ลั่วชิงยวนหรี่ตาลงเล็กน้อย ก่อนจะก้าวเดินออกไปนางมาถึงจวนแม่ทัพใหญ่ยังมิทันได้เคาะประตู ประตูก็เปิดออกเมื่อแม่ทัพใหญ่ฉินเห็นนางก็ตกใจเล็กน้อย “พระชายามาแล้วหรือ”ลั่วชิงยวนพยักหน้า “แม่ทัพใหญ่กำลังจะออกไปข้างนอกหรือ”แม่ทัพใหญ่ฉินจัดเสื้อผ้าเล็กน้อย พลางกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “ข้าต้องเข้าวัง จักรพรรดิสูงสุดทรงประชวรหนัก”“หากท่านมีเรื่องอะไรจะให้ข้าช่วย ก็รอข้าที่จวนสักครู่ รอข้ากลับมาค่อยว่ากัน!”ลั่วชิงยวนตอบว่า “ข้ามาหาฉินไป๋หลี่”“อ้อ ๆ งั้นก็ดี เขาอยู่จวน”แม่ทัพใหญ่ฉินพูดจบก็รีบออกไปลั่วชิงยวนเข้าไปในจวน เดินไปยังลานด้านในเห็นฉินไป๋หลี่กำลังฝึกกระบี่อยู่ที่ลานจวนโดยมีหลี่เซียวม่านยืนอยู่ข้าง ๆ คอยให้คำแนะนำเมื่อฝึกกระบี่เสร็จ ลั่วชิงยวนจึงเดินเข้าไปในลาน“พระชายา” หลี่เซียวม่านคารวะอย่างสุภาพ“พระชายามางั้นหรือ?” ฉินไป๋หลี่ยื่นกระบี่ให้หลี่เซียวม่าน“ช่วงนี้คุณชายรองเป็นอย่างไรบ้าง?” ลั่วชิงยวนกล่าวถามฉินไป๋หลี่ยิ้ม “พอจะมองเห็นแสงสลัว ๆ และใบหน้าเลือนรางบ้างแล้วขอรับ เชื่อว่าสักวันจะต้องหายดี!”ลั่วชิงยวนจับชีพจรตรวจดู อาการของเขากำลังฟื้นตัวได้ดีจ
“มีความเกี่ยวข้องกับองค์จักรพรรดิ?”“เมื่อครู่นี้ ท่านพ่อของข้าได้รับข่าวว่า องค์จักรพรรดิสูงสุดกำลังจะสิ้นพระชนม์”“ถึงแม้ว่าองค์จักรพรรดิสูงสุดจะทรงประชวรมาโดยตลอด แต่อาการก็ทรงตัวมาตลอด เพิ่งจะทรุดหนักลงเมื่อมิกี่วันมานี้ ได้ยินมาว่าเหล่าหมอหลวงต่างเฝ้าอยู่ข้างเตียงองค์จักรพรรดิสูงสุดตลอดเวลา”คำพูดนี้เตือนให้นึกถึงกะโหลกหมาป่าที่พวกคนนอกด่านส่งมา ตอนนั้น ฟู่จิ่งหานมิต้องการรับไว้ แต่ไทเฮารับสั่งว่า สามารถนำไปถวายแด่จักรพรรดิสูงสุดได้หรือว่าจะเป็นเพราะกะโหลกหมาป่า“ข้าอยากเข้าวังไปดูสักหน่อย”ฉินไป๋หลี่พยักหน้า “ข้าจะไปกับท่าน”“ท่านพ่อน่าจะยังอยู่ในวัง”ลั่วชิงยวนพยักหน้า จากนั้นทั้งสองก็ออกเดินทางเข้าวังหลวงด้วยความช่วยเหลือของฉินไป๋หลี่ ลั่วชิงยวนจึงได้เข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิ“พวกเจ้ามาเพราะเรื่องของเสด็จพ่องั้นหรือ? พอดีเลย เรากำลังจะไปเยี่ยมเสด็จพ่อ ไปด้วยกันเถอะ” ฟู่จิ่งหานจัดการกับฎีกาเสร็จแล้วก็ลุกขึ้นเตรียมตัวออกเดินทางลั่วชิงยวนรีบเรียกเขาไว้ “ช้าก่อนเพคะ”“ฝ่าบาท หม่อมฉันอยากจะถามว่า วันนั้นที่พวกคนนอกด่านนำกะโหลกหมาป่ามาถวาย ในตอนที่ฝ่าบาทเห็นมันครั้งแรก รู้
