“ไทเฮาไม่มีหลักฐาน ต่งชูก็ตายไปแล้ว ไม่มีพยานอีกต่อไป ต่อให้พวกเขาปลอมแปลงหลักฐานก็ย่อมต้องใช้เวลา“ท้ายที่สุดแล้ว อ๋องผู้สำเร็จราชการก็เป็นตำแหน่งสูงและสถานะมิธรรมดา หลักฐานที่พวกเขาปลอมแปลงจะต้องสมเหตุสมผลและไร้ช่องโหว่ เพื่อจะได้ตบตาเหล่าขุนนางทั้งหลายในราชสำนัก”“เช่นนั้นถึงจะสามารถประหารฟู่เฉินหวนได้”“ดังนั้น พวกเขาน่าจะต้องใช้เวลาในการสร้างหลักฐาน และฟู่เฉินหวนที่อยู่ในคุกตอนนี้น่าจะปลอดภัย”“แต่คงจะหลีกเลี่ยงการทนทุกข์ทางกายมิได้ หม่อมฉันต้องขอให้จักรพรรดิมีราชโองการมิอนุญาตให้มีการทรมานในเรือนจำ”หลังจากฟังการวิเคราะห์ของลั่วชิงยวน ฟู่จิ่งหลีก็สงบลงเขาพยักหน้า “เรื่องคุก ข้าจะไปหาองค์จักรพรรดิเอง”ลั่วชิงยวนคิดเรื่องนี้และพูดต่อ “ตราบใดที่เราหาหลักฐานและจุดอ่อนของพวกเขาเจอก่อนที่พวกเขาจะปลอมแปลงหลักฐานได้ เราก็สามารถบีบให้พวกเขาปล่อยตัวฟู่เฉินหวนออกมาได้”ฟู่จิ่งหลีอดมิได้ที่จะถาม “แต่เสด็จพี่สามเข้าไปแล้ว และตอนนี้พวกเขายังสามารถควบคุมวังหลวงได้อย่างเบ็ดเสร็จ พวกเราจะยังหาหลักฐานและจุดอ่อนของพวกเขาได้หรือ?"ลั่วชิงยวนขมวดคิ้วครุ่นคิดและค่อย ๆ พูดขึ้นมาว่า “หม่อมฉันอ
“ท่านอ๋องยอมเข้าคุกด้วยตัวพระองค์เองก็เพื่อปกป้องลั่วชิงยวน ดูเหมือนว่าเขาจะมิได้เกลียดลั่วชิงยวนมากอย่างที่ลือกัน”มหาราชาจารย์เหยียนสงสัยว่า ลั่วชิงยวนอาจเป็นจุดอ่อนของฟู่เฉินหวนก็เป็นได้ในที่สุดฟู่เฉินหวนก็เงยหน้าขึ้น จ้องมองไปยังมหาราชาจารย์เหยียนด้วยสายตาดุดัน“ข้าจะมิพูดซ้ำ ใครก็อย่าได้คิดจะแตะต้องลั่วชิงยวน!”มหาราชาจารย์เหยียนอดมิได้ที่จะหัวเราะเมื่อเห็นฟู่เฉินหวนยอมเปิดปากในที่สุดเขาถามอย่างมิใส่ใจ "แม้ว่ากระหม่อมจะแตะต้องนาง สถานการณ์ของท่านอ๋องในตอนนี้จะเปลี่ยนไปหรือ?"ดวงตาของฟู่เฉินหวนเต็มไปด้วยความอาฆาต เขามองไปยังมหาราชาจารย์เหยียนด้วยสายตาที่คมกริบ น้ำเสียงเย็นชาและอันตรายเปล่งออกมาอย่างปฏิเสธมิได้ “เช่นนั้นมหาราชาจารย์เหยียน จะลองดูก็ได้”“หากไทเฮาทรงจะละทิ้งลูกชายของพระนางอย่างฟู่อวิ๋นโจว มหาราชาจารย์เหยียนจะทำอะไรก็เชิญ”มหาราชาจารย์เหยียนตกใจเป็นอย่างมากฟู่อวิ๋นโจวเขาเกือบลืมฟู่อวิ๋นโจวไปแล้วดูเหมือนว่าฟู่อวิ๋นโจวจะถูกคนจากตำหนักอ๋องควบคุมอีกครั้งแต่แล้วเขาก็ยิ้มออกมาและพูดว่า “ใช้ฟู่อวิ๋นโจวแลกชีวิตกับลั่วชิงยวนได้ แล้วตัวท่านอ๋องเองเล่า?”“เบี้ย
