เหยียนหน่ายซินก็ฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บเช่นกัน ทั้งยังไปฟ้องใครก็ไม่ได้ลั่วชิงยวนเดินออกจากตำหนักและมองไปรอบ ๆ เห็นประกายไฟในป่าอันมืดมิด ดูคล้ายว่าจะมีคนกลับมาในไม่ช้าในเวลานี้ นางบังเอิญเห็นทหารยามบนหลังม้าเดินเข้ามาใกล้ ลั่วชิงยวนรู้สึกคุ้นตาและจำได้ว่าเขาคือองครักษ์จากตำหนักอ๋อง“ท่านอ่องเสด็จกลับมาแล้วหรือยัง?” ลั่วชิงยวนถามองครักษ์ตอบว่า “ท่านอ่องอยู่ข้างหลัง อีกครู่ก็คงมาถึงแล้วขอรับ!”ลั่วชิงยวนพยักหน้า นางคิดว่าหากฉินเชียนหลี่ต้องการขอเงินทุนสำหรับการป้องกัน ฟู่เฉินหวนน่าจะสามารถช่วยได้ วันนี้เหยียนหน่ายซินจงใจสร้างปัญหาให้กับฉินไป๋หลี่และข่มขู่ เช่นนั้นบางทีนางอาจจะทำอย่างนั้นจริง ๆหากตระกูลเหยียนเข้ามายุ่ง เรื่องอาจสายเกินแก้แต่ฟู่เฉินหวนสามารถช่วยฉินเชียนหลี่ได้นางรอให้เขากลับมาพูดคุยเรื่องนี้ด้วยกันนางหันกลับไปยังตำหนักและเดินตรงไปที่เรือนนอนของตนเพื่อรอฟู่เฉินหวน เรือนนอนของพวกเขาก็อยู่ติดกันอยู่แล้วแต่ระหว่างทาง นางกำนัลคนหนึ่งได้ส่งจดหมายมาให้นางเสียก่อนก่อนที่ลั่วชิงยวนจะทันได้ไถ่ถาม นางกำนัลคนนั้นก็รีบออกไปเสียก่อนนางเปิดซองจดหมายออกอ่าน“เรามีเร
ลั่วชิงยวนมาถึงตำหนักของฟู่อวิ๋นโจวแล้ว สิ่งที่ทำให้นางประหลาดใจคือฟู่อวิ๋นโจวกำลังรอนางอยู่ในห้องในขณะนั้นนางตกใจเล็กน้อย ได้แต่คิดว่านางอาจจะเดาผิดไปหรือไม่?หากฟู่เฉินหวนตามมาสมทบ อีกทั้งหมอกู้ก็ไม่ปรากฏตัว เรื่องนี้จะน่าขายหน้าแค่ไหน?“เจ้ามาแล้ว” ฟู่อวิ๋นโจวยิ้มและแสดงท่าทีเชิญชวนทั้งโต๊ะเต็มไปด้วยอาหารและสุราราคาแพงวางเรียงรายอยู่ลั่วชิงยวนก้าวไปข้างหน้าและนั่งลง ก่อนถามด้วยความไม่มั่นใจ “เหตุใดจู่ ๆ ท่านจึงขอให้หม่อมฉันมาที่ตำหนักของท่าน? มีอะไรสำคัญหรือเพคะ?”นางอยากรู้ว่าฟู่อวิ๋นโจวรู้เนื้อหาของจดหมายหรือไม่ฟู่อวิ๋นโจวรินสุราให้นางแล้วพูดว่า “นี่เป็นเรื่องระหว่างไทเฮากับเสด็จพี่”เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ลั่วชิงยวนก็ตกใจ เป็นไปได้หรือไม่ที่ฟู่อวิ๋นโจวขอให้นางมาจริง ๆ? เขามิสนใจหมอกู้แล้วหรือ?“ไทเฮากับฟู่เฉินหวนหรือ? ท่านช่วยบอกรายละเอียดให้หม่อมฉันฟังหน่อยได้หรือไม่?” ลั่วชิงยวนถามอย่างสงสัยการแสดงออกของฟู่อวิ๋นโจวเริ่มเคร่งขรึม ดวงตาของเขามีความกังวลเล็กน้อยขณะมองดูนาง“เจ้ารู้หรือไม่ว่าไทเฮาและเสด็จพี่ เขาทั้งคู่นับว่าไม่ลงรอยกัน? ข้าบังเอิญได้รู้ว่าไทเฮาดูเหมือนจ
