“หม่อมฉันนำสิ่งนี้มาจากหลิวไท่เฟย ผ้าเช็ดหน้าผืนนี้เป็นของที่ระลึกเพียงสิ่งเดียวจากพระมารดาของท่าน”ฟู่จิ่งหลีถือผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นไว้ในมือ สีหน้าของเขาก็ดูหนักอึ้งอยู่พักนึง จากนั้นเขาก็เก็บผ้าเช็ดหน้าออกแล้วยิ้มอีกครั้ง “ขอบคุณเจ้ามาก”ฟู่จิ่งหลีและฟู่เฉินหวนเริ่มพูดคุยกัน ลั่วชิงยวนจึงลุกขึ้นกลับไปยังห้องของนางก่อนนางกำชับแม่นมเติ้งและจือเฉาให้เฝ้าอยู่นอกประตูอย่าให้ใครเข้ามาได้ นางเปิดดวงแก้วออก ร่างของสตรีผู้นั้นก็ปรากฏขึ้นอย่างช้า ๆ แต่ลั่วชิงยวนกลับไม่ได้ปล่อยนางออกมาอย่างสมบูรณ์ “เจ้าเป็นใคร หลิวไท่เฟยทำสิ่งใดให้เจ้าจงเกลียดจงชังถึงเช่นนี้?”สตรีผู้นั้นพูดอย่างดุร้ายว่า “นางเป็นฆาตกร! ฆาตกร!”“นางฆ่าใคร?”“เสียนเฟย!”เมื่อได้ยินคำตอบนี้ ลั่วชิงยวนก็ผงะ นางขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “นั่นเป็นเพียงความผิดพลาดอย่างมิได้ตั้งใจของพระนาง”เมื่อได้ยินคำพูดนั้น นางก็เริ่มมีอารมณ์และใบหน้าของนางก็ดุร้ายอีกครั้ง “ไร้สาระ! ผิดพลาดโดยมิได้ตั้งใจรึ?! เป็นนางที่ตั้งใจทำ! นางเป็นคนที่ทำร้ายเสียนเฟย!”“ในคืนที่เกิดเหตุการณ์นั้น นางได้นัดหมายกับเสียนเฟยเพื่อไปงานเลี้ยง แต่นางกลับมิปรากฏ
ทันทีที่เขาเห็นภาพนั้น สีหน้าของฟู่จิ่งหลีเปลี่ยนไปอย่างมากเขามองดูนางด้วยความตกใจ “เหตุใดท่านจึงมีภาพเหมือนของนาง?”“ท่านได้ภาพนี้มาได้อย่างไร?”ลั่วชิงยวนรีบถามว่า “เช่นนั้นท่านรู้จักนางหรือไม่?”ฟู่จิ่งหลีขมวดคิ้ว ความคิดของเขาย้อนกลับไปเมื่อนานมาแล้ว จากนั้นเขาจึงพูดขึ้นด้วยเสียงหนักแน่นว่า “เจินหลัน นางเป็นนางรับใช้ข้างกายของท่านแม่ข้า”“ในช่วงที่เกิดกลียุค พระตำหนักของท่านแม่ก็ถูกฟ้าผ่า เป็นนางที่ช่วยข้าไว้จนตัวตาย จากนั้นร่างของนางก็ถูกฝังไปกับทะเลเพลิง”ฟู่จิ่งหลีกล่าวด้วยสีหน้าเจ็บปวดแม้ว่าตอนนั้นเขาจะยังเด็กอยู่ แต่ความทรงจำเหล่านี้ยังคงฝังรากลึกอยู่ในใจของเขาอย่างไม่มีวันเลือนหาย ลั่วชิงยวนตกใจมาก ตัวตนของเจินหลันไม่ใช่เรื่องเท็จ! นางเป็นนางรับใช้ข้างกายมารดาขององค์ชายเจ็ดจริง ๆ เช่นนั้นสิ่งที่นางพูดทั้งหมดก็อาจเป็นความจริง เช่นนั้นหลิวไท่เฟย...“ท่านได้ภาพนี้มาได้เช่นไร นางตายไปหลายปีแล้ว เหตุใดภาพของนางจึงมาอยู่ในมือท่าน?”“ไม่สิ หมึกบนภาพวาดนี้ยังไม่แห้งเลย…”ทันใดนั้น ฟู่จิ่งหลีก็ตระหนักได้ถึงประเด็นสำคัญบางอย่างทันที ลั่วชิงยวนกำลังครุ่นคิดว่าจะอธิบ
