ลั่วชิงยวนตัวแข็งทื่อ วาจาต่ำช้าน่ารังเกียจเหล่านั้นทำให้นางรู้สึกโมโหเสียจนมิอาจสะกดกลั้นอีกต่อไปแล้ว ฟู่เฉินหวนเองก็พลันขมวดคิ้วขึ้นมาทันทีแล้วเอ่ยน้ำเสียงเย็นชาขึ้นมาว่า “ใต้เท้าหลิว” ฟู่เฉินหวนมีสีหน้าไม่พอใจ เมื่อใต้เท้าหลิวสังเกตเห็นเข้าก็รีบลุกขึ้นตะโกนว่า “นี่ วันนี้แม่นางฝูเสวี่ยมาเป็นแขกผู้ทรงเกียรติของพวกเรา นับเป็นเรื่องหาได้ยากยิ่งที่จะเชิญนางมาร่ายรำให้พวกท่านได้ชมดู อย่าได้ล้อเล่นจนสร้างความอับอายให้แก่แม่นางฝูเสวี่ยอีกเลย!” จากนั้นเสียงดนตรีก็บรรเลงต่อไป ลั่วชิงยวนกำหมัดแน่นแล้วมองฟู่เฉินหวนจากระยะไกล สายตาทิ่มแทงของนางทำให้ฟู่เฉินหวนรู้สึกอึดอัดจนต้องยกจอกสุราขึ้นดื่มอึกหนึ่ง นางสามารถร่ายรำในหอนางโลมได้ แต่ไฉนจึงร่ายรำที่นี่มิได้? ฟู่เฉินหวนเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันและแววตากลับเย็นชา ในที่สุดลั่วชิงยวนก็มาถึงขั้นนี้แล้ว ร่างกายของนางจดจำทุกท่วงทำนองและการเคลื่อนไหวได้อย่างแม่นยำ ต่อให้ลิ่นฝูเสวี่ยมิได้อยู่ด้วยนางก็สามารถร่ายรำได้สมบูรณ์แบบ ทว่าเรื่องนี้ก็ทำให้นางเข้าใจว่าตนมิใช่ลิ่นฝูเสวี่ย ย่อมมิอาจเปี่ยมเสน่ห์เย้ายวนใจดังเช่นอีกฝ่าย ก่อนที่เสียงดนตรีจะ
ถึงกระนั้นบุรุษพวกนั้นก็รู้สึกตื่นเต้นสุดขีด อันที่จริงผู้ที่มาในวันนี้ต่างคละเคล้ากันไป บางคนก็สุภาพอ่อนน้อมและบางคนก็คิดจะเข้าใกล้นาง ทว่าหามีผู้ใดเป็นดังเช่นแม่ทัพสวี่ กระทั่งถึงทีของแม่ทัพสวี่ เขาก็ยกจอกสุราพลางรีบลุกขึ้นแล้วคว้าข้อมือของลั่วชิงยวน “แม่นางฝูเสวี่ย มาแลกกันดื่มเถอะ” “ปล่อยข้านะ!” น้ำเสียงของลั่วชิงยวนกรุ่นโกรธขึ้นมาบ้างแล้ว แต่แม่ทัพสวี่กลับจับข้อมือของนางเอาไว้แน่นมิยอมปล่อย “แม่นางฝูเสวี่ย ในเมื่อเจ้าอยู่ที่นี่แล้ว ดื่มสักจอกก็คงไม่เสียหายหรอกกระมัง” แม่ทัพสวี่ยิ้มเยาะฉายแววสัปดน ลั่วชิงยวนอดรนทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว นางกระแทกจอกสุราลงบนโต๊ะพลางรีบชักมีดสั้นออกมาจากแขนเสื้อ จากนั้นก็วาดผ่านอย่างว่องไว ถึงแม่ทัพสวี่จะตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว แต่มีดสั้นคมกริบก็ยังถากเข้าตรงลำคอจนทิ้งรอยเลือดเอาไว้ แม่ทัพสวี่หวาดกลัวเสียสีหน้าซีดขาวจวนจะล้มลงไปอยู่แล้ว หลังจากมีคนคอยประคองเอาไว้ เขาก็โมโหจนตัวสั่นพลางกล่าวว่า “เจ้า! เจ้ากล้าดีอย่างไรมาสังหารคน?!” “ใครก็ได้ จับตัวนางมาให้ข้า” ลั่วชิงยวนกำมีดสั้นเอาไว้แน่น จากนั้นนางก็ข่มกลั้นโทสะแล้วหันไปมองท่านอ๋องผู
