“ถึงตอนนั้นปลาใหญ่ที่เจ้าบอกว่าเพิ่งจะจับได้ หรือแม้กระทั่งญาติโยมที่มาสักการะบูชาที่อารามของเจ้าบ่อยๆ ก็คงไม่เชื่อเจ้าอีก“พออารามของเจ้าไม่มีคนมาสักการะบูชา ไม่มีใครนับถือเจ้ากับพระลูกวัดทั้งหลายในอารามแห่งนี้ พวกเจ้าก็จะอดตายกันทั้งหมด”เจ้าอาวาส “!!!!!!”เรื่องนี้แค่คิดเขาก็หวาดกลัวแล้วเขาอดค่อนขอดไม่ได้ “ทำแบบนี้แล้วเจ้าจะได้ประโยชน์อะไรล่ะ?”เฟิ่งชูอิ่งยิ้มตอบ “ไม่ได้ประโยชน์หรอก ข้าก็แค่ได้สั่งสอนศิษย์ที่ขัดคำสั่งเท่านั้น“สำหรับข้าแล้ว ศิษย์ที่ไม่เชื่อฟังก็ไม่จำเป็นต้องมี ภายภาคหน้าข้าค่อยรับศิษย์ว่านอนสอนง่ายอีกสักหลายๆ คน”เจ้าอาวาส “......”เขาสูดหายใจลึกๆ “เจ้าทำแบบนี้ ท่านอ๋องไม่คิดจะจัดการบ้างหรือ?”เฟิ่งชูอิ่งยิ้มบางๆ “ท่านอ๋องรักข้าจะตายไป ไม่ว่าข้าจะทำอะไรเขาก็สนับสนุนทั้งนั้น“อีกอย่างนะ คราวนี้ข้าก็ทำเพื่อช่วยเขาด้วย หลังจากเสร็จเรื่องแล้ว ก็สามารถช่วยเขาคลายคำสาปได้”เจ้าอาวาส “......”ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าจิ่งโม่เยี่ยได้พบเฟิ่งชูอิ่ง หลังจากนี้ไปเขาก็ไม่ต้องยุ่งเรื่องการแก้คำสาปแล้ว เขาดีใจที่หมดภาระอยู่พักใหญ่เลยคิดไม่ถึงเลยว่าเรื่องแก้คำสาปเพียงแค่อ้อมไปรอบๆ สุด
เฟิ่งชูอิ่เหลือบมองเจ้าอาวาสด้วยหางตา เลิกคิ้วเล็กน้อย “ศิษย์รัก!”“นี่จะเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องมากที่สุดในชีวิตของเจ้า เรื่องราวครั้งนี้จะต้องถูกบันทึกลงในประวัติศาสตร์ เจ้าจะกลายเป็นบุคคลอันดับหนึ่งของพุทธศาสนา!”เจ้าอาวาสรู้สึกว่าเรื่องบางอย่าง เอาไว้เขารอดชีวิตมาได้ก่อนถึงจะเป็นจริง เพราะมีโอกาสสูงมากที่เขาจะตายในศึกครั้งนี้แต่หากเขาไม่ตอบตกลง นางก็จะใช้ยันต์อสนีบาตส่งเขาสู่สวรรค์เขาใช้มือดึงปากให้โค้งสูงเป็นรอยยิ้ม “ขอบคุณเจ้าแล้วกันนะ!”เฟิ่งชูอิ่งตบไหล่เขาเบาๆ “ไม่ต้องเกรงใจ!”เจ้าอาวาส “......”นางยังคิดว่าเขาขอบคุณจากใจจริงอีกหรือ?หลังจากคุยเรื่องนี้จบ ก็เหลือแค่จัดเตรียมกองกำลังไปท้ารบกับอารามเทียนอี้เฟิ่งชูอิ่งเคยเห็นความสามารถของเจ้าอาวาส รู้ว่าเขามีกำลังรบแข็งแกร่งสูงสุดในอารามพุทธแห่งนี้ คนอื่นๆ ไม่ต้องพูดถึงหรอก นางต้องการแค่เติมจำนวนคนให้ครบ ช่วยกันประกาศคำขวัญเท่านั้นภายใต้สถานการณ์แบบนี้ การไปท้ารบกับอารามเทียนอี้ กลอุบายเป็นเรื่องสำคัญมากก่อนจะพูดถึงแผนการรบครั้งนี้ นางคิดว่าควรจะต้องให้กำลังใจเจ้าอาวาสสักหน่อย เพื่อเพิ่มความกล้าหาญนางจึงกล่าวว่า “หลายปีมานี
