เฟิ่งชูอิ่งเอ่ยเสียงเรียบ “ชีวิตและความตายย่อมแตกต่าง คนกับผีเดินกันคนละเส้นทาง ข้าสามารถให้เจ้าพบฮูหยินเจิ้งได้เพียงครั้งเดียว”เจิ้งเนี่ยนซินพยักหน้าอย่างซาบซึ้งใจ “แค่ครั้งเดียวก็เกินพอแล้ว”เฟิ่งชูอิ่งเปิดเนตรทิพย์ให้เจิ้งเนี่ยนซิน พริบตาที่เนตรทิพย์ของนางเปิดออก นางก็มองเห็นว่าตอนนี้ฮูหยินเจิ้งกำลังยืนอยู่ข้างๆ กายนางนี่เองสองแม่ลูกพบหน้า พวกเขาต่างก็ตื้นตันใจอย่างยิ่งแม้พวกนางจะเพิ่งแยกจากกันไปไม่นานนัก แต่มันเป็นการแยกจากที่ไม่มีวันกลับมาบรรจบได้อีกหลังจากเฟิ่งชูอิ่งเปิดเนตรทิพย์ให้เจิ้งเนี่ยนซินเรียบร้อยแล้วก็หลบออกมายืนห่างๆ ปล่อยให้สองแม่ลูกได้ใช้เวลาร่วมกันสาเหตุที่นางยอมเปิดเนตรทิพย์ให้เจิ้งเนี่ยนซิน เพราะว่าก่อนหน้านี้ฮูหยินเจิ้งอ้อนวอนขอนาง หวังว่าเฟิ่งชูอิ่งจะเปิดโอกาสให้พวกนางสองแม่ลูกพบหน้ากันเป็นครั้งสุดท้ายเฟิ่งชูอิ่งรู้สึกเห็นอกเห็นใจฮูหยินเจิ้ง วันนี้นางทำเรื่องเหนือกฎเกณฑ์ของตัวเองไปครั้งหนึ่งแล้ว ทำอีกสักครั้งจะเป็นไรไปนางเดินเข้าไปในลานกว้างแล้วหาหินก้อนหนึ่งเพื่อนั่งพัก ก่อนจะเห็นปู๋เยี่ยโหวเกาะขอบกำแพงและโบกมือให้นางอยู่เฟิ่งชูอิ่ง “……”หลังจากครั้งก่อน
ตอนแรกปู๋เยี่ยโหวเกาะอยู่บนขอบกำแพง ซึ่งพื้นที่บนขอบกำแพงก็แคบนิดเดียว เขาจึงต้องใช้มือข้างหนึ่งเกาะกำแพง ส่วนอีกข้างดึงกางเกงตอนที่เขาหันกลับไปมองด้านหลัง ก็เห็นใบหน้าที่ไร้คางและดวงตาซึ่งตามหลอกหลอนเขาจนเก็บไปฝันร้ายถึงปู๋เยี่ยโหวจะขวัญกล้าสักแค่ไหน แต่ในเวลาแบบนี้เขากลับทำใจยอมรับไม่ค่อยได้เฉี่ยวหลิงที่ไม่มีดวงตาและคางส่งยิ้มบางๆ ให้เขา ก่อนจะกระชากเขาจนร่วงลงจากขอบกำแพงปู๋เยี่ยโหว “!!!!!!!”ครั้งที่สองแล้วนะ!เป็นครั้งที่สองแล้วที่เขาถูกวิญญาณร้ายกลั่นแกล้งเขาไม่ทันระวังตัวจึงตกลงไปนอนพังพาบกับพื้น ก่อนตวาดอย่างเดือดดาล “เฉี่ยวหลิงใช่ไหม! ฝากเอาไว้ก่อนเถอะ! สักวันข้าจะจัดการเจ้าให้ได้เลย!”เฉี่ยวหลิงยกมือเท้าเอา ก่อนจะกระดิกนิ้วใส่หน้าเขา “เจ้าจะรอวันนั้นไปทำไม แน่จริงก็จัดการข้าตอนนี้เลยสิ!”ปู๋เยี่ยโหว “……”เขาคิดว่านิสัยของวิญญาณร้ายที่เฟิ่งชูอิ่งเลี้ยงเอาไว้เหมือนนิสัยของนางมาก เป็นพวกที่ไม่รู้จักอยู่เฉยๆ เลยสักวินาทีเดียวเขาคลานขึ้นมาจากพื้นขณะที่ปากก็ก่นด่าไปด้วย ทว่าเขายังไม่ทันยืนให้มั่นคง ก็ถูกเฉี่ยวหลิงเตะก้นจนหน้าทิ่มลงพื้นไปอีกครั้งปู๋เยี่ยโหว “……”เขานอนนิ่งอยู่
