รอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าขอ ผู้อาวุโสสาม“เฮ้ ดี ๆ ดีมากเลย ข้ารู้เลยว่า เจ้าเป็นเด็กดี เจ้าทำเช่นนี้ถูกต้องแล้ว แม้ว่าตระกูลของเราจะมีความขัดแย้งภายในบ้าง แต่ก็ยังเป็นเรื่องภายในตระกูลเรา เมื่อถึงเวลาต้องสู้กับโลกภายนอก เราร่วมใจกัน”รอยยิ้มบนใบหน้าของจั๋วซือหรานดูเหมือนถูกวาดโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงหรือความจริงใจใด ๆนางพูดกับจั๋วยูง " ผู้อาวุโสสามพูดถูก"“ใช่แล้ว เด็กดี เช่นนั้นข้าฝากเจ้าจัดการเรื่องนี้” จั๋วยูง ยิ้มกว้างจั๋วซือหรานมองเขาแล้วรู้สึกว่า หากไม่ใ่เพราะไม่ถูกมารยาท เขาอาจตบไหล่ของจั๋วซือหรานแล้วจั๋วยูงยิ้มและถามจั๋วซือหราน " เสียวจิ่ว เจ้าคิดว่าเราจะได้คำตอบเมื่อใด"ตอนนี้พวกเขาวิตกกังวลมากและไม่อยากเสียเวลาแม้แต่วันเดียวจั๋วซือหรานตอบ "หากทางบ้านรีบร้อย ข้าไปไปคุยกับ ตระกูลเหยียนคืนนี้ได้เลย ข้าน่าจะให้คำตอบได้ในเช้าวันพรุ่งนี้"จั๋วยูงคิดอยู่พักหนึ่ง ตอนนี้เริ่มมืดแล้ว และท้องฟ้าก็มืดลง โดยปกติแล้วเขาจะไม่ต้องรีบเร่งขนาดนี้ แต่เขารู้สึกกังวลเล็กน้อยจั๋วยูงกล่าวว่า "ทางบ้านกำลังรีบร้อนแล้วจริง ๆ เอาอย่างนี้ละกัน คืนนี้เจ้าไปคุยกับตระกูลเหยียนกันเถิด คืนนี้ข
จั๋วซือหรานเดินไปทางทิศตะวันตกของเมืองนางไม่จำเป็นไปถึงทางตะวันตกของเมืองจริง ๆ เมื่อนางใกล้จะถึงเขตตะวันตกของเมือง นางสังเกตสภาพแวดล้อมและถนนโดยรอบเสื่อมโทรมลงอย่างเห็นได้ชัดจั๋วซือหรานสวมหมวกผ้าอย่างไม่ตั้งใจ ม่านผ้ากอซยาวก็ปิดบังใบหน้าของนางนางเดินเข้าไปในเขตตะวันตกของเมืองแม้ว่านางสวมผ้ากอซ แต่รูปร่างของนางยังคงดูเรียวและสง่างามเกินไป และนางก็ดึงดูดความสนใจอย่างมากในเวลากลางคืนทางตะวันตกของเมืองเพียงแต่ตอนนี้ยังไม่มีใครกล้าแสดงท่าทีหุนหันพลันแล่นผู้ที่สามารถอยู่รอดได้ในเขตตะวันตกของเมืองไม่โง่ ไม่มีใครคิดว่าผู้หญิงที่กล้ามาตลาดกลางคืนของเขตตะวันออกของเมืองในยามกลางคืนเป็นผู้หญิงที่อ่อนแอจริง ๆก็ไม่รู้ว่าใครเคยกล่าวไว้ หากเจ้าดูถูกผู้หญิง เจ้าจะประสบความสูญเสียครั้งใหญ่และทุกคนต่างทราบกันดีว่าว่า คุณหนูจิ่วของตระกูลจั๋ว ซึ่งเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในเมืองหลวงเมื่อเร็ว ๆ นี้ตีความประโยคนี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบดังนั้น ในระหว่างทางที่จั๋วซือหรานเดินไปตลาดกลางคืนของเขตตะวันตกของเมือง ถือว่านางเดินราบรื่นอยู่ และไม่มีผู้ที่ไม่มีตากล้ามาหาเรื่องนางแต่เมื่อนางเดินม