เฟิ่งชูอิ่ง “......”นางอยากให้เขาชอบหรือไง? สมองมีปัญหาชัดๆ เลย!ปู๋เยี่ยโหวเอ่ยต่อว่า “เมื่อครู่นี้ข้าได้ยินเจ้าบอกว่าจะไปหาเรื่องต่อยตีกับอารามเทียนอี้ ข้าสนับสนุนเจ้าด้วยคน!”เฟิ่งชูอิ่ง “......”ไอ้หมอนี่แอบฟังชาวบ้านคุยกันนานแค่ไหนแล้วเนี่ย?เจ้าอาวาสเริ่มนั่งไม่ติดที่ เอ่ยอย่างร้อนใจ “ท่านโหว โยมเฟิ่งเพียงแค่พูดเล่นเท่านั้น ท่านอย่าเก็บไปใส่ใจเลย”ปู๋เยี่ยโหวไม่สนใจเขาแม้แต่น้อย และเดินเข้ามาวนเวียนรอบตัวเฟิ่งชูอิ่ง เขาเดินวนไปรอบๆ พร้อมกับส่งเสียงชิชะไปด้วยเฟิ่งชูอิ่งอดไม่ได้จึงเอ่ยถาม “ท่านโหวมีอะไรจะชี้แนะหรือ?”ปู๋เยี่ยโหวกางพัดในมือออกแล้วโบกเบาๆ “ก่อนหน้านี้ข้าสงสัยมาก ทำไมเจ้าคนอายุสั้นอย่างจิ่งโม่เยี่ยถึงได้เป็นห่วงเป็นใยหญิงสาวชนบทที่ไม่เคยพบเจอโลกกว้างอย่างเจ้านักหนา...”“ขอขัดสักนิดนะ” เฟิ่งชูอิ่งเอ่ยอย่างเหลืออด “หากท่านโหวมีธุระก็พูดออกมาเถอะ อย่าวิจารณ์คนอื่นเลย”ปู๋เยี่ยโหวยิ้มบางๆ “ไม่สำคัญหรอก ที่สำคัญคือสิ่งที่ข้าจะพูดหลังจากนี้”เขาหันมองเจ้าอาวาสแวบหนึ่งแล้วกล่าว “ก่อนหน้านี้ข้าสงสัยมากกว่าอารามที่เคยเงียบสงัดเหมือนรกร้าง จู่ๆ ทำไมถึงมียันต์ออกมาวางขายมากมาย
ไอ้บุรุษสุนัขนี่สุดโต่งไปเลย มีใครที่ไหนมาวัดวาอารามแล้วพกตำราวสันต์ติดตัวมาบ้าง!นี่เป็นการล่วงละเมิดแล้วนะ เฟิ่งชูอิ่งไม่คิดจะทนต่อไปแน่นอน นางจึงหยิบยันต์อสนีบาตที่ใช้ข่มขู่เจ้าอาวาสออกมาแปะใส่เขาเจ้าอาวาสที่อยู่ข้างๆ ดวงตาเปล่งประกายระยิบระยับ มีคนกำลังจะถูกฟ้าผ่าเป็นเพื่อนเขาแล้ว ความรู้สึกนี้มันดีจริงๆในที่สุดเขาก็ไม่ใช่คนเดียวที่จะถูกฟ้าผ่าแล้ว!ทว่าสายฟ้าดังกล่าวยังไม่ทันจะฟาดลงมา เฟิ่งชูอิ่งก็รู้สึกว่าซวยแล้วไงเพราะสำหรับเจ้าอาวาส เขาเป็นคนเดียวที่ถูกสายฟ้าฟาดใส่ ทว่าสำหรับปู๋เยี่ยโหว สายฟ้าไม่ได้ฟาดโดนเขาเพียงผู้เดียวเท่านั้นเพราะว่ารอบกายเขามีวิญญาณร้ายเกาะติดจำนวนมาก สายฟ้ายังเป็นขั้วตรงข้ามกับวิญญาณร้ายอีกด้วยพอสายฟ้าฟาดลงมาแบบกะทันหันจึงไม่ทันได้ตั้งตัวกันทั้งหมด วิญญาณร้ายที่ติดตามปู๋เยี่ยโหวจึงถูกสายฟ้าฟาดจนสลายหายไปหมด!เฟิ่งชูอิ่งเห็นฉากตรงหน้าแล้วก็รู้สึกวิงเวียนเหมือนจะเป็นลม นางโดนหางเลขให้ต้องร่วมรับผลกรรมกับปู๋เยี่ยโหวโดยไม่ได้ตั้งใจแล้วนางยกมือขึ้นกุมขมับด้วยความปวดหัวขณะที่ปู๋เยี่ยโหวพ่นควันดำออกมาจากปาก ดวงตากลับสุกใสเป็นประกาย เขาพรูลมหายใจออกมาด้วยควา
