ปฏิกิริยาของหลิวไท่เฟยทำให้ลั่วชิงยวนรู้สึกแปลกใจ สิ่งที่นางพูดหมายถึงอะไร?คิดว่าด้วยคำพูดเหล่านั้นแล้ว นางจะหันไปช่วยหลิวไท่เฟยจัดการกับฟู่เฉินหวนอย่างนั้นหรือ?“หม่อมฉันเชื่อพระนางเพคะ แต่หม่อมฉันมิอาจตัดสินใจได้ว่าควรช่วยใคร หม่อมฉันเพียงอยากรู้ความจริงเกี่ยวกับกลียุคในวังเท่านั้นเพคะ”หลิวไท่เฟยขมวดคิ้วพร้อมกับท่าทีร้อนรน นางลังเลที่จะพูดอยู่หลายครั้ง แต่ท้ายที่สุด นางก็พึมพำคำพูดอย่างฟังไม่ได้ศัพท์ออกมาเท่านั้นดูจากสภาพจิตใจของนางแล้ว นี่นับว่าไม่ปกติเลยจริง ๆ “หลิวไท่เฟยเพคะ?” นางพยายามตะโกนทันใดนั้นหลิวไท่เฟยก็สะดุ้งและมองดูนางด้วยความตกใจ ดวงตาของนางก็เบิกกว้างด้วยความกลัว“เจ้าโกหกข้า! เจ้าไม่เกี่ยวข้องกับกลียุคในวังสักนิด เหตุใดเจ้าจึงอยากรู้ความจริง? นอกจากช่วยฟู่เฉินหวนรวบรวมข้อมูล เจ้าทำสิ่งอื่นใดอีกรึ?”“เจ้าอยากจะบอกเจ้าเจ็ดว่าข้าเป็นผู้ที่ฆ่าแม่ผู้ให้กำเนิดของเขางั้นรึ? เจ้าอยากจะพรากเขาไปจากข้าใช่หรือไม่?”“อ๋องผู้นี้เลวทรามจริง ๆ!”ขณะที่หลิวไท่เฟยพูด ดวงตาของนางก็แดงต่ำ นางเต็มไปด้วยอารมณ์คลุ้มคลั่งจนน้ำตาไหลอาบหน้า ทว่าสายตานางกลับดูดุร้ายผิดปกติ ไม่เ
ผมของลั่วชิงยวนตั้งตระหง่านขณะที่นางมองไปที่หลิวไท่เฟยด้วยความตกใจ “ท่านเป็นบ้าไปแล้วหรือ?!”“ใช่ ข้าบ้าไปแล้ว” หลิวไท่เฟยหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดมีดที่เปื้อนเลือด“พวกนางอยู่กับข้ามาหลายปีแล้ว และเป็นคนที่ข้าไว้วางใจมากที่สุด” นางเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้ม“แล้วท่านก็ฆ่าพวกนางเช่นนั้นหรือ?”หลิวไท่เฟยยิ้มอย่างขมขื่นแล้วพูดว่า “แม้พวกนางจะยังไม่ตายในตอนนี้ แต่สุดท้ายอย่างไรเสียพวกนางก็ต้องตายอยู่ดี หากพวกนางรับใช้ข้า ไม่ช้าก็เร็วพวกนางจะต้องตาย แทนที่จะปล่อยให้พวกนางตายด้วยน้ำมือผู้อื่น ไม่สู้ให้ข้าเป็นผู้ลงมือเองจะดีกว่า ถือเสียว่าส่งพวกนางไปพร้อมเจ้าด้วย”ลั่วชิงยวนขมวดคิ้วแน่นหลิวไท่เฟยเดินเข้ามาหานางช้า ๆ พร้อมกับมองนางด้วยสายตาอันเย็นชา ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงขุ่นเคืองว่า “หากมิใช่เพราะเจ้า พวกนางคงมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกสองสามปีหรืออาจจะมากกว่าสิบปี”“เกี่ยวอันใดกับหม่อมฉัน?” ลั่วชิงยวนต้องการถามสิ่งที่มีประโยชน์มากที่สุด“เพราะเจ้าทำให้ใครบางคนขุ่นเคือง พวกเขาต้องการฆ่าเจ้า เช่นนั้นพวกเขาจึงนึกถึงมีดเล่มนี้ในมือข้า” หลิวไท่เฟยพูดพร้อมมองมีดในมือของนางแล้วยิ้มเยาะลั่วชิงยวนตกตะลึง
