“หม่อมฉันนำสิ่งนี้มาจากหลิวไท่เฟย ผ้าเช็ดหน้าผืนนี้เป็นของที่ระลึกเพียงสิ่งเดียวจากพระมารดาของท่าน”ฟู่จิ่งหลีถือผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นไว้ในมือ สีหน้าของเขาก็ดูหนักอึ้งอยู่พักนึง จากนั้นเขาก็เก็บผ้าเช็ดหน้าออกแล้วยิ้มอีกครั้ง “ขอบคุณเจ้ามาก”ฟู่จิ่งหลีและฟู่เฉินหวนเริ่มพูดคุยกัน ลั่วชิงยวนจึงลุกขึ้นกลับไปยังห้องของนางก่อนนางกำชับแม่นมเติ้งและจือเฉาให้เฝ้าอยู่นอกประตูอย่าให้ใครเข้ามาได้ นางเปิดดวงแก้วออก ร่างของสตรีผู้นั้นก็ปรากฏขึ้นอย่างช้า ๆ แต่ลั่วชิงยวนกลับไม่ได้ปล่อยนางออกมาอย่างสมบูรณ์ “เจ้าเป็นใคร หลิวไท่เฟยทำสิ่งใดให้เจ้าจงเกลียดจงชังถึงเช่นนี้?”สตรีผู้นั้นพูดอย่างดุร้ายว่า “นางเป็นฆาตกร! ฆาตกร!”“นางฆ่าใคร?”“เสียนเฟย!”เมื่อได้ยินคำตอบนี้ ลั่วชิงยวนก็ผงะ นางขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “นั่นเป็นเพียงความผิดพลาดอย่างมิได้ตั้งใจของพระนาง”เมื่อได้ยินคำพูดนั้น นางก็เริ่มมีอารมณ์และใบหน้าของนางก็ดุร้ายอีกครั้ง “ไร้สาระ! ผิดพลาดโดยมิได้ตั้งใจรึ?! เป็นนางที่ตั้งใจทำ! นางเป็นคนที่ทำร้ายเสียนเฟย!”“ในคืนที่เกิดเหตุการณ์นั้น นางได้นัดหมายกับเสียนเฟยเพื่อไปงานเลี้ยง แต่นางกลับมิปรากฏ
ทันทีที่เขาเห็นภาพนั้น สีหน้าของฟู่จิ่งหลีเปลี่ยนไปอย่างมากเขามองดูนางด้วยความตกใจ “เหตุใดท่านจึงมีภาพเหมือนของนาง?”“ท่านได้ภาพนี้มาได้อย่างไร?”ลั่วชิงยวนรีบถามว่า “เช่นนั้นท่านรู้จักนางหรือไม่?”ฟู่จิ่งหลีขมวดคิ้ว ความคิดของเขาย้อนกลับไปเมื่อนานมาแล้ว จากนั้นเขาจึงพูดขึ้นด้วยเสียงหนักแน่นว่า “เจินหลัน นางเป็นนางรับใช้ข้างกายของท่านแม่ข้า”“ในช่วงที่เกิดกลียุค พระตำหนักของท่านแม่ก็ถูกฟ้าผ่า เป็นนางที่ช่วยข้าไว้จนตัวตาย จากนั้นร่างของนางก็ถูกฝังไปกับทะเลเพลิง”ฟู่จิ่งหลีกล่าวด้วยสีหน้าเจ็บปวดแม้ว่าตอนนั้นเขาจะยังเด็กอยู่ แต่ความทรงจำเหล่านี้ยังคงฝังรากลึกอยู่ในใจของเขาอย่างไม่มีวันเลือนหาย ลั่วชิงยวนตกใจมาก ตัวตนของเจินหลันไม่ใช่เรื่องเท็จ! นางเป็นนางรับใช้ข้างกายมารดาขององค์ชายเจ็ดจริง ๆ เช่นนั้นสิ่งที่นางพูดทั้งหมดก็อาจเป็นความจริง เช่นนั้นหลิวไท่เฟย...“ท่านได้ภาพนี้มาได้เช่นไร นางตายไปหลายปีแล้ว เหตุใดภาพของนางจึงมาอยู่ในมือท่าน?”“ไม่สิ หมึกบนภาพวาดนี้ยังไม่แห้งเลย…”ทันใดนั้น ฟู่จิ่งหลีก็ตระหนักได้ถึงประเด็นสำคัญบางอย่างทันที ลั่วชิงยวนกำลังครุ่นคิดว่าจะอธิบ