“หม่อมฉันรู้สึกว่านางรู้อยู่แล้วว่าหม่อมฉันอยากจะถามอะไร”“หม่อมฉันต้องเข้าไปในพระตำหนักอีกครั้ง”เมื่อฟู่เฉินหวนได้ยินคำพูดนี้ เขาก็ขมวดคิ้ว “เจ้าจะเข้าไปในพระตำหนักคนเดียวรึ? ไม่ได้เด็ดขาด!”เขาปฏิเสธทันทีโดยไม่ต้องคิด สำหรับลั่วชิงยวนแล้ววังหลวงเป็นดั่งทะเลดาบและเปลวเพลิง เขาไม่มีทางที่จะปล่อยให้นางเข้าไปในวังเพียงลำพังแน่ลั่วชิงยวนขมวดคิ้ว “แต่หากท่านอ๋องไปกับหม่อมฉัน หลิวไท่เฟยจะไม่ยอมปริปาก!”ฟู่เฉินหวนพูดอย่างเย็นชาว่า “นั่นก็เป็นไปไม่ได้เช่นกัน เจ้าจะเข้าไปในวังหลวงโดยลำพังมิได้”ลั่วชิงยวนกำลังจะเอ่ยปากพูดฟู่เฉินหวนมองนางอย่างจริงจังแล้วพูดว่า “หากสิ่งที่เจินหลันพูดเป็นความจริง เช่นนั้นเจ้าก็ได้ล่วงรู้ความลับของหลิวไท่เฟยแล้ว พระนางจะยังคงปฏิบัติต่อเจ้าเสมือนแขกผู้มีเกียรติอีกหรือไร?”“วันพรุ่ง ข้าจะเข้าวังไปเข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิ ส่วนเจ้าก็ไปหาหลิวไท่เฟยเถอะ”เขาและคนของเขาทั้งหมดอยู่ในวังแล้ว หากมีอะไรเกิดขึ้น เขาก็จะสามารถไปถึงที่นั่นได้รวดเร็วลั่วชิงยวนพยักหน้า “เพคะ”คงจะดีหากทั้งนางและเขาพูดคุยกันได้เช่นนี้ต่อไป แน่นอนว่านางก็หวงแหนชีวิตของนางเช่นกัน และจะเป
ลั่วชิงยวนสะดุ้งเล็กน้อย เมื่อนางหันกลับมาก็พบว่าเป็นหลิวไท่เฟยที่กำลังยิ้มอยู่ลั่วชิงยวนพยักหน้าเล็กน้อยหลิวไท่เฟยชวนนางไปที่พระตำหนัก “เข้าไปคุยกันข้างในเถอะ”ลั่วชิงยวนมองไปที่สวนหลังพระตำหนักอันเงียบสงบ นางลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงพยักหน้า “เพคะ”ขณะที่นางเดินเข้าไปในพระตำหนัก กลิ่นเลือดก็ยิ่งรุนแรงขึ้นมีรอยเลือดฝังรากลึกอยู่บนพื้นซึ่งเดิมเป็นกองซากปลาที่ถูกผ่าครั้งที่แล้ว ไม่รู้ว่าเป็นเพราะตอนนั้นทำความสะอาดเลือดไม่ทั่วถึงหรือไม่ ในขณะที่เดินผ่านไปนางก็ยังคงได้กลิ่นคาวเลือด นางให้ความสนใจกับท่าทางของหลิวไท่เฟยเป็นพิเศษ แต่กลับไม่มีความผิดปกติใด ๆ ขณะที่นางเดินผ่าน นางไม่รู้ว่าถานสี่อธิบายให้อีกฝ่ายฟังเรื่องที่ปลาเหล่านั้นหายไปแล้วเช่นไรเมื่อเข้ามาในห้อง ความมืดทำให้ลั่วชิงยวนรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย เมื่อมองไปรอบ ๆ นางก็พบว่าหน้าต่างทุกบานถูกปิดไว้ทั้งหมด “หลิวไท่เฟยเพคะ เหตุใดจึงต้องปิดหน้าต่าง?” ลั่วชิงยวนถามด้วยความสับสนหลิวไท่เฟยยิ้มและพูดว่า “บอกตามตรง ห้องนี้เป็นห้องที่ข้าขังตัวเองไว้ยามที่ข้าเสียสติ”ขณะที่หลิวไท่เฟยพูด นางก็ดึงกล่องออกมาจากใต้เตียงซึ่งม