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ หลิวไท่เฟยจึงเย้ยหยันกับตัวเองแล้วพูดว่า “พี่สาม? ข้ามิสนพี่สามของเจ้าด้วยซ้ำ หากข้ามิฆ่านาง วันพรุ่งพวกเราทั้งคู่ก็จะต้องตาย!”“จิ่งหลี เจ้ารีบไปจากที่นี่ ข้าเป็นคนฆ่านาง เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอันใดกับเจ้า!”เมื่อพูดจบ หลิวไท่เฟยก็ผลักฟู่จิ่งหลีออกจากห้องทันทีแต่ฟู่จิ่งหลีกลับคว้าไหล่ของหลิวไท่เฟยไว้ด้วยสีหน้าจริงจังเป็นพิเศษ "ไท่เฟย อย่าได้ทำผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่า!"เมื่อได้ยินเช่นนี้ น้ำตาของหลิวไท่เฟยก็ไหลลงมาจากขอบตาทันที ทันใดนั้นนางก็หัวเราะและเช็ดน้ำตา “ได้ ข้าจะทำตามที่เจ้าพูด”“ข้าจะปล่อยนางไปตอนนี้ ข้าจะรับผลที่ตามมาเพียงผู้เดียว”เมื่อพูดอย่างนั้น หลิวไท่เฟยก็เดินไปที่ผนัง นางเปิดภาพวาดออก ก่อนที่จะกดกลไกให้ทำงาน ทว่า ในขณะนั้น ลั่วชิงยวนได้ยินเสียงเครื่องมือเหล็กกำลังเคลื่อนไหวลั่วชิงยวนขมวดคิ้ว นางตะโกนขึ้นทันทีว่า “องค์ชายเจ็ด ระวัง! รีบออกไปเร็ว!”ฟู่จิ่งหลีตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง แต่เขากลับมีเวลาไม่มากพอกลไกถูกเปิดใช้งาน และกรงเหล็กก็ตกลงมาจากด้านบน ปกคลุมร่างฟู่จิ่งหลีไว้ข้างในกรงเหล็กไม่ใหญ่นัก แต่ก็คุมขังคนได้อย่างแน่นหนา ฟู่จิ่งหลีตก
ดวงตาของฟู่จิ่งหลีเบิกกว้างอย่างกังวล “ไม่!”ทว่า ทันทีที่มีดหล่นลง ลั่วชิงยวนก็กัดฟันและฉีกโซ่เหล็กออกอย่างรุนแรง โซ่เส้นนี้เชื่อมต่อตู้เสื้อผ้าจึงไม่ยึดแน่นเท่ากับโซ่เหล็กเส้นอื่น ในขณะที่โซ่เหล็กหลุดออก นางก็ยกโซ่เหล็กเส้นนั้นกั้นมีดของหลิวไท่เฟยไว้ทันทีหลิวไท่เฟยรู้สึกประหลาดใจอย่างมาก นางแทบรอไม่ไหวที่จะฆ่าลั่วชิงยวน นางต้องไม่หนีจากเรื่องนี้!นางต้องต่อสู้เพื่อหาทางออกให้กับองค์ชายเจ็ด!เนื่องจากโซ่เหล็กที่มือขวาของนางเริ่มหลวม ลั่วชิงยวนจึงสามารถขยับร่างกายของนางได้ นางหลบไปด้านข้างเพื่อหลีกเลี่ยงการโจมตีของหลิวไท่เฟย จากนั้นนางจึงจับยันต์ด้วยปลายนิ้วของนางแล้วเรียกเจินหลันเบา ๆ ยันต์นั่นพุ่งโจมตีไปที่กลไกบนผนังทันที และร่างของเจินหลันก็รีบมุ่งหน้าไปที่กำแพงเช่นกัน กลไกส่งเสียงดังคลิกและทุกอย่างก็กลับเป็นดังเดิม ฟู่จิ่งหลีถูกปล่อยตัวเช่นกันในขณะที่หลิวไท่เฟยกระโจนเข้าหาลั่วชิงหยวน นางกลับถูกลั่วชิงยวนถีบออกไป นางพยุงฟู่จิ่งหลีขึ้นมาแล้ววิ่งออกไป “เร็วเข้า”หลิวไท่เฟยซึ่งนอนอยู่บนพื้นเงยหน้าขึ้นแล้วยิ้มอย่างเย็นชา “เจ้าออกไปไม่ได้”ลั่วชิงยวนและฟู่จิ่งหลีกำลั