เมื่อได้ยินเช่นนั้น มหาราชาจารย์เหยียนก็ตกใจเล็กน้อยเขายิ้มเล็กน้อย มือของเขาไขว้อยู่ด้านหลังโดยไม่มีใครสังเกตเห็น และคางก็เชยขึ้นเล็กน้อยท่าทีที่ดูหยิ่งยโสและทรงอำนาจอย่างมากเขาพูดด้วยรอยยิ้ม “ฝ่าบาท ทรงตรัสเกินไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”“กระนั้น ท่านทรงเรียกกระหม่อมว่าลุง ลุงคนนี้ก็มิใช่คนแล้งน้ำใจ”“ในเมื่อฝ่าบาททรงมิอยากเห็นอ๋องผู้สำเร็จราชการทรมาน เช่นนั้นกระหม่อมจะหยุดชั่วคราว”“ฝ่าบาทวางพระทัยเถิด ก่อนจะพบหลักฐาน กระหม่อมจะมิปล่อยให้อ๋องผู้สำเร็จราชการเป็นอะไรไปแน่!”“นี่ก็ดึกแล้ว ฝ่าบาท โปรดพักผ่อนก่อนเถิด กระหม่อมขอทูลลา”หลังจากพูดอย่างนั้น มหาราชาจารย์เหยียนก็โค้งคำนับเล็กน้อย แล้วเดินจากไปขณะเดินออกจากคุก ก้าวย่างของเขาดูหยิ่งยโสอย่างมากฟู่จิ่งหลีมองดูฉากนี้ พลางกำหมัดแน่นด้วยความโกรธมหาราชาจารย์เหยียนผู้นี้ เมื่อก่อนตอนที่อ๋องผู้สำเร็จราชการมิได้ติดคุก ก็มิได้โอหังเช่นนี้คราวนี้ เมื่อเห็นฟู่เฉินหวนถูกจำคุก เขาก็รู้สึกว่าไม่มีใครคอยหนุนฟู่จิ่งหานแล้ว จึงกล้าที่จะปฏิบัติต่อจักรพรรดิเช่นนี้ใครเป็นจักรพรรดิกันแน่?ฟู่จิ่งหานรีบก้าวไปข้างหน้า "พี่สาม!"“ข้ามิคิด
เมื่อถึงรุ่งสาง ลั่วเยวี่ยอิงก็เข้าไปในวังหลวงทันทีนางไปขอเข้าเฝ้าไทเฮาไทเฮาเหยียนรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยกับการมาของนาง “ข้ากำลังจะส่งคนไปหาเจ้า เจ้าเองก็มาแล้ว”ลั่วเยวี่ยอิงรู้สึกประหม่าเล็กน้อย “มิทราบว่าไทเฮาทรงมีธุระอันใดกับหม่อมฉันหรือเพคะ”ไทเฮาตรัสอย่างสงบ "เจ้ามิใช่ว่ายังทำงานให้กับผิงเซียวอยู่หรือ? ตอนนี้มีโอกาสที่จะจัดการกับฟู่เฉินหวนแล้ว เจ้าจะทำหรือไม่?"หัวใจของลั่วเยวี่ยอิงสั่นสะท้าน คำขอความเมตตาถูกกลืนกลับลงไปทันทีหากนางร้องขอความเมตตาให้ฟู่เฉินหวนในตอนนี้ ไทเฮาคงจะฆ่านางอย่างแน่นอนนางจึงรีบตอบว่า “หม่อมฉันเพิ่งทราบข่าวจึงรีบมาที่นี่ มิรู้จะช่วยไทเฮาได้หรือไม่เพคะ”“มิทราบว่า ไทเฮาทรงต้องการให้หม่อมฉันทำสิ่งใดหรือเพคะ”ไทเฮายิ้มด้วยความพึงพอใจ แล้วสั่งด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ใครก็ได้ มานี่! ลั่วเยวี่ยอิงบุกเข้าพระตำหนักโช่วสี่หวังจะลอบปลงพระชนม์ไทเฮา จับนางเข้าคุกเดี๋ยวนี้!"ลั่วเยวี่ยอิงตกใจและเงยหน้าขึ้นอย่างมิเชื่อสายตา “ไทเฮา…”…… รุ่งสางผ่านไปแล้วลั่วชิงยวนเพิ่งต้มยาแล้วจึงส่งไปที่ห้อง เตรียมที่จะป้อนยาให้กับองค์จักรพรรดิสูงสุดทันใดนั้น ขันทีหลิวก