ทว่าตอนที่เขาเตรียมจะออกจากจวน ก็ดันนึกถึงเรื่องพระสนมสวี่กับอดีตฮ่องเต้ขึ้นมา เขาตระหนักว่าเรื่องของความรู้สึกไม่ใช่สิ่งที่จะบังคับกันได้หากบังคับไปแล้ว อาจจะต้องพบกับจุดจบที่เป็นโศกนาฎกรรมได้ และการถอนหมั้นของตระกูลเจิ้ง ก็เกี่ยวข้องกับจิ่งโม่เยี่ยอย่างไม่อาจปฏิเสธได้จิ่งโม่เยี่ยจึงคิดว่าหลังจากนี้หากมีโอกาส เขาจะหาภรรยาที่ดีให้ฉินจื๋อเจี้ยนเองแต่เขาคิดไม่ถึงเลยว่า เรื่องราวทั้งหมดมันจะกลับตาลปัตรอย่างนี้ไปได้วันนี้ฉินจื๋อเจี้ยนก็แค่ตามเฟิ่งชูอิ่งออกไปข้างนอก แต่กลับได้แต่งภรรยากลับมาเสียอย่างนั้นวันนี้เขาได้รับจดหมายเชิญเข้าร่วมงานมงคลสมรสของทั้งสองคนจากองครักษ์ เขาก็แอบประหลาดใจไม่น้อยเลยถึงเขาจะรู้ว่าเฟิ่งชูอิ่งมีความสามารถ แต่เขาคิดไม่ถึงจริงๆ ว่านางจะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ตอนนี้เขาชักจะคาดหวังเสียแล้ว หลังจากพวกเขาแต่งงานกัน นางจะสร้างความประหลาดใจให้เขาอย่างไรบ้างเฟิ่งชูอิ่งยิ้มตอบ “วันนี้ฉินจ๋างสื่อแต่งภรรยา มิใช่ท่านอ๋องแต่งภรรยาเสียหน่อย จะขอบคุณก็ควรเป็นฉินจ๋างสื่อมาเอ่ยเองสิเพคะ”จิ่งโม่เยี่ยปรายตามองนางเล็กน้อย “ก็จริงนะ เรื่องนี้สมควรเป็นฉินจื๋อเจี้ยนมาขอบคุณเจ้าเ
นับตั้งแต่ตอนที่เขากระโดดลงทะเลสาบตามนางมา เจิ้งเนี่ยนซินก็ไม่คิดจะสงสัยความรักที่อีกฝ่ายมีให้นางอีกแล้วตอนนี้เขายังยกทรัพย์สินทั้งหมดที่มีให้นางอีก เท่ากับว่าเขาอุทิศดวงใจทั้งดวงให้นางแล้วความรักไม่สามารถวัดน้ำหนักได้ แต่ตอนที่ใครสักคนหนึ่งยื่นหัวใจทั้งดวงมาให้ คนที่ได้รับมันกลับสามารถรับรู้ได้นางแต่งงานกับฉินจื๋อเจี้ยนเพราะรักในตัวเขา ไม่ใช่เพราะสิ่งของนอกกายพวกนี้นางมองเขาและกล่าวอย่างจริงจัง “จับจูงมือกัน แก่เฒ่าผมขาวไปด้วยกัน ชีวิตนับจากนี้เป็นต้นไป พวกเราจะไม่แยกจากกัน”ฉินจื๋อเจี้ยนตื่นเต้นมากจนไม่สนใจแล้วว่ามีใครมองอยู่บ้าง เขาคว้าเจิ้งเนี่ยนซินเข้ามากอดอย่างแนบแน่นเจิ้งเนี่ยนซินเป็นคนหน้าบาง พอถูกกอดกะทันหันจึงหน้าแดงก่ำ แต่ก็หักใจผลักเขาออกไม่ได้องครักษ์ที่มาร่วมแสดงความยินดีส่งเสียงโห่แซม ฉินจื๋อเจี้ยนก็ทำเป็นไม่ได้ยินพวกเขาก่อนหน้านี้เฟิ่งชูอิ่งก็มองออกว่าฉินจื๋อเจี้ยนชอบเจิ้งเนี่ยนซิน แต่ตอนนี้พอได้เห็นความจริงใจของเขาแล้ว นางก็รู้สึกว่าวันนี้ไม่เหนื่อยเปล่าจริงๆการได้เห็นคู่รักแต่งงานเป็นครอบครัวเดียวกัน เป็นเรื่องน่ายินดีปรีดามากจริงๆเฟิ่งชูอิ่งคิดว่าหากทั้งสองค
เฟิ่งชูอิ่งดึงมือกลับโดยสัญชาตญาณ ทว่าจิ่งโม่เยี่ยกุมมือนางแน่นไม่ยอมปล่อยนางหันมองเขา เขาตอบนางอย่างไร้อารมณ์ “ฉินจื๋อเจี้ยนยังแต่งงานได้ แล้วทำไมข้าถึงจะจับมือว่าที่พระชายาตัวเองไม่ได้?”