เจินหลันเปิดประตูห้องครั้งแล้วครั้งเล่าด้วยเสียงดังปัง ด้วยแรงลมนั้นก็ทำให้คนทั้งสองที่อยู่ข้างนอกเปิดประตูออกได้ในที่สุด ชั่วครู่ต่อมา ลมแรงก็พัดปะทะเข้ากับร่างของลั่วชิงยวนแล้วส่งนางออกไปคิ้วของฟู่เฉินหวนกระตุก เขารีบเข้าไปกอดลั่วชิงยวนทันทีขณะที่ลั่วชิงยวนกระเด็นออกมา นางก็เห็นว่าร่างของเจินหลันถูกเปลวเพลิงเผาไหม้ไปครึ่งหนึ่งนางพูดทั้งน้ำตาด้วยความเกลียดชัง "คนที่บอกข้าว่ามีบางอย่างผิดปกติกับรูปปั้นเจ้าแม่กวนอิมในตอนนั้นคือนางรับใช้ที่อยู่ข้างกายไทเฮา!"“แม้แต่การตายของข้าก็ถูกวางแผนไว้ นางต้องการใช้ข้าเป็นเครื่องมือในการฆ่าคน”“ฮ่าฮ่าฮ่า... ข้าทำสิ่งต่าง ๆ เพื่อศัตรูมาโดยตลอด ข้าถูกหลอกอย่างน่าสมเพช!”ร่างของเจินหลันค่อย ๆ เลือนหายท่ามกลางความเจ็บปวดและความรู้สึกไร้ค่าอย่างไม่มีที่สิ้นสุดในขณะนั้น ไม้ขีดไฟในมือของหลิวไท่เฟยก็ลุกเป็นไฟและทำให้ทั่วทั้งห้องถูกไฟลามอย่างรวดเร็ว เกิดไฟไหม้ครั้งใหญ่ ฟู่จิ่งหลีก้าวไปข้างหน้าอย่างกะทันหัน เขาอ้าปากกว้าง แต่กลับไม่อาจส่งเสียงใดได้เลย สายไปแล้ว ฟู่เฉินหวนเรียกคนมาช่วยดับไฟทันทีลั่วชิงยวนยืนข้างเขาอย่างเงียบ ๆ เพื่อคร
ทันทีที่พวกเขาสบตากัน ก็เป็นเรื่องยากสำหรับทั้งสองที่จะสงบสติอารมณ์ลงได้ ฟู่เฉินหวนมองไปทางอื่นทันทีพลางพูดอย่างใจเย็น “หลิวไท่เฟยสิ้นพระชนม์แล้ว ไทเฮาจะมิปล่อยเจ้าไป พระนางจะตั้งคำถามกับเจ้าอย่างแน่นอน”“เจ้าเพียงบอกว่าหลิวไท่เฟยเชิญเจ้ามาเป็นแขก เจ้ามิรู้เรื่องอันใด”ลั่วชิงยวนรู้ว่าการตายของหลิวไท่เฟยจะไม่จบลงง่าย ๆ และคำพูดของฟู่เฉินหวนคือสิ่งที่เขาตั้งใจแบกรับเรื่องเหล่านี้ไว้เองหลังจากมองไปรอบ ๆ แล้วเห็นว่าไม่มีผู้ใดสนใจพวกเขา ลั่วชิงยวนจึงลดเสียงลงและพูดว่า “ไทเฮาอยู่เบื้องหลังกลียุคในวัง หลิวไท่เฟยเป็นเพียงเบี้ยในมือของไทเฮา รวมทั้งเจินหลันก็ถูกใช้โดยไทเฮาด้วยเช่นกัน”เมื่อฟู่เฉินหวนได้ยินคำพูดนี้ เขาก็มองดูนางด้วยความตกใจ “มีอะไรผิดปกติหรือ?” ลั่วชิงยวนมองเขาอย่างสงสัยฟู่เฉินหวนมองไปทางอื่นอีกครั้งแล้วพูดว่า “ข้าคิดมิถึงว่าเจ้าจะบอกข้าเรื่องนี้”ลั่วชิงยวนรู้เรื่องกลียุคในวังเมื่อใด เหตุใดนางจึงเอ่ยความลับของกลียุคในวังให้เขาฟัง แน่นอนว่าฟู่เฉินหวนไม่รู้ว่า ลั่วชิงยวนรู้เรื่องกลียุคในวังมาเป็นเวลานานแล้ว และนางยังรู้ด้วยว่าฟู่เฉินหวนกำลังติดตามค้นหาเบาะแสของเหตุก