“หม่อมฉันรู้สึกว่านางรู้อยู่แล้วว่าหม่อมฉันอยากจะถามอะไร”“หม่อมฉันต้องเข้าไปในพระตำหนักอีกครั้ง”เมื่อฟู่เฉินหวนได้ยินคำพูดนี้ เขาก็ขมวดคิ้ว “เจ้าจะเข้าไปในพระตำหนักคนเดียวรึ? ไม่ได้เด็ดขาด!”เขาปฏิเสธทันทีโดยไม่ต้องคิด สำหรับลั่วชิงยวนแล้ววังหลวงเป็นดั่งทะเลดาบและเปลวเพลิง เขาไม่มีทางที่จะปล่อยให้นางเข้าไปในวังเพียงลำพังแน่ลั่วชิงยวนขมวดคิ้ว “แต่หากท่านอ๋องไปกับหม่อมฉัน หลิวไท่เฟยจะไม่ยอมปริปาก!”ฟู่เฉินหวนพูดอย่างเย็นชาว่า “นั่นก็เป็นไปไม่ได้เช่นกัน เจ้าจะเข้าไปในวังหลวงโดยลำพังมิได้”ลั่วชิงยวนกำลังจะเอ่ยปากพูดฟู่เฉินหวนมองนางอย่างจริงจังแล้วพูดว่า “หากสิ่งที่เจินหลันพูดเป็นความจริง เช่นนั้นเจ้าก็ได้ล่วงรู้ความลับของหลิวไท่เฟยแล้ว พระนางจะยังคงปฏิบัติต่อเจ้าเสมือนแขกผู้มีเกียรติอีกหรือไร?”“วันพรุ่ง ข้าจะเข้าวังไปเข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิ ส่วนเจ้าก็ไปหาหลิวไท่เฟยเถอะ”เขาและคนของเขาทั้งหมดอยู่ในวังแล้ว หากมีอะไรเกิดขึ้น เขาก็จะสามารถไปถึงที่นั่นได้รวดเร็วลั่วชิงยวนพยักหน้า “เพคะ”คงจะดีหากทั้งนางและเขาพูดคุยกันได้เช่นนี้ต่อไป แน่นอนว่านางก็หวงแหนชีวิตของนางเช่นกัน และจะเป
ลั่วชิงยวนสะดุ้งเล็กน้อย เมื่อนางหันกลับมาก็พบว่าเป็นหลิวไท่เฟยที่กำลังยิ้มอยู่ลั่วชิงยวนพยักหน้าเล็กน้อยหลิวไท่เฟยชวนนางไปที่พระตำหนัก “เข้าไปคุยกันข้างในเถอะ”ลั่วชิงยวนมองไปที่สวนหลังพระตำหนักอันเงียบสงบ นางลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงพยักหน้า “เพคะ”ขณะที่นางเดินเข้าไปในพระตำหนัก กลิ่นเลือดก็ยิ่งรุนแรงขึ้นมีรอยเลือดฝังรากลึกอยู่บนพื้นซึ่งเดิมเป็นกองซากปลาที่ถูกผ่าครั้งที่แล้ว ไม่รู้ว่าเป็นเพราะตอนนั้นทำความสะอาดเลือดไม่ทั่วถึงหรือไม่ ในขณะที่เดินผ่านไปนางก็ยังคงได้กลิ่นคาวเลือด นางให้ความสนใจกับท่าทางของหลิวไท่เฟยเป็นพิเศษ แต่กลับไม่มีความผิดปกติใด ๆ ขณะที่นางเดินผ่าน นางไม่รู้ว่าถานสี่อธิบายให้อีกฝ่ายฟังเรื่องที่ปลาเหล่านั้นหายไปแล้วเช่นไรเมื่อเข้ามาในห้อง ความมืดทำให้ลั่วชิงยวนรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย เมื่อมองไปรอบ ๆ นางก็พบว่าหน้าต่างทุกบานถูกปิดไว้ทั้งหมด “หลิวไท่เฟยเพคะ เหตุใดจึงต้องปิดหน้าต่าง?” ลั่วชิงยวนถามด้วยความสับสนหลิวไท่เฟยยิ้มและพูดว่า “บอกตามตรง ห้องนี้เป็นห้องที่ข้าขังตัวเองไว้ยามที่ข้าเสียสติ”ขณะที่หลิวไท่เฟยพูด นางก็ดึงกล่องออกมาจากใต้เตียงซึ่งม