ดวงตาของฟู่เฉินหวนมืดมน "เจ้าจะทำอะไร!"ขันทีหลิวยิ้มเล็กน้อย และพูดว่า "'ในเมื่ออ๋องผู้สำเร็จราชการตัดมิอาจตัดสินพระทัยได้ กระหม่อมจะช่วยเลือกแทนให้เอง"“ถ้าอย่างนั้น… ลั่วชิงยวนก่อนแล้วกัน”หลังจากนั้นเขาก็ส่งสัญญาณมือช่วงเวลาต่อมา ลั่วชิงยวนก็ถูกจับไปตรึงไว้บนม้านั่งพวกเขามัดมือของนางไว้ด้วยในขณะนั้นหัวใจของฟู่เฉินหวนตึงเครียด แต่ยังคงอดทนและมิพูดอะไรขันทีหลิวมองดูการแสดงออกของฟู่เฉินหวนแล้วหัวเราะเบา ๆ "ดูเหมือนว่าอ๋องผู้สำเร็จราชการจะมิทรงรู้สึกสงสารที่ลั่วชิงยวนต้องรับโทษเลย"ลั่วชิงยวนกำมือแน่น แล้วเงยหน้าขึ้นมองเขา นางมองดูใบหน้าที่สงบนิ่งและดวงตาที่มิแยแสของเขา นางมิได้อยู่ในสายตาของเขาเลยแม้แต่น้อยนางกัดฟันลุกขึ้นจากม้านั่ง แล้วตวัดฝ่ามือซัดผู้คุมสองคนกระเด็นไปจากนั้นก็เหวี่ยงเชือกลงพื้นอย่างแรงขันทีหลิวตกใจมาก “ท่าน ท่าน ท่าน! ท่านคิดจะต่อกบฏหรือ?”ลั่วชิงยวนมองดูขันทีหลิวด้วยสายตาที่เฉียบแหลมและพูดอย่างเย็นชา "พวกเจ้าแค่สงสัยว่าข้าใส่บางอย่างลงไปในยาขององค์จักรพรรดิสูงสุด แต่ข้าได้กินยาไปแล้ว พิสูจน์ได้แล้วว่าไม่มีพิษ"“พวกเจ้ามีสิทธิ์อะไรมาลงโทษข้า? ต่อ
“มิเช่นนั้น ก็โปรดท่านอ๋องสารภาพมาให้ชัดเจนว่า ร่วมมือกับต่งชูเพื่อล้างแค้นให้พระชายาหลี และทำร้ายจักรพรรดิสูงสุดอย่างไร”ในขณะนั้น ฟู่เฉินหวนพยายามระงับความเจ็บปวดด้วยสติอีกครั้ง ตะโกนอย่างเกรี้ยวกราดว่า "ไสหัวไป!"ขันทีหลิวเยาะเย้ย "เช่นนั้น ลั่วเยวี่ยอิงคงต้องทนทุกข์ทรมานเสียหน่อยแล้ว""เฆี่ยนต่อไป!"ขันทีหลิวออกคำสั่ง และผู้คุมก็เฆี่ยนลั่วเยวี่ยอิงด้วยแส้อย่างแรงอีกครั้งร่างกายของลั่วเยวี่ยอิงเต็มไปด้วยเลือด นางมิสามารถขยับได้แม้เพียงครึ่งก้าว นางทำได้เพียงนอนหมอบลงบนพื้นรับโทษทัณฑ์ และร้องครวญครางซ้ำแล้วซ้ำเล่า"หยุด! หยุด!"ฟู่เฉินหวนดึงโซ่อีกครั้งด้วยความตื่นตระหนก ความโกรธปะทุขึ้นอีกครั้งเลือดสด ๆ พุ่งออกมาจากปากของเขาครั้งแล้วครั้งเล่าเล็บของลั่วชิงยวนจิกเข้าไปในฝ่ามือ ดวงตาของนางแดงก่ำหัวใจของนางเจ็บปวดเหมือนถูกเข็มทิ่มแทงเหตุใดถึงเป็นเช่นนี้? ฟู่เฉินหวนจะอาเจียนเป็นเลือดได้อย่างไร!มิได้การ มีบางอย่างผิดปกติ! ต้องมีบางอย่างผิดปกติแน่!นางรีบพุ่งไปข้างหน้าทันที "หยุดเดี๋ยวนี้!"นางแย่งแส้จากมือของผู้คุมแล้วผลักเขาออกไปขันทีหลิวพูดอย่างเย็นชา "พระชายาจะทำอ
ลั่วชิงยวนตกตะลึง ดวงตาของนางพลันเปลี่ยนเป็นสีแดงในทันใด“ว่ากระไรนะเพคะ?” ลั่วชิงยวนมิเข้าใจเสียงของฟู่เฉินหวนฟังดูอ่อนแรง แฝงด้วยความสะอื้นและสิ้นหวัง "ข้าขอโทษ ข้าควบคุมตัวเองมิได้"เสียงนั้นทำให้ลั่วชิงยวนรู้สึกปวดใจอย่างยิ่ง และทันใดนั้นนางก็เข้าใจทุกอย่างนางอดมิได้ที่จะกอดเขาไว้แน่น ๆ น้ำตาพลันไหลออกมา“หม่อมฉันรู้แล้ว หม่อมฉันรู้หมดทุกอย่างแล้ว”ฟู่เฉินหวนควบคุมตัวเองมิได้จริง ๆ และมิได้เป็นเช่นนี้เพราะเขารักลั่วเยวี่ยอิงก่อนหน้านี้ ฟู่เฉินหวนมาหานางเพื่อขอความช่วยเหลือหลายครั้ง เขาถามว่า ในใต้หล้านี้มีวิธีใดที่จะควบคุมจิตใจคนได้ นางมิรู้ว่าฟู่เฉินหวนถูกควบคุม ดังนั้นนางจึงเชื่อมาตลอดว่าฟู่เฉินหวนรักลั่วเยวี่ยอิงมากเกินไปวันนี้อาการปวดหัวและอาการอาเจียนเป็นเลือดของเขา แน่นอนว่ามิได้เกิดจากการเจ็บปวดที่ที่ลั่วเยวี่ยอิงถูกเฆี่ยนตีมีอะไรบางอย่างควบคุมฟู่เฉินหวนอยู่!ฟู่เฉินหวนเจ็บปวดเกินกว่าจะขยับได้ แต่เขาก็ยังพยายามอย่างเต็มที่ที่จะยกแขนขึ้นมากอดนางคางที่ไร้เรี่ยวแรงของเขาวางพาดลงบนไหล่ของนางพลางหลับตาลง แต่ริมฝีปากกลับมีรอยยิ้มจาง ๆ ที่ซีดเซียวปรากฏขึ้น“ความลั
ลั่วชิงยวนดึงลั่วเยวี่ยอิงไปข้างหลังนางอย่างระมัดระวังเมื่อไทเฮาเห็นฉากนี้ นางก็อดมิได้ที่จะหัวเราะ "เป็นเรื่องยากที่จะที่ได้เห็นเจ้าปกป้องลั่วเยวี่ยอิง เจ้ามิลืมใช่หรือไม่ว่า นางเคยปฏิบัติกับเจ้าเช่นไร"“มอบนางให้ข้าเถอะ ข้าจะมิปล่อยให้นางมีชีวิตที่ดีแน่”ลั่วเยวี่ยอิงคว้าแขนเสื้อของลั่วชิงยวนไว้อย่างประหม่าลั่วชิงยวนมองไปที่ไทเฮาอย่างเย็นชา หากไทเฮาจับลั่วเยวี่ยอิงไป ไม่มีทางที่ไทเฮาจะสังหารลั่วเยวี่ยอิงเป็นแน่ ไทเฮาจะต้องใช้นางควบคุมและทรมานฟู่เฉินหวน“มิว่าอย่างไรลั่วเยวี่ยอิงก็เป็นคนของตำหนักอ๋องผู้สำเร็จราชการ เหตุใดต้องส่งนางให้กับไทเฮาด้วยหรือเพคะ?”“หากจะฆ่านาง หม่อมฉันจะลงมือเอง”ใบหน้าของไทเฮาเปลี่ยนเป็นเย็นชา“ลั่วชิงยวน เจ้าเพียงแค่ต้องปกป้องฟู่เฉินหวนตามรับสั่งขององค์จักรพรรดิสูงสุด แต่นี่เจ้ายังมาปกป้องลั่วเยวี่ยอิงด้วย เจ้าคิดว่าตัวข้านั้นหลอกได้ง่าย ๆ รึ?”ลั่วชิงยวนมองไทเฮาด้วยสายตาเย็นชา ปราศจากความกลัวแม้แต่น้อย“มิสำคัญว่าไทเฮาจะทรงเชื่อหรือไม่ หากแย่ที่สุดก็เผชิญหน้ากับองค์จักรพรรดิสูงสุด สิ่งใดที่ไทเฮาทรงต้องการที่จะทราบ องค์จักรพรรดิสูงสุดจะทรงตอบท
“เจ้ารีบอะไรนักหนา รอมาตั้งนานแล้ว รออีกสักหน่อยจะเป็นกระไร”เมื่อได้ยินดังนั้น อวี๋ตันเฟิ่งก็หยุดมือลั่วชิงยวนเดินเข้าไปคว้าตัวโหยวเซียงไว้ให้โฉวสือชีมัดนางไว้แน่นหนา จากนั้นจึงปลุกโหยวเซียงให้ฟื้นขึ้นมาเมื่อฟื้นคืนสติ โหยวเซียงก็จ้องหน้าลั่วชิงยวนเขม็งอย่างโกรธแค้น “เจ้ากล้าจับข้า เจ้าคอยดูเถอะว่าจะตายอย่างไร!”ลั่วชิงยวนย่อตัวลงนั่งตรงหน้านาง แล้วหัวเราะเบา ๆ “ใช่แล้ว ใครจะกล้าแตะต้องคุณหนูใหญ่เมืองแห่งภูตผีเล่า”“น่าเสียดาย เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้ บิดามารดาของเจ้าไปปล้นเขามา มิใช่ของพวกเขามาแต่เดิม ย่อมมิใช่ของเจ้าเช่นกัน”“ถึงเวลาคืนเจ้าของตัวจริงแล้ว”โหยวเซียงจ้องเขม็งนางอย่างโกรธแค้น “เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไร! เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้เป็นของบิดามารดาข้ามาแต่เดิม!”