ลั่วชิงยวนรู้สึกตื่นตกใจอยู่บ้าง ฮูหยินของใต้เท้าหลิว ก่อนหน้านี้นางเคยได้ยินซิ่งอวี่เล่าให้ฟังว่าฮูหยินของใต้เท้าหลิวเป็นคนเข้มงวดยิ่งนัก เขาจึงมิกล้าไปที่หอนางโลมอย่างโจ่งแจ้ง เขามักจะสั่งให้ผู้ใดสักคนส่งตัวแม่นางมาที่จวนอยู่เสมอ วันนี้ใต้เท้าหลิวจัดงานเลี้ยงใหญ่ขึ้นในจวนและเชิญฝูเสวี่ยมาร่ายรำเป็นพิเศษ ฮูหยินผู้นี้น่าจะมาคิดบัญชีกับนางเป็นแน่ ชั่วครู่ต่อมา ประตูก็โดนถีบให้เปิดออก ฮูหยินหลิวบุกเข้ามาในห้องด้วยท่าทีคุกคาม สายตาของอีกฝ่ายที่คมกริบราวกับมีดจับจ้องมาที่นาง “เจ้าคือนังจิ้งจอกน้อยจากหอฝูเสวี่ยใช่หรือไม่?!” ฮูหยินหลิวมีโหนกแก้มสูง ใบหน้าเรียวเล็ก และสายตามุ่งร้ายอันเด่นชัดก็แฝงไปด้วยแววอำมหิต อีกฝ่ายมิใช่ผู้ที่จะรับมือได้ง่าย ๆ เลย ฮูหยินหลิวก้าวเดินเข้ามาคว้าไหล่ของลั่วชิงยวน อีกฝ่ายพยายามออกแรงกระชากหน้ากากบนใบหน้าของนาง เพราะหมายจะกรีดหน้านางโดยแท้จริง “นางสารเลว! เจ้าหารู้ไม่ว่าจวนตระกูลหลิวของข้าเป็นสถานที่ใด กล้าดีอย่างไรถึงได้เข้ามาที่นี่?” ลั่วชิงยวนคว้าข้อมือของฮูหยินหลิวเอาไว้แน่น ทำให้ฮูหยินหลิวเจ็บเสียจนต้องร้องออกมา “หยุดนะนางสารเลว! ปล่อยข้
“เจ้าค่ะ” ฮูหยินหลิวเหลือบมองลั่วชิงยวนที่อยู่บนพื้นแล้วหันหลังจากไป เมื่อฮูหยินหลิวออกไปพร้อมปิดประตูทิ้งท้าย แสงสว่างที่เหลืออยู่ในดวงตาของลั่วชิงยวนก็ค่อย ๆ หายไป จากนั้นนางก็ถูกปกคลุมไปด้วยความรู้สึกบีบคั้น เงาร่างของใต้เท้าหลิวค่อย ๆ ใกล้เข้ามาแล้วโน้มใบหน้าใหญ่โตลงมามองนาง รอยยิ้มเยาะโฉดชั่วบนใบหน้าของเขาชวนให้รู้สึกกระดูกสันหลังสั่นสะท้าน ความหวาดกลัวเกาะกุมจิตใจของนางขึ้นมาทันที “ไม่ว่าเขาจะหยิ่งยโสเพียงใด สุดท้ายเจ้าก็ตกอยู่ในเงื้อมมือของข้ามิใช่หรือไร? หามีสตรีนางใดในเมืองหลวงที่ข้าจะมิได้มาไม่" หลิวหม่านยิ้มพลางเอื้อมมือออกมาสัมผัสหน้ากากบนใบหน้าของนาง ลั่วชิงยวนพยายามกระถดถอยเพราะคิดจะหลบเลี่ยงเขา สิ่งนี้ทำให้หลิวหม่านแหงนหน้าแล้วหัวเราะ “อย่าห่วงไปเลย ข้ามิถอดหน้ากากของเจ้าหรอก หน้ากากนี้ออกจะงดงามถึงเพียงนั้น!” ลั่วชิงยวนพยายามขยับตัวเพื่อลุกขึ้น แต่นางกลับมิอาจควบคุมอาการเวียนศีรษะได้ นางสัมผัสได้ถึงความเย็นตรงท้ายทอยและเกรงว่าเลือดจะไหลมิหยุด หลิวหม่านลุกขึ้นจุดเทียนพลางนั่งยอง ๆ ข้างลั่วชิงยวนอีกครั้ง จากนั้นก็เขย่าแท่งเทียนให้น้ำตาเทียนหยดใส่ลั่วชิงย