“ครั้งนี้ต้องขอบพระทัยไทเฮา! ไทเฮาใช้พระโลหิตของพระองค์เองเพื่อช่วยองค์จักรพรรดิสูงสุด!”ทุกคนที่ได้ยินต่างตกใจอย่างมากฟู่จิ่งหานรีบก้าวไปข้างหน้าด้วยความกังวล “เสด็จแม่ ไฉนถึงได้เสี่ยงเช่นนี้เล่า”ไทเฮาตบบนหลังมือของฟู่จิ่งหานเบา ๆ แล้วพูดพร้อมรอยยิ้มว่า “ตราบใดที่เสด็จพ่อของเจ้ามิเป็นไรก็พอแล้ว ตัวข้าเข้าวังมาตั้งแต่อายุสิบสี่ปี อยู่เคียงข้างเสด็จพ่อของเจ้ามาตลอด”“ตอนนี้จะทนเห็นพระองค์เป็นอะไรไปได้อย่างไร ตราบใดที่ยังพอมีหนทาง ตัวข้าก็จะมิยอมละทิ้งพระองค์”คำพูดของไทเฮาทำให้ขุนนางที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างรู้สึกซาบซึ้งใจเป็นอย่างมากไม่มีใครคาดคิดว่าไทเฮาจะยอมใช้พระโลหิตของพระองค์เองเพื่อช่วยองค์จักรพรรดิสูงสุดในเวลานี้ แม่ทัพใหญ่ฉินเดินเข้ามาถามว่า “มิทราบว่าในวันนี้พวกเราจะเข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิสูงสุดได้หรือไม่?”หมอหลวงหลี่กล่าวว่า “ชีพจรขององค์จักรพรรดิสูงสุดเพิ่งจะกลับมาเป็นปกติ พระองค์ยังทรงบรรทมอยู่ ขุนนางทุกท่านโปรดวางใจเถิด”“มิสะดวกให้เข้าไปรบกวนองค์จักรพรรดิสูงสุด”แม่ทัพใหญ่ฉินรู้สึกมิพอใจในใจ เรียกพวกเขามาทุกวัน แต่ก็มิให้พวกเขาเข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิสูงสุดมิรู้เ
คำพูดมิกี่คำของลั่วชิงยวน ก็ทำให้ไทเฮาถึงกับพูดมิออกคนอื่น ๆ ก็พากันสงสัย ลั่วชิงยวนพูดถูกแล้วนี่!ไทเฮาโกรธมากแต่ก็มิสามารถโต้กลับได้ จึงตะโกนว่า “หมอหลวงหลี่ เจ้าอธิบายกับนาง!”หมอหลวงหลี่ทำหน้าลำบากใจ ได้แต่พูดปดว่า “ไทเฮาเคยเสวยโอสถอายุวัฒนะมาบ้าง พระโลหิตของพระองค์จึงสามารถรักษาองค์จักรพรรดิสูงสุดได้ เพียงแต่ว่ามิเคยรู้มาก่อน เพิ่งจะมาค้นพบตอนนี้”ลั่วชิงยวนแค่นเสียงเยาะเย้ย “เช่นนั้นหมอหลวงหลี่บอกมาหน่อยว่าไทเฮาทรงเสวยโอสถอายุวัฒนะอะไรมาหรือ?”หมอหลวงหลี่พูดติดขัด ตอบมิได้สุดท้ายก็พูดเสียงเย็นว่า “ตอนนี้อาการขององค์จักรพรรดิสูงสุดคงที่ก็เพราะพระโลหิตของไทเฮา ความจริงเป็นเช่นนี้ ท่านจะถามอะไรมากมาย ไทเฮาทรงเสวยโอสถอายุวัฒนะอะไรมา ต้องบอกให้ท่านรู้ด้วยหรือ?”ลั่วชิงยวนหัวเราะเบาๆ “หมอหลวงหลี่จะพูดก็พูดสิ ไฉนต้องร้อนตัวด้วยเล่า”หมอหลวงหลี่หน้าเสียไทเฮาก็หน้าเสียมากเช่นกันฟู่จิ่งหานฉวยโอกาสพูดขึ้น “หมอหลวงหลี่ยังอธิบายเองมิได้ งั้นข้าก็ยิ่งวางใจมิได้ ให้ลั่วชิงยวนเข้าไปดูหน่อยเถอะ”แม่ทัพใหญ่ฉินก็พูดเสริมว่า “ใช่แล้ว หมอหลวงในวังรักษามานานก็มิดีขึ้น ลองวิธีอื่นดูก็มิเ