ลั่วชิงยวนรู้ดีว่าฟู่อวิ๋นโจวอาจชอบนาง อย่างไรนางกับฟู่อวิ๋นโจวก็เป็นสหายสนิทกันก่อนที่นางจะอภิเษกกับฟู่เฉินหวนแต่นางมิใช่ลั่วชิงยวน นางมิต้องการการดูแลของฟู่อวิ๋นโจว นางอยากให้ฟู่อวิ๋นโจวอยู่เพื่อตัวเองและใช้ชีวิตของตัวเองให้เต็มที่ฟู่อวิ๋นโจวรู้สึกซาบซึ้งใจเล็กน้อยเขาอดมิได้ที่จะหัวเราะ “ข้าเข้าใจแล้ว”ลั่วชิงยวนหยิบตะเกียบขึ้นมาคีบผัก ขณะกำลังจะกินก็ได้กลิ่นแปลก ๆ อีกครั้งแม้ว่าจะไม่ชัดเจน แต่กลิ่นอันคลุมเครือขณะเขาเข้ามาใกล้ทำให้ลั่วชิงยวนหยุดการเคลื่อนไหวอย่างระมัดระวังนางจงใจขมวดคิ้วและถามว่า “สุราในจอกของหม่อมฉันหกลงไปหรือ? ไฉนมันถึงมีกลิ่นเหมือนสุราด้วย?”“ฮัดชิ่ว!”ขณะที่พูดนางก็จามขึ้มาอีกครั้งการแสดงออกของฟู่อวิ๋นโจวเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาหยิบตะเกียบจากมือของนางทันทีแล้วพูดว่า “เช่นนั้นก็มิต้องกินแล้ว"“คืนนี้แสงจันทร์งดงามนัก ออกไปชมพระจันทร์กันเถอะ”เมื่อพูดอย่างนั้น เขาก็พยุงลั่วชิงยวนขึ้นมาแล้วรีบออกไปเมื่อเห็นท่าทางตื่นตระหนกของฟู่อวิ๋นโจว ลั่วชิงยวนก็เข้าใจอะไรบางอย่างทันทีนางลุกขึ้นและจากไปพร้อมกับฟู่อวิ๋นโจวแต่ทันใดนั้น ก็มีร่างทมิฬเข้ามาทางหน้าต
ลั่วชิงยวน กัดฟันและรีบวิ่งไปหาหมอกู้ด้วยความโกรธ และต่อยหมอกู้เข้าที่หน้าหมอกู้เตะฟู่อวิ๋นโจวออกไปด้วยเข่าเขาจับกริชไว้แน่นและตวัดไปทางลั่วชิงยวนลั่วชิงยวนหลบไปด้านข้าง และมีเส้นผมสองสามเส้นร่วงหล่นลงพื้นหลังจากนั้นทันที หมอกู้ก็โจมตีด้วยเจตนาสังหารอีกครั้ง เขาโจมตีอย่างรุนแรง ลั่วชิงยวนยังคงตื่นตัว ไม่กล้าลดการป้องกัน และหลีกเลี่ยงกริชสังหารอันดุเดือดมาได้อย่างหวุดหวิดทักษะวรยุทธของหมอกู้หาได้อ่อนแอไม่ ทว่าลั่วชิงยวนรู้สึกว่านางยังสามารถรับมือกับเขาได้ และทักษะวรยุทธของนางก็พัฒนาขึ้นมากเช่นกันแต่กริชจันทร์เสี้ยวในมือของหมอกู้นั้นคมกริบ อีกทั้งหมอกู้ยังสามารถใช้มันได้อย่างชำนาญอีกด้วย การเคลื่อนไหวของเขาเต็มไปด้วยความชำนาญ หมุนกริชอย่างรวดเร็วจนทำให้ตาพร่า ทำให้มองไม่เห็นว่ากริชเคลื่อนจากมือข้างหนึ่งไปอีกมือหนึ่งอย่างไรเพียงเห็นแสงดาบอันแหลมคมก็ทำให้เกิดประกายวาบ ทำให้ผู้คนรู้สึกถึงภัยคุกคามรุนแรง ราวกับพวกเขาอยู่ท่ามกลางแสงและเงาของดาบนับพันลั่วชิงยวนระมัดระวังอย่างยิ่งและต่อสู้กับหมอกู้หลายรอบ แต่ก็ยังไม่สามารถป้องกันกริชจันทร์เสี้ยวได้ มันทิ้งรอยแผลและเลือดไว้มากมาย