ปฏิกิริยาของหลิวไท่เฟยทำให้ลั่วชิงยวนรู้สึกแปลกใจ สิ่งที่นางพูดหมายถึงอะไร?คิดว่าด้วยคำพูดเหล่านั้นแล้ว นางจะหันไปช่วยหลิวไท่เฟยจัดการกับฟู่เฉินหวนอย่างนั้นหรือ?“หม่อมฉันเชื่อพระนางเพคะ แต่หม่อมฉันมิอาจตัดสินใจได้ว่าควรช่วยใคร หม่อมฉันเพียงอยากรู้ความจริงเกี่ยวกับกลียุคในวังเท่านั้นเพคะ”หลิวไท่เฟยขมวดคิ้วพร้อมกับท่าทีร้อนรน นางลังเลที่จะพูดอยู่หลายครั้ง แต่ท้ายที่สุด นางก็พึมพำคำพูดอย่างฟังไม่ได้ศัพท์ออกมาเท่านั้นดูจากสภาพจิตใจของนางแล้ว นี่นับว่าไม่ปกติเลยจริง ๆ “หลิวไท่เฟยเพคะ?” นางพยายามตะโกนทันใดนั้นหลิวไท่เฟยก็สะดุ้งและมองดูนางด้วยความตกใจ ดวงตาของนางก็เบิกกว้างด้วยความกลัว“เจ้าโกหกข้า! เจ้าไม่เกี่ยวข้องกับกลียุคในวังสักนิด เหตุใดเจ้าจึงอยากรู้ความจริง? นอกจากช่วยฟู่เฉินหวนรวบรวมข้อมูล เจ้าทำสิ่งอื่นใดอีกรึ?”“เจ้าอยากจะบอกเจ้าเจ็ดว่าข้าเป็นผู้ที่ฆ่าแม่ผู้ให้กำเนิดของเขางั้นรึ? เจ้าอยากจะพรากเขาไปจากข้าใช่หรือไม่?”“อ๋องผู้นี้เลวทรามจริง ๆ!”ขณะที่หลิวไท่เฟยพูด ดวงตาของนางก็แดงต่ำ นางเต็มไปด้วยอารมณ์คลุ้มคลั่งจนน้ำตาไหลอาบหน้า ทว่าสายตานางกลับดูดุร้ายผิดปกติ ไม่เ
ผมของลั่วชิงยวนตั้งตระหง่านขณะที่นางมองไปที่หลิวไท่เฟยด้วยความตกใจ “ท่านเป็นบ้าไปแล้วหรือ?!”“ใช่ ข้าบ้าไปแล้ว” หลิวไท่เฟยหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดมีดที่เปื้อนเลือด“พวกนางอยู่กับข้ามาหลายปีแล้ว และเป็นคนที่ข้าไว้วางใจมากที่สุด” นางเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้ม“แล้วท่านก็ฆ่าพวกนางเช่นนั้นหรือ?”หลิวไท่เฟยยิ้มอย่างขมขื่นแล้วพูดว่า “แม้พวกนางจะยังไม่ตายในตอนนี้ แต่สุดท้ายอย่างไรเสียพวกนางก็ต้องตายอยู่ดี หากพวกนางรับใช้ข้า ไม่ช้าก็เร็วพวกนางจะต้องตาย แทนที่จะปล่อยให้พวกนางตายด้วยน้ำมือผู้อื่น ไม่สู้ให้ข้าเป็นผู้ลงมือเองจะดีกว่า ถือเสียว่าส่งพวกนางไปพร้อมเจ้าด้วย”ลั่วชิงยวนขมวดคิ้วแน่นหลิวไท่เฟยเดินเข้ามาหานางช้า ๆ พร้อมกับมองนางด้วยสายตาอันเย็นชา ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงขุ่นเคืองว่า “หากมิใช่เพราะเจ้า พวกนางคงมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกสองสามปีหรืออาจจะมากกว่าสิบปี”“เกี่ยวอันใดกับหม่อมฉัน?” ลั่วชิงยวนต้องการถามสิ่งที่มีประโยชน์มากที่สุด“เพราะเจ้าทำให้ใครบางคนขุ่นเคือง พวกเขาต้องการฆ่าเจ้า เช่นนั้นพวกเขาจึงนึกถึงมีดเล่มนี้ในมือข้า” หลิวไท่เฟยพูดพร้อมมองมีดในมือของนางแล้วยิ้มเยาะลั่วชิงยวนตกตะลึง
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ หลิวไท่เฟยจึงเย้ยหยันกับตัวเองแล้วพูดว่า “พี่สาม? ข้ามิสนพี่สามของเจ้าด้วยซ้ำ หากข้ามิฆ่านาง วันพรุ่งพวกเราทั้งคู่ก็จะต้องตาย!”“จิ่งหลี เจ้ารีบไปจากที่นี่ ข้าเป็นคนฆ่านาง เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอันใดกับเจ้า!”