เฟิ่งชูอิ่ง “……”เหตุผลของเขา นางโต้แย้งไม่ได้จริงๆจิ่งโม่เยี่ยเอ่ยเสียงเรียบ “หากข้าแต่งภรรยา จะต้องไม่ด้อยกว่าเจ้าฉินจื๋อเจี้ยนนั่นแน่“รอให้พวกเราแต่งงานกันเมื่อไหร่ จวนอ๋องฉู่ก็จะเป็นของเจ้า”เฟิ่งชูอิ่งยิ้มตอบ “ท่านอ๋องล้อเล่นเก่งจริงๆ เลยนะเพคะ ต่อให้พวกเราแต่งงานกัน อย่างมากข้าก็แค่เป็นเจ้าของจวนอ๋องครึ่งเดียว“หากทั้งจวนอ๋องตกเป็นของข้าจริงๆ สิ่งแรกที่ข้าจะทำคือการไล่ท่านอ๋องออกจากจวน....”นางยังไม่พูดไม่ทันจบ ก็ถูกจิ่งโม่เยี่ยกระชากตัวเข้าไปโอบกอด ริมฝีปากถูกเขาประกบจูบเฟิ่งชูอิ่ง “……”ไอ้ผู้ชายคนนี้มันเอาแต่ใจตัวเองเสมอต้นเสมอปลายจริงๆ อยากจูบก็จูบ ไม่มีลังเลเลยสักนิด นางอยากจะผลักเขาออก แต่อาจเป็นเพราะจูบของเขาอ่อนโยน หรืออาจเป็นเพราะพระจันทร์คืนนี้สวยเกินไป สายลมอ่อนโยนมากเกินไป มือของนางที่วางทาบบนแผงอกเขาถึงไม่มีแรงสักเท่าไหร่นางตระหนักดีว่าตราบใดที่ฮ่องเต้เจาหยวนยังไม่ตาย พวกเขาก็
กว่าเฟิ่งชูอิ่งจะรู้สึกตัวว่ามีลูกธนูยิงมาทางตนเองก็สายเกินไปแล้วลูกธนูดอกนั้นเล็งไปที่หัวใจของนาง ชัดเจนว่าหมายจะเอาชีวิต!นี่เป็นครั้งแรกที่นางเฉียดใกล้ความตายมากที่สุดนับตั้งแต่ทะลุมิติมา นางคิดว่าครั้งนี้คงจะได้ตายของจริงแน่ทว่าครู่ต่อมา วัตถุบางอย่างก็ลอยเข้ามากระทบลูกธนูดอกนั้นจนมันเปลี่ยนวิถี ลูกธนูดังกล่าวจึงแฉลบผ่านหน้าอกของนางไปพริบตาต่อมา จิ่งโม่เยี่ยก็ปรากฏตัวข้างกายนาง ผลักนางไปยืนอยู่ด้านหลังแล้วถามว่า “ไม่เป็นไรใช่ไหม?”แม้เฟิ่งชูอิ่งจะหัวใจเต้นระส่ำ แต่กลับไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร จึงตอบว่า “ข้าไม่เป็นไร”เพียงแต่คืนนี้น่าจะมีคนฉวยโอกาสตอนที่พวกเขาไม่ได้พาองครักษ์ติดตัวมา คิดจะสังหารพวกเขาทั้งคู่ในความมืดชั่วพริบตาเดียว คนชุดดำจำนวนสิบกว่าคนก็ปรากฏตัวโอบล้อมพวกเขาด้วยจิตสังหารอันแรงกล้าสถานที่ตรงนี้ไม่ใช่มุมอับลับตาคนแต่อย่างใด การที่คนพวกนี้กล้าลงมือ แสดงว่าผู้จ้างวานที่อยู่เบื้องหลังตัดสินใจแน่วแน่ ว่าอย่างไรวันนี้ก็ต้องสังหารพวกเขาให้ได้ก่อนหน้านี้เฟิ่งชูอิ่งกับเจ้าอาวาสเคยถูกกองทัพเกล็ดทองปิดล้อมสังหารมาก่อน ตอนนั้นบรรยากาศมิได้เย็นชาอำมหิตเท่านี้นางรู้ว่าตอนนั้น
ชะตาชีวิตของทั้งสองผูกติดกัน เขาจึงตวัดนางมาโอบกอดไว้แล้วก้มลงไปนอนหมอบกับพื้นเฟิ่งชูอิ่ง “……”การตอบสนองของเขาไม่เหมือนกับที่นางคิดไว้สักเท่าไหร่นางพยายามตั้งสติท่ามกลางความชุลมุน “ท่านอ๋อง ท่านช่วยปล่อยข้าก่อนได้หรือไม่?”