เด็กคนนั้นอาจไม่เคยเห็นเหรียญเงินสักสองสามเหรียญมาตลอดชีวิต เขาตกตะลึงอย่างมากเมื่อเขารู้ตัว จั๋วซือหรานเดินไปใกล ๆ แล้วในที่สุดเขารู้ตัว เขากระโดดขึ้นและไล่ตามจั๋วซือหรานไป “ท่าน... ท่าน ท่านรอข้าด้วย...”จั๋วซือหรานไม่คาดคิดว่า การกระทำอย่างไม่สนใจของนางจะกลายนำปัญหาผู้ชายคนนี้เดินตามนางตลอดและไม่เคยจากไป“...แต่ข้าไม่ควรเอาเงินของท่านโดยเปล่า ๆ ขอรับ” เขาพูดเช่นนี้ จากนั้นเดินตามจั๋วซือหรานอย่างใกล้ชิดเขาไม่สนใจจั๋วซือหรานจะชอบหรือไม่ เขาก็ไม่ได้อยากะจากไปอยู่ดี ดังนั้นเขาจึงเดินตามจั๋วซือหราน และเล่าสถานการณ์ที่ตลาดกลางคืนของเขตตะวันออกของเมืองให้นางฟังอาจเป็นเพราะในระหว่างเขาพูด เขาสังเกตเห็นแม้ว่าจั๋วซือหรานรู้สึดหงุดหงิดเล็กน้อย แต่นางก็ไม่โกรธหรือไล่เขา ดูเหมือนว่านางเป็นผู้ที่มีนิสัยดีดังนั้นเขาจึงพูดไปเรื่อย ๆ และแม้แต่แต่เดิมเขาพูดติดอ่างเล็กน้อย ก็ยังค่อย ๆ พูดคล่องมากขึ้นจั๋วซือหรานได้รับข้อมูลมากมายเกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ และกฎของเขตตะวันตกของเมืองจากเขา“เพราะตอนที่ท่านมถึงตลาดกลางคืน ท่านได้แสดงให้เห็นว่าท่านมีความสามารถที่เก่งกาจ ดังนั้นคนเหล่านั้นจึงไม่
เด็กฉลาดกระซิบว่า "ท่านขอรับ ที่นั่นคือสนามฝึก พูดไม่ได้ บางครั้งมันก็เป็นการฆาตกรรมจริง ๆ ... "เสียงของเด็กฉลาดเริ่มเงียบลงไปเรื่อย ๆจั๋วซือหรานเลิกคิ้วและตระหนักว่านางเดาถูกจริง ๆ ใช่ที่นั่นเลยเดิมทีเด็กฉลาดพูดเช่นนี้ โดยหวังว่าจั๋วซือหรานกลัวและเลิกสนใจที่นั่นใครจะรู้ว่าเมื่อแขกผู้มีเกียรติท่านนี้ได้ยินเช่นนี้ นางไม่มีเจตนาที่จะกลัวเลย นางเดินไปที่นั่นอย่างไม่ลังเลเด็กผู้ฉลาดเหงื่อออกบนหลังของเขา แต่เขาก็ยังรีบเดินตาม เขารีบโน้มน้าว "ท่าน ท่านขอรับ โปรดใจเย็น ๆ ที่นั่นวุ่นวายจริง ๆ คนหลายประเภทปะปนกันหมด อีกอย่าง ท่านเป็นหญิงสาวผู้หนึ่ง ข้ากลัวกลัวท่านถูกคนร้ายรังแก หากคนอันธพาลที่นั่นเดิมพันแพ้ พวกเขาอาจะทำทุกอรื่อง ยิ่งไปกว่านั้น หากท่านบังเอิญเข้าไปเดิมพนัน เท่ากับว่า จะครอบครัวจะถูกทำลายอย่างสิ้นเชิง”ในตอนท้ายของประโยค เสียงของเด็กฉลาดเศร้าหมองเล็กน้อยจั๋วซือหรานเหลือบมองเขาด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย นางฟังออก ในความเป็นจริงแล้ว เด็กคนนี้กลัวนางถูกคนรังแกเมื่อนางไปสนามฝึกฝน เขากลัวนางติดการพนันที่สนามฝึกฝนมากกว่านางไม่ทราบเขาเคยประสบสมาชิกในครอบครัวติดการพนันหรือเ