เมื่อพูดจบ หลิวไท่เฟยก็ผลักฟู่จิ่งหลีออกจากห้องทันทีแต่ฟู่จิ่งหลีกลับคว้าไหล่ของหลิวไท่เฟยไว้ด้วยสีหน้าจริงจังเป็นพิเศษ "ไท่เฟย อย่าได้ทำผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่า!"เมื่อได้ยินเช่นนี้ น้ำตาของหลิวไท่เฟยก็ไหลลงมาจากขอบตาทันที ทันใดนั้นนางก็หัวเราะและเช็ดน้ำตา “ได้ ข้าจะทำตามที่เจ้าพูด”“ข้าจะปล่อยนางไปตอนนี้ ข้าจะรับผลที่ตามมาเพียงผู้เดียว”เมื่อพูดอย่างนั้น หลิวไท่เฟยก็เดินไปที่ผนัง นางเปิดภาพวาดออก ก่อนที่จะกดกลไกให้ทำงาน ทว่า ในขณะนั้น ลั่วชิงยวนได้ยินเสียงเครื่องมือเหล็กกำลังเคลื่อนไหวลั่วชิงยวนขมวดคิ้ว นางตะโกนขึ้นทันทีว่า “องค์ชายเจ็ด ระวัง! รีบออกไปเร็ว!”ฟู่จิ่งหลีตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง แต่เขากลับมีเวลาไม่มากพอกลไกถูกเปิดใช้งาน และกรงเหล็กก็ตกลงมาจากด้านบน ปกคลุมร่างฟู่จิ่งหลีไว้ข้างในกรงเหล็กไม่ใหญ่นัก แต่ก็คุมขังคนได้อย่างแน่นหนา ฟู่จิ่งหลีตก
ดวงตาของฟู่จิ่งหลีเบิกกว้างอย่างกังวล “ไม่!”ทว่า ทันทีที่มีดหล่นลง ลั่วชิงยวนก็กัดฟันและฉีกโซ่เหล็กออกอย่างรุนแรง โซ่เส้นนี้เชื่อมต่อตู้เสื้อผ้าจึงไม่ยึดแน่นเท่ากับโซ่เหล็กเส้นอื่น ในขณะที่โซ่เหล็กหลุดออก นางก็ยกโซ่เหล็กเส้นนั้นกั้นมีดของหลิวไท่เฟยไว้ทันทีหลิวไท่เฟยรู้สึกประหลาดใจอย่างมาก นางแทบรอไม่ไหวที่จะฆ่าลั่วชิงยวน นางต้องไม่หนีจากเรื่องนี้!นางต้องต่อสู้เพื่อหาทางออกให้กับองค์ชายเจ็ด!เนื่องจากโซ่เหล็กที่มือขวาของนางเริ่มหลวม ลั่วชิงยวนจึงสามารถขยับร่างกายของนางได้ นางหลบไปด้านข้างเพื่อหลีกเลี่ยงการโจมตีของหลิวไท่เฟย จากนั้นนางจึงจับยันต์ด้วยปลายนิ้วของนางแล้วเรียกเจินหลันเบา ๆ ยันต์นั่นพุ่งโจมตีไปที่กลไกบนผนังทันที และร่างของเจินหลันก็รีบมุ่งหน้าไปที่กำแพงเช่นกัน กลไกส่งเสียงดังคลิกและทุกอย่างก็กลับเป็นดังเดิม ฟู่จิ่งหลีถูกปล่อยตัวเช่นกันในขณะที่หลิวไท่เฟยกระโจนเข้าหาลั่วชิงหยวน นางกลับถูกลั่วชิงยวนถีบออกไป นางพยุงฟู่จิ่งหลีขึ้นมาแล้ววิ่งออกไป “เร็วเข้า”หลิวไท่เฟยซึ่งนอนอยู่บนพื้นเงยหน้าขึ้นแล้วยิ้มอย่างเย็นชา “เจ้าออกไปไม่ได้”ลั่วชิงยวนและฟู่จิ่งหลีกำลั
“เจ้ารีบอะไรนักหนา รอมาตั้งนานแล้ว รออีกสักหน่อยจะเป็นกระไร”เมื่อได้ยินดังนั้น อวี๋ตันเฟิ่งก็หยุดมือลั่วชิงยวนเดินเข้าไปคว้าตัวโหยวเซียงไว้ให้โฉวสือชีมัดนางไว้แน่นหนา จากนั้นจึงปลุกโหยวเซียงให้ฟื้นขึ้นมาเมื่อฟื้นคืนสติ โหยวเซียงก็จ้องหน้าลั่วชิงยวนเขม็งอย่างโกรธแค้น “เจ้ากล้าจับข้า เจ้าคอยดูเถอะว่าจะตายอย่างไร!”