ตอนแรกนางคิดจะใช้จังหวะที่หมอบลงประสานคาถาใช้งานยันต์ ผลกลับกลายเป็นว่าถูกเขากดไว้กับพื้นหากไม่ใช่เพราะยันต์หมอกควันที่นางใช้ไปก่อนหน้านี้ยังมีผลอยู่ พวกเขานอนหมอบอยู่บนพื้นแบบนี้ น่ากลัวว่าจะถูกมือสังหารพวกนั้นแทงตายไปแล้วจิ่งโม่เยี่ยรู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย ก่อนจะเอียงตัวปล่อยนางให้มีอิสระเพิ่มนิดหน่อยเฟิ่งชูอิ่ง “……”เอาเถอะ ถึงจะมีพื้นที่ให้เคลื่อนไหวไม่สะดวกเท่าไหร่ แต่อย่างน้อยนางก็ประสานคาถาได้พอมีนักฆ่าเข้ามาใกล้ จิ่งโม่เยี่ยก็ใช้กระบี่ปลิดชีพทิ้งในคราเดียวทว่าการทำแบบนี้ เป็นการเปิดเผยตำแหน่งของพวกเขา นักฆ่าทั้งหมดจึงพากันกรูเข้ามาตอนที่เฟิ่งชูอิ่งได้ยินเสียงฝีเท้าของคนพวกนั้น นางก็ประสานมือสร้างคาถาอย่างว่องไวแทบจะทันทีที่นางประสานมือสร้างคาถาออกไป เหนือศีรษะของพวกเขาก็มีประกายไฟแล่นปลาบ พร้อมกับสายฟ้าสว่างวาบพริบตาเดียว เสียงร้องโหยหวนก็ดังก้
แม้ฐานะของจิ่งโม่เยี่ยจะชวนอึดอัด แต่เขาก็ยังเป็นอ๋องฉู่ แล้วฮ่องเต้เจาหยวนยังแสดงต่อหน้าผู้อื่นว่ารักและเอ็นดูเขามากตอนนี้พวกนักฆ่าเหิมเกริมถึงขั้นลอบสังหารเขากลางถนนหนทาง เรื่องนี้ด้วยนิสัยของจิ่งโม่เยี่ยไม่มีทางปล่อยผ่านไปแน่เฟิ่งชูอิ่งที่อยู่ข้างๆ กล่าวว่า “วันนี้มีอสนีบาตจากท้องฟ้าผ่าลงมาสังหารนักฆ่าพวกนั้น มิเช่นนั้นเกรงว่าต้องเกิดเรื่องกับท่านอ๋องแน่”นางกล่าวจบก็แหงนหน้ามองท้องฟ้า “ขอบคุณสวรรค์และทวยเทพที่คุ้มครอง!”นางกล่าวถ้อยคำดังกล่าวด้วยท่าทางจริงจังซื่อสัตย์ ราวกับมันเป็นเรื่องจริงหากจิ่งโม่เยี่ยไม่เห็นกับตาว่านางเขวี้ยงยันต์ออกไป แล้วยังตระหนักดีถึงความสามารถของนาง เกรงว่าคงหลงเชื่อนางแล้วเขาลอบด่านางในใจ “เป็นเด็กเลี้ยงแกะที่เก่งจริงๆ”ทว่ายามนี้ตอนที่เขาก่นด่านางในใจ กลับมีความอ่อนโยนแฝงอยู่หลายส่วนโดยที่เขาไม่รู้ตัวความจริงแล้วพวกทหารรักษาการณ์อยู่แถวนี้ตั้งแต่แรก พวกเขาจึงเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นพวกเขาไม่ทราบความสามารถของเฟิ่งชูอิ่ง เมื่อเห็นปรากฏการณ์พวกนั้นก็เชื่อว่าเป็นทัณฑ์สวรรค์จริงๆ พริบตานั้น ในใจของพวกทหารรักษาการณ์ก็เกิดความคิดหนึ่งขึ้นมาหรือจ
เฟิ่งชูอิ่งพูดต่อว่า “แต่ตอนนี้ข้าไม่เหลือทั้งบิดามารดาแล้ว เจ้าห้ามรังแกข้าเชียวนะ!”จิ่งโม่เยี่ยยกมือสาบานต่อฟ้าทันที “หากข้าทำไม่ดีกับเจ้าในภายภาคหน้า ขอให้สวรรค์ลงทัณฑ์ส่งฟ้ามาผ่าให้ตาย!”เฟิ่งชูอิ่งหัวเราะ “เรื่องฟ้าผ่าไม่ต้องถึงมือสวรรค์หรอก ข้าก็ทำได้”จิ่งโม่เยี่ย “......”เขาเกือบลืมไปแล้วว่านางวาดยันต์ได้เก่งมาก ตราบใดที่นางต้องการ ใช้ฟ้าผ่าเขาก็ไม่ใช่เรื่องยากเฟิ่งชูอิ่งเห็นท่าทางของเขาก็แอบหัวเราะเบาๆ เอื้อมมือไปกอดแล้วซุกศีรษะพิงอกเขา กล่าวว่า “ข้าเชื่อใจท่าน”“ตอนนี้เราทั้งสองล้วนไม่มีพ่อแม่แล้ว ชีวิตที่เหลืออยู่ก็มีเพียงกันและกัน”“ต่อไปข้าจะดูแลเจ้าอย่างเต็มที่ จะไม่ระแวงเจ้าอีก ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ข้าจะเชื่อใจเจ้า”หัวใจที่ตึงเครียดของจิ่งโม่เยี่ยก็ผ่อนคลายลงในทันทีเขากอดนางตอบ “กาลเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าการตัดสินใจของเจ้าถูกต้อง”เขาโน้มตัวลงจูบหน้าผากนางเบาๆ เอ่ยอย่างอ่อนโยนว่า “ข้าจะทุ่มเททุกอย่างเพื่อรักเจ้า”เมื่อเฟิ่งชูอิ่งได้ยินคำพูดนี้ หัวใจก็สั่นไหว นางช้อนตามองขึ้นไปที่เขา ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความอ่อนโยนนางรู้ว่าคำพูดของเขาในตอนนี้ล้วนมาจ
ก่อนหน้านี้เขาไม่รู้ฐานะของจิ้งจอกสือซานเหนียง แต่ตอนนี้เขาพอจะเข้าใจได้หลังจากได้ยินบทสนทนาระหว่างจิ้งจอกสือซานเหนียงและเฟิ่งชูอิ่งจิ้งจอกสือซานเหนียงเห็นสีหน้าเคร่งขรึมของเขาก็หัวเราะเบาๆ ก่อนจะหันหลังเดินจากไปเฟิ่งชูอิ่งถามว่า “เจ้าจะไปไหน? ข้ายังมีเรื่องอยากจะถามเจ้าอีกมาก”จิ้งจอกสือซานเหนียงตอบว่า “ข้าจะไปหาที่ขับไล่พลังชั่วร้ายออกจากร่างกาย พอขับไล่เสร็จแล้วข้าจะกลับมาหาเจ้า”ตลอดหลายปีที่ผ่านมา นางฝึกฝนวิชาสายชั่วร้ายมากมาย ทำให้พลังชั่วร้ายในร่างกายมีมากเกินไป หากอยู่ใกล้ใครนานๆ จะมีผลกระทบต่อคนรอบข้างเฟิ่งชูอิ่งจึงเตือนนางว่า “เจ้าอย่าผิดคำพูดล่ะ ข้าจะรอเจ้ากลับมา!”จิ้งจอกสือซานเหนียงโบกมือแล้วบอกว่า “วางใจเถอะ ข้าจะกลับมาแน่นอน”หลังจากนางเดินออกไปไกลแล้ว เฟิ่งชูอิ่งก็ถอนหายใจยาวๆ และเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากแยกทางกันให้จิ่งโม่เยี่ยฟังหลังจากที่จิ่งโม่เยี่ยได้ยินเรื่องของเหมยตงยวน เขาก็เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “เพราะรักถลำลึกจึงไม่ยืนยาว เรื่องระหว่างท่านพ่อกับท่านแม่ช่างน่าเศร้า”เฟิ่งชูอิ่งกล่าวอย่างแผ่วเบาว่า “ดังนั้นการสื่อสารจึงสำคัญ ต่อไปไม่ว่าจะมี
สิ้นเสียงของนาง สายฟ้าก็ฟาดลงมาอีกครั้ง ทำให้พลังที่พุ่งพล่านของเขาสลายไปจิ่งสือเยี่ยน “!!!!!!!!”หลังจากถูกอสนีบาตฟาดใส่อย่างต่อเนื่องห้าครั้ง ร่างวิญญาณของเขาก็จางลงอย่างมากแต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังไม่ตายเฟิ่งชูอิ่งถึงกับตกใจ ชีวิตของจิ่งสือเยี่ยนช่างแข็งแกร่งเสียจริง!นางอดสงสัยไม่ได้ว่าเขาจะกลายเป็นเทียนซือคนที่สอง และจะกลายเป็นภัยพิบัติในอนาคตนางกำลังจะม้วนแขนเสื้อขึ้นเพื่อเสกยันต์ใส่จิ่งสือเยี่ยนอีกครั้ง แต่กลับมีเงาร่างหนึ่งพุ่งเข้ามาแล้วกลืนเขาเข้าไปทั้งตัวเฟิ่งชูอิ่ง “!!!!!!”จิ้งจอกสือซานเหนียงเรอออกมาคำโตแล้วบอกว่า “เขาเป็นอาหารที่ข้าหมายตาไว้แต่แรก”“การปล่อยให้อาหารหลุดมือไป เป็นเรื่องที่ไม่อาจให้อภัยได้”เฟิ่งชูอิ่ง “......”