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็ประหลาดใจ “หรือว่าต่งอวิ๋นซิ่วมิได้บอกความจริงแก่เจ้า”“ก็ถูกแล้ว เรื่องน่าอับอายเช่นนี้ นางจะบอกลูกสาวได้อย่างไร”“เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้มิใช่เพียงถูกบิดามารดาเจ้ายึดมาเท่านั้น แต่ยังใช้วิธีการที่น่ารังเกียจในการยึดครองด้วย!”“เดาว่าจนถึงตอนนี้เจ้าก็คงยังมิรู้เลยว่าศัตรูของเจ้าคือผ
โหยวเซียงกัดฟันพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบลั่วชิงยวนมองไปที่อวี๋โหรว หลายวันมานี้อวี๋โหรวผอมซูบไปมาก“เจ้าจับตัวอวี๋โหรวมาเพื่อล่อข้ามาที่นี่รึ?”ลั่วชิงยวนหรี่ตามองโหยวเซียง“แต่เจ้ามิน่าจะมีความสามารถพอที่จะพาอวี๋โหรวออกจากวังหลวงไปได้”“เวินซินถงเป็นคนทำใช่หรือไม่?”“เจ้าทำข้อตกลงอะไรกับนางไว้?”โหยวเซียงหัวเราะเยาะ “อยากรู้รึ?”“คุกเข่าอ้อนวอนข้าสิ”“เจ้าอ้อนวอนข้า ข้าถึงจะบอกเจ้าว่าผู้ใดจับตัวอวี๋โหรวมา และผู้ใดร่วมมือกับข้าวางแผนให้เจ้ามาที่เมืองแห่งภูตผี”ลั่วชิงยวนมองท่าทีหยิ่งยโสของโหยวเซียงแล้วก็อดมิได้ที่จะหัวเราะเบา ๆ นางกวาดสายตามองไปรอบ ๆ แล้วถามว่า “ต่งอวิ๋นซิ่วมิมาด้วยรึ?”“เมื่อครู่นี้คนที่ต่อสู้กับข้าก็คือนางใช่หรือไม่?”เมื่อได้ยินน้ำเสียงเยาะเย้ยของลั่วชิงยวน โหยวเซียงก็โกรธจัด ในใจนางตกใจ ลั่วชิงยวนรู้แล้วหรือว่ามารดาของนางเป็นใคร“สารเลว!”นางบีบคออวี๋โหรวอย่างแรงเพื่อข่มขู่ลั่วชิงยวน “จะคุกเข่าหรือไม่?!”“ลั่วชิงยวน เจ้ามีโอกาสแค่ครั้งเดียว!”“หากเจ้ามิยอมคุกเข่ายอมจำนนแต่โดยดี ข้าจะหักคอนางเดี๋ยวนี้!”กล่าวจบ โหยวเซียงก็ออกแรงบีบบีบจนอวี๋โหรวหาย
ทันทีที่คนใบ้หันมาเห็นจึงรีบเข้ามาย่อตัวลงข้างนางแล้วช่วยประคองนางไว้ลั่วชิงยวนเช็ดเลือดที่มุมปาก ใบหน้าซีดเผือดกว่าเดิม“ข้ามิเป็นอะไร”นางเงยหน้าขึ้นมองอวี๋ตันเฟิ่งที่อยู่กลางอากาศ ในที่สุดจิตวิญญาณของนางก็สมบูรณ์แล้วบนใบหน้าซีดขาวนั้นปรากฏรอยยิ้ม รอยยิ้มนั้นทั้งพึงพอใจและเย่อหยิ่ง“ในที่สุดข้าก็ได้… เป็นอิสระแล้ว! ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า...”อวี๋ตันเฟิ่งหัวเราะลั่น ทำเอาป่าทั้งผืนเกิดพายุโหมกระหน่ำคนใบ้รีบยกมือขึ้นช่วยลั่วชิงยวนปัดป้องฝุ่นและใบไม้ที่ปลิวว่อน......จู่ ๆ ต่งอวิ๋นซิ่วก็กระอักเลือดออกมาเต็มปาก จากนั้นหมดสติล้มลงบนพื้น“ท่านแม่!”โหยวเซียงตกใจ รีบเข้าไปประคองนาง “ท่านแม่! ท่านแม่! ท่านเป็นอะไรไป!”