ฟู่จิ่งหานมิเข้าใจ “สิ่งนั้นคืออะไรหรือ?”ลั่วชิงยวนเงยหน้าขึ้นอธิบาย “ผงกระดูกกวางสีม่วง สามารถทำให้คนเกิดภาพหลอนได้”“เพียงแค่ผงกระดูกกวางสีม่วงนิดหน่อย ก็สามารถกระจายไปในบริเวณเล็ก ๆ ได้ โดยมิต้องเข้าไปดมใกล้ ๆ ก็จะสูดดมเข้าไป”“ด้านบนนี้ถูกทาด้วยผงกระดูกกวางสีม่วง กะโหลกหมาป่าที่ถูกวางไว้หลายวันนี้ ได้กระจายไปทั่วทั้งพระตำหนักบรรทมแล้ว”“เพียงแต่ว่าเราผู้ที่มีร่างกายแข็งแรง เมื่อเห็นกะโหลกหมาป่านี้ ก็จะเกิดภาพหลอนขึ้นมาบ้าง”“แต่จะมิรุนแรงมาก”“ทว่าองค์จักรพรรดิสูงสุดมีโรคประจำตัวอยู่แล้ว...”เมื่อได้ยินเช่นนี้ ฟู่จิ่งหานก็ตกใจมาก “พวกคนเผ่านอกด่านใช้วิธีการต่ำช้านัก!”“ข้าจะให้คนเอาไปเผาทิ้งเดี๋ยวนี้!”ฟู่จิ่งหานคว้ากะโหลกหมาป่าแล้วเดินออกไป ลั่วชิงยวนรีบร้องห้ามเขาไว้ “อย่าเผาโดยตรงนะเพคะ แช่ในโอ่งน้ำไว้สักสองสามวันก่อน แล้วค่อยเผาทิ้ง”“อีกอย่าง ฝ่าบาท พวกคนเผ่านอกด่านส่งกะโหลกหมาป่านี้มา เพื่อเป็นการอวยพรวันเกิดให้ฝ่าบาท มิได้ส่งให้องค์จักรพรรดิสูงสุด”“ดังนั้น ใครเป็นคนเอาสิ่งนี้มาไว้ในห้องขององค์จักรพรรดิสูงสุด นี่เป็นเรื่องที่น่าสงสัยมาก”คำพูดนี้ทำให้สีหน้าของฟู
ทุกคนต่างตกตะลึงมองดูตำหนักบรรทมที่พังพินาศ หลังคาเกิดรูขนาดใหญ่ ส่วนผู้ก่อเหตุก็คือ ลั่วชิงยวน ที่ถือหอกยาวมายืนอยู่บนหัวมังกร และยังคงกระหน่ำแทงหลังคาอยู่!การที่องค์จักรพรรดิสูงสุดกระอักเลือด ทำให้เหล่าขุนนางต่างพากันล้อมเข้ามา เพื่อป้องกันฝุ่นละอองที่ฟุ้งกระจายหมอหลวงหลี่รีบให้คนอื่นถอยออกไป“ทุกคนหลีกทางให้หน่อย องค์จักรพรรดิสูงสุดหายใจมิออกแล้ว!”หลังจากที่ทุกคนถอยออกไป หมอหลวงหลี่ประคององค์จักรพรรดิสูงสุด พลางตบหลังเขาอย่างร้อนใจ “องค์จักรพรรดิสูงสุด! องค์จักรพรรดิสูงสุด!”องค์จักรพรรดิสูงสุดก็ไอออกมาอีกครั้ง พร้อมกระอักเลือดออกมาทันใดนั้นก็หลับตาลงและล้มลงไปหมอหลวงหลี่ตกใจสุดขีด คุกเข่าลงกับพื้นและร้องตะโกนว่า “องค์จักรพรรดิสูงสุดสวรรคตแล้ว!”เมื่อสิ้นคำ ทุกคนในท้องพระโรงต่างคุกเข่าลงฟู่เฉินหวนที่เพิ่งทราบว่าลั่วชิงยวนเข้าวังมา รีบรุดมาถึง แต่บังเอิญได้ยินเสียงนี้ที่นอกตำหนักบรรทมเขารู้สึกเบลอไปชั่วขณะและถอยหลังไปหนึ่งก้าวในเวลานี้ ไทเฮาที่ใบหน้าซีดเซียวและร้อนใจก็รีบมาถึง โดยมีจิ่นซูประคองแต่ก็ยังเกือบล้มลงไป“ไทเฮาโปรดระวังด้วยเพคะ”ไทเฮาน้ำตาคลอเบ้า กัดฟ
“ครั้งนี้ทั้งคนและหลักฐานพร้อมแล้ว อ๋องผู้สำเร็จราชการ เจ้าอย่าคิดที่จะปกป้องลั่วชิงยวนอีก!”“หากนางมิใช่พระชายาของเจ้า องค์จักรพรรดิคงมิไว้ใจนางเพียงนี้ องค์จักรพรรดิสูงสุดถูกลั่วชิงยวนลอบปลงพระชนม์ อ๋องผู้สำเร็จราชการ เจ้าเองก็หลีกเลี่ยงความผิดมิได้!”ไทเฮาตำหนิฟู่เฉินหวนอย่างโกรธเคืองทันใดนั้นก็สั่งด้วยความโกรธอย่างมากว่า “ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ปลดฟู่เฉินหวนจากตำแหน่งอ๋องผู้สำเร็จราชการ ห้ามเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับราชสำนัก! กักบริเวณอยู่ในวังเป็นเวลาครึ่งปี!”