ลั่วชิงยวนย่อตัวลงนั่งตรงหน้านาง แล้วหัวเราะเบา ๆ “ใช่แล้ว ใครจะกล้าแตะต้องคุณหนูใหญ่เมืองแห่งภูตผีเล่า”“น่าเสียดาย เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้ บิดามารดาของเจ้าไปปล้นเขามา มิใช่ของพวกเขามาแต่เดิม ย่อมมิใช่ของเจ้าเช่นกัน”“ถึงเวลาคืนเจ้าของตัวจริงแล้ว”โหยวเซียงจ้องเขม็งนางอย่างโกรธแค้น “เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไร! เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้เป็นของบิดามารดาข้ามาแต่เดิม!”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็ประหลาดใจ “หรือว่าต่งอวิ๋นซิ่วมิได้บอกความจริงแก่เจ้า”“ก็ถูกแล้ว เรื่องน่าอับอายเช่นนี้ นางจะบอกลูกสาวได้อย่างไร”“เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้มิใช่เพียงถูกบิดามารดาเจ้ายึดมาเท่านั้น แต่ยังใช้วิธีการที่น่ารังเกียจในการยึดครองด้วย!”“เดาว่าจนถึงตอนนี้เจ้าก็คงยังมิรู้เลยว่าศัตรูของเจ้าคือผ
โหยวเซียงกัดฟันพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบลั่วชิงยวนมองไปที่อวี๋โหรว หลายวันมานี้อวี๋โหรวผอมซูบไปมาก“เจ้าจับตัวอวี๋โหรวมาเพื่อล่อข้ามาที่นี่รึ?”ลั่วชิงยวนหรี่ตามองโหยวเซียง“แต่เจ้ามิน่าจะมีความสามารถพอที่จะพาอวี๋โหรวออกจากวังหลวงไปได้”“เวินซินถงเป็นคนทำใช่หรือไม่?”“เจ้าทำข้อตกลงอะไรกับนางไว้?”โหยวเซียงหัวเราะเยาะ “อยากรู้รึ?”“คุกเข่าอ้อนวอนข้าสิ”“เจ้าอ้อนวอนข้า ข้าถึงจะบอกเจ้าว่าผู้ใดจับตัวอวี๋โหรวมา และผู้ใดร่วมมือกับข้าวางแผนให้เจ้ามาที่เมืองแห่งภูตผี”ลั่วชิงยวนมองท่าทีหยิ่งยโสของโหยวเซียงแล้วก็อดมิได้ที่จะหัวเราะเบา ๆ นางกวาดสายตามองไปรอบ ๆ แล้วถามว่า “ต่งอวิ๋นซิ่วมิมาด้วยรึ?”“เมื่อครู่นี้คนที่ต่อสู้กับข้าก็คือนางใช่หรือไม่?”เมื่อได้ยินน้ำเสียงเยาะเย้ยของลั่วชิงยวน โหยวเซียงก็โกรธจัด ในใจนางตกใจ ลั่วชิงยวนรู้แล้วหรือว่ามารดาของนางเป็นใคร“สารเลว!”นางบีบคออวี๋โหรวอย่างแรงเพื่อข่มขู่ลั่วชิงยวน “จะคุกเข่าหรือไม่?!”“ลั่วชิงยวน เจ้ามีโอกาสแค่ครั้งเดียว!”“หากเจ้ามิยอมคุกเข่ายอมจำนนแต่โดยดี ข้าจะหักคอนางเดี๋ยวนี้!”กล่าวจบ โหยวเซียงก็ออกแรงบีบบีบจนอวี๋โหรวหาย
ทันทีที่คนใบ้หันมาเห็นจึงรีบเข้ามาย่อตัวลงข้างนางแล้วช่วยประคองนางไว้ลั่วชิงยวนเช็ดเลือดที่มุมปาก ใบหน้าซีดเผือดกว่าเดิม“ข้ามิเป็นอะไร”นางเงยหน้าขึ้นมองอวี๋ตันเฟิ่งที่อยู่กลางอากาศ ในที่สุดจิตวิญญาณของนางก็สมบูรณ์แล้วบนใบหน้าซีดขาวนั้นปรากฏรอยยิ้ม รอยยิ้มนั้นทั้งพึงพอใจและเย่อหยิ่ง“ในที่สุดข้าก็ได้… เป็นอิสระแล้ว! ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า...”อวี๋ตันเฟิ่งหัวเราะลั่น ทำเอาป่าทั้งผืนเกิดพายุโหมกระหน่ำคนใบ้รีบยกมือขึ้นช่วยลั่วชิงยวนปัดป้องฝุ่นและใบไม้ที่ปลิวว่อน......