ปฏิกิริยาของหลิวไท่เฟยทำให้ลั่วชิงยวนรู้สึกแปลกใจ สิ่งที่นางพูดหมายถึงอะไร?คิดว่าด้วยคำพูดเหล่านั้นแล้ว นางจะหันไปช่วยหลิวไท่เฟยจัดการกับฟู่เฉินหวนอย่างนั้นหรือ?“หม่อมฉันเชื่อพระนางเพคะ แต่หม่อมฉันมิอาจตัดสินใจได้ว่าควรช่วยใคร หม่อมฉันเพียงอยากรู้ความจริงเกี่ยวกับกลียุคในวังเท่านั้นเพคะ”หลิวไท่เฟยขมวดคิ้วพร้อมกับท่าทีร้อนรน นางลังเลที่จะพูดอยู่หลายครั้ง แต่ท้ายที่สุด นางก็พึมพำคำพูดอย่างฟังไม่ได้ศัพท์ออกมาเท่านั้นดูจากสภาพจิตใจของนางแล้ว นี่นับว่าไม่ปกติเลยจริง ๆ “หลิวไท่เฟยเพคะ?” นางพยายามตะโกนทันใดนั้นหลิวไท่เฟยก็สะดุ้งและมองดูนางด้วยความตกใจ ดวงตาของนางก็เบิกกว้างด้วยความกลัว“เจ้าโกหกข้า! เจ้าไม่เกี่ยวข้องกับกลียุคในวังสักนิด เหตุใดเจ้าจึงอยากรู้ความจริง? นอกจากช่วยฟู่เฉินหวนรวบรวมข้อมูล เจ้าทำสิ่งอื่นใดอีกรึ?”“เจ้าอยากจะบอกเจ้าเจ็ดว่าข้าเป็นผู้ที่ฆ่าแม่ผู้ให้กำเนิดของเขางั้นรึ? เจ้าอยากจะพรากเขาไปจากข้าใช่หรือไม่?”“อ๋องผู้นี้เลวทรามจริง ๆ!”ขณะที่หลิวไท่เฟยพูด ดวงตาของนางก็แดงต่ำ นางเต็มไปด้วยอารมณ์คลุ้มคลั่งจนน้ำตาไหลอาบหน้า ทว่าสายตานางกลับดูดุร้ายผิดปกติ ไม่เ
ผมของลั่วชิงยวนตั้งตระหง่านขณะที่นางมองไปที่หลิวไท่เฟยด้วยความตกใจ “ท่านเป็นบ้าไปแล้วหรือ?!”“ใช่ ข้าบ้าไปแล้ว” หลิวไท่เฟยหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดมีดที่เปื้อนเลือด“พวกนางอยู่กับข้ามาหลายปีแล้ว และเป็นคนที่ข้าไว้วางใจมากที่สุด” นางเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้ม“แล้วท่านก็ฆ่าพวกนางเช่นนั้นหรือ?”หลิวไท่เฟยยิ้มอย่างขมขื่นแล้วพูดว่า “แม้พวกนางจะยังไม่ตายในตอนนี้ แต่สุดท้ายอย่างไรเสียพวกนางก็ต้องตายอยู่ดี หากพวกนางรับใช้ข้า ไม่ช้าก็เร็วพวกนางจะต้องตาย แทนที่จะปล่อยให้พวกนางตายด้วยน้ำมือผู้อื่น ไม่สู้ให้ข้าเป็นผู้ลงมือเองจะดีกว่า ถือเสียว่าส่งพวกนางไปพร้อมเจ้าด้วย”ลั่วชิงยวนขมวดคิ้วแน่นหลิวไท่เฟยเดินเข้ามาหานางช้า ๆ พร้อมกับมองนางด้วยสายตาอันเย็นชา ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงขุ่นเคืองว่า “หากมิใช่เพราะเจ้า พวกนางคงมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกสองสามปีหรืออาจจะมากกว่าสิบปี”“เกี่ยวอันใดกับหม่อมฉัน?” ลั่วชิงยวนต้องการถามสิ่งที่มีประโยชน์มากที่สุด“เพราะเจ้าทำให้ใครบางคนขุ่นเคือง พวกเขาต้องการฆ่าเจ้า เช่นนั้นพวกเขาจึงนึกถึงมีดเล่มนี้ในมือข้า” หลิวไท่เฟยพูดพร้อมมองมีดในมือของนางแล้วยิ้มเยาะลั่วชิงยวนตกตะลึง