ประตูโดนถีบให้เปิดออก แสงสว่างจ้าสาดส่องเข้ามาในห้องมืดสลัวอีกครั้ง หลิวหม่านผงะอึ้ง “ผู้ใดกัน?” ยามที่ลั่วชิงยวนที่แสนกะปลกกะเปลี้ยหันหน้าไปมอง ก็เห็นเงาร่างเย็นชารีบเดินเข้ามาท่ามกลางแสงสว่าง เมื่อฟู่เฉินหวนเห็นเหตุการณ์ฉากนี้ เส้นโลหิตบนหน้าผากก็ปูดโปนขึ้นมา จากนั้นเจตนาสังหารก็ปะทุขึ้นในแววตาแล้วเขาก็เตะหลิวหม่านอย่างแรง เมื่อเห็นรอยเลือดบนพื้น เสื้อคลุมที่ขาดวิ่นและรอยแดงเป็นจำนวนมากบนหลังมือของนาง โทสะของฟู่เฉินหวนก็ปะทุราวกับภูเขาไฟที่จวนจะระเบิด เขารีบถอดเสื้อคลุมของตนมาห่มคลุมบนร่างของนาง เขาห่อตัวนางเอาไว้แล้วรีบอุ้มนางออกไป ลั่วชิงยวนเอนซบอกของเขาอย่างอ่อนแรงพลางมองเขาด้วยสายตาอันพร่าเลือน จากนั้นเสียงแผ่วเบาทว่าคมกริบราวกับดาบน้ำแข็งของนางก็เอ่ยขึ้นมาว่า "ไยท่านต้องช่วยหม่อมฉันด้วย? นี่มิใช่สิ่งที่ท่านอยากจะเห็นหรอกรึ?" ไม่มีทางที่เขาจะมิโทษตนเองเลย น้ำเสียงเย็นชาไร้อารมณ์ใด ๆ เช่นนั้น กลับกลายเป็นมีดคมกริบนับไม่ถ้วนที่แทงทะลุหัวใจของฟู่เฉินหวนขึ้นมาทันที คิ้วตาเปี่ยมไปด้วยความเกลียดชัง ดวงตาแดงก่ำไปด้วยเจตนาสังหาร พร้อมโทสะที่กลืนกินตัวเขาราวกับไฟลามท
ซ่งเชียนฉู่ทอดถอนใจอย่างอับจนหนทาง “พวกท่านทั้งสองช่างถูกลิขิตให้พัวพันกันเช่นนี้โดยแท้” …… ฟู่เฉินหวนรีบเดินออกมาจากเรือน โดยที่ซูโหยวกำลังรอคอยอยู่ข้างนอก “ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ” “ไปที่จวนตระกูลหลิว” ฟู่เฉินหวนเดินออกจากประตู จากนั้นกระโดดขึ้นบนอาชาแล้วไปที่จวนตระกูลหลิวอีกครั้ง แขกเหรื่อทุกคนในงานเลี้ยงของตระกูลหลิวถูกควบคุมตัวเอาไว้เป็นการชั่วคราว เนื่องจากพวกเขาต่างสนิทสนมกับหลิวหม่านจึงจำเป็นต้องไต่สวนว่าพวกเขาเกี่ยวข้องกับคดีที่หลิวหม่านลอบซุกซ่อนเงินบรรเทาทุกข์หรือไม่ แต่ยังเหลืออยู่อีกคนหนึ่ง นั่นก็คือแม่ทัพสวี่ “ไยพวกท่านต้องจับข้าไว้ด้วยเล่า! ข้าหาได้เกี่ยวข้องอันใดกับเรื่องนี้ไม่! หากพวกท่านมิเชื่อก็ไปตรวจสอบดูได้เลย!" “ข้าเป็นเพียงแขกผู้มาเยือนเท่านั้น ข้ามิทราบเรื่องที่หลิวหม่านกระทำจริง ๆ!” แม่ทัพสวี่คุกเข่าลงกับพื้นแล้วขอร้ององครักษ์ที่ควบคุมตัวเขาไว้ ในยามนี้เอง ฟู่เฉินหวนก็เดินเข้ามาด้วยย่างก้าวอันหนักหน่วง พร้อมกับแผ่กลิ่นอายแห่งเจตนาสังหารออกมาด้วย ความน่าเกรงขามที่เต็มเปี่ยมไปทั่วทั้งร่างทำให้คนมิกล้าแหงนหน้ามอง แม่ทัพสวี่คุกเข่าอยู่กับพื้น เห็น
ทันทีที่เอ่ยวาจาเหล่านี้ออกมา ทุกคนในลานต่างตกตะลึง หลิวหม่านตกใจเสียจนเนื้อตัวสั่นสะท้าน “ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการช่างสมกับการเป็นท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการจริง ๆ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายถึงกับใช้สตรีของตน ช่างอำมหิตนัก!” มือของฟู่เฉินหวนที่ไพล่หลังเอาไว้กำเป็นหมัดแน่น ภายนอกยังคงสงบนิ่งไร้ซึ่งคลื่นอารมณ์ความรู้สึกใด ๆ ในวันนี้เอง เสียงแผดร้องที่ดังขึ้นมาจากจวนตระกูลหลิวสร้างความตกตะลึงให้แก่ทุกคนบนท้องถนน