เด็กฉลาดเริ่มวิตกกังวลมากยิ่งขึ้นอันที่จริง จั๋วซือหรานยังคิดว่าการหยอกเด็กนั้นสนุกมากยิ่งนางเดินเข้าไปในสนามฝึกฝนมากเท่าไร นางก็ยิ่งได้ยินเสียงดังมาจากด้านในมากขึ้นเท่านั้นตามคำพูดของเด็กฉลาด มักจะมีผู้คนเดิมพันให้กับการแข่งขันประเภทนี้การแข่งขันที่รุนแรง รวมถึงโอกาสที่เดิมพันได้ ในสถานที่เช่นนี้ ไม่ว่าจะมีเสียงดังและอึกทึกมากเท่าไร ก็ไม่น่าแปลกใจสนามแข่งเช่นนั้นและความอึกทึกเช่นนั้นสามารถยั่วยุความกระตือรือร้นของผู้คนได้จริง ๆเมื่อเข้าสู่สนามฝึกฝน นางเห็นผู้คนที่ส่งเสียงดังจนหน้าแดงและตะโกนไปในทุกที่ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเป็นเพียงผู้ดู แต่ดูเหมือนพวกเขาจะตื่นเต้นกว่าผู้แข่งในสนามที่กำลังต่อสู้เพื่อรอดชีวิต“ตี ตีมันเลย”"ฆ่าเขา""ลุยสิ ลุย เจ้าลังเลทำไม ไอ้ไม่ได้เรื่อง"“พุ่งไปสิ แม่งรู้กูลงทุนกับเจ้าไปเท่าไรไหม”เสียงเช่นนี้ดังขึ้นมาเรื่อย ๆยิ่งสถานการณ์ในสนามแข่งดึงเคลียดมากเท่าไร เสียงตะโกนนอกสนามก็ยิ่งดังขึ้นมากเท่านั้นมันมีเสียงดังมากภายใต้เสียงรบกวน ผู้คนจะหงุดหงิด ซึ่งเวลานี้ ภายใต้ผ้ากอซ จั๋วซือหรานเริ่มหงุดหงิดเด็กฉลาดกระซิบข้างนาง "ท่านขอรับ โปรดระวัง
โดยทั่งไปแล้วนี่อาจถือได้ว่าเป็นอุบัติเหตุเบียดเสียดยัดเยียดเล็ก ๆ สำหรับส่วนสูงที่ขาดสารอาหารของเด็กฉลาดอาจลำบากมากแล้วในขณะนั้น ม่านตาของเด็กฉลาดหดเล็กลง เขาก็สัมผัสได้ถึงอันตรายแล้ว แต่ในขณะที่เขาตระหนักถึงอันตราย เขาก็ตระหนักถึงการกระทำของท่านนี้ด้วยนางยื่นมือออกแล้วดึงเสื้อคอหลังของเขาขึ้นมา และดูเหมือนว่าร่างกายของเขาจะถูกดึงขึ้นเหมือนแครอทแล้วดวางเขาไว้ข้างหลังนางและนางยื่นมือออกอีกครั้ง มือนั้นดูขาวและนุ่มนวล ราวกับว่านางไม่ได้ใช้กำลังใด ๆ เลย นางผลักคนเหล่านั้นเบา ๆ เหมือนนางกำลังขับไล่แมลงวันและยุงเท่านั้นจากนั้นได้ยินเสียงกรีดร้องเล็กน้อย และคนไม่กี่คนที่มุ่งหน้าไปยังทิศทางนี้อย่างควบคุมไม่ได้เนื่องจากแรงผลักนั้น พวกเขาก็หันกลับไปทิศทางอื่นหลังจากนั้นไม่นาน พวกเขาก็ล้มบนพื้นด้วยกัน สนามแข่งวุ่นวายกันหมดเห็นได้ชัดว่ามีคนได้รับบาดเจ็บ แต่ก็เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่จั๋วซือหรานหรือเด็กฉลาดจั๋วซือหรานไม่ได้มองที่นั่นอีก นางดึงเด็กฉลาดไปที่มุมที่เขาอยากพานางไปในก่อนหน้านี้แต่คนเหล่านั้นเริ่มมีปฏิกิริยาโต้ตอบแล้ว พวกเขาเห็นจั๋วซือหรานตัวเล็กและเป็นผู้หญิงด้วยนักพนันหล