นางลุกขึ้นยืนด้วยกำลังทั้งหมดของนาง หมอกู้เองก็ยืนขึ้นเช่นกันในขณะนั้น นางยกเข่าขึ้นและเตะเขาอย่างแรง ความเจ็บปวดอย่างรุนแรงทำให้หมอกู้ปล่อยมือข้างหนึ่งของเขาทันที และลั่วชิงยวนก็เหยียบลงบนหลังเท้าของหมอกู้อีกครั้งนางแย่งกริชจันทร์เสี้ยวออกไปและเหวี่ยงมันไปที่คอของหมอกู้ด้วยกำลังทั้งหมดความคมของกริชจันทร์เสี้ยวและความแข็งแกร่งของลั่วชิงยวนทำให้นางเกือบจะตัดหัวของหมอกู้ได้เลือดกระเซ็นไปทั่วใบหน้าของลั่วชิงยวนเมื่อมองดูศพที่นอนอยู่บนพื้น กริชจันทร์เสี้ยวในมือของลั่วชิงยวนก็หล่นลงเช่นกัน นางล้มลงกับพื้นอย่างเหนื่อยล้าทันทีที่นางนั่งลง นางก็หันกลับมาเห็นฟูอวิ๋นโจวนอนจมกองเลือดใบหน้าที่ซีดเซียวของเขาก็ไม่ต่างจากใบหน้าของคนตายนางคลานไปหาเขาอย่างรวดเร็ว“ฟู่อวิ๋นโจว! ฟู่อวิ๋นโจว!”นางยกนิ้วอังจมูกของเขา ยังมีลมหายใจแผ่วเบานางหันกลับไปมองฟู่อวิ๋นโจว และมองไปที่บาดแผลบนหลังของเขา โชคดีที่กริชจันทร์เสี้ยวนั้นแตกต่างจากกริชธรรมดา เช่นนั้นจึงเจาะได้ไม่ลึกและไม่ทำลายส่วนสำคัญใด ๆแต่บาดแผลใหญ่มากจนต้องเย็บนางลุกขึ้นวิ่งออกไปทันทีและตะโกนว่า “มีใครอยู่บ้าง มีใครบ้าง?!”แต่ไม่ม
“ว๊าย!” ลั่วเยวี่ยอิงตกใจเมื่อเห็นบุรุษคนนั้นมีเลือดอยู่บนหน้านางตกเข้าสู่อ้อมแขนของฟู่เฉินหวน“ท่านอ๋อง...”ในขณะนี้ลั่วเยวี่ยอิงดูราวกับกระต่ายที่หวาดกลัวแต่ฟู่เฉินหวนจำลั่วชิงยวนได้ในทันที และสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปอย่างมากเมื่อเขาเห็นนางเต็มไปด้วยเลือดและดูสะบักสะบอมอย่างยิ่งเขาผลักลั่วเยวี่ยอิงออกไปทันที และก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว “เกิดอะไรขึ้น?”ฟู่เฉินหวนขมวดคิ้วและเอื้อมมือไปรับฟู่อวิ๋นโจวจากด้านหลังของนางลั่วชิงยวนถอยไปสองก้าวเป็นการปัดป้องและเงยหน้าขึ้น ดวงตาของนางเย็นชาอย่างยิ่ง“เรื่องนี้เกี่ยวข้องอะไรกับท่าน?”ดวงตาที่เย็นชาของนางไร้อารมณ์และว่างเปล่า ปราศจากแววมีความผิดหวังและความเสียใจอย่างไม่มีที่สิ้นสุดอยู่ในใจของนางเหตุใดนางต้องฝากข้อความถึงฟู่เฉินหวน? มอบให้ฉินเชียนหลี่ไปเลยยังดีกว่าเหตุใดฟู่เฉินหวนจึงเป็นคนแรกที่นางนึกถึงในเวลานั้น?ขณะที่คิดว่านางกำลังต่อสู้กับหมอกู้ นางคิดว่าฟู่เฉินหวนอาจจะมาช่วยนางในไม่ช้าแต่เขากลับยืนชมจันทร์อยู่กับลั่วเยวี่ยอิงความคาดหวังทั้งหมดในใจของนางมลายหายไปทันทีลั่วชิงยวนแบกฟู่อวิ๋นโจวไว้บนหลัง และเดินต่อไปโด