ข่าวที่ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการเปิดโปงเรื่องการยักยอกเงินบรรเทาทุกข์ครั้งใหญ่แพร่สะพัดไปทั่วทั้งเมืองหลวง สิ่งที่ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการกระทำในจวนตระกูลหลิวเพื่อนางรำผู้นั้นเองก็แพร่สะพัดไปทั่วทั้งเมืองหลวงเช่นกัน ข่าวที่ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการกล่าวว่านางรำผู้นั้นเป็นสตรีของตนจึงแพร่สะพัดไปด้วย …… ลั่วชิงยวนนอนอยู่บนเตียงตลอดสามวัน ช่วงนี้นางฟื้นตื่นขึ้นมาด้วยความมึนงงอยู่หลายครั้ง ทว่าสติกลับมิแจ่มชัดและมิได้ฟื้นสติเต็มที่นัก สิ่งที่นางรู้ก็คือมีคนเฝ้านางอยู่ข้างเตียงตลอดทั้งคืนและคอยป้อนโอสถให้นาง เมื่อนางฟื้นตื่นขึ้นมาก็เห็นซ่งเชียนฉู่อย่างที่คาดคิดเอาไว้ “ท่านฟื้
เมื่อฟู่เฉินหวนที่อยู่นอกประตูได้ยินวาจาเหล่านี้ก็อดมิได้ที่จะขมวดคิ้ว จากนั้นเขาก็เดินเข้ามาในห้อง ลั่วเยวี่ยอิงรู้สึกตื่นตกใจอยู่บ้างจึงรีบลุกขึ้น “ท่านอ๋อง” ฟู่เฉินหวนเหลือบมองผู้ที่อยู่บนเตียงด้วยสายตาเฉยชาพลางกล่าวกับลั่วเยวี่ยอิงว่า “แม่นางฝูเสวี่ยได้รับบาดเจ็บ ให้นางพักผ่อนเถอะ” “เพคะ คราวนี้แม่นางฝูเสวี่ยได้รับบาดเจ็บสาหัส หม่อมฉันจักลงครัวไปตุ๋นน้ำแกงไก่มาให้นาง” ลั่วเยวี่ยอิงกล่าวด้วยสีหน้าเข้าอกเข้าใจ เมื่อมองจากภายนอกจึงทำให้แลดูใจดีมีเมตตายิ่งนัก ทว่ากลับมิอาจซุกซ่อนแววตาคับข้องใจได้ ชวนให้คนยิ่งรู้สึกเศร้าใจแทนนางมากขึ้น เมื่อลั่วเยวี่ยอิงออกจากห้องไป ฟู่เฉินหวนเฝ้ามองนางเดินจากไปแล้วกำหมัดแน่นโดยมิรู้ตัว ภาพเหตุการณ์ฉากนี้ปรากฏแก่สายตาของลั่วชิงยวนเข้าพอดี นางจึงยิ้มเยาะขึ้นมา “เลิกมองได้แล้วน่า ท่านมิเห็นหรือไรว่าคุณหนูรองของท่านต้องเจ็บปวดมากเพียงใด” “นางคงน้ำตาตกในอยู่เป็นแน่ ทว่านางก็ยังต้องแสร้งทำเป็นใจกว้างและเข้าอกเข้าใจถึงขั้นยอมตุ๋นน้ำแกงไก่ให้ศัตรูหัวใจอีกต่างหาก” “ท่านอ๋อง ไยท่านมิรีบหย่ากับหม่อมฉันแล้วคืนตำแหน่งพระชายาให้แก่นางเพื่อชดเ
“เจ้ารีบอะไรนักหนา รอมาตั้งนานแล้ว รออีกสักหน่อยจะเป็นกระไร”เมื่อได้ยินดังนั้น อวี๋ตันเฟิ่งก็หยุดมือลั่วชิงยวนเดินเข้าไปคว้าตัวโหยวเซียงไว้ให้โฉวสือชีมัดนางไว้แน่นหนา จากนั้นจึงปลุกโหยวเซียงให้ฟื้นขึ้นมาเมื่อฟื้นคืนสติ โหยวเซียงก็จ้องหน้าลั่วชิงยวนเขม็งอย่างโกรธแค้น “เจ้ากล้าจับข้า เจ้าคอยดูเถอะว่าจะตายอย่างไร!”