เหล่าขุนนางต่างตกใจลั่วชิงยวนก็ตกใจเล็กน้อย มองไปที่ฟู่เฉินหวนและพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ตอนนี้เจ้าหลีกทางไป อาจจะยังรักษาตำแหน่งอ๋องผู้สำเร็จราชการไว้ได้”เขาปีนขึ้นไปถึงตำแหน่งนี้อย่างยากลำบาก ด้วยสถานะของอ๋องผู้สำเร็จราชการ เขาจึงมีคุณสมบัติที่จะต่อต้านตระกูลเหยียนได้ฟู่เฉินหวนน่าจะหลีกทางไปยิ่งไปกว่านั้น นางมีวิธีช่วยตัวเอง และมิอยากเป็นหนี้บุญคุณฟู่เฉินหวนด้วยอย่างไรก็ตาม ฟู่เฉินหวนมิลังเลเลย เขาพูดกับไทเฮาอย่างเย็นชาว่า “หากพิสูจน์ได้ว่าลั่วชิงยวนสังหารเสด็จพ่อ ข้าจะรับผิดชอบร่วมกับลั่วชิงยวน!”“ทว่าหากไม่ การกร
ทันทีที่สิ้นเสียง ทุกคนที่อยู่ในห้องต่างก็สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมากในชั่วพริบตา บรรยากาศก็เงียบสงัดลงไทเฮามองนางด้วยความตกใจ “ลั่วชิงยวน เจ้าพูดอะไรไร้สาระ?!”ลั่วชิงยวนหรี่ตามองไทเฮาด้วยแววตาเหยียดหยามเล็กน้อย และพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “หม่อมฉันบอกว่า องค์จักรพรรดิสูงสุดยังมิได้สวรรคต”หมอหลวงหลี่ร้อนใจขึ้น กล่าวด้วยความโกรธว่า “เป็นไปมิได้! ข้าเห็นกับตาว่าองค์จักรพรรดิสูงสุด…”ลั่วชิงยวนขัดจังหวะเขาด้วยน้ำเสียงเย็นชา “หากองค์จักรพรรดิสูงสุดมิได้สวรรคต เจ้าจะถือว่ารายงานข่าวเท็จหรือไม่?”“ใครสั่งให้เจ้ารายงานข่าวเท็จ? เพื่อใส่ร้ายข้า หรือต้องการให้การสวรรคตปลอมกลายเป็นจริงในขณะที่องค์จักรพรรดิสูงสุดทรงพระประชวรอยู่?”“หมอหลวงหลี่ เจ้ามีเจตนาอะไรกันแน่!”ลั่วชิงยวนกดดันด้วยน้ำเสียงที่เฉียบคมสีหน้าของหมอหลวงหลี่เปลี่ยนไป ขาของเขาอ่อนแรงด้วยความหวาดกลัวจากคำพูดของลั่วชิงยวน ทว่าเมื่อคิดอีกที ก็รู้สึกว่ามันเป็นไปมิได้องค์จักรพรรดิสูงสุดทรงประชวรหนักเยี่ยงนั้น เดิมทีต้องสวรรคตภายในสามวันอย่างแน่นอน หลังจากที่ลั่วชิงยวนพังหลังคา ก็สูดดมฝุ่นเข้าไปมากมาย ตกใจจนไอ และยังกระอักเลือดอ
นางเอ่ยปากอย่างอ่อนแรง “ได้”ลั่วฉิงพยุงนางขึ้น แล้วโยนนางลงบนเก้าอี้ลั่วชิงยวนไร้เรี่ยวแรงจะพูด “ข้าต้องการสมุนไพร”มือทั้งสองข้างของนางวางอยู่บนที่วางแขน แท่งเหล็กยังคงปักอยู่ เลือดไหลอาบมิหยุด ขยับร่างกายมิได้เลยลั่วฉิงมองนางอย่างเย็นชา ก่อนจะกดมือของนางไว้แล้วดึงแท่งเหล็กออกอย่างรวดเร็ว“กรี๊ด”ลั่วชิงยวนร้องลั่นด้วยความเจ็บปวดลั่วฉิงโน้มตัวลงมองนางด้วยสายตาเย็นชา “ก่อนหน้านี้เจ้ามิเคยกลัวความเจ็บปวดเช่นนี้ ลั่วเหลา”ลั่วชิงยวนตัวสั่น