แน่นอนว่าบางคนยังคิดว่านางอาจจะยังกลัวอยู่ แต่เพราะนางสวมผ้ากอซปิดหน้าไว้ พวดเขาจึงมองไม่เห็นสีหน้าของนางยิ่งเป็นเช่นนี้ พวกเขาก็ยิ่งอยากถอดผ้าคลุมหน้าของนางออก อย่างน้อย พวกเขาก็จะได้เห็นปฏิกิริยาของนางเมื่อนางได้ยินคำพูดของพวกเขาเดิมทีจั๋วซือหราน ฟังพวกเขาพูดตลอด นางยังคงเฉยเมยซึ่งทำให้พวกเขารู้สึกไม่มีความหมั้นใจเล็กน้อยในขณะนี้ ในที่สุดนางก็ลงมือปฏิบัติจั๋วซือหรานหันกลับไปมองเด็กฉลาดที่อยู่ข้างหลังนาง "เด็นน้อย เจ้ายังไม่ได้สติอีกหรือ"จู่ ๆ เด็กฉลาดก็สะดุ้ง เขาตั้งสติกลับมา แก้มของเขาแดงเล็กน้อยจั๋วซือหรานมองเด็กฉลาด นางสงสัยว่าเขาตกใจจนกลัวหรือเปล่า เมื่อเขาไม่ยอมเดินเข้าสนามแข่งขนาดนี้ เขาอาจกลัวสถานที่นี้อยู่จั๋วซือหรานไม่รู้หรอกว่าเมื่อนางลากเด็กฉลาดไปไว้ข้างหลังนาง ผ้ากอซนางก็ปลิวขึ้นเล็กน้อยขระที่นางกำลังหันหลังกลับและในระหว่างนี้เอง เด็กฉลาดเห็นใบหน้าของนางที่ถูกซ่อนไว้ใต้ผ้ากอซเขาตกตะลึงเพียงแวบเดียวและไม่สามารถฟื้นตัวได้เป็นเวลานานในความเป็นจริง เขาใช้ชีวิตในเขตตะวันตกของเมือง แม้ว่าที่นี่เป็นพื้นที่ที่วุ่นวายและเป็นเมืองมืดมน แต่เขาก็ยังเห็นผู้คนที่ม
“...เช่นนั้น ไม่ต้องให้พวกเจาตายดี”ทันทีที่นางพูดจบ มือข้างกายนางมีอาวุธโผล่ออกมา นั่นเป็นดาบยาวสีดำที่มีเพียงแสงเย็น ๆ บนขอบดาบได้ส่องประกายด้วยแสงเย็นไม่มีใครเห็นอาวุธในมือของนางปรากฏขึ้นมาได้อย่างไร หรือดาบยาวนี้ปรากฏขึ้นขึ้นเมื่อใด เห็นได้ชัดว่าเมื่อครู่นี้ นางไม่ได้จับอะไรไว้ในมือ ไม่เพียงเท่านั้น ไม่เห็นดาบยาวห้อยอยู่ที่เอวของนางด้วยแต่จั๋วซือหรานไม่อยากพูดเรื่องไร้สาระกับพวกเขานางไม่ได้ตั้งใจจะฆ่าใคร แต่นางมาที่นี่ไม่ได้มาเพื่อดูความสนุกสนาน นางมีเป้าหมายของตัวเองหากจะสอบถามและไปสืบข้อมูลอีก คงทำได้ยาก ดังนั้นไหน ๆ ก็มาถึงที่นี่แล้วและบังเอิญมีนักพนันฝูงหนึ่งที่แพ้จนหมดสติกำลังมาหาเรื่องนาง นางไม่ใช่พระที่มีความเตตาเสียหน่อยพวกเขามาหาเรื่องนางเอง จั๋วซือหรานก็ไม่รังเกียจที่จะเห็นเลือดนี่อาจสามารถดึงดูดผู้คนที่นางต้องการดึงดูดได้ง่ายขึ้น เพราะ...ที่นี่คือหอฟ้าดาวนางจำได้แม่นว่านักฆ่าที่มาฆ่านางที่จวนคือคนของหอฟ้าดาวและหอฟ้าดาวเป็นผู้จัดตลาดมืดของคืนนี้พอดี...ทันใดนั้นสีหน้าของคนเหล่านั้นเปลี่ยนไป และพวกเขาไม่มีความมั่นใจที่จะพูดอีกต่อไปไม่ได้เป็นเพราะจั๋วซ
ทุกคนรู้สึกว่านางผิด เพียงแค่เพราะ นางไม่ยอมทำตัวเป็นปกติเหมือนพวกเขาสายตาของเหยียนเจินเปล่งประกาย เอ่ยขึ้นว่า "จะไม่มีทางออกเลยหรือไร? ถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็ไปเข้ากับจั๋วจิ่วเลย!"เหยียนฉีพอได้ยินก็ตกตะลึง งงงันไป "ได้...ได้หรือ? ตระกูลเหยียนกับนาง...ตอนนี้น่าจะอยู่ในสภาพไม่ตายไม่เลิกรากันแล้วกระมัง?""