พูดไม่ออกแต่เขาอดไม่ได้ที่จะกำมือแน่นเพื่อระงับความโกรธและความรู้สึกไม่ยุติธรรมในใจ ความหึงหวงก็เช่นกันหมอหลวงเตรียมทุกอย่างและส่งให้นางอย่างรวดเร็ว ลั่วชิงยวนหยิบกรรไกรขึ้นมาแล้วตัดอาภรณ์ด้านหลังของฟู่อวิ๋นโจวออก จนเผยบาดแผลให้เห็น นางทำความสะอาดและเช็ดอย่างระมัดระวัง ฟู่เฉินหวนเฝ้าดูจากด้านข้างและรู้สึกว่าการเคลื่อนไหวอย่างระมัดระวังของนางนั้นคล่องแคล่วมากเขาหันหลังกลับและจากไปด้วยความโกรธลั่วชิงยวนรีบเย็บแผล ใส่ยา และพันผ้าพันแผลไว้อย่างรวดเร็วหมอหลวงกำลังทำงานอยู่ด้านข้าง เมื่อมองดูการเคลื่อนไหวที่ราบรื่นนี้ เขาก็อดไม่ได้ที่แอบถอนหายใจในใจ นางมีฝีมือดีกว่าหมอคนนั้นเสียอีกทันใดนั้น ลั่วชิงยวนก็หยิบยาที่ต้มแล้วป้อนให้ฟู่อวิ๋นโจวด้วยตัวเองสถานการณ์ของฟู่อวิ๋นโจวไม่ค่อยดีนัก ลั่วชิงยวนกังวลและอยู่ในห้องทั้งคืนยามรุ่งสางมาเยือน ตำหนักก็ได้ความสงบเรียบร้อยกลับคืนมาลั่วชิงยวนนอนไม่หลับตลอดทั้งคืน นางสัมผัสได้ถึงชีพจรของฟู่อวิ๋นโจว แต่เขายังคงอ่อนแอมากจนดูเหมือนเขาพร้อมจะตายได้ทุกเมื่อ นางไม่กล้าละสายตาไปแม้เพียงเสี้ยวนาทีแต่เรื่องของเหยียนหน่ายซินยังไม่จบ และเรื่องของห
ป้ายอาญาสิทธิ์ของจักรพรรดิ!เหตุใดองค์จักรพรรดิจึงคิดว่านางสังหารองค์ชายห้า? ฟู่เฉินหวนรู้เรื่องนี้ด้วยหรือไม่?นอกจากนี้ จักรพรรดิมักจะฟังคำพูดของฟู่เฉินหวนเสมอชั่วขณะหนึ่ง ลั่วชิงยวนตกอยู่ในความสับสนช่วงเวลาต่อมา องครักษ์ก็รีบรุดไปข้างหน้าอีกครั้งโดยพยายามจับลั่วชิงยวน นางไม่มีเวลาคิดและต่อสู้กลับทันทีคนกลุ่มหนึ่งล้อมรอบตัวลั่วชิงยวนไว้ แต่พวกเขาไม่สามารถจับลั่วชิงยวนได้ เมื่อเหยียนหน่ายซินเห็นฉากนี้ นางก็กังวลในขณะที่ลั่วชิงยวนถูกองครักษ์เบี่ยงเบนความสนใจ นางก็รีบไปที่ข้างเตียง ดึงกริชออกมาแล้วหย่อนลงบนคอของฟู่อวิ๋นโจว“ลั่วชิงยวน!”เสียงตะคอกดังขึ้นลั่วชิงยวนหยุดเมื่อนางเห็นเหตุการณ์ข้างเตียง หัวใจของนางก็บีบรัด “เหยียนหน่ายซิน เจ้ากล้าดีอย่างไร?!”เหยียนหน่ายซินเยาะเย้ย “ข้ากล้าควักตาของฉินไป๋หลี่ เจ้าคิดว่าข้าไม่กล้าแตะต้ององค์ชายห้าผู้ไม่มีนัยะสำคัญผู้นี้รึ?”“ยิ่งกว่านั้น ใครจะรู้ว่าตอนนี้เขาตายแล้วหรือยังมีชีวิตอยู่ บางทีเขาอาจถูกเจ้าฆ่าไปแล้วก็ได้”เหยียนหน่ายซินยิ้มอย่างภาคภูมิใจ แม้ว่านางจะฆ่าฟู่อวิ๋นโจว แต่ลั่วชิงยวนก็ต้องรับผิดชอบต่อการตายของฟู่อวิ๋นโจว
ลั่วชิงยวนมิแปลกใจ นี่คือวิถีของเฉินชีต่อให้เวินซินถงมิให้นางไป เฉินชีก็จะบังคับพานางไปให้ได้ในเมื่อประสบปัญหาที่ต้องเชิญนักบวชระดับสูงมาแก้ไข หากทำเรื่องนี้สำเร็จก็จะเป็นการสร้างชื่อเสียงให้แก่ลั่วชิงยวน ซึ่งเอื้อประโยชน์ต่อการทวงคืนตำแหน่งนักบวชระดับสูงในภายภาคหน้านี่เป็นสิ่งที่เฉินชีกำลังคิดอยู่......เช้าวันรุ่งขึ้นเวินซินถงมาถึงหน้าเรือนของลั่วชิงยวนนางกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ตามข้าไปตระกูลมู่”“นำสิ่งที่จำเป็นต้องใช้ไปด้วย”กล่าวจบ เวินซินถงก็หันหลังเดินจากไปลั่วชิงยวนยังมิทันได้ถามว่านางควรนำสิ่งใดไป?