คำพูดนี้หมายถึงนางกับฟู่เฉินหวนหรือไม่?ใช่แล้ว ตอนนี้ดูเหมือนว่าพวกเขาจะลงเรือลำเดียวกันแล้ว“เช่นนั้น ยินดีต้อนรับท่านเข้าร่วม” ลั่วชิงยวนยกยิ้มฟู่จิ่งหลีหัวเราะเบา ๆ แล้วพูดว่า “หลังจากที่ท่านกลับไปแล้ว ท่านต้องบอกข้าทุกอย่าง”“ไม่มีปัญหา”ทั้งสองออกจากวังและกลับไปยังตำหนักอ๋องหลังจากที่ลั่วชิงยวนทายาและพันผ้าพันแผลให้ตัวเองแล้ว นางก็บอกฟู่จิ่งหลีทุกอย่างเกี่ยวกับหลิวไท่เฟยรวมทั้งเบาะแสที่ได้รับจากเจินหลันในความเป็นจริง สามารถอธิบายได้อย่างชัดเจนด้วยคำพูดเพียงไม่กี่คำ แต่ฟู่จิ่งหลีต้องการทราบรายละเอียดเพิ่มเติม เช่นนั้นลั่วชิงยวนจึงค่อย ๆ อธิบายให้เขาฟัง ทว่า ช่วงเวลาอันเงียบสงบนั้นช่างสั้นนัก มีคนมาถึงตำหนักแล้ว แม่นมเติ้งรีบเข้ามาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงประหม่าว่า “พระชายา นางกำนัลจิ่นชูจากพระตำหนักโช่วสี่มาที่นี่เจ้าค่ะ คราวนี้นางมาพร้อมกับราชองครักษ์!”“นางมาถึงแล้ว” ดวงตาของลั่วชิงยวนเปลี่ยนเป็นเย็นชานางยืนขึ้นและมุ่งหน้าไปที่ลานตำหนักโดยมีจือเฉาคอยประคองอยู่ด้านข้าง จิ่นชูยืนอยู่ที่ประตูทางเข้า ตามมาด้วยกลุ่มราชองครักษ์ซึ่งดูองอาจและไม่เป็นมิตร “พระชายาอ๋องผู
ดวงตาของฟู่จิ่งหลีเย็นชาเป็นอย่างมาก น้ำเสียงเย็นชาของเขาแสดงให้เห็นถึงอำนาจ “นี่เป็นท่าทางของเจ้าเมื่อพูดคุยกับองค์ชายงั้นรึ?”“เป็นบ่าวจะอวดเพียงนี้ได้เยี่ยงไร?”“ผู้ใดเป็นคนมอบความกล้าให้กับเจ้า?”ในขณะนี้ ท่าทางอันน่าเกรงขามของฟู่จิ่งหลี คือสิ่งที่ลั่วชิงยวนมองเห็นว่าเขาสมฐานะองค์ชายบางทีอาจเป็นเพราะเขาอยู่ห่างไกลจากราชสำนักและวังหลวงมาเป็นเวลานาน หลายคนจึงลืมไปว่าแท้จริงแล้วเขาก็เป็นถึงองค์ชาย แม้ว่าเขาจะไม่มีตำแหน่งอย่างเป็นทางการที่สูงส่งและไม่น่าเกรงขามเท่าฟู่เฉินหวน ทว่า เขาก็ยังคงเป็นเชื้อพระวงศ์!จิ่นชูเป็นคนสนิทของไทเฮา แม้ว่าองค์จักรพรรดิจะพบนาง เขาก็จะไม่พูดคุยกับนางด้วยท่าทีเช่นนั้นเมื่อฟู่จิ่งหลีพูดจบแล้ว ดาบในมือของเขาก็ชี้ไปที่มือของจิ่นชูซึ่งอยู่ใต้แขนเสื้อก็กำหมัดแน่น“องค์ชายเจ็ด นี่เป็นคำสั่งของไทเฮา! ท่านต้องการต่อต้านไทเฮาหรือเพคะ?!” จิ่นชูระงับความโกรธในใจพร้อมกับพยายามสงบสติอารมณ์ แต่มือของฟู่จิ่งหลีกลับจับดาบไว้แน่น โดยไม่ยอมแพ้หรือกลัวแต่อยากใด ดวงตาของเขายังคงเย็นชาอย่างยิ่ง “ข้าบอกเจ้าแล้ว วันนี้ไม่มีใครสามารถพาลั่วชิงยวนออกไปได้ทั้งนั้น!”