หลังจากตะโกนเรียกอยู่นาน มารดาของนางก็มิฟื้นโหยวเซียงโกรธจนกัดฟันพูด “ลั่วชิงยวน สารเลว!”“เจ้าคอยดูเถอะ!”......ผ่านไปครู่ใหญ่ อวี๋ตันเฟิ่งถึงจะสงบสติอารมณ์ลงได้ลมพายุในป่าก็สงบลงเช่นกันถูหมิงที่อยู่ข้าง ๆ จึงค่อย ๆ ขยับเข้ามาใกล้ฉีเสวี่ยเวยที่ยังคงตกตะลึงมองภาพเหตุการณ์เมื่อครู่ด้วยความมิอยากเชื่อ “เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น?”“ต่อไปพวกเราต้องทำอะไร?”ลั่วชิงยวน
คนของถูหมิงตายไปหมดแล้ว เหลือเพียงฉีเสวี่ยเวยเท่านั้นในขณะที่พวกเขาเดินทางไปยังถ้ำแห่งที่หกในคืนนั้นผลลัพธ์ที่ได้กลับน่าผิดหวังเพราะในถ้ำว่างเปล่า“ดูเหมือนว่าพวกเราจะมาช้าไปก้าวหนึ่ง”ถูหมิงขมวดคิ้ว “เหลืออีกหนึ่งชิ้น ทำอย่างไรดี? หรือว่าความพยายามทั้งหมดของเราจะสูญเปล่า?”พวกเขาวุ่นวายมาหลายวัน เดินทางไปเกือบทั่วทั้งภูเขาแล้วหากสมบัติหายไปเช่นนี้ เขาคงต้องฆ่าสตรีผู้นี้เป็นแน่!ลั่วชิงยวนขมวดคิ้วครุ่นคิด แล้วกล่าวว่า “เหลืออีกหนึ่งชิ้นก็เหลืออีกหนึ่งชิ้น”“หาที่ปลอดภัยก่อน”จากนั้นพวกเขาก็มายังป่าที่ค่อนข้างสะอาด ไม่มีพุ่มไม้หรือวัชพืชหนาแน่นบนพื้นมากนัก ค่อนข้างโปร่งโล่งหีบทั้งห้าใบวางอยู่บนพื้นลั่วชิงยวนกล่าวว่า “เปิดหีบกันเถิด”ทันใดนั้นดวงตาของถูหมิงก็เป็นประกาย “เปิดได้หรือ?”เขาเห็นว่าบนหีบมีแต่อักขระสีเลือดปกคลุมอยู่ จึงยั้งมือไว้หลายครั้งแม้จะอยากเปิดก็ตามเมื่อได้ยินเช่นนี้จึงรีบเปิดหีบทันทีแต่เมื่อเปิดออกแล้ว ร่างกายของเขาก็แข็งทื่อไปศพ?!ทั้งยังเป็นศพที่ถูกชำแหละอีกด้วย?ฉีเสวี่ยเวยก็ตกใจกลัวลั่วชิงยวนกลับสงบสติอารมณ์ สั่งให้โฉวสือชีและคนใบ้ช่วย
“ใครกัน?!”ลั่วชิงยวนหรี่ตาลงเล็กน้อย แล้วตอบเสียงแผ่ว “ซูเซียง”“แต่ตอนนี้ควรเรียกนางว่าโหยวเซียง”“ภารกิจที่พวกเจ้าได้รับก็เป็นเพียงการละเล่นของนางเท่านั้น”“นางต้องการให้พวกเจ้าฆ่ากันเอง”และภารกิจหนังหน้าของหญิงงามที่ฉีเสวี่ยเวยได้รับ ก็คงเป็นการล่อลวงให้ฉีเสวี่ยเวยมาฆ่านางหากสามารถยืมมือคนอื่นฆ่าคนได้ โหยวเซียงก็มิจำเป็นต้องเปิดเผยตัวตนเพียงแต่โหยวเซียงคาดมิถึงว่าฉีเสวี่ยเวยจะฆ่านางมิได้ กระทั่งโหยวเซียงเองก็ฆ่านางมิได้“โหยวเซียงหรือ? นางเป็นคนของเมืองแห่งภูตผีแห่งนี้หรือ?” ฉีเสวี่ยเวยมองนางอย่างมิเชื่อสายตา“มิแปลกใจเลย… นางท้องแก่ถึงเพียงนั้นยังกล้ามาที่นี่ได้”ลั่วชิงยวนเห็นว่าใกล้รุ่งสางแล้ว จึงให้โฉวสือชีแก้เชือกที่มัดฉีเสวี่ยเวยไว้“ข้าจะยังมิฆ่าเจ้าตอนนี้”“มิว่าเรื่องที่เจ้ากล่าวมาจะเป็นจริงหรือไม่ก็มิสำคัญ ข้าก็มิกลัวว่าเจ้าจะไปบอกเรื่องนี้กับถูหมิง”“หากเจ้าไปบอก เรื่องเดียวที่จะเป็นผลเสียต่อพวกข้าก็คือต้องแบกหีบเพิ่มอีกมิกี่ใบ”“เพียงเท่านั้น”มิใช่เรื่องคอขาดบาดตายที่นางทำเป็นร่วมมือกับถูหมิง ก็เพียงต้องการใช้คนของเขาไปขวางทางศพชายที่ถูกผนึกไว้ในถ้ำ