ลั่วชิงยวนย่อตัวลงนั่งตรงหน้านาง แล้วหัวเราะเบา ๆ “ใช่แล้ว ใครจะกล้าแตะต้องคุณหนูใหญ่เมืองแห่งภูตผีเล่า”“น่าเสียดาย เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้ บิดามารดาของเจ้าไปปล้นเขามา มิใช่ของพวกเขามาแต่เดิม ย่อมมิใช่ของเจ้าเช่นกัน”“ถึงเวลาคืนเจ้าของตัวจริงแล้ว”โหยวเซียงจ้องเขม็งนางอย่างโกรธแค้น “เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไร! เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้เป็นของบิดามารดาข้ามาแต่เดิม!”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็ประหลาดใจ “หรือว่าต่งอวิ๋นซิ่วมิได้บอกความจริงแก่เจ้า”“ก็ถูกแล้ว เรื่องน่าอับอายเช่นนี้ นางจะบอกลูกสาวได้อย่างไร”“เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้มิใช่เพียงถูกบิดามารดาเจ้ายึดมาเท่านั้น แต่ยังใช้วิธีการที่น่ารังเกียจในการยึดครองด้วย!”“เดาว่าจนถึงตอนนี้เจ้าก็คงยังมิรู้เลยว่าศัตรูของเจ้าคือผ
โหยวเซียงกัดฟันพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบลั่วชิงยวนมองไปที่อวี๋โหรว หลายวันมานี้อวี๋โหรวผอมซูบไปมาก“เจ้าจับตัวอวี๋โหรวมาเพื่อล่อข้ามาที่นี่รึ?”ลั่วชิงยวนหรี่ตามองโหยวเซียง“แต่เจ้ามิน่าจะมีความสามารถพอที่จะพาอวี๋โหรวออกจากวังหลวงไปได้”“เวินซินถงเป็นคนทำใช่หรือไม่?”“เจ้าทำข้อตกลงอะไรกับนางไว้?”โหยวเซียงหัวเราะเยาะ “อยากรู้รึ?”“คุกเข่าอ้อนวอนข้าสิ”“เจ้าอ้อนวอนข้า ข้าถึงจะบอกเจ้าว่าผู้ใดจับตัวอวี๋โหรวมา และผู้ใดร่วมมือกับข้าวางแผนให้เจ้ามาที่เมืองแห่งภูตผี”ลั่วชิงยวนมองท่าทีหยิ่งยโสของโหยวเซียงแล้วก็อดมิได้ที่จะหัวเราะเบา ๆ นางกวาดสายตามองไปรอบ ๆ แล้วถามว่า “ต่งอวิ๋นซิ่วมิมาด้วยรึ?”“เมื่อครู่นี้คนที่ต่อสู้กับข้าก็คือนางใช่หรือไม่?”เมื่อได้ยินน้ำเสียงเยาะเย้ยของลั่วชิงยวน โหยวเซียงก็โกรธจัด ในใจนางตกใจ ลั่วชิงยวนรู้แล้วหรือว่ามารดาของนางเป็นใคร“สารเลว!”นางบีบคออวี๋โหรวอย่างแรงเพื่อข่มขู่ลั่วชิงยวน “จะคุกเข่าหรือไม่?!”“ลั่วชิงยวน เจ้ามีโอกาสแค่ครั้งเดียว!”“หากเจ้ามิยอมคุกเข่ายอมจำนนแต่โดยดี ข้าจะหักคอนางเดี๋ยวนี้!”กล่าวจบ โหยวเซียงก็ออกแรงบีบบีบจนอวี๋โหรวหาย
ทันทีที่คนใบ้หันมาเห็นจึงรีบเข้ามาย่อตัวลงข้างนางแล้วช่วยประคองนางไว้ลั่วชิงยวนเช็ดเลือดที่มุมปาก ใบหน้าซีดเผือดกว่าเดิม“ข้ามิเป็นอะไร”นางเงยหน้าขึ้นมองอวี๋ตันเฟิ่งที่อยู่กลางอากาศ ในที่สุดจิตวิญญาณของนางก็สมบูรณ์แล้วบนใบหน้าซีดขาวนั้นปรากฏรอยยิ้ม รอยยิ้มนั้นทั้งพึงพอใจและเย่อหยิ่ง“ในที่สุดข้าก็ได้… เป็นอิสระแล้ว! ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า...”อวี๋ตันเฟิ่งหัวเราะลั่น ทำเอาป่าทั้งผืนเกิดพายุโหมกระหน่ำคนใบ้รีบยกมือขึ้นช่วยลั่วชิงยวนปัดป้องฝุ่นและใบไม้ที่ปลิวว่อน......