ตระกูลเหยียนก็คือตระกูลเหยียน" เหยียนเจินไม่แยแส "พวกเราถ้าออกจากตระกูลเหยียน เช่นนั้นความแค้นนั่นก็ไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเรา ยิ่งไปกว่านั้นข้าก็มองออกถึงนิสัยจั๋วจิ่ว ขอแค่ไม่ผิดใจกับนาง นางก็จะไม่ทำอะไรคนอื่น"อดพูดไม่ได้ เหยียนเจินมองนิสัยจั๋วซือหรานออกจริงๆดังนั้น พ่อลูกตระกูลเหยียนคู่นี้ หลังจากที่หารือกันเสร็จคืนนี้เช้าวันถัดมาตอนที่ข่าวเรื่องจั๋วซือหรานถูกพระราชทานรางวัลลือมาถึงเมืองหลวง จึงออกจากตระกูลเหยียนไปเงียบๆสถานการณ์ของตระกูลเหยียนเป็นเช่นนี้ ตระกูลอื่นกลับเป็นอีกแบบหนึ่งบรรยากาศของตระกูลเฟิงตึงเครียดมากแต่สิ่งเหล่านี้ เฟิงเหยียนไม่คิดจะเข้าร่วม เขานั่งอยู่ตรงนั้น ไม่ว่าเหล่าผู้อาวุโสจะพูดอะไรกันเขาก็ไม่เข้าร่วมการสนทนาเลยสายตาเหม่อลอยหน่อยๆ ราวกับคิดถึงเรื่อง
"เจ้าอย่ามาพูดให้เกินจริงนัก! ทุกคนรวมตัวกันอยู่ที่นี่ ไม่ใช่เพื่อมาฟังเจ้าพูดเกินจริง!""นั่นสิ ตระกูลฮั่วเพราะอะไรถึงได้ช่วยจั๋วจิ่วแบบนี้ เสี่ยงจะผิดใจกับตระกูลอื่นๆ อีก..."และก็มีเสียงคัดค้านไม่เชื่อปรากฏขึ้นเช่นกันแต่คนฉลาดก็หัวเราะเย็นชาขึ้นา "ใช่สิ ข้าพูดเกินจริงเองนั่นล่ะ พวกเจ้าเห็นว่าตระกูลฮั่วมันโง่สินะ"คนผู้นี้โมโหจนหัวเราะ "ตระกูลฮั่วถูกพวกเราสี่ตระกูลกดมาตั้งหลายปี! พวกเขาในสายตาพวกเราคืออะไร? ผู้ค่าข่าว ผู้จัดการโรงเตี๊ยม...หลายปีมานี้ถูกพวกเราสี่ตระกูลกดดัน""ตอนนี้พวกเขาได้เวลาเฉิดฉายแล้ว โดยไม่สิ้นเปลืองกำลังทหารอีกด้วย ก็แค่เพราะ...เดิมพันถูกกับความโดดเด่นของจั๋วจิ่วเท่านั้น! พวกเจายังคิดว่าเขาจะร่วมมือกับเราเพื่อแก้แค้นหรือ? พวกเรานั่นล่ะที่เป็นศัตรูของเขา!"พูดจบสิ่งเหล่านี้ เขาเองก็ขี้เกียจจะพูดไร้สาระกับคนเหล่านี้แล้วมีแค่วิธีเดียว ออกไป รีบออกไปจากตระกูลที่ไม่มียาอะไรจะช่วยได้แล้วนี่เสียคนผู้นี้ไม่ใช่ใครอื่น พ่อของเหยียนฉีนั่นเองในงานประชุมของตระกูลเช่นนี้ แม้ยังพูดเรื่องเหล่านี้ได้บ้าง แต่เพราะความตรงไปตรงมาและรุนแรงเกินไป ทำให้ก่อนหน้านี้มักจะก่
สิ่งเหล่านี้ จั๋วซือหรานล้วนไม่รู้เหมือนกับที่นางก็ไม่รู้ ว่าตอนนี้ในตระกูลเหล่านั้น ตอนนี้มีสภาพเช่นไรมันวุ่นวายยุ่งเหยิงแค่ไหนเพราะว่า ข่าวที่นางได้รับชัยไม่ใช่เพิ่งลือมาถึงเมืองหลวงเช้าวันนี้แม้จะบอกว่าเช้าวันนี้เพิ่งส่งมาถึงเมืองหลวง แต่ในฐานะตระกูลชั้นสูง เมื่อวานนี้ก็รู้ข่าวที่ค่ายคุ้มกันแล้วดังนั้นเมื่อคืนนี้ ตอนที่จั๋วซือหรานพักผ่อนอยู่ในค่ายคุ้มกันในเมืองหลวง ตระกูลต่างๆ กลับเป็นคนละแบบกันไปเลยในโถงใหญ่งานพิธีตระกูลเหยียน โคมไฟสว่างไสวบรรยายาศกลับตึงเครียด"ตอนนี้อย่างไรถึงจะดี..." คำถามแบบที่ไม่มีความเห็นแบบนี้และมีพวกที่อารมณ์รุนแรง