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ หลิวไท่เฟยจึงเย้ยหยันกับตัวเองแล้วพูดว่า “พี่สาม? ข้ามิสนพี่สามของเจ้าด้วยซ้ำ หากข้ามิฆ่านาง วันพรุ่งพวกเราทั้งคู่ก็จะต้องตาย!”“จิ่งหลี เจ้ารีบไปจากที่นี่ ข้าเป็นคนฆ่านาง เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอันใดกับเจ้า!”เมื่อพูดจบ หลิวไท่เฟยก็ผลักฟู่จิ่งหลีออกจากห้องทันทีแต่ฟู่จิ่งหลีกลับคว้าไหล่ของหลิวไท่เฟยไว้ด้วยสีหน้าจริงจังเป็นพิเศษ "ไท่เฟย อย่าได้ทำผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่า!"เมื่อได้ยินเช่นนี้ น้ำตาของหลิวไท่เฟยก็ไหลลงมาจากขอบตาทันที ทันใดนั้นนางก็หัวเราะและเช็ดน้ำตา “ได้ ข้าจะทำตามที่เจ้าพูด”“ข้าจะปล่อยนางไปตอนนี้ ข้าจะรับผลที่ตามมาเพียงผู้เดียว”เมื่อพูดอย่างนั้น หลิวไท่เฟยก็เดินไปที่ผนัง นางเปิดภาพวาดออก ก่อนที่จะกดกลไกให้ทำงาน ทว่า ในขณะนั้น ลั่วชิงยวนได้ยินเสียงเครื่องมือเหล็กกำลังเคลื่อนไหวลั่วชิงยวนขมวดคิ้ว นางตะโกนขึ้นทันทีว่า “องค์ชายเจ็ด ระวัง! รีบออกไปเร็ว!”ฟู่จิ่งหลีตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง แต่เขากลับมีเวลาไม่มากพอกลไกถูกเปิดใช้งาน และกรงเหล็กก็ตกลงมาจากด้านบน ปกคลุมร่างฟู่จิ่งหลีไว้ข้างในกรงเหล็กไม่ใหญ่นัก แต่ก็คุมขังคนได้อย่างแน่นหนา ฟู่จิ่งหลีตก
ดวงตาของฟู่จิ่งหลีเบิกกว้างอย่างกังวล “ไม่!”ทว่า ทันทีที่มีดหล่นลง ลั่วชิงยวนก็กัดฟันและฉีกโซ่เหล็กออกอย่างรุนแรง โซ่เส้นนี้เชื่อมต่อตู้เสื้อผ้าจึงไม่ยึดแน่นเท่ากับโซ่เหล็กเส้นอื่น ในขณะที่โซ่เหล็กหลุดออก นางก็ยกโซ่เหล็กเส้นนั้นกั้นมีดของหลิวไท่เฟยไว้ทันทีหลิวไท่เฟยรู้สึกประหลาดใจอย่างมาก นางแทบรอไม่ไหวที่จะฆ่าลั่วชิงยวน นางต้องไม่หนีจากเรื่องนี้!นางต้องต่อสู้เพื่อหาทางออกให้กับองค์ชายเจ็ด!เนื่องจากโซ่เหล็กที่มือขวาของนางเริ่มหลวม ลั่วชิงยวนจึงสามารถขยับร่างกายของนางได้ นางหลบไปด้านข้างเพื่อหลีกเลี่ยงการโจมตีของหลิวไท่เฟย จากนั้นนางจึงจับยันต์ด้วยปลายนิ้วของนางแล้วเรียกเจินหลันเบา ๆ ยันต์นั่นพุ่งโจมตีไปที่กลไกบนผนังทันที และร่างของเจินหลันก็รีบมุ่งหน้าไปที่กำแพงเช่นกัน กลไกส่งเสียงดังคลิกและทุกอย่างก็กลับเป็นดังเดิม ฟู่จิ่งหลีถูกปล่อยตัวเช่นกันในขณะที่หลิวไท่เฟยกระโจนเข้าหาลั่วชิงหยวน นางกลับถูกลั่วชิงยวนถีบออกไป นางพยุงฟู่จิ่งหลีขึ้นมาแล้ววิ่งออกไป “เร็วเข้า”หลิวไท่เฟยซึ่งนอนอยู่บนพื้นเงยหน้าขึ้นแล้วยิ้มอย่างเย็นชา “เจ้าออกไปไม่ได้”ลั่วชิงยวนและฟู่จิ่งหลีกำลั
ลั่วชิงยวนมิแปลกใจ นี่คือวิถีของเฉินชีต่อให้เวินซินถงมิให้นางไป เฉินชีก็จะบังคับพานางไปให้ได้ในเมื่อประสบปัญหาที่ต้องเชิญนักบวชระดับสูงมาแก้ไข หากทำเรื่องนี้สำเร็จก็จะเป็นการสร้างชื่อเสียงให้แก่ลั่วชิงยวน ซึ่งเอื้อประโยชน์ต่อการทวงคืนตำแหน่งนักบวชระดับสูงในภายภาคหน้านี่เป็นสิ่งที่เฉินชีกำลังคิดอยู่......