จู่ ๆ ต่งอวิ๋นซิ่วก็กระอักเลือดออกมาเต็มปาก จากนั้นหมดสติล้มลงบนพื้น“ท่านแม่!”โหยวเซียงตกใจ รีบเข้าไปประคองนาง “ท่านแม่! ท่านแม่! ท่านเป็นอะไรไป!”หลังจากตะโกนเรียกอยู่นาน มารดาของนางก็มิฟื้นโหยวเซียงโกรธจนกัดฟันพูด “ลั่วชิงยวน สารเลว!”“เจ้าคอยดูเถอะ!”......ผ่านไปครู่ใหญ่ อวี๋ตันเฟิ่งถึงจะสงบสติอารมณ์ลงได้ลมพายุในป่าก็สงบลงเช่นกันถูหมิงที่อยู่ข้าง ๆ จึงค่อย ๆ ขยับเข้ามาใกล้ฉีเสวี่ยเวยที่ยังคงตกตะลึงมองภาพเหตุการณ์เมื่อครู่ด้วยความมิอยากเชื่อ “เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น?”“ต่อไปพวกเราต้องทำอะไร?”ลั่วชิงยวน
คนของถูหมิงตายไปหมดแล้ว เหลือเพียงฉีเสวี่ยเวยเท่านั้นในขณะที่พวกเขาเดินทางไปยังถ้ำแห่งที่หกในคืนนั้นผลลัพธ์ที่ได้กลับน่าผิดหวังเพราะในถ้ำว่างเปล่า“ดูเหมือนว่าพวกเราจะมาช้าไปก้าวหนึ่ง”ถูหมิงขมวดคิ้ว “เหลืออีกหนึ่งชิ้น ทำอย่างไรดี? หรือว่าความพยายามทั้งหมดของเราจะสูญเปล่า?”พวกเขาวุ่นวายมาหลายวัน เดินทางไปเกือบทั่วทั้งภูเขาแล้วหากสมบัติหายไปเช่นนี้ เขาคงต้องฆ่าสตรีผู้นี้เป็นแน่!ลั่วชิงยวนขมวดคิ้วครุ่นคิด แล้วกล่าวว่า “เหลืออีกหนึ่งชิ้นก็เหลืออีกหนึ่งชิ้น”“หาที่ปลอดภัยก่อน”จากนั้นพวกเขาก็มายังป่าที่ค่อนข้างสะอาด ไม่มีพุ่มไม้หรือวัชพืชหนาแน่นบนพื้นมากนัก ค่อนข้างโปร่งโล่งหีบทั้งห้าใบวางอยู่บนพื้นลั่วชิงยวนกล่าวว่า “เปิดหีบกันเถิด”ทันใดนั้นดวงตาของถูหมิงก็เป็นประกาย “เปิดได้หรือ?”เขาเห็นว่าบนหีบมีแต่อักขระสีเลือดปกคลุมอยู่ จึงยั้งมือไว้หลายครั้งแม้จะอยากเปิดก็ตามเมื่อได้ยินเช่นนี้จึงรีบเปิดหีบทันทีแต่เมื่อเปิดออกแล้ว ร่างกายของเขาก็แข็งทื่อไปศพ?!ทั้งยังเป็นศพที่ถูกชำแหละอีกด้วย?ฉีเสวี่ยเวยก็ตกใจกลัวลั่วชิงยวนกลับสงบสติอารมณ์ สั่งให้โฉวสือชีและคนใบ้ช่วย
“ใครกัน?!”ลั่วชิงยวนหรี่ตาลงเล็กน้อย แล้วตอบเสียงแผ่ว “ซูเซียง”“แต่ตอนนี้ควรเรียกนางว่าโหยวเซียง”“ภารกิจที่พวกเจ้าได้รับก็เป็นเพียงการละเล่นของนางเท่านั้น”“นางต้องการให้พวกเจ้าฆ่ากันเอง”และภารกิจหนังหน้าของหญิงงามที่ฉีเสวี่ยเวยได้รับ ก็คงเป็นการล่อลวงให้ฉีเสวี่ยเวยมาฆ่านางหากสามารถยืมมือคนอื่นฆ่าคนได้ โหยวเซียงก็มิจำเป็นต้องเปิดเผยตัวตนเพียงแต่โหยวเซียงคาดมิถึงว่าฉีเสวี่ยเวยจะฆ่านางมิได้ กระทั่งโหยวเซียงเองก็ฆ่านางมิได้“โหยวเซียงหรือ? นางเป็นคนของเมืองแห่งภูตผีแห่งนี้หรือ?” ฉีเสวี่ยเวยมองนางอย่างมิเชื่อสายตา“มิแปลกใจเลย… นางท้องแก่ถึงเพียงนั้นยังกล้ามาที่นี่ได้”ลั่วชิงยวนเห็นว่าใกล้รุ่งสางแล้ว จึงให้โฉวสือชีแก้เชือกที่มัดฉีเสวี่ยเวยไว้“ข้าจะยังมิฆ่าเจ้าตอนนี้”“มิว่าเรื่องที่เจ้ากล่าวมาจะเป็นจริงหรือไม่ก็มิสำคัญ ข้าก็มิกลัวว่าเจ้าจะไปบอกเรื่องนี้กับถูหมิง”“หากเจ้าไปบอก เรื่องเดียวที่จะเป็นผลเสียต่อพวกข้าก็คือต้องแบกหีบเพิ่มอีกมิกี่ใบ”“เพียงเท่านั้น”มิใช่เรื่องคอขาดบาดตายที่นางทำเป็นร่วมมือกับถูหมิง ก็เพียงต้องการใช้คนของเขาไปขวางทางศพชายที่ถูกผนึกไว้ในถ้ำ