พอถูกปฏิเสธแบบนี้ ทั้งสองคนก็เลยสร้างความบาดหมางต่อกันขึ้นมาเพราะว่าความบาดหมางนี้แหละ ปู๋เยี่ยโหวถึงได้อยากจะฆ่าเทียนซือให้ตายเพราะก่อนที่เขาจะถูกวิญญาณร้ายติดตาม แม้มีใจอยากจะทำอะไรก็ไร้กำลังไปหมดประกอบกับอารามเทียนอี้มีกลอุบายหลากหลายซับซ้อน จนเขาไม่อาจสงบใจได้ตอนนี้พอเห็นว่าเฟิ่งชูอิ่งจะไปจัดการอารามเทียนอี้ อย่างไรเรื่องนี้เขาก็ต้องได้เข้าร่วมด้วยสิ หากเขาฉวยโอกาสนี้ฆ่าเทียนซือทิ้งได้ ก็จะยิ่งดีเข้าไปใหญ่!เฟิ่งชูอิ่งได้ยินสิ่งที่เขาพูดก็มองออกทันทีว่าเป็นเรื่องไม่จริงแต่ไม่ว่าเขาจะพูดความจริงหรือไม่ก็ไม่สำคัญหรอก ที่สำคัญคือเขาคิดจะฆ่าเทียนซือให้ตายจริงๆ นางจึงขยับเข้าไปใกล้เขามากกว่าเดิม ถามว่า “ถ้างั้นข้าขอดูหน่อยได้ไหมว่าท่านโหวมีใจจะฆ่าเทียนซือแค่ไหน?”ปู๋เยี่ยโหวถาม “แล้วข้าต้องทำอย่างไรล่ะ ถึงจะแสดงความตั้งใจให้เจ้าเห็นได้?”เฟิ่งชูอิ่งยิ้มตอบ “เรื่องนี้ง่ายมาก ก็แค่ดูว่าท่านโหวพร้อมจะส่งคนมามากแค่ไหน”สองชั่วยามต่อมา เฟิ่งชูอิ่งที่ยืนอยู่ด้านล่างอารามเทียนอี้ก็อยากจะถอนคำพูดของตัวเอง เพราะว่าปู๋เยี่ยโหวแสดงความจริงใจได้เต็มที่มาก!เขานำกำลังพลมาด้วยประมาณสองร้อยคน ซึ
เฟิ่งชูอิ่งหันไปสบตากับเจ้าอาวาสเจ้าอาวาสจึงวางท่าเป็นพระสงฆ์ผู้สูงส่ง กล่าวว่า “ข้าคิดว่าถึงคราวนี้พวกเราจะเป็นฝ่ายชนะ แต่ชื่อเสียงที่ถูกบันทึกในประวัติศาสตร์ของข้าก็น่าจะแปลกพิกลอยู่นะ“คิดว่านี่คงเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายในประวัติศาสตร์ ที่พระสงฆ์กับนักเลงจะร่วมมือกันท้าต่อยตีกับสำนักลี้ลับ“อย่างอื่นไม่เท่าไหร่ ลำพังแค่คนที่มาเข้าร่วมในศึกครั้งนี้ก็คู่ควรแก่การบันทึกแล้ว”พอถึงเวลาขึ้นมาจริงๆ เขากลับสงบนิ่งอย่างมาก เพราะการมีคนเพิ่มมามากมายขนาดนี้ ก็เท่ากับว่าพวกเขามีตัวช่วยเพิ่มมากขึ้นหากสู้กันจริงๆ เขาก็สามารถพาพระลูกวัดถอยหนีออกไปก่อนได้ ปล่อยให้นักเลงกับอันธพาลพวกนี้ได้อาละวาดเต็มที่ ลดโอกาสบาดเจ็บล้มตายของพระลูกวัดได้พอมีโอกาสรอดสูงขึ้น เขาก็หายกลัวในเสี้ยวพริบตาเฟิ่งชูอิ่งสูดหายใจลึกๆ พยายามบอกให้ตัวเองใจเย็นไว้ต่อให้วันนี้ปู๋เยี่ยโหวจะโผล่มาทำลายแผนการนางหมดสิ้น แต่ในเมื่อมาถึงจุดนี้แล้ว ก็ต้องปล่อยไปตามยถากรรมนางก็แค่ปรับตัวไปตามสถานการณ์เท่านั้นสิ่งที่นางกลัวมากที่สุดคือจะกลับไปรายงานจิ่งโม่เยี่ยอย่างไร เขาเป็นไหน้ำส้ม[footnoteRef:1]เสียด้วยสิ หากเขารู้ว่าปู๋เยี่ย
เขากล่าวถึงตรงนี้ก็พนมมือ เอ่ยเสียงนุ่มนวลว่า “ได้โปรดให้คำชี้แนะด้วย”ทว่าเขาเพิ่งจะพูดจบ เฟิ่งชูอิ่งก็ชูหมัดขึ้นมาแล้วเอ่ยว่า “เจ้าอาวาสแตกฉานในพระธรรมคำสอน วันนี้จะต้องจัดการเจ้าพวกนักพรตขี้โม้จนกลายเป็นใบ้พูดไม่ออกได้แน่นอน!”ปู๋เยี่ยโหวเห็นเรื่องสนุกก็กระโดดเข้าร่วมวงด้วย เขายกสองแขนกอดอก “รบกวนเจ้าอาวาสช่วยสั่งสอนให้พวกเขาเป็นผู้เป็นคนด้วย”บรรดานักเลงด้านหลังจึงชูหมัดแล้วตะโกนว่า “ทำลายอารามเทียนอี้ให้ราบคาบ ทำให้พวกเขาต้องไปกินขี้!”