เพราะสถานการณ์ของตระกูลมู่เป็นเช่นไรนางก็ยังมิรู้อีกทั้งเมื่อก่อนตอนที่นางเป็นนักบวชระดับสูงก็ไม่มีธรรมเนียมเช่นนี้ด้วย จึงมิรู้ว่าควรนำสิ่งใดไปเซี่ยหลิงที่ติดตามอยู่ข้าง ๆ เตือนลั่วชิงยวน “เจ้ามิเคยออกไปกับนักบวชระดับสูง ต้องเตรียมสิ่งใดก็ไปถามจั๋วฉ่างตงเถิด”ลั่วชิงยวนตกตะลึงไปครู่หนึ่งนางหรี่ตาลง นี่จงใจให้นางไปหาจั๋วฉ่างตงให้จั๋วฉ่างตงกลั่นแกล้งนางเพื่อระบายความแค้นให้จั๋วฉ่างตงหรือำร?ลั่วชิงยวนครุ่นคิด แล้วก็ไปหาจั๋วฉ่างตงที่เรือนเมื่อไปถึง จั๋ว
ฝ่ามือที่ตบลงบนใบหน้าทำให้หลานจีล้มลงกับพื้น โลหิตไหลออกจากมุมปาก“ท่านแม่ทัพ!” หลานจีเงยหน้ามองเขาด้วยความตกใจมิรู้เลยว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้เฉินชีจิกผมของนางอย่างรุนแรง กระชากนางให้ลุกขึ้นจากพื้น แล้วบีบใบหน้าของนางด้วยพละกำลังมหาศาลพลางเค้นถามด้วยเสียงดุดัน “เจ้าทำกระไรลงไป?!”“ผู้ใดใช้ให้เจ้าให้ยาแก่นางแล้วปล่อยนางไป?!”หลานจีสับสน หยาดน้ำตาไหลรินด้วยความรู้สึกเสียใจมาก “ท่านแม่ทัพ ข้ามิรู้ว่าท่านกำลังพูดถึงเรื่องใด”“มิใช่ข้าจงใจปล่อยนางไป นางไปเองต่างหากเจ้าค่ะ”“ข้ามิได้ทำอะไรเลย”เฉินชียังคงเต็มไปด้วยโทสะ “เจ้าคิดว่าข้ามิรู้ความคิดเล็ก ๆ น้อย ๆ ของเจ้ารึ!”“ข้าขอเตือนเจ้า หากเจ้ากล้าทำอะไรลับหลังอีกก็ไสหัวไป!”กล่าวจบ เฉินชีก็ปล่อยนางเขาไว้ชีวิตนางอีกครั้งเดิมทีเขาตั้งใจจะมาสังหารหลานจี แต่เมื่อเห็นน้ำตาของนางแล้วกลับรู้สึกราวกับได้เห็นลั่วเหลา จึงยอมไว้ชีวิตนางหลานจีทรุดลงนั่งกับพื้นอย่างหมดเรี่ยวแรง มองแผ่นหลังของเฉินชีที่จากไปด้วยความโกรธพลางร่ำไห้สะอึกสะอื้นนางมิรู้ว่าตนทำสิ่งใดผิดและมิรู้ว่าเหตุใดท่านแม่ทัพจึงมีท่าทีต่อนางเปลี่ยนไปถึงเพียงนี้ทั้งท
เมื่อคำพูดนั้นหลุดออกมา สีหน้าของฟู่เฉินหวนก็เปลี่ยนไปในทันที“กระหม่อมเป็นองครักษ์ข้างกายองค์ชายใหญ่ โปรดอภัยให้กระหม่อมที่มิสามารถทำตามพระบัญชาได้ด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”องค์หญิงผู้นี้ชอบเฉินชี หากเขาติดตามองค์หญิงไปก็คงจะได้พบกับเฉินชีเป็นแน่ มิหนำซ้ำ เกาเหมียวเหมี่ยวก็ช่วยเขาฆ่าเฉินชีมิได้เมื่อถูกเขาปฏิเสธอีกครั้ง สีหน้าของเกาเหมียวเหมี่ยวจึงดูมิดีนักฉินอี้จึงต้องก้าวออกมา “เหมียวเหมี่ยว คนที่คอยคุ้มครองเจ้ายังมิพออีกหรือ?”