มองนางด้วยความตกใจ“นี่ก็เป็นสิ่งที่ฟู่เฉินหวนบอกเจ้าเช่นนั้นหรือ?” ลั่วชิงยวนรู้สึกทั้งโกรธและสิ้นหวังในใจลั่วฉิงนำยามาทำแผลให้พลางหัวเราะอย่างดูถูก “มินึกเลยว่านักบวชระดับสูงลั่วเหลาผู้มีพรสวรรค์มาตั้งแต่เด็ก ถูกอาจารย์เอ็นดูทะนุถนอมมาโดยตลอด สุดท้ายกลับพ่ายแพ้ให้กับบุรุษ”ในน้ำเสียงของลั่วฉิงแฝงไปด้วยความอิจฉาริษยาลั่วชิงยวนมองนางด้วยแววตาเย็นชา “ข้ากับเจ้ามิเคยมีเรื่องบาดหมางกันมิใช่หรือ”แววตาของลั่วฉิงเต็มไปด้วยความเกลียดชัง มองนางอย่างเย็นชา “ในสายตาของเจ้า อาจจะไม่มีเรื่องบาดหมาง”“แต่สำหรับข้า เรื่องบาดหมางนั้นใหญ่หลวงนัก
“กรี๊ด” ลั่วชิงยวนกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด ได้แต่ขดตัวอยู่บนพื้น ตัวสั่นเทาด้วยความเจ็บปวดรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่า แท่งเหล็กถูกแทงลึกลงไปอีก ความรู้สึกที่กระดูกถูกแยกออกจากกันนั้นทำให้เจ็บปวดจนอยากตาย“ดี ยังมิยอมบอกอีกใช่หรือไม่”ลั่วฉิงหยิบแท่งเหล็กอีกอันแทงเข้าไปในมืออีกข้างของลั่วชิงยวนอย่างแรงตลอดทั้งคืน ลั่วชิงยวนถูกทรมานจนเหมือนตายแล้วเกิดขึ้นใหม่ หลายครั้งที่สลบไปเพราะความเจ็บปวด แล้วก็ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาด้วยความเจ็บปวดจนในที่สุด คอของนางก็แหบแห้งจนส่งเสียงร้องมิได้ด้วยซ้ำฟ้าสางแล้ว แสงแดดสาดส่องเข้ามา ลั่วชิงยวนนอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นราวกับแอ่งโคลนเปียก มิขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อยเลือดเปรอะเปื้อนอาภรณ์ของนางจนเป็นสีแดงฉาน แสงแดดส่องกระทบกองเลือดจนเป็นประกาย......ตำหนักอ๋องมีเสียงคำรามด้วยความโกรธดังมาจากห้องตำรา“ยังไม่มีใครมารายงานข้าสักคน! รีบไปหา! ออกไปหาให้หมด!”ฟู่เฉินหวนโกรธจัด มึนหัวจนต้องเอามือยันโต๊ะไว้ถึงแม้จะนั่งลงเพื่อจัดการเรื่องต่าง ๆ แต่ก็ยังมิสามารถสงบสติอารมณ์ได้ ร้อนรุ่มใจยิ่งนักได้แต่หวังว่านางจะออกจากตำหนักไปเองจือเฉายังคงอยู่ที่หน้าประ
ในชั่วขณะนั้น นางเกือบจะคิดว่าตัวเองกำลังฝันไป เหตุใดนางจึงเห็นลั่วฉิงแต่คำพูดของลั่วฉิงในวินาทีต่อมา ทำให้นางรู้สึกราวกับตกอยู่ในหุบเหวลึก“แม้แต่ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการก็ยังจัดการคนดื้อรั้นเช่นเจ้ามิได้ ต้องให้ข้ามาเองเลยหรือ”ร่างของลั่วชิงยวนสั่นเทามิหยุด หนาวเหน็บจนแทบจะไร้ความรู้สึกน้ำตาที่ไหลอาบใบหน้าซีดเซียวหยดลงบนพื้นทีละหยดลั่วชิงยวนมองไปรอบ ๆ แล้วพบว่าที่นี่คือห้องห้องหนึ่งแต่มิใช่ในตำหนักอ๋อง“เหตุใดข้าจึงมาอยู่ที่นี่” นางจำได้ว่าหลังจากที่จือเฉาทายาให้แล้วนางก็หลับไปลั่วฉิงหัวเราะเบา