“แม้จะต้องยอมตายไปพร้อมกับถูหมิง ข้าก็ยินดี!”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็ตกตะลึง แต่ก็ยังคงสงสัยอยู่บ้าง“แต่เจ้าสนิทสนมกับถูหมิงถึงเพียงนั้น น่าจะมีโอกาสฆ่าเขาได้นับครั้งมิถ้วน”ฉีเสวี่ยเวยขมวดคิ้วแน่น ดวงตาแดงก่ำ “แท้จริงแล้วคนผู้นั้นระแวดระวังตัวมาก หากมิใช่เพราะต้องการลดความระแวดระวังของเขา ข้ากับชายมากหน้าหลายตาก็คงมิ...”เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ ฉีเสวี่ยเวยก็เม้มริมฝีปากแน่นหลังจากกล้ำกลืนความรู้สึกแล้ว จึงกล่าวต่อ “ในป่าครั้งนั้นเป็นครั้งแรกที่เขาใกล้ชิดข้า เดิมทีตอนนั้นข้ามีโอกาสที่จะฆ่าเขาได้!”“แต่เจ้าปีศาจฝูเหมิ่งนั่นบังเอิญมาขวาง!”“หากมิใช่เพราะเขา ข้าคงทำสำเร็จไปแล้ว!”ฉีเสวี่ยเวยกัดฟันพูด เต็มไปด้วยความเคียดแค้นลั่วชิงยวนรู้สึกประหลาดใจ เมื่อเห็นสีหน้าของฉีเสวี่ยเวย ในดวงตาของนางเต็มไปด้วยความแค้น ดูมิเหมือนคนโกหกทำให้นางเปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อฉีเสวี่ยเวยไปบ้างขณะที่ลั่วชิงยวนยังคงครุ่นคิด ฉีเสวี่ยเวยก็มองมาที่นาง “เจ้ายังมิเชื่อข้าหรือ?”“ขอเพียงเจ้าฆ่าถูหมิงได้ ข้าจะทำทุกอย่างเพื่อเจ้า! ข้าจะบอกสิ่งที่เจ้าอยากรู้ทุกอย่าง!”ลั่วชิงยวนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
ลั่วชิงยวนนอนนิ่งอยู่บนเตียง มิกล้าขยับกายทว่างูตัวนั้นกลับกัดข้อเท้านางอย่างแรงหนึ่งครั้ง จากนั้นก็รีบเลื้อยหนีไปรออยู่ครู่หนึ่ง ฉีเสวี่ยเวยเห็นว่าคนที่นอนอยู่บนเตียงไม่มีความเคลื่อนไหวใด ๆ จึงเปิดประตูเข้ามานางมิอาจมั่นใจได้ว่าพวกคนใบ้จะกลับมาเมื่อใด จึงมิกล้าเสียเวลานานหลังจากปิดประตูอย่างระแวดระวังแล้ว นางก็มายังปลายเตียง จ้องมองข้อเท้าของลั่วชิงยวนอย่างละเอียด ปรากฏว่าถูกงูกัดจริง ๆ นางต้องตายเพราะพิษนี้แน่นอน!ทันใดนั้นเอง ฉีเสวี่ยเวยก็ชักกริชออกมาแล้วเดินไปยังหัวเตียง ค่อย ๆ จรดใบมีดลงบนใบหน้าของลั่วชิงยวนแต่ในพริบตานั้นเอง ลั่วชิงยวนก็ลืมตาขึ้นมาจ้องมองนางด้วยสายตาอาฆาตแค้นฉีเสวี่ยเวยพลันตกใจ แต่ก็มิได้หนีในทันที เพราะนางคิดว่าลั่วชิงยวนโดนพิษงูเข้าไปแล้ว อย่างไรก็ต้องตายอยู่ดีลั่วชิงยวนรีบคว้าข้อมือของฉีเสวี่ยเวยไว้เพื่อแย่งชิงกริชมาจากนางฉีเสวี่ยเวยก็ลงมือโจมตีเช่นกัน เพียงแต่นางคาดมิถึงว่าสตรีผู้นี้ที่ถูกพิษแล้วจะยังมีพละกำลังมากมายถึงเพียงนี้หลังจากทั้งสองต่อสู้กันครู่หนึ่งในห้อง ฉีเสวี่ยเวยก็พ่ายแพ้ ถูกลั่วชิงยวนจับกดไว้บนโต๊ะฉีเสวี่ยเวยตกใจมาก “เจ้า