นางเคยจินตนาการถึงความตายของจิ่งสือเยี่ยนไว้หลายแบบ แต่ไม่มีฉากจบแบบนี้อยู่เลยนางได้คงบอกได้แค่ว่าจิ้งจอกสือซานเหนียงเจ๋งสุดยอด!ขณะเดียวกันนั้นจิ่งโม่เยี่ยก็เดินเข้ามา เขาจ้องมองจิ้งจอกสือซานเหนียงด้วยความระแวดระวัง มือจับกระบี่เอาไว้ เตรียมพร้อมที่จะฟันจิ้งจอกสือซานเหนียงได้ทุกเมื่อเฟิ่งชูอิ่งบีบมือเขาเบาๆ ให้เขาผ่อนคลายจิ้งจอก
แต่ทว่าคันธนูของจิ่งสือเยี่ยนเพิ่งจะยกขึ้นมา ก็มีลูกธนูที่เร็วกว่าพุ่งทะลุหัวใจของเขาในทันทีจิ่งสือเยี่ยนมองลูกธนูที่ปักอยู่บนอกด้วยความไม่อยากเชื่อ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองและเห็นดวงตาที่เย็นชาของจิ่งโม่เยี่ยเมื่อครู่นี้พวกเขาทั้งสองยังมีระยะห่างต่อกันอยู่แท้ๆ และตำแหน่งที่เขาหลบอยู่ก็เป็นมุมอับที่จิ่งโม่เยี่ยยิงมาไม่ถึงทว่าเพียงแค่อึดใจเดียว จิ่งโม่เยี่ยก็ปรับตำแหน่งได้อย่างรวดเร็วและยิงธนูทะลุหัวใจเขาได้ในนัดเดียวในตอนนี้จิ่งสือเยี่ยนกับจิ่งโม่เยี่ยไม่ได้อยู่ห่างกันมากนัก แต่ถ้าพูดคุยกันตามปกติก็คงไม่ได้ยินทว่าในเวลาเช่นนี้ จิ่งสือเยี่ยนกลับได้ยินเสียงของจิ่งโม่เยี่ย “คนที่กล้าทำร้ายชูอิ่งต้องตาย!”ก่อนหน้านี้จิ่งสือเยี่ยนคิดแค่ว่าจิ่งโม่เยี่ยดีต่อเฟิ่งชูอิ่งมาก ทว่าตอนนี้เขาเพิ่งได้รู้ซึ้งเรื่องบางอย่างเฟิ่งชูอิ่งไม่ใช่แค่จุดอ่อนของจิ่งโม่เยี่ย แต่เป็นทั้งชีวิตของเขาแต่มาเข้าใจเอาป่านนี้ก็สายไปแล้วในตอนนี้เฟิ่งชูอิ่งยังคงนอนคว่ำอยู่บนพื้นหิมะ นางได้ยินเสียงวัตถุแหวกอากาศจึงหันไปมอง และเห็นภาพของจิ่งสือเยี่ยนล้มลงกับพื้นในเวลานี้ เฟิ่งชูอิ่งก็เข้าใจใด้ทันทีว่าในโลกน
ในเมื่อเขาไม่ได้ราชบัลลังก์และเฟิ่งชูอิ่งมาครอบครอง ราชบัลลังก์เขาอาจจะทำลายไม่ได้ แต่เฟิ่งชูอิ่งแค่คนเดียวเขาทำลายได้แน่นอนองครักษ์สองคนของเขารีบเปลี่ยนมาง้างคันธนูเล็งไปที่เฟิ่งชูอิ่ง ทว่าลูกธนูยังไม่ทันได้ยิงออกไป ก็ถูกบางสิ่งบางอย่างปัดออกไปอีกครั้งในตอนนี้จิ่งสือเยี่ยนก็พลันเข้าใจบางอย่างขึ้นมาทันทีตลอดทางที่ผ่านมา วิญญาณร้ายของเฟิ่งชูอิ่งถึงจะมาแล้ว แต่ก็ไม่ได้ลงมือ นั่นก็น่าจะมีเหตุผลที่ลงมือไม่ได้วิญญาณร้ายโจมตีองครักษ์ของเขา แต่กลับไม่โจมตีเขา นั่นก็หมายความว่าวิญญาณร้ายเหล่านั้นโจมตีเขาไม่ได้เขานึกถึงข่าวลือที่เคยได้ยินมาว่า พลังมังกรของผู้เป็นฮ่องเต้เป็นสิ่งที่ปราบภูตผีปีศาจได้วิญญาณร้ายไม่โจมตีเขา นั่นแสดงว่าวิญญาณร้ายทำอะไรเขาไม่ได้ แปลว่าเขามีพลังมังกรอยู่ในตัว?ความคิดนี้ทำให้จิตใจเขาฮึกเหิมขึ้นมาทันที เขารีบหยิบธนูของตัวเองขึ้นมา อดทนต่อความเจ็บปวดจากบาดแผลแล้วยิงธนูไปที่หลังของเฟิ่งชูอิ่งเฉี่ยวหลิงเห็นภาพนี้ก็ตกใจ รีบยื่นมือออกไปเพื่อจะรับลูกธนูนั้นทว่าลูกธนูนั้นเปื้อนเลือดของจิ่งสือเยี่ยน เลือดนั้นเป็นอันตรายต่อวิญญาณร้ายอย่างมาก มือของนางแค่เพียงสัมผ