ๆ “แน่นอนว่าฟู่เฉินหวนส่งเจ้ามาให้ข้า”“เขาเค้นคำตอบจากเจ้ามิได้ จึงต้องให้ข้ามาจัดการเอง”ได้ยินดังนั้น หัวใจของลั่วชิงยวนก็แตกสลายเป็นเสี่ยง ๆ อีกครั้งเขายังคิดว่าตัวเองยังโหดร้ายมิพออีกหรือ จึงส่งนางให้ลั่วฉิงเช่นนี้นี่ต้องการทรมานนางจนตายจึงจะหายแค้นหรืออย่างไรลั่วฉิงหยิบกล่องใบหนึ่งมาเปิดออก ข้างในเต็มไปด้วยแท่งเหล็กขนาดเท่าหัวแม่มือแล้วกล่าวอย่างแผ่วเบา “เจ้าน่าจะรู้ว่าข้าต้องการอะไร”“หากตอนนี้เจ้าบอกวิธีใช้เข็มทิศอาณัติสวรรค์ ข้าจะไว้ชีวิตเจ้า”“หากพลาดโอกาสนี้
ในวินาทีต่อมา องครักษ์ก็กรูกันเข้ามาลากลั่วชิงยวนออกไปที่ลานหลังจากกดนางลงกับพื้นก็ใช้หวายฟาดลงบนร่างของนางอย่างมิปรานีความเจ็บปวดแล่นริ้ว ลั่วชิงยวนจิกเล็บลงบนพื้นหิมะจนเป็นรอยลึกจือเฉากระโจนเข้ามาจากนอกลาน “หยุด! หยุด!”“ท่านอ๋อง เหตุใดจึงทำกับพระชายาเช่นนี้ พระชายาทำผิดอันใดหรือเพคะ!”“ท่านอ๋อง ขอได้โปรดปล่อยพระชายาเถิดเพคะ! ตั้งแต่เข้าเหมันตฤดู แผลบนร่างของพระชายาก็ยังมิหาย! หากโบยเช่นนี้ต่อไปคงจะสิ้นใจเป็นแน่เพคะ!”“ท่านอ๋องทรงพระกรุณาด้วยเพคะ!” จือเฉาโผเข้ากอดลั่วชิงยวนเพื่อรับหวายแทนแต่กลับถูกองครักษ์ดึงตัวออกไปจือเฉาร้องขอความเมตตาสุดเสียง แต่บุรุษที่ยืนอยู่ใต้ชายคากลับมีสีหน้าเรียบเฉย นัยน์ตาฉายแววเย็นชาไร้ซึ่งความอบอุ่น“พระชายา...” จือเฉาร้อนใจ แทบจะเป็นลมเพราะร้องไห้หนักลั่วชิงยวนเจ็บปวดจนแทบมิได้ยินเสียงของจือเฉา มีเพียงความเจ็บปวดมิรู้จบ ยาวนานราวกับไม่มีที่สิ้นสุดหลังจากที่ลั่วชิงยวนสลบไป ฟู่เฉินหวนจึงสั่งให้หยุดแล้วจากไปด้วยความโกรธจือเฉาโผเข้าหาลั่วชิงยวน เมื่อเอื้อมมือไปสัมผัสก็พบว่ามือเปื้อนไปด้วยเลือด นางรีบชักมือกลับมองเลือดที่ไหลนองเต็มพื
ฟู่เฉินหวนกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา แววตาที่น่ารังเกียจนั้นทำให้หัวใจของลั่วชิงยวนเจ็บปวดราวกับถูกเข็มทิ่มแทงลั่วชิงยวนกัดฟันพลางกลั้นน้ำตาไว้ “ท่านมิได้บอกว่าจะเชื่อหม่อมฉันหรอกหรือเพคะ?”“หากหม่อมฉันบอกท่านทั้งหมด ท่านก็จะเชื่อหม่อมฉันมิใช่หรือเพคะ!”ฟู่เฉินหวนมีแววตาเย็นชา มองนางอย่างเฉยเมย “แต่เจ้าบอกข้าทั้งหมดแล้วหรือยังเล่า? เจ้ายังคงปิดบัง ยังคงหลอกลวง!”เสียงตำหนินั้นเต็มไปด้วยความโกรธทำให้หัวใจของลั่วชิงยวนแทบแตกสลาย“ฟู่เฉินหวน วันนี้ท่านมาก็เพื่อหลอกลวงหม่อมฉันอีกแล้วใช่หรือไม่”“จุดประสงค์สุดท้ายของท่านคือ หลอกล่อให้หม่อมฉันบอกวิธีใช้เข็มทิศอาณัติสวรรค์ เพราะลั่วฉิงใช้มันมิได้ ใช่หรือไม่!”ลั่วชิงยวนตะโกนด้วยความโกรธ“หม่อมฉันช่างโง่เขลาที่เชื่อใจท่าน บอกความลับทั้งหมดให้ท่านฟัง แต่ท่านก็หลอกลวงหม่อมฉันอีกครั้ง...”พูดไปน้ำตาของลั่วชิงยวนก็ไหลรินในเวลานี้ หัวใจของลั่วชิงยวนราวกับถูกควักออกมาผ่าเป็นสองซีกเจ็บปวดเจียนตายแต่ฟู่เฉินหวนกลับมิเปลี่ยนสีหน้า แววตายิ่งเย็นชาขึ้นเขาบีบคอของนางด้วยความโกรธ“ในเมื่อเจ้ารู้แล้ว ข้าก็ขี้เกียจเสแสร้งกับเจ้าแล้ว”“เข็มท
