไม่มีอะไรเลย ให้ความรู้ชาวบ้านและสร้างท่าเรือรอคอยจนกระทั่งสถานการณ์พลิกผัน เขาได้เข้าเมืองหลวงขึ้นเป็นฮ่องเต้ แต่พระชายาหลิ่วกลับเป็นแค่พระชายาเอกในอ๋องตลอดไปถึงแม้ทุกวันนี้เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ในพระทัยของฮ่องเต้หย่งชางยังคงรู้สึกเจ็บปวดหลังจากที่อ๋องฉีประสูติ จำนวนครั้งที่เขาฝันถึงพระชายาหลิ่วก็ค่อย ๆ ลดลงด้วยเหตุนี้เอง เขาจึงรู้สึกยิ่งว่าอ๋องฉีคือพระโอรสที่เขาและพระชายาหลิ่วสูญเสียไป และเด็กคนนั้นได้กลับมาเกิดใหม่เพื่อเป็นพระโอรสของเขาอ๋องฉีคือพระโอรสที่เขาได้อุ้มบ่อยมากที่สุดความรู้สึกผิดที่ยากจะบรรยายเหล่านั้นกลายเป็นความรักที่เขามีต่อพระโอรสผู้นี้หลิ่วกุ้ยเฟยทราบดีถึงพระทัยของฮ่องเต้หย่งชางในเวลานี้สิ่งที่นางเพียรพยายามทำมาโดยตลอด ในที่สุดบัดนี้ก็ได้ผลแล้วนี่ก็คือเหตุผลที่นางใช้วิธีต่าง ๆ ทุกวิถีทาง เพื่อให้ฮ่องเต้หย่งชางมีส่วนร่วมในการเติบโตของอ๋องฉีความรู้สึกนั้นเกิดขึ