หิมะยังคงโปรยปรายลงมา โลกนี้เงียบสงัด มีเพียงเสียงฝีเท้ากระทบกับพื้นหิมะดังฟุ่บฟั่บช่วงใกล้รุ่งสาง ชวีเหลียงอวี่ก็มาปรากฏตัวและเอ่ยขึ้นทันทีว่า "ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการรออยู่ข้างนอกแล้ว"เมื่อได้ยินดังนั้น เฟิ่งชูอิ่งก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยนางหันไปบอกกับจิ่งสือเยี่ยนว่า "เมื่อครู่ข้าลองคิดดูดีๆ แล้ว รู้สึกว่าที่เจ้าพูดก็มีเหตุผลอยู่บ้าง การมีชีวิตอยู่ก็ไม่เลว"จิ่งสือเยี่ยน “......”หลังจากผ่านมาทั้งคืน นางกลับปลงตกในเรื่องเช่นนี้ได้ ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจอยู่เล็กน้อยแต่การที่นางคิดได้ในตอนนี้ก็เป็นเรื่องดีเขาจึงพูดว่า "หลายสิ่งหลายอย่างทำได้ตอนมีชีวิตอยู่เท่านั้น ตายไปแล้วทำไม่ได้""ตราบใดที่เจ้าพาข้าออกจากค่ายกลแห่งนี้ ข้าจะไม่สร้างความลำบากให้เจ้าอีก”เฟิ่งชูอิ่งพยักหน้า "ก็ได้ งั้นตอนนี้ข้าจะพาเจ้าไปทำลายค่ายกล"พูดจบนางก็ควบม้านำหน้าไป จิ่งสือเยี่ยนรีบนำทหารตามไปทันทีเพียงแต่พวกเขาเดินวนเวียนอยู่ที่นี่ทั้งคืน ทั้งเหนื่อยทั้งหิว พลังจึงลดลงไปมากเฟิ่งชูอิ่งมียันต์ป้องกันความหนาวติดตัวอยู่จึงไม่รู้สึกหนาว ก่อนหน้านี้ก็นอนหลับมาตลอดทาง ทำให้รักษาพลังงานไว้ได้มากที่สุ
เขาไม่เคยเจอใครดื้อด้านเท่านางมาก่อน!เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อระงับโทสะ เพราะตอนนี้เขาไม่สามารถตบตีหรือด่าทอนางได้ทั้งนั้นเขาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เจ้าอยากไปเจียงหนานไม่ใช่หรือ? พอออกจากที่นี่ได้ ข้าจะไม่ขัดขวางเจ้า เจ้าก็จะได้ไปชมวิวทิวทัศน์เจียงหนานที่เจ้าอยากเห็น”“เจียงหนานในฤดูหนาวที่มีหิมะปกคลุมทั้งงดงามและน่าหลงใหล ถ้าเจ้ายังไม่เคยเห็น ต้องไปดูด้วยตาตัวเองให้ได้เลย”เฟิ่งชูอิ่งยังคงนอนอยู่บนพื้นไม่ยอมลุกขึ้น “ไม่ไป อากาศหนาวเกินไป เดินทางเหนื่อยเกินไป”จิ่งสือเยี่ยน “…...”ตั้งแต่วินาทีที่เขาติดกับอยู่ที่นี่ สถานะระหว่างเขากับเฟิ่งชูอิ่งก็สลับกันโดยสิ้นเชิงเพราะเขามีความทะเยอทะยาน อยากใช้ชีวิตอย่างสุขสบายยิ่งเฟิ่งชูอิ่งแสดงออกว่าอยากตายมากเท่าไหร่ จิ่งสือเยี่ยนก็ยิ่งไม่ยอมให้นางตายมากขึ้นเท่านั้นดังนั้นตอนนี้นางจึงควบคุมเขาได้อย่างเบ็ดเสร็จการที่นางแสดงท่าทีไม่ยอมทำตามไม่ว่าเขาจะใช้ไม้แข็งหรือไม้อ่อนเช่นนี้ ทำให้เขาแทบเป็นบ้าจิ่งสือเยี่ยนไม่เคยคิดฝันมาก่อนว่าการจับตัวประกันจะน่าอึดอัดขนาดนี้เฟิ่งชูอิ่งนอนเอกเขนกอยู่ตรงนั้นอย่างสบายใจ เหตุผลก็ง่ายๆ นางใช้