“แม้จะต้องยอมตายไปพร้อมกับถูหมิง ข้าก็ยินดี!”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็ตกตะลึง แต่ก็ยังคงสงสัยอยู่บ้าง“แต่เจ้าสนิทสนมกับถูหมิงถึงเพียงนั้น น่าจะมีโอกาสฆ่าเขาได้นับครั้งมิถ้วน”ฉีเสวี่ยเวยขมวดคิ้วแน่น ดวงตาแดงก่ำ “แท้จริงแล้วคนผู้นั้นระแวดระวังตัวมาก หากมิใช่เพราะต้องการลดความระแวดระวังของเขา ข้ากับชายมากหน้าหลายตาก็คงมิ...”เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ ฉีเสวี่ยเวยก็เม้มริมฝีปากแน่นหลังจากกล้ำกลืนความรู้สึกแล้ว จึงกล่าวต่อ “ในป่าครั้งนั้นเป็นครั้งแรกที่เขาใกล้ชิดข้า เดิมทีตอนนั้นข้ามีโอกาสที่จะฆ่าเขาได้!”“แต่เจ้าปีศาจฝูเหมิ่งนั่นบังเอิญมาขวาง!”“หากมิใช่เพราะเขา ข้าคงทำสำเร็จไปแล้ว!”ฉีเสวี่ยเวยกัดฟันพูด เต็มไปด้วยความเคียดแค้นลั่วชิงยวนรู้สึกประหลาดใจ เมื่อเห็นสีหน้าของฉีเสวี่ยเวย ในดวงตาของนางเต็มไปด้วยความแค้น ดูมิเหมือนคนโกหกทำให้นางเปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อฉีเสวี่ยเวยไปบ้างขณะที่ลั่วชิงยวนยังคงครุ่นคิด ฉีเสวี่ยเวยก็มองมาที่นาง “เจ้ายังมิเชื่อข้าหรือ?”“ขอเพียงเจ้าฆ่าถูหมิงได้ ข้าจะทำทุกอย่างเพื่อเจ้า! ข้าจะบอกสิ่งที่เจ้าอยากรู้ทุกอย่าง!”ลั่วชิงยวนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
ลั่วชิงยวนนอนนิ่งอยู่บนเตียง มิกล้าขยับกายทว่างูตัวนั้นกลับกัดข้อเท้านางอย่างแรงหนึ่งครั้ง จากนั้นก็รีบเลื้อยหนีไปรออยู่ครู่หนึ่ง ฉีเสวี่ยเวยเห็นว่าคนที่นอนอยู่บนเตียงไม่มีความเคลื่อนไหวใด ๆ จึงเปิดประตูเข้ามานางมิอาจมั่นใจได้ว่าพวกคนใบ้จะกลับมาเมื่อใด จึงมิกล้าเสียเวลานานหลังจากปิดประตูอย่างระแวดระวังแล้ว นางก็มายังปลายเตียง จ้องมองข้อเท้าของลั่วชิงยวนอย่างละเอียด ปรากฏว่าถูกงูกัดจริง ๆ นางต้องตายเพราะพิษนี้แน่นอน!ทันใดนั้นเอง ฉีเสวี่ยเวยก็ชักกริชออกมาแล้วเดินไปยังหัวเตียง ค่อย ๆ จรดใบมีดลงบนใบหน้าของลั่วชิงยวนแต่ในพริบตานั้นเอง ลั่วชิงยวนก็ลืมตาขึ้นมาจ้องมองนางด้วยสายตาอาฆาตแค้นฉีเสวี่ยเวยพลันตกใจ แต่ก็มิได้หนีในทันที เพราะนางคิดว่าลั่วชิงยวนโดนพิษงูเข้าไปแล้ว อย่างไรก็ต้องตายอยู่ดีลั่วชิงยวนรีบคว้าข้อมือของฉีเสวี่ยเวยไว้เพื่อแย่งชิงกริชมาจากนางฉีเสวี่ยเวยก็ลงมือโจมตีเช่นกัน เพียงแต่นางคาดมิถึงว่าสตรีผู้นี้ที่ถูกพิษแล้วจะยังมีพละกำลังมากมายถึงเพียงนี้หลังจากทั้งสองต่อสู้กันครู่หนึ่งในห้อง ฉีเสวี่ยเวยก็พ่ายแพ้ ถูกลั่วชิงยวนจับกดไว้บนโต๊ะฉีเสวี่ยเวยตกใจมาก “เจ้า