เช้าวันรุ่งขึ้นเวินซินถงมาถึงหน้าเรือนของลั่วชิงยวนนางกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ตามข้าไปตระกูลมู่”“นำสิ่งที่จำเป็นต้องใช้ไปด้วย”กล่าวจบ เวินซินถงก็หันหลังเดินจากไปลั่วชิงยวนยังมิทันได้ถามว่านางควรนำสิ่งใดไป?เพราะสถานการณ์ของตระกูลมู่เป็นเช่นไรนางก็ยังมิรู้อีกทั้งเมื่อก่อนตอนที่นางเป็นนักบวชระดับสูงก็ไม่มีธรรมเนียมเช่นนี้ด้วย จึงมิรู้ว่าควรนำสิ่งใดไปเซี่ยหลิงที่ติดตามอยู่ข้าง ๆ เตือนลั่วชิงยวน “เจ้ามิเคยออกไปกับนักบวชระดับสูง ต้องเตรียมสิ่งใดก็ไปถามจั๋วฉ่างตงเถิด”ลั่วชิงยวนตกตะลึงไปครู่หนึ่งนางหรี่ตาลง นี่จงใจให้นางไปหาจั๋วฉ่างตงให้จั๋วฉ่างตงกลั่นแกล้งนางเพื่อระบายความแค้นให้จั๋วฉ่างตงหรือำร?ลั่วชิงยวนครุ่นคิด แล้วก็ไปหาจั๋วฉ่างตงที่เรือนเมื่อไปถึง จั๋ว
ฝ่ามือที่ตบลงบนใบหน้าทำให้หลานจีล้มลงกับพื้น โลหิตไหลออกจากมุมปาก“ท่านแม่ทัพ!” หลานจีเงยหน้ามองเขาด้วยความตกใจมิรู้เลยว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้เฉินชีจิกผมของนางอย่างรุนแรง กระชากนางให้ลุกขึ้นจากพื้น แล้วบีบใบหน้าของนางด้วยพละกำลังมหาศาลพลางเค้นถามด้วยเสียงดุดัน “เจ้าทำกระไรลงไป?!”“ผู้ใดใช้ให้เจ้าให้ยาแก่นางแล้วปล่อยนางไป?!”หลานจีสับสน หยาดน้ำตาไหลรินด้วยความรู้สึกเสียใจมาก “ท่านแม่ทัพ ข้ามิรู้ว่าท่านกำลังพูดถึงเรื่องใด”“มิใช่ข้าจงใจปล่อยนางไป นางไปเองต่างหากเจ้าค่ะ”“ข้ามิได้ทำอะไรเลย”เฉินชียังคงเต็มไปด้วยโทสะ “เจ้าคิดว่าข้ามิรู้ความคิดเล็ก ๆ น้อย ๆ ของเจ้ารึ!”“ข้าขอเตือนเจ้า หากเจ้ากล้าทำอะไรลับหลังอีกก็ไสหัวไป!”กล่าวจบ เฉินชีก็ปล่อยนางเขาไว้ชีวิตนางอีกครั้งเดิมทีเขาตั้งใจจะมาสังหารหลานจี แต่เมื่อเห็นน้ำตาของนางแล้วกลับรู้สึกราวกับได้เห็นลั่วเหลา จึงยอมไว้ชีวิตนางหลานจีทรุดลงนั่งกับพื้นอย่างหมดเรี่ยวแรง มองแผ่นหลังของเฉินชีที่จากไปด้วยความโกรธพลางร่ำไห้สะอึกสะอื้นนางมิรู้ว่าตนทำสิ่งใดผิดและมิรู้ว่าเหตุใดท่านแม่ทัพจึงมีท่าทีต่อนางเปลี่ยนไปถึงเพียงนี้ทั้งท
เมื่อคำพูดนั้นหลุดออกมา สีหน้าของฟู่เฉินหวนก็เปลี่ยนไปในทันที“กระหม่อมเป็นองครักษ์ข้างกายองค์ชายใหญ่ โปรดอภัยให้กระหม่อมที่มิสามารถทำตามพระบัญชาได้ด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”องค์หญิงผู้นี้ชอบเฉินชี หากเขาติดตามองค์หญิงไปก็คงจะได้พบกับเฉินชีเป็นแน่ มิหนำซ้ำ เกาเหมียวเหมี่ยวก็ช่วยเขาฆ่าเฉินชีมิได้เมื่อถูกเขาปฏิเสธอีกครั้ง สีหน้าของเกาเหมียวเหมี่ยวจึงดูมิดีนักฉินอี้จึงต้องก้าวออกมา “เหมียวเหมี่ยว คนที่คอยคุ้มครองเจ้ายังมิพออีกหรือ?”