ฟู่เฉินหวนตกใจมองนางด้วยความประหลาดใจก่อนจะตอบว่า “ได้”“หากเจ้าอธิบายได้ชัดเจน ข้ายินดีเชื่อเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย”ได้ยินดังนั้นลั่วชิงยวนก็รู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อยรีบกล่าวทันที “หม่อมฉันชื่อลั่วเหลา แท้จริงแล้วลั่วอิงคืออาจารย์ของหม่อมฉัน หม่อมฉันตายไปแล้วมาเกิดใหม่ในร่างของลั่วชิงยวน”“วันรุ่งขึ้นหลังจากวันแต่งงาน ลั่วชิงยวนก็ปลิดชีพตัวเอง หลังจากนั้นร่างนี้ก็มิใช่ลั่วชิงยวนอีกต่อไป แต่เป็นหม่อมฉัน ลั่วเหลา”“หม่อมฉันเป็นชาวแคว้นหลี”“ดังนั้นความสามารถที่หม่อมฉันมีจึงเป็นสิ่งที่ลั่วชิงยวนไม่มี”“เรื่องน้ำศักดิ์สิทธิ์ของแคว้นหลี หม่อมฉันก็เพิ่งค้นพบตอนที่ไปเผ่านอกด่าน หลังจากที่อาจารย์ค้นพบความลับนี้ ก็พยายามค้นหาวิธีแก้ไขเรื่องน้ำศักดิ์สิทธิ์”“เพราะหากความลับนี้รั่วไหลออกไป จะมีคนมากมายเกิดความโลภ จะทำให้ทั้งใต้หล้าประสบพบความวุ่นวาย เลือดนองแผ่นดิน”“...”ลั่วชิงยวนเล่าความลับทั้งหมดของนางให้เขาฟังโดยมิปิดบังนางรู้สึกว่าคนที่เคยเปิดใจให้กันคงจะมิทรยศกันง่าย ๆตราบใดที่นางจริงใจ มิปิดบังสิ่งใด นางก็จะได้รับการตอบสนองเช่นเดียวกันหลังจากที่นางพูดจบ ฟู่เฉินหวนก็ตกตะลึ
เหตุใดแคว้นหลีจึงส่งกองทัพมากะทันหันฟู่อวิ๋นโจวเอ่ยถาม “ท่านมหาปราชญ์ ท่านเชี่ยวชาญด้านนี้ พอจะทำนายผลลัพธ์ได้หรือไม่?”“ควรจะรับมืออย่างไร”ขุนนางทั้งหลายต่างมองไปที่ลั่วฉิง ลั่วฉิงไม่มีทางเลือก จึงได้แต่กัดฟันกล่าวว่า “เรื่องนี้... ทำนายได้ แต่หม่อมฉันต้องการเวลาเพคะ”ฟู่อวิ๋นโจวมีสีหน้ากังวล และถามว่า “ท่านมหาปราชญ์ต้องการเวลานานเพียงใด?”ลั่วฉิงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จึงกล่าวว่า “สามวันเพคะ!”สิ้นคำพูดของนาง หลายคนก็แสดงความมิพอใจ“สามวันหรือ? ซีหลิงอยู่ห่างจากเมืองหลวงราวพันลี้ สามวันกว่าจะบอกผลลัพธ์ จะทันการณ์ได้อย่างไร”“ก่อนหน้านี้พระชายาอ๋องผู้สำเร็จราชการก็มิได้ใช้เวลานานถึงเพียงนั้น”“ใช่ ท่านมหาปราชญ์คงจะมิค่อยมีความสามารถมากถึงเพียงนั้นกระมัง”คำพูดนี้ทำให้ลั่วฉิงหน้าซีดเผือด“สองวัน อย่างเร็วที่สุดก็ต้องสองวัน!” ลั่วฉิงกัดฟันกล่าวในตอนนี้ ฟู่เฉินหวนกล่าวอย่างใจเย็น “แคว้นหลีส่งกองทัพมาโดยมิทราบสาเหตุ ข้าคิดว่าตอนนี้ควรส่งคนไปเจรจากับแคว้นหลีโดยด่วน”“ระหว่างนั้นก็ส่งกองกำลังไปเสริมอย่างลับ ๆ ด้วย อย่าได้พึ่งพาแต่ผลการทำนายของท่านมหาปราชญ์”“หากผลลัพธ์ออกมาแล้ว