“เจ้ารีบอะไรนักหนา รอมาตั้งนานแล้ว รออีกสักหน่อยจะเป็นกระไร”เมื่อได้ยินดังนั้น อวี๋ตันเฟิ่งก็หยุดมือลั่วชิงยวนเดินเข้าไปคว้าตัวโหยวเซียงไว้ให้โฉวสือชีมัดนางไว้แน่นหนา จากนั้นจึงปลุกโหยวเซียงให้ฟื้นขึ้นมาเมื่อฟื้นคืนสติ โหยวเซียงก็จ้องหน้าลั่วชิงยวนเขม็งอย่างโกรธแค้น “เจ้ากล้าจับข้า เจ้าคอยดูเถอะว่าจะตายอย่างไร!”ลั่วชิงยวนย่อตัวลงนั่งตรงหน้านาง แล้วหัวเราะเบา ๆ “ใช่แล้ว ใครจะกล้าแตะต้องคุณหนูใหญ่เมืองแห่งภูตผีเล่า”“น่าเสียดาย เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้ บิดามารดาของเจ้าไปปล้นเขามา มิใช่ของพวกเขามาแต่เดิม ย่อมมิใช่ของเจ้าเช่นกัน”“ถึงเวลาคืนเจ้าของตัวจริงแล้ว”โหยวเซียงจ้องเขม็งนางอย่างโกรธแค้น “เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไร! เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้เป็นของบิดามารดาข้ามาแต่เดิม!”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็ประหลาดใจ “หรือว่าต่งอวิ๋นซิ่วมิได้บอกความจริงแก่เจ้า”“ก็ถูกแล้ว เรื่องน่าอับอายเช่นนี้ นางจะบอกลูกสาวได้อย่างไร”“เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้มิใช่เพียงถูกบิดามารดาเจ้ายึดมาเท่านั้น แต่ยังใช้วิธีการที่น่ารังเกียจในการยึดครองด้วย!”“เดาว่าจนถึงตอนนี้เจ้าก็คงยังมิรู้เลยว่าศัตรูของเจ้าคือผ
โหยวเซียงกัดฟันพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบลั่วชิงยวนมองไปที่อวี๋โหรว หลายวันมานี้อวี๋โหรวผอมซูบไปมาก“เจ้าจับตัวอวี๋โหรวมาเพื่อล่อข้ามาที่นี่รึ?”ลั่วชิงยวนหรี่ตามองโหยวเซียง“แต่เจ้ามิน่าจะมีความสามารถพอที่จะพาอวี๋โหรวออกจากวังหลวงไปได้”“เวินซินถงเป็นคนทำใช่หรือไม่?”“เจ้าทำข้อตกลงอะไรกับนางไว้?”โหยวเซียงหัวเราะเยาะ “อยากรู้รึ?”“คุกเข่าอ้อนวอนข้าสิ”“เจ้าอ้อนวอนข้า ข้าถึงจะบอกเจ้าว่าผู้ใดจับตัวอวี๋โหรวมา และผู้ใดร่วมมือกับข้าวางแผนให้เจ้ามาที่เมืองแห่งภูตผี”ลั่วชิงยวนมองท่าทีหยิ่งยโสของโหยวเซียงแล้วก็อดมิได้ที่จะหัวเราะเบา ๆ นางกวาดสายตามองไปรอบ ๆ แล้วถามว่า “ต่งอวิ๋นซิ่วมิมาด้วยรึ?”“เมื่อครู่นี้คนที่ต่อสู้กับข้าก็คือนางใช่หรือไม่?”เมื่อได้ยินน้ำเสียงเยาะเย้ยของลั่วชิงยวน โหยวเซียงก็โกรธจัด ในใจนางตกใจ ลั่วชิงยวนรู้แล้วหรือว่ามารดาของนางเป็นใคร“สารเลว!”นางบีบคออวี๋โหรวอย่างแรงเพื่อข่มขู่ลั่วชิงยวน “จะคุกเข่าหรือไม่?!”“ลั่วชิงยวน เจ้ามีโอกาสแค่ครั้งเดียว!”“หากเจ้ามิยอมคุกเข่ายอมจำนนแต่โดยดี ข้าจะหักคอนางเดี๋ยวนี้!”กล่าวจบ โหยวเซียงก็ออกแรงบีบบีบจนอวี๋โหรวหาย