“ข้างกายพี่ใหญ่มีองครักษ์คนนี้อยู่เพียงคนเดียว เจ้าอย่าแย่งเขาไปเลย”สีหน้าของฉินอี้ดูเหมือนคนจนใจน้ำเสียงของเขาฟังดูน่าสงสารเมื่อเห็นเขาเป็นแบบนี้ เกาเหมียวเหมี่ยวก็มิกล้าที่จะบังคับอีก นางตอบอย่างมิพอใจว่า “ก็ได้”“รอจนกว่าท่านจะมิต้องการเขาแล้ว ค่อยให้หม่อมฉันก็แล้วกัน”“หม่อมฉันค่อนข้างชอบเขา”เกาเหมียวเหมี่ยวพูดพลางมองฟู่เฉินหวน บนใบหน้าของนางมีรอยยิ้มยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกว่าเขาคล้ายกับเฉินชีมิใช่หน้าตาที่เหมือน แต่เป็นอารมณ์เย็นชาหยิ่งผยองและความกล้าหาญที่จะปฏิเสธนางโดยมิแม้แต่จะเสียงสั่นในเมื่อยังมิสามารถทำให้เฉินชีสยบต่อนางได้ในเร็ววัน การ
“ไปเถอะ ข้าจะพาเจ้าไปทำความเข้าใจสถานการณ์”กล่าวจบ เขาก็พาฟู่เฉินหวนเดินไปทว่าระหว่างทางกลับพบเกาเหมียวเหมี่ยวเดินสวนมาพอดีฉินอี้เข้าไปหาด้วยความเป็นห่วง แล้วเอ่ยถาม “เหมียวเหมี่ยว อาการบาดเจ็บของเจ้าหายดีแล้วหรือ?”เกาเหมียวเหมี่ยวตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “บาดแผลเพียงเท่านี้คร่าชีวิตหม่อมฉันมิได้หรอก อีกอย่าง เสด็จพ่อกับเสด็จแม่ประทานยาให้หม่อมฉันมากมาย มิเจ็บปวดแผลแล้ว”ฉินอี้พยักหน้า “บาดแผลของเจ้าหายเร็วได้เช่นนี้ก็เพราะกินน้ำแกงโสมมังกรมาตลอด เจ้าต้องกินทุกวันตามเวลา ร่างกายจะได้แข็งแรงขึ้น!”“เข้าใจแล้ว”เมื่อได้ยินเช่นนี้ ฟู่เฉินหวนก็ดวงตาเป็นประกายน้ำแกงโสมมังกรหรือ?เป็นโสมมังกรชนิดเดียวกับที่หมอหลวงมู่ให้เขากินหรือไม่?สิ่งนี้แม้แต่หมอหลวงมู่ก็มีเพียงชิ้นเดียว มิเคยพบเห็นชิ้นที่สองแต่องค์หญิงแห่งแคว้นหลีกลับได้กินทุกวันเลยหรือ?เขาอดสงสัยมิได้ว่าสองสิ่งนี้เป็นสิ่งเดียวกันจริงหรือไม่หากเป็นเช่นนั้น เขาก็มีโอกาสที่จะมีชีวิตอยู่ต่ออีกหลายเดือน หรือกระทั่งหลายปีเลยมิใช่หรือ?เปลวไฟแห่งความหวังลุกโชนขึ้นในใจของฟู่เฉินหวนฉินอี้เดินจากไปแล้ว แต่ฟู่เฉินหวนยังคงยื
ลั่วชิงยวนยกยิ้มอย่างใจเย็น “องค์ชายใหญ่ใส่ใจเรื่องนี้ถึงเพียงนี้เชียวหรือเพคะ?”ฉินอี้ขมวดคิ้วมุ่น มองนางด้วยสีหน้าจริงจัง “แน่นอน! แท้จริงแล้วเจ้ารู้อะไรกันแน่!”วันนั้นในคุกใต้ดิน เกือบจะได้ฟังคำพูดต่อจากนั้นของลั่วชิงยวนแล้วแต่กลับถูกเฉินชีขัดจังหวะเสียก่อนหลังจากกลับไป เขาก็ครุ่นคิดถึงเรื่องนี้มาโดยตลอดเขาอาจมิใส่ใจเรื่องราวในอดีตได้ แต่นี่เกี่ยวข้องกับอนาคตของเขา! เขาจะมิใส่ใจคงมิได้!ลั่วชิงยวนกลับยกยิ้ม “องค์ชายใหญ่เชื่อจริงจังเลยหรือ?”“วันนั้นหม่อมฉันเพียงต้องการเอาชีวิตรอด จึงพูดจาเหลวไหลไปเท่านั้น”เมื่อคำพูดนี้หลุดออกมา ฉินอี้ก็ตกตะลึงไปทั้งร่างมองนางด้วยความตกใจและโกรธเกรี้ยว “เจ้าว่ากระไรนะ?!”