เมื่อเฉินชีได้ยินดังนั้นก็หยุดชะงักแล้วยกยิ้มมุมปาก เดินมาที่หน้าต่าง พิงกำแพงพลางกอดอก “เจ้าจะให้ข้าช่วยเจ้าในฐานะที่เจ้าเป็นใคร?”ลั่วชิงยวนมองเขาด้วยสายตาเย็นชา “นักบวชระดับสูง”ดวงตาของเฉินชีลุกโชนด้วยประกายร้อนแรง “อาเหลา ในที่สุดเจ้าก็ตัดสินใจจะไปกับข้าแล้วหรือ?”ลั่วชิงยวนมองเขาด้วยสายตาเย็นชาและเย่อหยิ่ง “กลับแคว้นหลีก็ได้ ข้าบอกแล้วว่าให้เจ้าช่วยข้าเรื่องหนึ่ง”“แคว้นหลีจะมีนักบวชระดับสูงได้เพียงผู้เดียวเท่านั้น”เฉินชียกยิ้มมุมปากแล้วหัวเราะอย่างเจ้าเล่ห์ ก่อนจะคุกเข่าลงข้างหนึ่งอย่างนอบน้อม “อย่าว่าแต่เรื่องเดียวเลย สิบเรื่อง ร้อยเรื่อง เฉินชีก็ยินดีทำเพื่อนักบวชระดับสูงทั้งสิ้น!”ลั่วชิงยวนหรี่ตามองเขาด้วยแววตาที่ลึกล้ำถึงแม้เฉินชีจะบ้าแต่ก็มิใช้คนโง่เขลา เขาทำอะไรตามอำเภอใจแต่ก็คงมิยอมสยบต่อนางง่าย ๆ เช่นนี้การเปลี่ยนท่าทีเช่นนี้ทำให้นางมิค่อยเชื่อถือ“เจ้าฟังเรื่องที่ข้าจะให้เจ้าทำก่อนค่อยตอบรับก็ยังมิสาย”เฉินชีลุกขึ้นมองนางด้วยแววตาเป็นประกาย “ท่านนักบวชต้องการให้ข้าทำสิ่งใด?”“ข้าต้องการให้เจ้ายกทัพไปตีซีหลิง”“แต่ห้ามสู้รบกันจริง ๆ ห้ามทำร้ายราษฎร”เฉ
ใจของลั่วชิงยวนร้อนรุ่มดั่งไฟสุม นางพยายามดิ้นรนสุดแรง “ปล่อยข้านะ!”“ฟู่เฉินหวน ท่านช่างไร้หัวใจอะไรเยี่ยงนี้!”ทว่าฟู่เฉินหวนยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย มิสะทกสะท้านแม้แต่น้อยเมื่อเห็นแม่นมเติ้งใกล้จะทนมิไหวแล้ว น้ำตาลั่วชิงยวนก็เอ่อคลอ“หม่อมฉันจะมิออกจากเรือนแล้ว หม่อมฉันจะมิออกจากห้องแล้ว ได้หรือไม่!”นางมองฟู่เฉินหวนด้วยดวงตาแดงก่ำ พยายามวิงวอนขอร้องในที่สุดนางก็ยอมก้มหน้าลง“ขอท่านไว้ชีวิตนางด้วยเถิดเพคะ!” ลั่วชิงยวนคุกเข่าลงอย่างอ่อนแรงแววตาฟู่เฉินหวนมืดมนเดิมทีลั่วชิงยวนคิดว่าเมื่อนางขอร้องแล้ว ฟู่เฉินหวนคงจะไว้ชีวิตแม่นมเติ้งแต่ฟู่เฉินหวนกลับมีแววตาเย็นชา “นางเป็นบ่าวของตำหนัก มิใช่บ่าวของเจ้า นางขัดคำสั่งข้า สำหรับข้าแล้ว ไม่มีคำว่ายกโทษ”น้ำเสียงเย็นเยียบของเขาเป็นดั่งหนามแหลมทิ่มแทงหัวใจของลั่วชิงยวนลั่วชิงยวนตกตะลึงนางโกรธจนตะโกนลั่น “ฟู่เฉินหวน!”ฟู่เฉินหวนขมวดคิ้ว นัยน์ตาฉายแววหงุดหงิดขณะกล่าวเสียงเย็น “พาตัวนางไป”องครักษ์จับตัวลั่วชิงยวนแล้วลากออกไปฟู่เฉินหวนมองนางเป็นครั้งสุดท้ายด้วยสายตาเย็นชา “หากเจ้ายังท้าทายข้าอีก จะต้องมีคนตายมา่กกว่านี้แน่”แ