ทันทีที่คนใบ้หันมาเห็นจึงรีบเข้ามาย่อตัวลงข้างนางแล้วช่วยประคองนางไว้ลั่วชิงยวนเช็ดเลือดที่มุมปาก ใบหน้าซีดเผือดกว่าเดิม“ข้ามิเป็นอะไร”นางเงยหน้าขึ้นมองอวี๋ตันเฟิ่งที่อยู่กลางอากาศ ในที่สุดจิตวิญญาณของนางก็สมบูรณ์แล้วบนใบหน้าซีดขาวนั้นปรากฏรอยยิ้ม รอยยิ้มนั้นทั้งพึงพอใจและเย่อหยิ่ง“ในที่สุดข้าก็ได้… เป็นอิสระแล้ว! ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า...”อวี๋ตันเฟิ่งหัวเราะลั่น ทำเอาป่าทั้งผืนเกิดพายุโหมกระหน่ำคนใบ้รีบยกมือขึ้นช่วยลั่วชิงยวนปัดป้องฝุ่นและใบไม้ที่ปลิวว่อน......จู่ ๆ ต่งอวิ๋นซิ่วก็กระอักเลือดออกมาเต็มปาก จากนั้นหมดสติล้มลงบนพื้น“ท่านแม่!”โหยวเซียงตกใจ รีบเข้าไปประคองนาง “ท่านแม่! ท่านแม่! ท่านเป็นอะไรไป!”หลังจากตะโกนเรียกอยู่นาน มารดาของนางก็มิฟื้นโหยวเซียงโกรธจนกัดฟันพูด “ลั่วชิงยวน สารเลว!”“เจ้าคอยดูเถอะ!”......ผ่านไปครู่ใหญ่ อวี๋ตันเฟิ่งถึงจะสงบสติอารมณ์ลงได้ลมพายุในป่าก็สงบลงเช่นกันถูหมิงที่อยู่ข้าง ๆ จึงค่อย ๆ ขยับเข้ามาใกล้ฉีเสวี่ยเวยที่ยังคงตกตะลึงมองภาพเหตุการณ์เมื่อครู่ด้วยความมิอยากเชื่อ “เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น?”“ต่อไปพวกเราต้องทำอะไร?”ลั่วชิงยวน
คนของถูหมิงตายไปหมดแล้ว เหลือเพียงฉีเสวี่ยเวยเท่านั้นในขณะที่พวกเขาเดินทางไปยังถ้ำแห่งที่หกในคืนนั้นผลลัพธ์ที่ได้กลับน่าผิดหวังเพราะในถ้ำว่างเปล่า“ดูเหมือนว่าพวกเราจะมาช้าไปก้าวหนึ่ง”ถูหมิงขมวดคิ้ว “เหลืออีกหนึ่งชิ้น ทำอย่างไรดี? หรือว่าความพยายามทั้งหมดของเราจะสูญเปล่า?”พวกเขาวุ่นวายมาหลายวัน เดินทางไปเกือบทั่วทั้งภูเขาแล้วหากสมบัติหายไปเช่นนี้ เขาคงต้องฆ่าสตรีผู้นี้เป็นแน่!ลั่วชิงยวนขมวดคิ้วครุ่นคิด แล้วกล่าวว่า “เหลืออีกหนึ่งชิ้นก็เหลืออีกหนึ่งชิ้น”“หาที่ปลอดภัยก่อน”จากนั้นพวกเขาก็มายังป่าที่ค่อนข้างสะอาด ไม่มีพุ่มไม้หรือวัชพืชหนาแน่นบนพื้นมากนัก ค่อนข้างโปร่งโล่งหีบทั้งห้าใบวางอยู่บนพื้นลั่วชิงยวนกล่าวว่า “เปิดหีบกันเถิด”ทันใดนั้นดวงตาของถูหมิงก็เป็นประกาย “เปิดได้หรือ?”เขาเห็นว่าบนหีบมีแต่อักขระสีเลือดปกคลุมอยู่ จึงยั้งมือไว้หลายครั้งแม้จะอยากเปิดก็ตามเมื่อได้ยินเช่นนี้จึงรีบเปิดหีบทันทีแต่เมื่อเปิดออกแล้ว ร่างกายของเขาก็แข็งทื่อไปศพ?!ทั้งยังเป็นศพที่ถูกชำแหละอีกด้วย?ฉีเสวี่ยเวยก็ตกใจกลัวลั่วชิงยวนกลับสงบสติอารมณ์ สั่งให้โฉวสือชีและคนใบ้ช่วย
“ใครกัน?!”ลั่วชิงยวนหรี่ตาลงเล็กน้อย แล้วตอบเสียงแผ่ว “ซูเซียง”“แต่ตอนนี้ควรเรียกนางว่าโหยวเซียง”“ภารกิจที่พวกเจ้าได้รับก็เป็นเพียงการละเล่นของนางเท่านั้น”“นางต้องการให้พวกเจ้าฆ่ากันเอง”และภารกิจหนังหน้าของหญิงงามที่ฉีเสวี่ยเวยได้รับ ก็คงเป็นการล่อลวงให้ฉีเสวี่ยเวยมาฆ่านางหากสามารถยืมมือคนอื่นฆ่าคนได้ โหยวเซียงก็มิจำเป็นต้องเปิดเผยตัวตนเพียงแต่โหยวเซียงคาดมิถึงว่าฉีเสวี่ยเวยจะฆ่านางมิได้ กระทั่งโหยวเซียงเองก็ฆ่านางมิได้“โหยวเซียงหรือ? นางเป็นคนของเมืองแห่งภูตผีแห่งนี้หรือ?” ฉีเสวี่ยเวยมองนางอย่างมิเชื่อสายตา“มิแปลกใจเลย… นางท้องแก่ถึงเพียงนั้นยังกล้ามาที่นี่ได้”ลั่วชิงยวนเห็นว่าใกล้รุ่งสางแล้ว จึงให้โฉวสือชีแก้เชือกที่มัดฉีเสวี่ยเวยไว้“ข้าจะยังมิฆ่าเจ้าตอนนี้”“มิว่าเรื่องที่เจ้ากล่าวมาจะเป็นจริงหรือไม่ก็มิสำคัญ ข้าก็มิกลัวว่าเจ้าจะไปบอกเรื่องนี้กับถูหมิง”“หากเจ้าไปบอก เรื่องเดียวที่จะเป็นผลเสียต่อพวกข้าก็คือต้องแบกหีบเพิ่มอีกมิกี่ใบ”“เพียงเท่านั้น”มิใช่เรื่องคอขาดบาดตายที่นางทำเป็นร่วมมือกับถูหมิง ก็เพียงต้องการใช้คนของเขาไปขวางทางศพชายที่ถูกผนึกไว้ในถ้ำ
“แม้จะต้องยอมตายไปพร้อมกับถูหมิง ข้าก็ยินดี!”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็ตกตะลึง แต่ก็ยังคงสงสัยอยู่บ้าง“แต่เจ้าสนิทสนมกับถูหมิงถึงเพียงนั้น น่าจะมีโอกาสฆ่าเขาได้นับครั้งมิถ้วน”ฉีเสวี่ยเวยขมวดคิ้วแน่น ดวงตาแดงก่ำ “แท้จริงแล้วคนผู้นั้นระแวดระวังตัวมาก หากมิใช่เพราะต้องการลดความระแวดระวังของเขา ข้ากับชายมากหน้าหลายตาก็คงมิ...”เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ ฉีเสวี่ยเวยก็เม้มริมฝีปากแน่นหลังจากกล้ำกลืนความรู้สึกแล้ว จึงกล่าวต่อ “ในป่าครั้งนั้นเป็นครั้งแรกที่เขาใกล้ชิดข้า เดิมทีตอนนั้นข้ามีโอกาสที่จะฆ่าเขาได้!”“แต่เจ้าปีศาจฝูเหมิ่งนั่นบังเอิญมาขวาง!”“หากมิใช่เพราะเขา ข้าคงทำสำเร็จไปแล้ว!”ฉีเสวี่ยเวยกัดฟันพูด เต็มไปด้วยความเคียดแค้นลั่วชิงยวนรู้สึกประหลาดใจ เมื่อเห็นสีหน้าของฉีเสวี่ยเวย ในดวงตาของนางเต็มไปด้วยความแค้น ดูมิเหมือนคนโกหกทำให้นางเปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อฉีเสวี่ยเวยไปบ้างขณะที่ลั่วชิงยวนยังคงครุ่นคิด ฉีเสวี่ยเวยก็มองมาที่นาง “เจ้ายังมิเชื่อข้าหรือ?”“ขอเพียงเจ้าฆ่าถูหมิงได้ ข้าจะทำทุกอย่างเพื่อเจ้า! ข้าจะบอกสิ่งที่เจ้าอยากรู้ทุกอย่าง!”ลั่วชิงยวนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
ลั่วชิงยวนนอนนิ่งอยู่บนเตียง มิกล้าขยับกายทว่างูตัวนั้นกลับกัดข้อเท้านางอย่างแรงหนึ่งครั้ง จากนั้นก็รีบเลื้อยหนีไปรออยู่ครู่หนึ่ง ฉีเสวี่ยเวยเห็นว่าคนที่นอนอยู่บนเตียงไม่มีความเคลื่อนไหวใด ๆ จึงเปิดประตูเข้ามานางมิอาจมั่นใจได้ว่าพวกคนใบ้จะกลับมาเมื่อใด จึงมิกล้าเสียเวลานานหลังจากปิดประตูอย่างระแวดระวังแล้ว นางก็มายังปลายเตียง จ้องมองข้อเท้าของลั่วชิงยวนอย่างละเอียด ปรากฏว่าถูกงูกัดจริง ๆ นางต้องตายเพราะพิษนี้แน่นอน!ทันใดนั้นเอง ฉีเสวี่ยเวยก็ชักกริชออกมาแล้วเดินไปยังหัวเตียง ค่อย ๆ จรดใบมีดลงบนใบหน้าของลั่วชิงยวนแต่ในพริบตานั้นเอง ลั่วชิงยวนก็ลืมตาขึ้นมาจ้องมองนางด้วยสายตาอาฆาตแค้นฉีเสวี่ยเวยพลันตกใจ แต่ก็มิได้หนีในทันที เพราะนางคิดว่าลั่วชิงยวนโดนพิษงูเข้าไปแล้ว อย่างไรก็ต้องตายอยู่ดีลั่วชิงยวนรีบคว้าข้อมือของฉีเสวี่ยเวยไว้เพื่อแย่งชิงกริชมาจากนางฉีเสวี่ยเวยก็ลงมือโจมตีเช่นกัน เพียงแต่นางคาดมิถึงว่าสตรีผู้นี้ที่ถูกพิษแล้วจะยังมีพละกำลังมากมายถึงเพียงนี้หลังจากทั้งสองต่อสู้กันครู่หนึ่งในห้อง ฉีเสวี่ยเวยก็พ่ายแพ้ ถูกลั่วชิงยวนจับกดไว้บนโต๊ะฉีเสวี่ยเวยตกใจมาก “เจ้า