จู่ ๆ ต่งอวิ๋นซิ่วก็กระอักเลือดออกมาเต็มปาก จากนั้นหมดสติล้มลงบนพื้น“ท่านแม่!”โหยวเซียงตกใจ รีบเข้าไปประคองนาง “ท่านแม่! ท่านแม่! ท่านเป็นอะไรไป!”หลังจากตะโกนเรียกอยู่นาน มารดาของนางก็มิฟื้นโหยวเซียงโกรธจนกัดฟันพูด “ลั่วชิงยวน สารเลว!”“เจ้าคอยดูเถอะ!”......ผ่านไปครู่ใหญ่ อวี๋ตันเฟิ่งถึงจะสงบสติอารมณ์ลงได้ลมพายุในป่าก็สงบลงเช่นกันถูหมิงที่อยู่ข้าง ๆ จึงค่อย ๆ ขยับเข้ามาใกล้ฉีเสวี่ยเวยที่ยังคงตกตะลึงมองภาพเหตุการณ์เมื่อครู่ด้วยความมิอยากเชื่อ “เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น?”“ต่อไปพวกเราต้องทำอะไร?”ลั่วชิงยวน
คนของถูหมิงตายไปหมดแล้ว เหลือเพียงฉีเสวี่ยเวยเท่านั้นในขณะที่พวกเขาเดินทางไปยังถ้ำแห่งที่หกในคืนนั้นผลลัพธ์ที่ได้กลับน่าผิดหวังเพราะในถ้ำว่างเปล่า“ดูเหมือนว่าพวกเราจะมาช้าไปก้าวหนึ่ง”ถูหมิงขมวดคิ้ว “เหลืออีกหนึ่งชิ้น ทำอย่างไรดี? หรือว่าความพยายามทั้งหมดของเราจะสูญเปล่า?”พวกเขาวุ่นวายมาหลายวัน เดินทางไปเกือบทั่วทั้งภูเขาแล้วหากสมบัติหายไปเช่นนี้ เขาคงต้องฆ่าสตรีผู้นี้เป็นแน่!ลั่วชิงยวนขมวดคิ้วครุ่นคิด แล้วกล่าวว่า “เหลืออีกหนึ่งชิ้นก็เหลืออีกหนึ่งชิ้น”“หาที่ปลอดภัยก่อน”จากนั้นพวกเขาก็มายังป่าที่ค่อนข้างสะอาด ไม่มีพุ่มไม้หรือวัชพืชหนาแน่นบนพื้นมากนัก ค่อนข้างโปร่งโล่งหีบทั้งห้าใบวางอยู่บนพื้นลั่วชิงยวนกล่าวว่า “เปิดหีบกันเถิด”ทันใดนั้นดวงตาของถูหมิงก็เป็นประกาย “เปิดได้หรือ?”เขาเห็นว่าบนหีบมีแต่อักขระสีเลือดปกคลุมอยู่ จึงยั้งมือไว้หลายครั้งแม้จะอยากเปิดก็ตามเมื่อได้ยินเช่นนี้จึงรีบเปิดหีบทันทีแต่เมื่อเปิดออกแล้ว ร่างกายของเขาก็แข็งทื่อไปศพ?!ทั้งยังเป็นศพที่ถูกชำแหละอีกด้วย?ฉีเสวี่ยเวยก็ตกใจกลัวลั่วชิงยวนกลับสงบสติอารมณ์ สั่งให้โฉวสือชีและคนใบ้ช่วย
“ใครกัน?!”ลั่วชิงยวนหรี่ตาลงเล็กน้อย แล้วตอบเสียงแผ่ว “ซูเซียง”“แต่ตอนนี้ควรเรียกนางว่าโหยวเซียง”“ภารกิจที่พวกเจ้าได้รับก็เป็นเพียงการละเล่นของนางเท่านั้น”“นางต้องการให้พวกเจ้าฆ่ากันเอง”และภารกิจหนังหน้าของหญิงงามที่ฉีเสวี่ยเวยได้รับ ก็คงเป็นการล่อลวงให้ฉีเสวี่ยเวยมาฆ่านางหากสามารถยืมมือคนอื่นฆ่าคนได้ โหยวเซียงก็มิจำเป็นต้องเปิดเผยตัวตนเพียงแต่โหยวเซียงคาดมิถึงว่าฉีเสวี่ยเวยจะฆ่านางมิได้ กระทั่งโหยวเซียงเองก็ฆ่านางมิได้“โหยวเซียงหรือ? นางเป็นคนของเมืองแห่งภูตผีแห่งนี้หรือ?” ฉีเสวี่ยเวยมองนางอย่างมิเชื่อสายตา“มิแปลกใจเลย… นางท้องแก่ถึงเพียงนั้นยังกล้ามาที่นี่ได้”ลั่วชิงยวนเห็นว่าใกล้รุ่งสางแล้ว จึงให้โฉวสือชีแก้เชือกที่มัดฉีเสวี่ยเวยไว้“ข้าจะยังมิฆ่าเจ้าตอนนี้”“มิว่าเรื่องที่เจ้ากล่าวมาจะเป็นจริงหรือไม่ก็มิสำคัญ ข้าก็มิกลัวว่าเจ้าจะไปบอกเรื่องนี้กับถูหมิง”“หากเจ้าไปบอก เรื่องเดียวที่จะเป็นผลเสียต่อพวกข้าก็คือต้องแบกหีบเพิ่มอีกมิกี่ใบ”“เพียงเท่านั้น”มิใช่เรื่องคอขาดบาดตายที่นางทำเป็นร่วมมือกับถูหมิง ก็เพียงต้องการใช้คนของเขาไปขวางทางศพชายที่ถูกผนึกไว้ในถ้ำ