พวกเขาเกือบทั้งหมดใช้ชีวิตอยู่ในสถานที่ชั้นต่ำ เป็นคนประเภทที่นักพรตของอารามเทียนอี้ดูถูกเหยียดหยามอย่างสิ้นเชิงพวกเขาไม่มากก็น้อยล้วนเคยเกี่ยวข้องกับอารามเทียนอี้ พวกเขาเองก็ไม่ชอบท่าทางวางตัวสูงส่งของนักพรตในอารามเทียนอี้เหมือนกันอารามเทียนอี้ได้รับที่ดินจำนวนมากจากการบังคับบริจาค ซึ่งของพวกนั้นล้วนเป็นกิจการของชาวบ้านตาดำๆ พวกเขาเป็นนักเลงและอันธพาล แต่ไม่ได้แปลว่าพวกเขาจะไม่รู้จักผิดชอบชั่วดีในบรรดาพวกเขามีคนจำนวนหนึ่งถูกอารามเทียนอี้ยึดที่ทำกินไปด้วย เพราะไม่มีกินจึงต้องเข้าร่วมกับกลุ่มอันธพาลเหล่านี้เจ้าอาวาส “!!!!!!”เขากล่าวประโยคเดียว
ชิงสวี่เอ่ยเสียงเย็นชา “ข้ามองว่าพวกเจ้ามาหาเรื่องตายมากกว่า!“คิดจะวัดฝีมือกับท่านหัวหน้า ผ่านด่านข้าไปให้ได้ก่อนเถอะ!”เขากล่าวจบก็หยิบกล่องใบหนึ่งออกมา ก่อนจะท่องคาถาออกมาสองสามประโยคเพียงพริบตาเดียว ลมหนาวก็พัดพามาจากรอบด้าน พลังงานหนาวเหน็บอันรุนแรงถาโถมเข้าใส่พวกเขาชิงสวี่รู้ดีว่าเจ้าอาวาสมีความสามารถแค่ไหน ภิกษุคนนี้ถูกเรียกว่าอัจฉริยะของศาสนาพุทธ ความสามารถก็งั้นๆ วันนี้เขาจะมอบบทเรียนที่เจ้าอาวาสจะต้องจดจำไปจนวันตาย เอาให้เจ้าอาวาสสำนึกได้ว่าตนเองเป็นใครขณะเดียวกันเจ้าอาวาสก็เปิดเนตรทิพย์ของตนเองออก จึงมองเห็นวิญญาณร้ายที่ร้ายกาจจำนวนหนึ่งถูกปล่อยจากกล่องใบนั้นแล้วเขายังได้ยินเสียงสาปแช่งของชิงสวี่ที่บอกให้วิญญาณร้ายมาฉีกร่างเขาอีกเจ้าอาวาสพลันเดือดดาลขึ้นมา เขามาที่นี่เพื่อท้าทาย แต่คนพวกนี้กลับคิดจะฆ่าเขาให้ตาย?นักพรตของอารามเทียนอี้เสียสติกันไปหมดแล้ว!เขารีบท่องบทสวดของพระธรรมคำสอน พร้อมกับนับลูกประคำ ทว่าครู่ต่อมา วิญญาณร้ายที่พากันพุ่งมาหาเขากลับหนีกระเจิงกลับไปในเสี้ยวพริบตา นอกจากไม่ฉีกร่างพวกเขา ยังหันไปทำร้ายพวกชิงสวี่ด้วยเจ้าอาวาสยืนงง เมื่อครู่นี้วิญญาณร้า
เฟิ่งชูอิ่งพูดต่อว่า “แต่ตอนนี้ข้าไม่เหลือทั้งบิดามารดาแล้ว เจ้าห้ามรังแกข้าเชียวนะ!”จิ่งโม่เยี่ยยกมือสาบานต่อฟ้าทันที “หากข้าทำไม่ดีกับเจ้าในภายภาคหน้า ขอให้สวรรค์ลงทัณฑ์ส่งฟ้ามาผ่าให้ตาย!”เฟิ่งชูอิ่งหัวเราะ “เรื่องฟ้าผ่าไม่ต้องถึงมือสวรรค์หรอก ข้าก็ทำได้”จิ่งโม่เยี่ย “......”เขาเกือบลืมไปแล้วว่านางวาดยันต์ได้เก่งมาก ตราบใดที่นางต้องการ ใช้ฟ้าผ่าเขาก็ไม่ใช่เรื่องยากเฟิ่งชูอิ่งเห็นท่าทางของเขาก็แอบหัวเราะเบาๆ เอื้อมมือไปกอดแล้วซุกศีรษะพิงอกเขา กล่าวว่า “ข้าเชื่อใจท่าน”“ตอนนี้เราทั้งสองล้วนไม่มีพ่อแม่แล้ว ชีวิตที่เหลืออยู่ก็มีเพียงกันและกัน”“ต่อไปข้าจะดูแลเจ้าอย่างเต็มที่ จะไม่ระแวงเจ้าอีก ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ข้าจะเชื่อใจเจ้า”หัวใจที่ตึงเครียดของจิ่งโม่เยี่ยก็ผ่อนคลายลงในทันทีเขากอดนางตอบ “กาลเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าการตัดสินใจของเจ้าถูกต้อง”เขาโน้มตัวลงจูบหน้าผากนางเบาๆ เอ่ยอย่างอ่อนโยนว่า “ข้าจะทุ่มเททุกอย่างเพื่อรักเจ้า”เมื่อเฟิ่งชูอิ่งได้ยินคำพูดนี้ หัวใจก็สั่นไหว นางช้อนตามองขึ้นไปที่เขา ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความอ่อนโยนนางรู้ว่าคำพูดของเขาในตอนนี้ล้วนมาจ
ก่อนหน้านี้เขาไม่รู้ฐานะของจิ้งจอกสือซานเหนียง แต่ตอนนี้เขาพอจะเข้าใจได้หลังจากได้ยินบทสนทนาระหว่างจิ้งจอกสือซานเหนียงและเฟิ่งชูอิ่งจิ้งจอกสือซานเหนียงเห็นสีหน้าเคร่งขรึมของเขาก็หัวเราะเบาๆ ก่อนจะหันหลังเดินจากไปเฟิ่งชูอิ่งถามว่า “เจ้าจะไปไหน? ข้ายังมีเรื่องอยากจะถามเจ้าอีกมาก”จิ้งจอกสือซานเหนียงตอบว่า “ข้าจะไปหาที่ขับไล่พลังชั่วร้ายออกจากร่างกาย พอขับไล่เสร็จแล้วข้าจะกลับมาหาเจ้า”ตลอดหลายปีที่ผ่านมา นางฝึกฝนวิชาสายชั่วร้ายมากมาย ทำให้พลังชั่วร้ายในร่างกายมีมากเกินไป หากอยู่ใกล้ใครนานๆ จะมีผลกระทบต่อคนรอบข้างเฟิ่งชูอิ่งจึงเตือนนางว่า “เจ้าอย่าผิดคำพูดล่ะ ข้าจะรอเจ้ากลับมา!”จิ้งจอกสือซานเหนียงโบกมือแล้วบอกว่า “วางใจเถอะ ข้าจะกลับมาแน่นอน”หลังจากนางเดินออกไปไกลแล้ว เฟิ่งชูอิ่งก็ถอนหายใจยาวๆ และเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากแยกทางกันให้จิ่งโม่เยี่ยฟังหลังจากที่จิ่งโม่เยี่ยได้ยินเรื่องของเหมยตงยวน เขาก็เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “เพราะรักถลำลึกจึงไม่ยืนยาว เรื่องระหว่างท่านพ่อกับท่านแม่ช่างน่าเศร้า”เฟิ่งชูอิ่งกล่าวอย่างแผ่วเบาว่า “ดังนั้นการสื่อสารจึงสำคัญ ต่อไปไม่ว่าจะมี
สิ้นเสียงของนาง สายฟ้าก็ฟาดลงมาอีกครั้ง ทำให้พลังที่พุ่งพล่านของเขาสลายไปจิ่งสือเยี่ยน “!!!!!!!!”หลังจากถูกอสนีบาตฟาดใส่อย่างต่อเนื่องห้าครั้ง ร่างวิญญาณของเขาก็จางลงอย่างมากแต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังไม่ตายเฟิ่งชูอิ่งถึงกับตกใจ ชีวิตของจิ่งสือเยี่ยนช่างแข็งแกร่งเสียจริง!นางอดสงสัยไม่ได้ว่าเขาจะกลายเป็นเทียนซือคนที่สอง และจะกลายเป็นภัยพิบัติในอนาคตนางกำลังจะม้วนแขนเสื้อขึ้นเพื่อเสกยันต์ใส่จิ่งสือเยี่ยนอีกครั้ง แต่กลับมีเงาร่างหนึ่งพุ่งเข้ามาแล้วกลืนเขาเข้าไปทั้งตัวเฟิ่งชูอิ่ง “!!!!!!”จิ้งจอกสือซานเหนียงเรอออกมาคำโตแล้วบอกว่า “เขาเป็นอาหารที่ข้าหมายตาไว้แต่แรก”“การปล่อยให้อาหารหลุดมือไป เป็นเรื่องที่ไม่อาจให้อภัยได้”เฟิ่งชูอิ่ง “......”นางเคยจินตนาการถึงความตายของจิ่งสือเยี่ยนไว้หลายแบบ แต่ไม่มีฉากจบแบบนี้อยู่เลยนางได้คงบอกได้แค่ว่าจิ้งจอกสือซานเหนียงเจ๋งสุดยอด!ขณะเดียวกันนั้นจิ่งโม่เยี่ยก็เดินเข้ามา เขาจ้องมองจิ้งจอกสือซานเหนียงด้วยความระแวดระวัง มือจับกระบี่เอาไว้ เตรียมพร้อมที่จะฟันจิ้งจอกสือซานเหนียงได้ทุกเมื่อเฟิ่งชูอิ่งบีบมือเขาเบาๆ ให้เขาผ่อนคลายจิ้งจอก