ลั่วชิงยวนเลิกคิ้วขึ้น “หม่อมฉันมิอยากพูดซ้ำสอง”ฉินอี้โกรธจนอยากจะลงมือ แต่ก็อดกลั้นไว้ เขาไม่มีทางต่อกรกับลั่วชิงยวนได้สุดท้ายก็ได้แต่จากไปด้วยความขุ่นเคืองเมื่อเห็นฉินอี้จากไป เงาร่างที่แอบฟังอยู่ก็รีบจากไปเช่นกันอาการของฉินอี้นั้นมีสาเหตุจริง แต่เรื่องนี้ยังมิอาจบอกให้ฉินอี้รู้ได้เพราะมันเป็นเรื่องใหญ่หากพูดออกไป ปัญหาที่นางจะต้องเผชิญจะมิใช่เพียงเรื่องรา
อวี๋โหรวพยักหน้า รีบเช็ดน้ำตา “ขอบคุณ”ลั่วชิงยวนตบไหล่นางเบา ๆ เพื่อปลอบโยนเมื่อสนทนามาถึงตรงนี้ ลั่วชิงยวนจึงถือโอกาสถามอวี๋โหรว “อันที่จริงข้าสงสัยเรื่องนักบวชระดับสูงคนก่อน เจ้าพอจะรู้หรือไม่ว่านางตายอย่างไร?”อวี๋โหรวตกใจเล็กน้อยคาดเดาในใจว่าลั่วชิงยวนคงสอบถามเรื่องนี้เพราะเฉินชีเพราะว่าเฉินชีก็มีใจให้ลั่วเหลาเช่นเดียวกันนางอธิบาย “ไม่มีผู้ใดรู้ว่านางตายอย่างไร”“วันนั้นนางบำเพ็ญเพียรอยู่ที่หอเทียนฉี วันรุ่งขึ้นเมื่อมีคนมาพบก็เหลือเพียงโลหิตกองเต็มพื้น”“บนพื้นยังมีร่องรอยการลากศพด้วย”“แต่ส่งคนออกไปตามหาศพตั้งมากมายก็หามิพบ”“เฉินชีแทบจะพลิกทั่วทั้งวัง แทบจะคลุ้มคลั่งสังหารคนในสำนักนักบวชไปเสียสิ้น”“ยังดีที่จักรพรรดิทรงนำราชองครักษ์เกราะเหล็กมาด้วยพระองค์เอง จึงสามารถควบคุมตัวเฉินชีไว้ได้”“เรื่องการตายของนักบวชระดับสูงนั้นมีการสืบสวนอยู่นาน แต่ก็ไม่มีเบาะแสใด ๆ เบาะแสทั้งหมดหยุดอยู่ที่หอเทียนฉี”“นอกหอเทียนฉีไม่มีร่องรอยใดหลงเหลือ”“นานวันเข้า เรื่องนี้ก็เงียบหายไป”ตามคำบอกเล่าของอวี๋โหรว ลั่วชิงยวนก็หวนนึกถึงคืนนั้นหอเทียนฉีเป็นสถานที่ที่นักบวชระดับสูงจะท
อวี๋โหรวก็ประหลาดใจ นางมิคาดคิดว่าลั่วชิงยวนจะล่วงรู้ความคิดเล็ก ๆ น้อย ๆ ของนาง อีกทั้งยังไปเอาเรื่องจั๋วฉ่างตงเพื่อนางและทำร้ายจั๋วฉ่างตงจนอยู่ในสภาพเช่นนั้นการกระทำของนางคล้ายคลึงกับลั่วเหลาในสมัยก่อนยิ่งนักนางชอบใจมาก“กินยาเสีย” ลั่วชิงยวนรินยาให้อวี๋โหรวเดินเข้าไปดมแล้วก็รู้สึกประหลาดใจ “ในนี้มีบัวถวายผสมด้วยหรือ?”“เจ้ากินไปเถิด”“อาการบาดเจ็บของเจ้าน่าจะทุเลาลงเพราะยานี้”ลั่วชิงยวนกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “อาการบาดเจ็บภายในของเจ้าก็มิได้ดีไปกว่าข้าหรอก รีบกินเสีย”อวี๋โหรวจำต้องยอมดื่มยานั้นลั่วชิงยวนนั่งลงข้าง ๆ รินน้ำชาหนึ่งถ้วย แล้วกล่าวว่า “ต่อไปจั๋วฉ่างตงจะต้องหาเรื่องเจ้าอีกเป็นแน่ เจ้าจะปิดบังตนเองอีกมิได้”“ในเมื่อฝีมือของเจ้าทำให้จั๋วฉ่างตงริษยาได้ เช่นนั้นก็อย่าได้เกรงใจนาง!”“ส่วนทางด้านนักบวชระดับสูง ข้าคิดว่านางคงจะให้ความสำคัญกับผู้ที่มีความสามารถ มิใช่ผู้ที่ประจบสอพลอ”นี่คือความเข้าใจที่ลั่วชิงยวนมีต่อเวินซินถงจั๋วฉ่างตงสามารถเป็นคนสนิทข้างกายของนางได้ ย่อมเป็นเพราะจั๋วฉ่างตงมีฝีมือที่แข็งแกร่งในสำนักนักบวช มิใช่เพราะจั๋วฉ่างตงประจบสอพลอเก่