“แม้จะต้องยอมตายไปพร้อมกับถูหมิง ข้าก็ยินดี!”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็ตกตะลึง แต่ก็ยังคงสงสัยอยู่บ้าง“แต่เจ้าสนิทสนมกับถูหมิงถึงเพียงนั้น น่าจะมีโอกาสฆ่าเขาได้นับครั้งมิถ้วน”ฉีเสวี่ยเวยขมวดคิ้วแน่น ดวงตาแดงก่ำ “แท้จริงแล้วคนผู้นั้นระแวดระวังตัวมาก หากมิใช่เพราะต้องการลดความระแวดระวังของเขา ข้ากับชายมากหน้าหลายตาก็คงมิ...”เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ ฉีเสวี่ยเวยก็เม้มริมฝีปากแน่นหลังจากกล้ำกลืนความรู้สึกแล้ว จึงกล่าวต่อ “ในป่าครั้งนั้นเป็นครั้งแรกที่เขาใกล้ชิดข้า เดิมทีตอนนั้นข้ามีโอกาสที่จะฆ่าเขาได้!”“แต่เจ้าปีศาจฝูเหมิ่งนั่นบังเอิญมาขวาง!”“หากมิใช่เพราะเขา ข้าคงทำสำเร็จไปแล้ว!”ฉีเสวี่ยเวยกัดฟันพูด เต็มไปด้วยความเคียดแค้นลั่วชิงยวนรู้สึกประหลาดใจ เมื่อเห็นสีหน้าของฉีเสวี่ยเวย ในดวงตาของนางเต็มไปด้วยความแค้น ดูมิเหมือนคนโกหกทำให้นางเปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อฉีเสวี่ยเวยไปบ้างขณะที่ลั่วชิงยวนยังคงครุ่นคิด ฉีเสวี่ยเวยก็มองมาที่นาง “เจ้ายังมิเชื่อข้าหรือ?”“ขอเพียงเจ้าฆ่าถูหมิงได้ ข้าจะทำทุกอย่างเพื่อเจ้า! ข้าจะบอกสิ่งที่เจ้าอยากรู้ทุกอย่าง!”ลั่วชิงยวนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
ลั่วชิงยวนนอนนิ่งอยู่บนเตียง มิกล้าขยับกายทว่างูตัวนั้นกลับกัดข้อเท้านางอย่างแรงหนึ่งครั้ง จากนั้นก็รีบเลื้อยหนีไปรออยู่ครู่หนึ่ง ฉีเสวี่ยเวยเห็นว่าคนที่นอนอยู่บนเตียงไม่มีความเคลื่อนไหวใด ๆ จึงเปิดประตูเข้ามานางมิอาจมั่นใจได้ว่าพวกคนใบ้จะกลับมาเมื่อใด จึงมิกล้าเสียเวลานานหลังจากปิดประตูอย่างระแวดระวังแล้ว นางก็มายังปลายเตียง จ้องมองข้อเท้าของลั่วชิงยวนอย่างละเอียด ปรากฏว่าถูกงูกัดจริง ๆ นางต้องตายเพราะพิษนี้แน่นอน!ทันใดนั้นเอง ฉีเสวี่ยเวยก็ชักกริชออกมาแล้วเดินไปยังหัวเตียง ค่อย ๆ จรดใบมีดลงบนใบหน้าของลั่วชิงยวนแต่ในพริบตานั้นเอง ลั่วชิงยวนก็ลืมตาขึ้นมาจ้องมองนางด้วยสายตาอาฆาตแค้นฉีเสวี่ยเวยพลันตกใจ แต่ก็มิได้หนีในทันที เพราะนางคิดว่าลั่วชิงยวนโดนพิษงูเข้าไปแล้ว อย่างไรก็ต้องตายอยู่ดีลั่วชิงยวนรีบคว้าข้อมือของฉีเสวี่ยเวยไว้เพื่อแย่งชิงกริชมาจากนางฉีเสวี่ยเวยก็ลงมือโจมตีเช่นกัน เพียงแต่นางคาดมิถึงว่าสตรีผู้นี้ที่ถูกพิษแล้วจะยังมีพละกำลังมากมายถึงเพียงนี้หลังจากทั้งสองต่อสู้กันครู่หนึ่งในห้อง ฉีเสวี่ยเวยก็พ่ายแพ้ ถูกลั่วชิงยวนจับกดไว้บนโต๊ะฉีเสวี่ยเวยตกใจมาก “เจ้า