แต่ทว่าคันธนูของจิ่งสือเยี่ยนเพิ่งจะยกขึ้นมา ก็มีลูกธนูที่เร็วกว่าพุ่งทะลุหัวใจของเขาในทันทีจิ่งสือเยี่ยนมองลูกธนูที่ปักอยู่บนอกด้วยความไม่อยากเชื่อ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองและเห็นดวงตาที่เย็นชาของจิ่งโม่เยี่ยเมื่อครู่นี้พวกเขาทั้งสองยังมีระยะห่างต่อกันอยู่แท้ๆ และตำแหน่งที่เขาหลบอยู่ก็เป็นมุมอับที่จิ่งโม่เยี่ยยิงมาไม่ถึงทว่าเพียงแค่อึดใจเดียว จิ่งโม่เยี่ยก็ปรับตำแหน่งได้อย่างรวดเร็วและยิงธนูทะลุหัวใจเขาได้ในนัดเดียวในตอนนี้จิ่งสือเยี่ยนกับจิ่งโม่เยี่ยไม่ได้อยู่ห่างกันมากนัก แต่ถ้าพูดคุยกันตามปกติก็คงไม่ได้ยินทว่าในเวลาเช่นนี้ จิ่งสือเยี่ยนกลับได้ยินเสียงของจิ่งโม่เยี่ย “คนที่กล้าทำร้ายชูอิ่งต้องตาย!”ก่อนหน้านี้จิ่งสือเยี่ยนคิดแค่ว่าจิ่งโม่เยี่ยดีต่อเฟิ่งชูอิ่งมาก ทว่าตอนนี้เขาเพิ่งได้รู้ซึ้งเรื่องบางอย่างเฟิ่งชูอิ่งไม่ใช่แค่จุดอ่อนของจิ่งโม่เยี่ย แต่เป็นทั้งชีวิตของเขาแต่มาเข้าใจเอาป่านนี้ก็สายไปแล้วในตอนนี้เฟิ่งชูอิ่งยังคงนอนคว่ำอยู่บนพื้นหิมะ นางได้ยินเสียงวัตถุแหวกอากาศจึงหันไปมอง และเห็นภาพของจิ่งสือเยี่ยนล้มลงกับพื้นในเวลานี้ เฟิ่งชูอิ่งก็เข้าใจใด้ทันทีว่าในโลกน
ในเมื่อเขาไม่ได้ราชบัลลังก์และเฟิ่งชูอิ่งมาครอบครอง ราชบัลลังก์เขาอาจจะทำลายไม่ได้ แต่เฟิ่งชูอิ่งแค่คนเดียวเขาทำลายได้แน่นอนองครักษ์สองคนของเขารีบเปลี่ยนมาง้างคันธนูเล็งไปที่เฟิ่งชูอิ่ง ทว่าลูกธนูยังไม่ทันได้ยิงออกไป ก็ถูกบางสิ่งบางอย่างปัดออกไปอีกครั้งในตอนนี้จิ่งสือเยี่ยนก็พลันเข้าใจบางอย่างขึ้นมาทันทีตลอดทางที่ผ่านมา วิญญาณร้ายของเฟิ่งชูอิ่งถึงจะมาแล้ว แต่ก็ไม่ได้ลงมือ นั่นก็น่าจะมีเหตุผลที่ลงมือไม่ได้วิญญาณร้ายโจมตีองครักษ์ของเขา แต่กลับไม่โจมตีเขา นั่นก็หมายความว่าวิญญาณร้ายเหล่านั้นโจมตีเขาไม่ได้เขานึกถึงข่าวลือที่เคยได้ยินมาว่า พลังมังกรของผู้เป็นฮ่องเต้เป็นสิ่งที่ปราบภูตผีปีศาจได้วิญญาณร้ายไม่โจมตีเขา นั่นแสดงว่าวิญญาณร้ายทำอะไรเขาไม่ได้ แปลว่าเขามีพลังมังกรอยู่ในตัว?ความคิดนี้ทำให้จิตใจเขาฮึกเหิมขึ้นมาทันที เขารีบหยิบธนูของตัวเองขึ้นมา อดทนต่อความเจ็บปวดจากบาดแผลแล้วยิงธนูไปที่หลังของเฟิ่งชูอิ่งเฉี่ยวหลิงเห็นภาพนี้ก็ตกใจ รีบยื่นมือออกไปเพื่อจะรับลูกธนูนั้นทว่าลูกธนูนั้นเปื้อนเลือดของจิ่งสือเยี่ยน เลือดนั้นเป็นอันตรายต่อวิญญาณร้ายอย่างมาก มือของนางแค่เพียงสัมผ