“แน่นอน”“อีกอย่าง เมื่อหาของเหล่านี้ครบแล้วเมืองแห่งภูตผีทั้งเมืองก็จะเป็นของพวกเรา แล้วยังต้องขึ้นเขาไปเอาของเล็ก ๆ น้อย ๆ นั่นหาปะไร”คำพูดนี้กระตุ้นความโลภในใจของทุกคนที่อยู่ตรงนั้นอย่างมิต้องสงสัยพวกเขาจึงมิลังเลอีกต่อไป รีบติดตามลั่วชิงยวนไปยังเส้นทางเดิมตลอดทางยังมีงูมากมาย ลั่วชิงยวนก็หาสมุนไพรบางชนิดตลอดทางแล้วมอบให้ทุกคนผูกติดไว้บนตัวและทาตามเท้า เพื่อให้กลิ่นของสมุนไพรนั้นช่วยไล่งูดังนั้นการเดินทางของพวกเขาจึงราบรื่นดี เมื่อยามค่ำคืนมาเยือนพวกเขาก็ออกมาจากบ่อน้ำพุร้อนนั้นอีกครั้งพวกเขากลับมายังหมู่บ้านเดิมในช่วงกลางดึกสงัดในหมู่บ้านยังมีอาหารหลงเหลืออยู่ ดังนั้นทุกคนจึงหยุดพักกินอาหารกันก่อนเมื่อฟื้นฟูพละกำลังได้แล้วคนทั้งหมดก็ออกเดินทางต่อมาถึงสุสานเดิม ยามนี้วิญญาณอาฆาตเต็มไปทั่วทั้งภูเขา พลังหยินแผ่ซ่านไปทั่วเมื่อลั่วชิงยวนมาถึงที่แห่งนั้นก็พบว่าปากถ้ำเปิดออกแล้วมีคนกล่าวขึ้นว่า “วันนั้นฝูเหมิ่งก็มาที่นี่!”ลั่วชิงยวนตกใจเล็กน้อยเมื่อเข้าไปในถ้ำแล้ว ภาพที่ปรากฏด้านในนั้นมิเปลี่ยนแปลงมากนัก สิ่งที่เปลี่ยนไปเพียงอย่างเดียวคือโลงศพที่ถูกล่ามโซ่นั้นระเบ
เมื่อได้ยินดังนั้น ความโลภก็ปรากฏในดวงตาของถูหมิง ใครเล่าจะมิปรารถนาสมบัติของเมืองแห่งภูตผี เขาตอบตกลงในทันที “ได้”ลั่วชิงยวนกล่าวต่อว่า “แต่การนำของสิ่งนี้มาจะต้องเผชิญกับอันตรายบ้าง ดังนั้นอาจจะต้องมีคนของเจ้าสละชีวิต”“แต่คนมากก็แบ่งกันได้น้อย คนตายไปบ้างก็มิจำเป็นต้องสนใจความเป็นความตายของพวกเขา”“ความลับนี้ข้าบอกเพียงเจ้าเท่านั้น เจ้าอย่าได้แพร่งพรายให้ผู้ใดรู้เชียว”“โดยเฉพาะฉีเสวี่ยเวย”เมื่อได้ยินดังนั้นถูหมิงก็หันกลับไปมอง แต่ไหนแต่ไรมาเขาก็มิเคยสนใจความเป็นความตายของคนเหล่านั้นอยู่แล้ว“หาได้มีปัญหาไม่!”ถูหมิงรับปากอย่างง่ายดาย แต่ลั่วชิงยวนกลับยังคงระแวดระวัง “ยังมีเรื่องที่ต้องบอกเจ้าอีกอย่าง กองทัพของเมืองแห่งภูตผีถูกพวกข้าปลุกปั่นแล้ว คาดว่าอีกมินานคงไล่ตามมา”“ก่อนที่จะหาของทั้งหกชิ้นพบ อย่าได้คิดที่จะทำสิ่งใดนอกเหนือจากนี้ ท้ายที่สุดแล้ว พวกเราต้องร่วมมือกันต่อสู้กับศัตรู หากถูกพวกมันจับได้คงไม่มีใครมีจุดจบที่ดี”สีหน้าของถูหมิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย มิคาดคิดว่าสตรีผู้นี้จะเก่งกาจมากถึงเพียงนี้ กระทั่งปลุกกองทัพของเมืองแห่งภูตผีขึ้นมาได้ดูเหมือนว่าสิ่งที่นางต้