“แน่นอน”“อีกอย่าง เมื่อหาของเหล่านี้ครบแล้วเมืองแห่งภูตผีทั้งเมืองก็จะเป็นของพวกเรา แล้วยังต้องขึ้นเขาไปเอาของเล็ก ๆ น้อย ๆ นั่นหาปะไร”คำพูดนี้กระตุ้นความโลภในใจของทุกคนที่อยู่ตรงนั้นอย่างมิต้องสงสัยพวกเขาจึงมิลังเลอีกต่อไป รีบติดตามลั่วชิงยวนไปยังเส้นทางเดิมตลอดทางยังมีงูมากมาย ลั่วชิงยวนก็หาสมุนไพรบางชนิดตลอดทางแล้วมอบให้ทุกคนผูกติดไว้บนตัวและทาตามเท้า เพื่อให้กลิ่นของสมุนไพรนั้นช่วยไล่งูดังนั้นการเดินทางของพวกเขาจึงราบรื่นดี เมื่อยามค่ำคืนมาเยือนพวกเขาก็ออกมาจากบ่อน้ำพุร้อนนั้นอีกครั้งพวกเขากลับมายังหมู่บ้านเดิมในช่วงกลางดึกสงัดในหมู่บ้านยังมีอาหารหลงเหลืออยู่ ดังนั้นทุกคนจึงหยุดพักกินอาหารกันก่อนเมื่อฟื้นฟูพละกำลังได้แล้วคนทั้งหมดก็ออกเดินทางต่อมาถึงสุสานเดิม ยามนี้วิญญาณอาฆาตเต็มไปทั่วทั้งภูเขา พลังหยินแผ่ซ่านไปทั่วเมื่อลั่วชิงยวนมาถึงที่แห่งนั้นก็พบว่าปากถ้ำเปิดออกแล้วมีคนกล่าวขึ้นว่า “วันนั้นฝูเหมิ่งก็มาที่นี่!”ลั่วชิงยวนตกใจเล็กน้อยเมื่อเข้าไปในถ้ำแล้ว ภาพที่ปรากฏด้านในนั้นมิเปลี่ยนแปลงมากนัก สิ่งที่เปลี่ยนไปเพียงอย่างเดียวคือโลงศพที่ถูกล่ามโซ่นั้นระเบ
เมื่อได้ยินดังนั้น ความโลภก็ปรากฏในดวงตาของถูหมิง ใครเล่าจะมิปรารถนาสมบัติของเมืองแห่งภูตผี เขาตอบตกลงในทันที “ได้”ลั่วชิงยวนกล่าวต่อว่า “แต่การนำของสิ่งนี้มาจะต้องเผชิญกับอันตรายบ้าง ดังนั้นอาจจะต้องมีคนของเจ้าสละชีวิต”“แต่คนมากก็แบ่งกันได้น้อย คนตายไปบ้างก็มิจำเป็นต้องสนใจความเป็นความตายของพวกเขา”“ความลับนี้ข้าบอกเพียงเจ้าเท่านั้น เจ้าอย่าได้แพร่งพรายให้ผู้ใดรู้เชียว”“โดยเฉพาะฉีเสวี่ยเวย”เมื่อได้ยินดังนั้นถูหมิงก็หันกลับไปมอง แต่ไหนแต่ไรมาเขาก็มิเคยสนใจความเป็นความตายของคนเหล่านั้นอยู่แล้ว“หาได้มีปัญหาไม่!”ถูหมิงรับปากอย่างง่ายดาย แต่ลั่วชิงยวนกลับยังคงระแวดระวัง “ยังมีเรื่องที่ต้องบอกเจ้าอีกอย่าง กองทัพของเมืองแห่งภูตผีถูกพวกข้าปลุกปั่นแล้ว คาดว่าอีกมินานคงไล่ตามมา”“ก่อนที่จะหาของทั้งหกชิ้นพบ อย่าได้คิดที่จะทำสิ่งใดนอกเหนือจากนี้ ท้ายที่สุดแล้ว พวกเราต้องร่วมมือกันต่อสู้กับศัตรู หากถูกพวกมันจับได้คงไม่มีใครมีจุดจบที่ดี”สีหน้าของถูหมิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย มิคาดคิดว่าสตรีผู้นี้จะเก่งกาจมากถึงเพียงนี้ กระทั่งปลุกกองทัพของเมืองแห่งภูตผีขึ้นมาได้ดูเหมือนว่าสิ่งที่นางต้