“ข้างกายพี่ใหญ่มีองครักษ์คนนี้อยู่เพียงคนเดียว เจ้าอย่าแย่งเขาไปเลย”สีหน้าของฉินอี้ดูเหมือนคนจนใจน้ำเสียงของเขาฟังดูน่าสงสารเมื่อเห็นเขาเป็นแบบนี้ เกาเหมียวเหมี่ยวก็มิกล้าที่จะบังคับอีก นางตอบอย่างมิพอใจว่า “ก็ได้”“รอจนกว่าท่านจะมิต้องการเขาแล้ว ค่อยให้หม่อมฉันก็แล้วกัน”“หม่อมฉันค่อนข้างชอบเขา”เกาเหมียวเหมี่ยวพูดพลางมองฟู่เฉินหวน บนใบหน้าของนางมีรอยยิ้มยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกว่าเขาคล้ายกับเฉินชีมิใช่หน้าตาที่เหมือน แต่เป็นอารมณ์เย็นชาหยิ่งผยองและความกล้าหาญที่จะปฏิเสธนางโดยมิแม้แต่จะเสียงสั่นในเมื่อยังมิสามารถทำให้เฉินชีสยบต่อนางได้ในเร็ววัน การ
“ไปเถอะ ข้าจะพาเจ้าไปทำความเข้าใจสถานการณ์”กล่าวจบ เขาก็พาฟู่เฉินหวนเดินไปทว่าระหว่างทางกลับพบเกาเหมียวเหมี่ยวเดินสวนมาพอดีฉินอี้เข้าไปหาด้วยความเป็นห่วง แล้วเอ่ยถาม “เหมียวเหมี่ยว อาการบาดเจ็บของเจ้าหายดีแล้วหรือ?”เกาเหมียวเหมี่ยวตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “บาดแผลเพียงเท่านี้คร่าชีวิตหม่อมฉันมิได้หรอก อีกอย่าง เสด็จพ่อกับเสด็จแม่ประทานยาให้หม่อมฉันมากมาย มิเจ็บปวดแผลแล้ว”ฉินอี้พยักหน้า “บาดแผลของเจ้าหายเร็วได้เช่นนี้ก็เพราะกินน้ำแกงโสมมังกรมาตลอด เจ้าต้องกินทุกวันตามเวลา ร่างกายจะได้แข็งแรงขึ้น!”“เข้าใจแล้ว”เมื่อได้ยินเช่นนี้ ฟู่เฉินหวนก็ดวงตาเป็นประกายน้ำแกงโสมมังกรหรือ?เป็นโสมมังกรชนิดเดียวกับที่หมอหลวงมู่ให้เขากินหรือไม่?สิ่งนี้แม้แต่หมอหลวงมู่ก็มีเพียงชิ้นเดียว มิเคยพบเห็นชิ้นที่สองแต่องค์หญิงแห่งแคว้นหลีกลับได้กินทุกวันเลยหรือ?เขาอดสงสัยมิได้ว่าสองสิ่งนี้เป็นสิ่งเดียวกันจริงหรือไม่หากเป็นเช่นนั้น เขาก็มีโอกาสที่จะมีชีวิตอยู่ต่ออีกหลายเดือน หรือกระทั่งหลายปีเลยมิใช่หรือ?เปลวไฟแห่งความหวังลุกโชนขึ้นในใจของฟู่เฉินหวนฉินอี้เดินจากไปแล้ว แต่ฟู่เฉินหวนยังคงยื
ลั่วชิงยวนยกยิ้มอย่างใจเย็น “องค์ชายใหญ่ใส่ใจเรื่องนี้ถึงเพียงนี้เชียวหรือเพคะ?”ฉินอี้ขมวดคิ้วมุ่น มองนางด้วยสีหน้าจริงจัง “แน่นอน! แท้จริงแล้วเจ้ารู้อะไรกันแน่!”วันนั้นในคุกใต้ดิน เกือบจะได้ฟังคำพูดต่อจากนั้นของลั่วชิงยวนแล้วแต่กลับถูกเฉินชีขัดจังหวะเสียก่อนหลังจากกลับไป เขาก็ครุ่นคิดถึงเรื่องนี้มาโดยตลอดเขาอาจมิใส่ใจเรื่องราวในอดีตได้ แต่นี่เกี่ยวข้องกับอนาคตของเขา! เขาจะมิใส่ใจคงมิได้!ลั่วชิงยวนกลับยกยิ้ม “องค์ชายใหญ่เชื่อจริงจังเลยหรือ?”“วันนั้นหม่อมฉันเพียงต้องการเอาชีวิตรอด จึงพูดจาเหลวไหลไปเท่านั้น”เมื่อคำพูดนี้หลุดออกมา ฉินอี้ก็ตกตะลึงไปทั้งร่างมองนางด้วยความตกใจและโกรธเกรี้ยว “เจ้าว่ากระไรนะ?!”ลั่วชิงยวนเลิกคิ้วขึ้น “หม่อมฉันมิอยากพูดซ้ำสอง”ฉินอี้โกรธจนอยากจะลงมือ แต่ก็อดกลั้นไว้ เขาไม่มีทางต่อกรกับลั่วชิงยวนได้สุดท้ายก็ได้แต่จากไปด้วยความขุ่นเคืองเมื่อเห็นฉินอี้จากไป เงาร่างที่แอบฟังอยู่ก็รีบจากไปเช่นกันอาการของฉินอี้นั้นมีสาเหตุจริง แต่เรื่องนี้ยังมิอาจบอกให้ฉินอี้รู้ได้เพราะมันเป็นเรื่องใหญ่หากพูดออกไป ปัญหาที่นางจะต้องเผชิญจะมิใช่เพียงเรื่องรา