“แน่นอน”“อีกอย่าง เมื่อหาของเหล่านี้ครบแล้วเมืองแห่งภูตผีทั้งเมืองก็จะเป็นของพวกเรา แล้วยังต้องขึ้นเขาไปเอาของเล็ก ๆ น้อย ๆ นั่นหาปะไร”คำพูดนี้กระตุ้นความโลภในใจของทุกคนที่อยู่ตรงนั้นอย่างมิต้องสงสัยพวกเขาจึงมิลังเลอีกต่อไป รีบติดตามลั่วชิงยวนไปยังเส้นทางเดิมตลอดทางยังมีงูมากมาย ลั่วชิงยวนก็หาสมุนไพรบางชนิดตลอดทางแล้วมอบให้ทุกคนผูกติดไว้บนตัวและทาตามเท้า เพื่อให้กลิ่นของสมุนไพรนั้นช่วยไล่งูดังนั้นการเดินทางของพวกเขาจึงราบรื่นดี เมื่อยามค่ำคืนมาเยือนพวกเขาก็ออกมาจากบ่อน้ำพุร้อนนั้นอีกครั้งพวกเขากลับมายังหมู่บ้านเดิมในช่วงกลางดึกสงัดในหมู่บ้านยังมีอาหารหลงเหลืออยู่ ดังนั้นทุกคนจึงหยุดพักกินอาหารกันก่อนเมื่อฟื้นฟูพละกำลังได้แล้วคนทั้งหมดก็ออกเดินทางต่อมาถึงสุสานเดิม ยามนี้วิญญาณอาฆาตเต็มไปทั่วทั้งภูเขา พลังหยินแผ่ซ่านไปทั่วเมื่อลั่วชิงยวนมาถึงที่แห่งนั้นก็พบว่าปากถ้ำเปิดออกแล้วมีคนกล่าวขึ้นว่า “วันนั้นฝูเหมิ่งก็มาที่นี่!”ลั่วชิงยวนตกใจเล็กน้อยเมื่อเข้าไปในถ้ำแล้ว ภาพที่ปรากฏด้านในนั้นมิเปลี่ยนแปลงมากนัก สิ่งที่เปลี่ยนไปเพียงอย่างเดียวคือโลงศพที่ถูกล่ามโซ่นั้นระเบ
เมื่อได้ยินดังนั้น ความโลภก็ปรากฏในดวงตาของถูหมิง ใครเล่าจะมิปรารถนาสมบัติของเมืองแห่งภูตผี เขาตอบตกลงในทันที “ได้”ลั่วชิงยวนกล่าวต่อว่า “แต่การนำของสิ่งนี้มาจะต้องเผชิญกับอันตรายบ้าง ดังนั้นอาจจะต้องมีคนของเจ้าสละชีวิต”“แต่คนมากก็แบ่งกันได้น้อย คนตายไปบ้างก็มิจำเป็นต้องสนใจความเป็นความตายของพวกเขา”“ความลับนี้ข้าบอกเพียงเจ้าเท่านั้น เจ้าอย่าได้แพร่งพรายให้ผู้ใดรู้เชียว”“โดยเฉพาะฉีเสวี่ยเวย”เมื่อได้ยินดังนั้นถูหมิงก็หันกลับไปมอง แต่ไหนแต่ไรมาเขาก็มิเคยสนใจความเป็นความตายของคนเหล่านั้นอยู่แล้ว“หาได้มีปัญหาไม่!”ถูหมิงรับปากอย่างง่ายดาย แต่ลั่วชิงยวนกลับยังคงระแวดระวัง “ยังมีเรื่องที่ต้องบอกเจ้าอีกอย่าง กองทัพของเมืองแห่งภูตผีถูกพวกข้าปลุกปั่นแล้ว คาดว่าอีกมินานคงไล่ตามมา”“ก่อนที่จะหาของทั้งหกชิ้นพบ อย่าได้คิดที่จะทำสิ่งใดนอกเหนือจากนี้ ท้ายที่สุดแล้ว พวกเราต้องร่วมมือกันต่อสู้กับศัตรู หากถูกพวกมันจับได้คงไม่มีใครมีจุดจบที่ดี”สีหน้าของถูหมิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย มิคาดคิดว่าสตรีผู้นี้จะเก่งกาจมากถึงเพียงนี้ กระทั่งปลุกกองทัพของเมืองแห่งภูตผีขึ้นมาได้ดูเหมือนว่าสิ่งที่นางต้