หิมะยังคงโปรยปรายลงมา โลกนี้เงียบสงัด มีเพียงเสียงฝีเท้ากระทบกับพื้นหิมะดังฟุ่บฟั่บช่วงใกล้รุ่งสาง ชวีเหลียงอวี่ก็มาปรากฏตัวและเอ่ยขึ้นทันทีว่า "ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการรออยู่ข้างนอกแล้ว"เมื่อได้ยินดังนั้น เฟิ่งชูอิ่งก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยนางหันไปบอกกับจิ่งสือเยี่ยนว่า "เมื่อครู่ข้าลองคิดดูดีๆ แล้ว รู้สึกว่าที่เจ้าพูดก็มีเหตุผลอยู่บ้าง การมีชีวิตอยู่ก็ไม่เลว"จิ่งสือเยี่ยน “......”หลังจากผ่านมาทั้งคืน นางกลับปลงตกในเรื่องเช่นนี้ได้ ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจอยู่เล็กน้อยแต่การที่นางคิดได้ในตอนนี้ก็เป็นเรื่องดีเขาจึงพูดว่า "หลายสิ่งหลายอย่างทำได้ตอนมีชีวิตอยู่เท่านั้น ตายไปแล้วทำไม่ได้""ตราบใดที่เจ้าพาข้าออกจากค่ายกลแห่งนี้ ข้าจะไม่สร้างความลำบากให้เจ้าอีก”เฟิ่งชูอิ่งพยักหน้า "ก็ได้ งั้นตอนนี้ข้าจะพาเจ้าไปทำลายค่ายกล"พูดจบนางก็ควบม้านำหน้าไป จิ่งสือเยี่ยนรีบนำทหารตามไปทันทีเพียงแต่พวกเขาเดินวนเวียนอยู่ที่นี่ทั้งคืน ทั้งเหนื่อยทั้งหิว พลังจึงลดลงไปมากเฟิ่งชูอิ่งมียันต์ป้องกันความหนาวติดตัวอยู่จึงไม่รู้สึกหนาว ก่อนหน้านี้ก็นอนหลับมาตลอดทาง ทำให้รักษาพลังงานไว้ได้มากที่สุ
เขาไม่เคยเจอใครดื้อด้านเท่านางมาก่อน!เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อระงับโทสะ เพราะตอนนี้เขาไม่สามารถตบตีหรือด่าทอนางได้ทั้งนั้นเขาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เจ้าอยากไปเจียงหนานไม่ใช่หรือ? พอออกจากที่นี่ได้ ข้าจะไม่ขัดขวางเจ้า เจ้าก็จะได้ไปชมวิวทิวทัศน์เจียงหนานที่เจ้าอยากเห็น”“เจียงหนานในฤดูหนาวที่มีหิมะปกคลุมทั้งงดงามและน่าหลงใหล ถ้าเจ้ายังไม่เคยเห็น ต้องไปดูด้วยตาตัวเองให้ได้เลย”เฟิ่งชูอิ่งยังคงนอนอยู่บนพื้นไม่ยอมลุกขึ้น “ไม่ไป อากาศหนาวเกินไป เดินทางเหนื่อยเกินไป”จิ่งสือเยี่ยน “…...”ตั้งแต่วินาทีที่เขาติดกับอยู่ที่นี่ สถานะระหว่างเขากับเฟิ่งชูอิ่งก็สลับกันโดยสิ้นเชิงเพราะเขามีความทะเยอทะยาน อยากใช้ชีวิตอย่างสุขสบายยิ่งเฟิ่งชูอิ่งแสดงออกว่าอยากตายมากเท่าไหร่ จิ่งสือเยี่ยนก็ยิ่งไม่ยอมให้นางตายมากขึ้นเท่านั้นดังนั้นตอนนี้นางจึงควบคุมเขาได้อย่างเบ็ดเสร็จการที่นางแสดงท่าทีไม่ยอมทำตามไม่ว่าเขาจะใช้ไม้แข็งหรือไม้อ่อนเช่นนี้ ทำให้เขาแทบเป็นบ้าจิ่งสือเยี่ยนไม่เคยคิดฝันมาก่อนว่าการจับตัวประกันจะน่าอึดอัดขนาดนี้เฟิ่งชูอิ่งนอนเอกเขนกอยู่ตรงนั้นอย่างสบายใจ เหตุผลก็ง่ายๆ นางใช้