เฟิ่งชูอิ่งยิ้มแล้วถามว่า “ทางที่ข้าชี้นำ เจ้ากล้าเดินตามหรือ?”เมื่อมาถึงตอนนี้แล้ว นางก็คร้านจะเสแสร้งต่อไปสีหน้าของจิ่งสือเยี่ยนแข็งค้างไปครู่หนึ่ง นางพูดอย่างเฉื่อยชาว่า “เพราะพวกเจ้าติดอยู่ที่นี่ คงรู้สึกหนาวเหน็บและหวาดกลัว”“เจ้าบาดเจ็บ ในสภาพอากาศหนาวเย็นเช่นนี้ แผลของเจ้าจะยิ่งทรุดหนัก”“เจ้ารีบร้อนมารวบรวมกำลังพลของกองกำลังอวี๋ซาน เจ้าคงไม่ได้พกอาหารมาด้วยมากนัก ดังนั้นตอนนี้พวกเจ้าคงหิวมากแล้ว”“ในสถานการณ์เช่นนี้ แค่ข้ากักขังพวกเจ้าไว้ที่นี่ ต่อให้ไม่หนาวตาย พวกเจ้าก็คงอดตายอยู่ดี”ขณะนี้หิมะขาวโพลนโปรยปรายไปทั่ว อากาศหนาวเหน็บ สภาพอากาศเช่นนี้คงจะดำเนินต่อไปเป็นเวลาอย่างน้อยครึ่งเดือนเป็นอย่างที่เฟิ่งชูอิ่งบอก พวกเขาเดินทางมาที่นี่โดยไม่ได้พกเสบียงอาหารแห้งหรืออะไรทำนองนั้นมาด้วยเลยด้วยเหตุนี้ตอนที่พวกเขาเดินวนจนครบรอบที่สาม เสบียงอาหารก็หมดลงตอนนี้ฟ้าเริ่มมืดแล้ว หลังจากตกกลางคืน อากาศจะยิ่งหนาวเย็นลง พวกเขาจะยิ่งลำบากมากขึ้นจิ่งสือเยี่ยนชักกระบี่ยาวออกมา “เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าข้าสามารถบั่นคอเจ้าด้วยกระบี่เล่มนี้ได้!”เฟิ่งชูอิ่งยิ้มหวานแล้วเอ่ยว่า “เอาเลย ฆ
เขาคลี่ยิ้มมุมปากเล็กน้อย “ได้”หลังจากฆ่าจิ่งโม่เยี่ยแล้ว จะปล่อยนางไปหรือไม่ เรื่องนี้เขาจะเป็นคนตัดสินใจนางเป็นผู้หญิงคนแรกที่เขารู้สึกชอบจริงๆ และนางก็เป็นผู้หญิงคนแรกที่ทำให้เขารู้จักกับความล้มเหลวเขารู้ว่านางมีวิธีการบางอย่างที่คนทั่วไปไม่มี ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าประมาท เขาจะป้อนยาที่ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงให้นางกินทุกวันเฟิ่งชูอิ่งรู้ทันความคิดของเขา และยอมให้ความร่วมมือแต่โดยดีขณะที่ในใจของนางกำลังครุ่นคิด ครั้งที่แล้วโดนไปขนาดนั้นยังรอดมาได้ ถ้าอย่างนั้นก็ต้องหาโอกาสฆ่าเขาให้ตายสนิทแบบไม่มีสิทธิ์ฟื้นขึ้นมาอีกนางพลันนึกถึงเรื่องที่เหมยตงยวนวิญญาณแหลกสลายหลังจากรู้ข่าวการตายของเฟิ่งชิงหลิง จิตใจนางจึงหม่นหมองตามไปด้วยนางรู้ว่าเหมยตงยวนรักเฟิ่งชิงหลิงอย่างสุดซึ้ง แต่ไม่คิดว่านั่นจะเป็นรากฐานที่ทำให้เขามีชีวิตอยู่ในโลกใบนี้เพราะนางเห็นความรักของพวกเขา นางจึงยิ่งรู้ชัดว่าตัวเองมีความรู้สึกแบบไหนต่อจิ่งโม่เยี่ยในเมื่อรักแล้ว ก็ต้องรักให้สุดหัวใจอย่าได้ทำเรื่องที่ทำให้ตัวเองเสียใจและทำให้ฝ่ายตรงข้ามเข้าใจผิดอีกจิ่งสือเยี่ยนไม่ได้ไปตามล่าจิ่งโม่เยี่ยโดยตรง เขาวางแผนท