ด่ากราดออกมาทันที "ถ้าไม่ใช่พวกเจ้าคิดแต่จะไปยุ่งกับตระกูลเฟิง คงไม่ทำให้จั๋วจิ่วผิดใจจนเป็นแบบนี้"มีคนไม่ค่อยยอมรับกับคำพูดนี้ "เจ้าพูดอะไรออกมา! จั๋วจิ่วนั่น! ตระกูลเหยียนของพวกเราผิดใจไปตั้งนานแล้ว! คนที่ผิดใจกับนางตอนแรกสุดคือพวกเรา! ตอนนี้ถ้าคิดจะถอยออกมามันทันเสียที่ไหน!""เพราะอะไรถึงไม่ทัน! ทำไมถึงจะไม่ทัน! เพราะอะไรถึงจะไม่ทัน! นางไปร่วมมือกับตระกูลฮั่วแล้ว! ยิ่งไปกว่านั้นจากที่ข้าเห็น ตระกูลจั๋วเหมือนจะต้องกระโจนขึ
ตอนนี้ข่าวที่รู้แน่ชัดแล้วคือ องค์จักรพรรดิเฒ่าจะส่งอำนาจพ่อค้าหลวงของตระกูลจั๋วให้กับนางวังสวนอุทยานหลิ่วพ่านของราชวงศ์เองก็ให้นางด้วยแล้วจากที่พูด กระทั่งจวนชินอ๋องอวี้กับสวนชิวอี ก็จะยอมยกให้นางด้วยแล้วยังมีข่าวที่มากกว่า เริ่มทยอยกันลือออกมา"ได้ยินว่าฝ่าบาทยังถามนางด้วยว่าจะแต่งงานกับอ๋องเซี่ยนหรือเปล่า!""ให้ตายเถอะ! นี่มันสุดยอดไปเลย""จริงด้วย ตระกูลเฟิงทำผิดกับนาง เอาจริงๆ จั๋วจิ่วคนนี้ควรจะไม่เหลือหน้าตาอีกแล้วสิ คิดไม่ถึงเลย ว่าฝ่าบาทถึงกับถามนางว่าจะแต่งงานกับอ๋องเซี่ยนไหม!""จะว่าไป สถานการณ์ตรงหน้านนี้ ชินอ๋องอวี้ท่าจะไม่ไหวแล้วมั๊ง เช่นนั้นหลังจากนี้...ไม่แน่ว่าอ๋องเซี่ยนก็จะเป็น...""จริงด้วย ถ้านางพยักหน้าล่ะก็ อนาคตจะไม่ใช่..."พระมารดาแห่งใต้หล้าหรือ!ตามหลักการ ตัวตนฐานะของจั๋วจิ่วเองก็ไม่ใช่ต่ำต้อย ตระกูลจั๋วเองก็ถือว่าเป็นครอบครัวตระกูลสูงปัญหาคือตอนนี้นางเป็นแค่หญิงสาวที่ถูกทอดทิ้งเท่านั้นพอบวกกับ ก่อนหน้านี้นางเคยหมั้นไปครั้งหนึ่ง ตัวนางเองก็โดนเสน่ห์หนอนพิษกู่จนต้องมาเสียใจที่แต่งงาน แล้วก็ยังเกือบจะได้แต่งงานไปครั้งหนึ่งด้วย ทำเอาพิธีแต่งงานวั
แต่พอคิดดู เขาจะไปทำอะไรแม่นางจิ่วได้กันล่ะ?ดังนั้นทุกคนจึงค่อนข้างวางใจ"เจ้าอยากจะรู้อะไร?"และไม่รู้เพราะเห็นจั๋วซือหรานไม่พูดอะไรเลย คนผู้นี้จึงถามนางขึ้นมาอย่างทนไม่ไหวจั๋วซือหรานยิ้มๆ "ไม่ต้องรีบ ตอนที่ข้าอยากรู้ ข้าจะถามเจ้าเอง""เจ้าตอนนี้ยังไม่อยากรู้หรือ?" สีหน้าของชายหนุ่มดูแล้วแปลกประหลาดสุดๆจั๋วซือหรานตอบเสียงเรียบ "ยังไม่ถึงเวลา รออีกหน่อยเถอะ"จั๋วซือหรานคิดๆ ถามไปคำหนึ่ง "จริงด้วย เจ้าชื่ออะไรล่ะ?"ชายหนุ่มก้มหน้าลงเล็กน้อย ดวงตาเป็นประกาย "ฮาร์วีย์ ข้าชื่อฮาร์วีย์"จั๋วซือหรานพยักหน้า เอ่ยเสียงต่ำเรียกชื่อนี้ขึ้นมา "ฮาร์วีย์หรือ? เข้าใจแล้ว"นางบอกกับเขาว่า "เจ้าก็ตามข้ามาแล้วกัน รอตอนที่ข้าอยากถาม ข้าจะถามเจ้าเอง"จั๋วซือหรานเดินมาถึงกระโจมค่าย ซือคงเซี่ยนเองก็เดินเข้ามาพอเห็นว่าด้านหลังนางมีคนแดนใต้ตามอยู่ ก็รู้สึกประหลาดใจหน่อยๆแต่ว่าซือคงเซี่ยนเองก็ไม่ได้ตกใจมากนัก แค่ถามขึ้นว่า "ซือหาาน ได้ยินว่าเจ้าจะไปส่งเสด็จพ่อกับเสด็จแม่ที่เมืองหลวงด้วยตนเองหรือ?""อืม" จั๋วซือหรานขานกลับเสียงแผ่ว "ถึงอย่างไรข้าก็จะไปเมืองหลวงอยู่แล้ว ถือโอกาสทำให้ไปเลย""