อวี๋โหรวพยักหน้า รีบเช็ดน้ำตา “ขอบคุณ”ลั่วชิงยวนตบไหล่นางเบา ๆ เพื่อปลอบโยนเมื่อสนทนามาถึงตรงนี้ ลั่วชิงยวนจึงถือโอกาสถามอวี๋โหรว “อันที่จริงข้าสงสัยเรื่องนักบวชระดับสูงคนก่อน เจ้าพอจะรู้หรือไม่ว่านางตายอย่างไร?”อวี๋โหรวตกใจเล็กน้อยคาดเดาในใจว่าลั่วชิงยวนคงสอบถามเรื่องนี้เพราะเฉินชีเพราะว่าเฉินชีก็มีใจให้ลั่วเหลาเช่นเดียวกันนางอธิบาย “ไม่มีผู้ใดรู้ว่านางตายอย่างไร”“วันนั้นนางบำเพ็ญเพียรอยู่ที่หอเทียนฉี วันรุ่งขึ้นเมื่อมีคนมาพบก็เหลือเพียงโลหิตกองเต็มพื้น”“บนพื้นยังมีร่องรอยการลากศพด้วย”“แต่ส่งคนออกไปตามหาศพตั้งมากมายก็หามิพบ”“เฉินชีแทบจะพลิกทั่วทั้งวัง แทบจะคลุ้มคลั่งสังหารคนในสำนักนักบวชไปเสียสิ้น”“ยังดีที่จักรพรรดิทรงนำราชองครักษ์เกราะเหล็กมาด้วยพระองค์เอง จึงสามารถควบคุมตัวเฉินชีไว้ได้”“เรื่องการตายของนักบวชระดับสูงนั้นมีการสืบสวนอยู่นาน แต่ก็ไม่มีเบาะแสใด ๆ เบาะแสทั้งหมดหยุดอยู่ที่หอเทียนฉี”“นอกหอเทียนฉีไม่มีร่องรอยใดหลงเหลือ”“นานวันเข้า เรื่องนี้ก็เงียบหายไป”ตามคำบอกเล่าของอวี๋โหรว ลั่วชิงยวนก็หวนนึกถึงคืนนั้นหอเทียนฉีเป็นสถานที่ที่นักบวชระดับสูงจะท
อวี๋โหรวก็ประหลาดใจ นางมิคาดคิดว่าลั่วชิงยวนจะล่วงรู้ความคิดเล็ก ๆ น้อย ๆ ของนาง อีกทั้งยังไปเอาเรื่องจั๋วฉ่างตงเพื่อนางและทำร้ายจั๋วฉ่างตงจนอยู่ในสภาพเช่นนั้นการกระทำของนางคล้ายคลึงกับลั่วเหลาในสมัยก่อนยิ่งนักนางชอบใจมาก“กินยาเสีย” ลั่วชิงยวนรินยาให้อวี๋โหรวเดินเข้าไปดมแล้วก็รู้สึกประหลาดใจ “ในนี้มีบัวถวายผสมด้วยหรือ?”“เจ้ากินไปเถิด”“อาการบาดเจ็บของเจ้าน่าจะทุเลาลงเพราะยานี้”ลั่วชิงยวนกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “อาการบาดเจ็บภายในของเจ้าก็มิได้ดีไปกว่าข้าหรอก รีบกินเสีย”อวี๋โหรวจำต้องยอมดื่มยานั้นลั่วชิงยวนนั่งลงข้าง ๆ รินน้ำชาหนึ่งถ้วย แล้วกล่าวว่า “ต่อไปจั๋วฉ่างตงจะต้องหาเรื่องเจ้าอีกเป็นแน่ เจ้าจะปิดบังตนเองอีกมิได้”“ในเมื่อฝีมือของเจ้าทำให้จั๋วฉ่างตงริษยาได้ เช่นนั้นก็อย่าได้เกรงใจนาง!”“ส่วนทางด้านนักบวชระดับสูง ข้าคิดว่านางคงจะให้ความสำคัญกับผู้ที่มีความสามารถ มิใช่ผู้ที่ประจบสอพลอ”นี่คือความเข้าใจที่ลั่วชิงยวนมีต่อเวินซินถงจั๋วฉ่างตงสามารถเป็นคนสนิทข้างกายของนางได้ ย่อมเป็นเพราะจั๋วฉ่างตงมีฝีมือที่แข็งแกร่งในสำนักนักบวช มิใช่เพราะจั๋วฉ่างตงประจบสอพลอเก่