ลั่วชิงยวนคว้าตัวจั๋วฉ่างตง “คุกเข่าลง! ขอโทษ! รับปากด้วยว่าจะมิรังแกนางอีก!”เมื่อเสียงอันดุดันดังขึ้น ทุกคนต่างตกตะลึงจั๋วฉ่างตงมีหรือจะยินยอม ดวงตาแดงก่ำของนางจ้องมองลั่วชิงยวนอย่างเดือดดาล “สารเลว!”เพียะ!ลั่วชิงยวนตบหน้านางอย่างมิปรานี“ข้ามิรังเกียจที่จะตบเจ้าจนกว่าจะยอม”“ยามนี้ตบหน้ายังทนได้ หากบีบให้ข้าใช้ท่วงท่าอื่น ระวังวรยุทธ์ของเจ้าจะไร้ค่า!”ลั่วชิงยวนข่มขู่ด้วยน้ำเสียงเย็นชาจั๋วฉ่างตงกัดริมฝีปากล่างด้วยความโกรธแค้นและอัปยศอดสูเดิมทีนางเป็นหญิงสาวที่หน้าตางดงาม ทว่ายามนี้กลับถูกลั่วชิงยวนทำร้ายจนยับเยิน แทบจะจำเค้าเดิมมิได้“ข้ามิได้มีความอดทนมากนัก เร็วเข้า!”ยามนี้มีผู้คนมากมายได้ยินเสียงอึกทึกจึงมามุงดูเหตุการณ์น่าตื่นเต้นรวมตัวกันอยู่หน้าประตูเรือนพลางกระซิบกระซาบกัน“ลั่วชิงยวนผู้นี้ช่างกล้าหาญนัก”“จั๋วฉ่างตงไปยั่วโมโหนางอีกแล้วหรือ?”เมื่อได้ยินเสียงจากภายนอก จั๋วฉ่างตงก็แทบจะหลั่งน้ำตา มีผู้คนมากมายมองดูอยู่ นางกลับต้องคุกเข่าขอโทษอวี๋โหรว!ขณะที่ลั่วชิงยวนหมดความอดทนและกำลังจะลงมือจั๋วฉ่างตงก็กลั้นน้ำตาไว้พลางคุกเข่าลง ตรงหน้าอวี๋โหรวอว
จั๋วฉ่างตงเดินออกมาจากห้องนัยน์ตาของลั่วชิงยวนฉายแววมุ่งสังหาร “ที่แท้เจ้าก็มิใช่เต่าหดหัวในกระดองนี่”จั๋วฉ่างตงจ้องมองนางด้วยสีหน้าดุดัน แล้วเดินลงมาอย่างช้า ๆ “ลั่วชิงยวน ข้าขอเตือนให้เจ้าสำรวมตนเสียบ้าง!”กล่าวพลางกวาดสายตามองไปยังคนที่นอนกองอยู่บนพื้น แล้วตวาดเสียงดัง “ปล่อยพวกเขา!”ลั่วชิงยวนบุกเข้ามาทำร้ายคนถึงเรือนของนาง นี่มิใช่การตบหน้านางต่อหน้าธารกำนัลหรอกหรือ!แม้จะพ่ายแพ้ให้แก่ลั่วชิงยวนที่หอรักษ์ดารา แต่ก็มิได้หมายความว่านางจะต้องหวาดกลัวลั่วชิงยวน!ลั่วชิงยวนเตะไปที่คนเหล่านั้น แล้วยอมปล่อยพวกเขาให้เป็นอิสระคนเหล่านั้นกลิ้งตัวลงบนพื้นทีละคนก่อนจะรีบลุกขึ้นยืนอย่างลนลาน หมายจะหลบไปอยู่ด้านหลังจั๋วฉ่างตงทว่าในเวลานี้เอง ริมฝีปากของลั่วชิงยวนก็ยกยิ้มเย็นเยียบ กระโจนเข้าหาจั๋วฉ่างตงอย่างรวดเร็วแล้วใช้มือคว้าจับที่คอเสื้อของนางจั๋วฉ่างตงขัดขืนโดยสัญชาตญาณ แต่นางได้รับบาดเจ็บ จะเป็นสู้ลั่วชิงยวนได้อย่างไรทันใดนั้นก็ถูกลั่วชิงยวนเหวี่ยงลงกับพื้น แล้วตบหน้าอย่างแรงจนผมเผ้าของจั๋วฉ่างตงยุ่งเหยิงขณะที่ตั้งตัวมิทันเสียงฝ่ามือกระทบใบหน้านั้นหนักแน่น เสียงดังสนั