บางครั้ง คำพูดร้ายๆ ก็ไม่จำเป็นต้องพูดขณะที่กำลังโกรธจัดถึงจะมีพลังทำร้ายประหัตประหารกระทั่งในบางโอกาศ พูดออกมาตอนที่ยิ้มๆ ยังมีพลังทำร้ายมากยิ่งกว่าอย่างเช่นตอนนี้ จั๋วซือหรานพูดออกมาด้วยรอยยิ้มตาหยีเช่นนี้ ยิ่งทำให้คนที่พูดว่านางสะกดคำว่าตายไม่เป็นก่อนหน้านี้ เกิดอาการเหงื่อแตกพลั่กขึ้นมาเขาอ้าปากพะงาบๆ ชั่วขณะหนึ่งไม่รู้ว่าควรจะตอบกลับคำนี้ของจั๋วซือหรานอย่างไรจั๋วซือหรานขี้เกียจจะสนใจเขา เอ่ยต่อมาว่า "ถ้าหากมีคนยอมบอกข้าล่ะก็ ข้าก็จะไว้ชีวิตนั้นไว้ โอ้จริงด้วย กระทั่งไม่แตะต้องแมลงกู่บนตัวเลยนะ"และหลังจากที่พวกเขาได้ยินคำนี้ของจั๋วจิ่วแล้วจึงเห็นนางนับจำนวนพวกเขาขึ้นมาอย่างไม่ค่อยตั้งใจนัก "พวกเจ้ามีสิบสี่คน แต่ข้ามีแมลงแค่เจ็ดตัว ก่อนหน้านี้กินไปที่ประตูค่ายแล้วตัวนึง เหลืออีกหกตัว เมื่อครู่กินของพวกเจ้าไปแล้วหกคน พวกเจ้ายังเหลืออีกแปดคนสินะ ทว่ามื้อต่อไปขอแค่เจ็ดคนก็พอ"นางคำนวณขึ้นมาอย่างไม่รีบไม่ร้อน จากนั้นจึงพยักหน้าเอ่ยว่า "เหลือไว้ได้คนนึงจริงๆ"เหล่าปรมาจารย์กู่แดนใต้ดูสิ้นหวังหน่อยๆ เพราะพวกเขาได้ยินคำพูดเมื่อครู่ของจั๋วซือหรานแล้วอะไรคือ...มื้อต่อไป?เจ้
ให้ใครมาเห็น ก็ล้วนไม่ใช่ภาพที่ชวนมองนักหน้าผากคนเหล่านี้ เส้นเลือดที่คอกับแขนขาไขกระดูก ราวกับมีอะไรบางอย่างกำลังมุดทะลวงอยู่อย่างไรอย่างนั้นจั๋วซือหรานรู้ ว่านั่นคือไหมกู่ของเจ้าพวกก้อนเนื้อ พวกมันเข้ากลืนกินแมลงกู่ทั้งหมดที่น่าจะซ่อนและบำรุงอยู่ตามเส้นลมปราณเส้นชีพจรของปรมาจารย์กู่คนเถื่อนเหล่านี้สำหรับคนทั่วไปแล้ว อาจจะไม่คิดว่านี่เป็นเรื่องใหญ่แต่สำหรับคนเถื่อนเหล่านี้แล้ว พวกเขาล้วนเป็นปรมาจารย์กู่นะ แมลงกู่ของพวกเขาล้วนเป็นรากฐานที่ทำให้ตนเองอยู่ได้อย่างมั่นคงไหนจะเรื่องที่แมลงกู่พวกนี้ต้องใช้เลือดเนื้อของตัวพวกเขาในการชุบเลี้ยง ยิ่งเป็นสิ่งที่พวกเขาให้ความสำคัญเข้าไปอีกตอนนี้ถูกแมลงกู่ของจั๋วจิ่ว กินกันอย่างเอร็ดอร่อยมื้อใหญ่...พวกเขาจะไม่โกรธได้อย่างไรแต่นอกจากความโกรธแล้ว ก็ยังมีความตกตะลึงอยู่ด้วยนางเป็นแค่หญิงสาวอายุน้อยคนหนึ่ง แล้วยังอยู่ในดินแดนต้าชาง แล้วไปฝึกวิชากู่มาจากไหน? ฝึกแมลงกู่ที่อหังการขนาดนี้ออกมาได้อย่างไร?เพราะ นางยัดเข้ามาในปากคนอื่นแบบนี้ ไม่ได้กังวลเลยว่าแมลงกู่ของตนเองจะมาเจอกับแมลงที่ร้ายกาจกว่าของตนเองสังหารหรือไม่นางไม่กังวลเลยสั