“แน่นอน”“อีกอย่าง เมื่อหาของเหล่านี้ครบแล้วเมืองแห่งภูตผีทั้งเมืองก็จะเป็นของพวกเรา แล้วยังต้องขึ้นเขาไปเอาของเล็ก ๆ น้อย ๆ นั่นหาปะไร”คำพูดนี้กระตุ้นความโลภในใจของทุกคนที่อยู่ตรงนั้นอย่างมิต้องสงสัยพวกเขาจึงมิลังเลอีกต่อไป รีบติดตามลั่วชิงยวนไปยังเส้นทางเดิมตลอดทางยังมีงูมากมาย ลั่วชิงยวนก็หาสมุนไพรบางชนิดตลอดทางแล้วมอบให้ทุกคนผูกติดไว้บนตัวและทาตามเท้า เพื่อให้กลิ่นของสมุนไพรนั้นช่วยไล่งูดังนั้นการเดินทางของพวกเขาจึงราบรื่นดี เมื่อยามค่ำคืนมาเยือนพวกเขาก็ออกมาจากบ่อน้ำพุร้อนนั้นอีกครั้งพวกเขากลับมายังหมู่บ้านเดิมในช่วงกลางดึกสงัดในหมู่บ้านยังมีอาหารหลงเหลืออยู่ ดังนั้นทุกคนจึงหยุดพักกินอาหารกันก่อนเมื่อฟื้นฟูพละกำลังได้แล้วคนทั้งหมดก็ออกเดินทางต่อมาถึงสุสานเดิม ยามนี้วิญญาณอาฆาตเต็มไปทั่วทั้งภูเขา พลังหยินแผ่ซ่านไปทั่วเมื่อลั่วชิงยวนมาถึงที่แห่งนั้นก็พบว่าปากถ้ำเปิดออกแล้วมีคนกล่าวขึ้นว่า “วันนั้นฝูเหมิ่งก็มาที่นี่!”ลั่วชิงยวนตกใจเล็กน้อยเมื่อเข้าไปในถ้ำแล้ว ภาพที่ปรากฏด้านในนั้นมิเปลี่ยนแปลงมากนัก สิ่งที่เปลี่ยนไปเพียงอย่างเดียวคือโลงศพที่ถูกล่ามโซ่นั้นระเบ
เมื่อได้ยินดังนั้น ความโลภก็ปรากฏในดวงตาของถูหมิง ใครเล่าจะมิปรารถนาสมบัติของเมืองแห่งภูตผี เขาตอบตกลงในทันที “ได้”ลั่วชิงยวนกล่าวต่อว่า “แต่การนำของสิ่งนี้มาจะต้องเผชิญกับอันตรายบ้าง ดังนั้นอาจจะต้องมีคนของเจ้าสละชีวิต”“แต่คนมากก็แบ่งกันได้น้อย คนตายไปบ้างก็มิจำเป็นต้องสนใจความเป็นความตายของพวกเขา”“ความลับนี้ข้าบอกเพียงเจ้าเท่านั้น เจ้าอย่าได้แพร่งพรายให้ผู้ใดรู้เชียว”“โดยเฉพาะฉีเสวี่ยเวย”เมื่อได้ยินดังนั้นถูหมิงก็หันกลับไปมอง แต่ไหนแต่ไรมาเขาก็มิเคยสนใจความเป็นความตายของคนเหล่านั้นอยู่แล้ว“หาได้มีปัญหาไม่!”ถูหมิงรับปากอย่างง่ายดาย แต่ลั่วชิงยวนกลับยังคงระแวดระวัง “ยังมีเรื่องที่ต้องบอกเจ้าอีกอย่าง กองทัพของเมืองแห่งภูตผีถูกพวกข้าปลุกปั่นแล้ว คาดว่าอีกมินานคงไล่ตามมา”“ก่อนที่จะหาของทั้งหกชิ้นพบ อย่าได้คิดที่จะทำสิ่งใดนอกเหนือจากนี้ ท้ายที่สุดแล้ว พวกเราต้องร่วมมือกันต่อสู้กับศัตรู หากถูกพวกมันจับได้คงไม่มีใครมีจุดจบที่ดี”สีหน้าของถูหมิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย มิคาดคิดว่าสตรีผู้นี้จะเก่งกาจมากถึงเพียงนี้ กระทั่งปลุกกองทัพของเมืองแห่งภูตผีขึ้นมาได้ดูเหมือนว่าสิ่งที่นางต้