เฟิ่งชูอิ่งยิ้มแล้วถามว่า “ทางที่ข้าชี้นำ เจ้ากล้าเดินตามหรือ?”เมื่อมาถึงตอนนี้แล้ว นางก็คร้านจะเสแสร้งต่อไปสีหน้าของจิ่งสือเยี่ยนแข็งค้างไปครู่หนึ่ง นางพูดอย่างเฉื่อยชาว่า “เพราะพวกเจ้าติดอยู่ที่นี่ คงรู้สึกหนาวเหน็บและหวาดกลัว”“เจ้าบาดเจ็บ ในสภาพอากาศหนาวเย็นเช่นนี้ แผลของเจ้าจะยิ่งทรุดหนัก”“เจ้ารีบร้อนมารวบรวมกำลังพลของกองกำลังอวี๋ซาน เจ้าคงไม่ได้พกอาหารมาด้วยมากนัก ดังนั้นตอนนี้พวกเจ้าคงหิวมากแล้ว”“ในสถานการณ์เช่นนี้ แค่ข้ากักขังพวกเจ้าไว้ที่นี่ ต่อให้ไม่หนาวตาย พวกเจ้าก็คงอดตายอยู่ดี”ขณะนี้หิมะขาวโพลนโปรยปรายไปทั่ว อากาศหนาวเหน็บ สภาพอากาศเช่นนี้คงจะดำเนินต่อไปเป็นเวลาอย่างน้อยครึ่งเดือนเป็นอย่างที่เฟิ่งชูอิ่งบอก พวกเขาเดินทางมาที่นี่โดยไม่ได้พกเสบียงอาหารแห้งหรืออะไรทำนองนั้นมาด้วยเลยด้วยเหตุนี้ตอนที่พวกเขาเดินวนจนครบรอบที่สาม เสบียงอาหารก็หมดลงตอนนี้ฟ้าเริ่มมืดแล้ว หลังจากตกกลางคืน อากาศจะยิ่งหนาวเย็นลง พวกเขาจะยิ่งลำบากมากขึ้นจิ่งสือเยี่ยนชักกระบี่ยาวออกมา “เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าข้าสามารถบั่นคอเจ้าด้วยกระบี่เล่มนี้ได้!”เฟิ่งชูอิ่งยิ้มหวานแล้วเอ่ยว่า “เอาเลย ฆ
เขาคลี่ยิ้มมุมปากเล็กน้อย “ได้”หลังจากฆ่าจิ่งโม่เยี่ยแล้ว จะปล่อยนางไปหรือไม่ เรื่องนี้เขาจะเป็นคนตัดสินใจนางเป็นผู้หญิงคนแรกที่เขารู้สึกชอบจริงๆ และนางก็เป็นผู้หญิงคนแรกที่ทำให้เขารู้จักกับความล้มเหลวเขารู้ว่านางมีวิธีการบางอย่างที่คนทั่วไปไม่มี ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าประมาท เขาจะป้อนยาที่ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงให้นางกินทุกวันเฟิ่งชูอิ่งรู้ทันความคิดของเขา และยอมให้ความร่วมมือแต่โดยดีขณะที่ในใจของนางกำลังครุ่นคิด ครั้งที่แล้วโดนไปขนาดนั้นยังรอดมาได้ ถ้าอย่างนั้นก็ต้องหาโอกาสฆ่าเขาให้ตายสนิทแบบไม่มีสิทธิ์ฟื้นขึ้นมาอีกนางพลันนึกถึงเรื่องที่เหมยตงยวนวิญญาณแหลกสลายหลังจากรู้ข่าวการตายของเฟิ่งชิงหลิง จิตใจนางจึงหม่นหมองตามไปด้วยนางรู้ว่าเหมยตงยวนรักเฟิ่งชิงหลิงอย่างสุดซึ้ง แต่ไม่คิดว่านั่นจะเป็นรากฐานที่ทำให้เขามีชีวิตอยู่ในโลกใบนี้เพราะนางเห็นความรักของพวกเขา นางจึงยิ่งรู้ชัดว่าตัวเองมีความรู้สึกแบบไหนต่อจิ่งโม่เยี่ยในเมื่อรักแล้ว ก็ต้องรักให้สุดหัวใจอย่าได้ทำเรื่องที่ทำให้ตัวเองเสียใจและทำให้ฝ่ายตรงข้ามเข้าใจผิดอีกจิ่งสือเยี่ยนไม่ได้ไปตามล่าจิ่งโม่เยี่ยโดยตรง เขาวางแผนท