เอาจริงๆ เจ้าพวกนี้โอดครวญอยู่นานแล้วก่อนหน้านี้จั๋วซือหรานทนการโอดครวญของเจ้าพวกนี้ แล้วไปรักษาทหารบาดเจ็บคนนั้นนี่ทำให้จั๋วซือหรานเกิด...ความรู้สึกของหมอในสนามรบแล้วจริงๆหมอในสนามรบคนอื่นด้านนอกมีเสียงการล่าการสังหารแต่ในสมองนางมีเสียงพวกลูกๆ ทะเลาะกันจะเป็นจะตายจะว่าอย่างไรดี ถ้าว่าจากเรื่องมลภาวะทางเสียงก็ถือว่าพอๆ กัน สถานการณ์ที่นางเจอไม่ได้ด้อยกว่ากันเลย ยิ่งไปกว่านั้นจั๋วซือหรานยังรู้สึกว่า เนื่องจากเจ้าพวกแมลงสามารถกลิ้งไปกลิ้งมาในจิตสำนึกนางได้โดยตรงดังนั้น...บางทีสถานการณ์ที่ตนเองเผชิญจะดูรุนแรงกว่าการรบกวนที่พวกแพทย์สนามรบได้รับเสียอีกแมลงพวกนี้ไม่ได้จงใจเอะอะใส่นาง แต่ก่อนหน้านี้ที่นางยัดขนมชาเขียวเข้าไปในปากปรมาจารย์กู่ที่เตรียมจะระเบิดตัวเองคนนั้นหลังจากที่เก็บขนมชาเขียวกลับมา ขนมชาเขียวก็ดูอิ่มเอมมาก อดไปพูดให้เจ้าก้อนเนื้อตัวอื่นๆ ในมิติน้ำพุวิเศษฟังอย่างอดไม่อยู่ส่วนเจ้าพวกก้อนเนื้อจะว่าอย่างไรดี เพิ่งจะมีสติปัญญาขึ้นมาได้ไม่นานนัก จะมากน้อยก็ยังมีความคิดนิสัยแบบเด็กๆ อยู่ขนมชาเขียวพอเอาของอร่อยที่ผู้ปกครองซื้อให้กลับไปคุยโม้กับเพื่อนๆ คนอื่นในหั
แพทย์ทหารเอ่ยขึ้นเสียงต่ำ "ข้าข้ามีทักษะเช่นนี้...ทหารราบเหล่านั้นก็คงไม่ตายกันแล้ว..."เสียงของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด เขาประจักษ์กับตาแล้วถึงการเปลี่ยนสิ่งเน่าเสียกลายเป็นสิ่งอัศจรรย์ของแม่นางจั๋วจิ่วแล้วพอเห็นว่านางทำตัวราวกับเป็นช่างยอดฝีมือ จัดการเย็บช่องท้องของคนผู้นี้ราวกับเย็บกระเป๋าขาดยิ่งไปกว่านั้นยังจัดการรักษาส่วนที่บาดเจ็บของอวัยวะภายในไปแล้วด้วยนี่ทำให้เขาอดคิดไปถึงทหารที่ตายอย่างน่าเวทนาเหล่านั้น ต่อมาถูกก็ถูกพวกคนเถื่อนเอาหัวขึ้นไปแขวนบนคาน...เขาอดคิดไม่ได้เลย ถ้าหากตนเองมีฝีมือเสียหน่อย ไม่แน่คนเหล่นั้นอาจจะช่วยไว้ได้กระมังคำพูดนี้มีอารมณ์อยู่ด้วย เพราะตอนนี้อารมณ์ของเขาถูกส่งผลกระทบอยู่จริงๆแต่เสียงของจั๋วซือหรานกลับสงบ นางก้มหน้าพูดว่า "ไม่หรอก ถ้าหากเจ็บหนักเกินไป อย่างเช่นหัวขาดออกจากกัน ต่อให้เทพเจ้าก็ทำอะไรไม่ได้ แน่นอนว่าข้าเองก็ไม่มีวิธีเหมือนกัน ข้าเป็นแค่แพทย์ ไม่ใช่พระเจ้า"แม้คำพูดนี้จะดูใจเย็น ราวกับกำลังอธิบายข้อเท็จจริงอยู่ แต่คำพูดนี้ก็ยังทำให้แพทย์ทหารที่ยังรู้สึกโทษตัวเองอยู่ก่อนหน้านี้ อารมณ์ผ่อนคลายลงมาบ้างแล้วจั๋วซือหรานเย็บเข็มส