ลั่วชิงยวนคว้าตัวจั๋วฉ่างตง “คุกเข่าลง! ขอโทษ! รับปากด้วยว่าจะมิรังแกนางอีก!”เมื่อเสียงอันดุดันดังขึ้น ทุกคนต่างตกตะลึงจั๋วฉ่างตงมีหรือจะยินยอม ดวงตาแดงก่ำของนางจ้องมองลั่วชิงยวนอย่างเดือดดาล “สารเลว!”เพียะ!ลั่วชิงยวนตบหน้านางอย่างมิปรานี“ข้ามิรังเกียจที่จะตบเจ้าจนกว่าจะยอม”“ยามนี้ตบหน้ายังทนได้ หากบีบให้ข้าใช้ท่วงท่าอื่น ระวังวรยุทธ์ของเจ้าจะไร้ค่า!”ลั่วชิงยวนข่มขู่ด้วยน้ำเสียงเย็นชาจั๋วฉ่างตงกัดริมฝีปากล่างด้วยความโกรธแค้นและอัปยศอดสูเดิมทีนางเป็นหญิงสาวที่หน้าตางดงาม ทว่ายามนี้กลับถูกลั่วชิงยวนทำร้ายจนยับเยิน แทบจะจำเค้าเดิมมิได้“ข้ามิได้มีความอดทนมากนัก เร็วเข้า!”ยามนี้มีผู้คนมากมายได้ยินเสียงอึกทึกจึงมามุงดูเหตุการณ์น่าตื่นเต้นรวมตัวกันอยู่หน้าประตูเรือนพลางกระซิบกระซาบกัน“ลั่วชิงยวนผู้นี้ช่างกล้าหาญนัก”“จั๋วฉ่างตงไปยั่วโมโหนางอีกแล้วหรือ?”เมื่อได้ยินเสียงจากภายนอก จั๋วฉ่างตงก็แทบจะหลั่งน้ำตา มีผู้คนมากมายมองดูอยู่ นางกลับต้องคุกเข่าขอโทษอวี๋โหรว!ขณะที่ลั่วชิงยวนหมดความอดทนและกำลังจะลงมือจั๋วฉ่างตงก็กลั้นน้ำตาไว้พลางคุกเข่าลง ตรงหน้าอวี๋โหรวอว
จั๋วฉ่างตงเดินออกมาจากห้องนัยน์ตาของลั่วชิงยวนฉายแววมุ่งสังหาร “ที่แท้เจ้าก็มิใช่เต่าหดหัวในกระดองนี่”จั๋วฉ่างตงจ้องมองนางด้วยสีหน้าดุดัน แล้วเดินลงมาอย่างช้า ๆ “ลั่วชิงยวน ข้าขอเตือนให้เจ้าสำรวมตนเสียบ้าง!”กล่าวพลางกวาดสายตามองไปยังคนที่นอนกองอยู่บนพื้น แล้วตวาดเสียงดัง “ปล่อยพวกเขา!”ลั่วชิงยวนบุกเข้ามาทำร้ายคนถึงเรือนของนาง นี่มิใช่การตบหน้านางต่อหน้าธารกำนัลหรอกหรือ!แม้จะพ่ายแพ้ให้แก่ลั่วชิงยวนที่หอรักษ์ดารา แต่ก็มิได้หมายความว่านางจะต้องหวาดกลัวลั่วชิงยวน!ลั่วชิงยวนเตะไปที่คนเหล่านั้น แล้วยอมปล่อยพวกเขาให้เป็นอิสระคนเหล่านั้นกลิ้งตัวลงบนพื้นทีละคนก่อนจะรีบลุกขึ้นยืนอย่างลนลาน หมายจะหลบไปอยู่ด้านหลังจั๋วฉ่างตงทว่าในเวลานี้เอง ริมฝีปากของลั่วชิงยวนก็ยกยิ้มเย็นเยียบ กระโจนเข้าหาจั๋วฉ่างตงอย่างรวดเร็วแล้วใช้มือคว้าจับที่คอเสื้อของนางจั๋วฉ่างตงขัดขืนโดยสัญชาตญาณ แต่นางได้รับบาดเจ็บ จะเป็นสู้ลั่วชิงยวนได้อย่างไรทันใดนั้นก็ถูกลั่วชิงยวนเหวี่ยงลงกับพื้น แล้วตบหน้าอย่างแรงจนผมเผ้าของจั๋วฉ่างตงยุ่งเหยิงขณะที่ตั้งตัวมิทันเสียงฝ่ามือกระทบใบหน้านั้นหนักแน่น เสียงดังสนั