ผ่านไปเพียงข้ามวัน คุณชายตระกูลมู่หรงก็เป็นฝ่ายพบศพของบุคคลที่มีรูปพรรณสัณฐานใกล้เคียงกับชายที่ทำร้ายมู่หรงเยว่ชิง แม้ใบหน้าจะมีบาดแผลเหวอะหวะขนาดใหญ่ แต่ทั้งเพ่ยเพ่ยและเยว่ชิงก็จำคนได้แม่น
ข่าวนั้นมาถึงตำหนักของหลี่อวี้อ๋องที่ได้แต่นั่งสงสัยว่าชายวิกลจริตคนหนึ่ง ไฉนจึงถูกเอาชีวิตเพียงวันเดียวหลังจากทำเรื่องร้ายแรงลงไป โดยที่การเข่นฆ่านั้นไม่ได้มาจากคู่กรณีเสียด้วยซ้ำ ใครฆ่าและฆ่าไปเพื่ออะไร การทะเลาะวิวาทมีปากเสียงที่ไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้เลยอย่างนั้นหรือ “ได้อะไรเพิ่มเติมบ้างหรือไม่” “สันนิษฐานว่าเป็นการทะเลาะแล้วพลั้งมือฆ่า แต่เมื่อค้นตัวดูแล้วมีทรัพย์สินหายไปด้วย จึงอาจกลายเป็นชิงทรัพย์ก็ได้เช่นกันพะย่ะค่ะ” ฉีฟ่างเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า ก่อนจะนั่งลงเมื่อหลี่อวี้อ๋องทำมือเป็นสัญญาณ “ก็เท่ากับว่ามันไม่ใช่กบฏ แต่เป็นชาวบ้านจิตไม่ปกติธรรมดาที่คลั่งอยากจะทำร้ายชิงเอ๋อร์อย่างนั้นหรือ” “นั่นคือสิ่งที่กระหม่อมคิดในตอนแรก แต่เมื่อสืบค้นลงไปก็พบว่ามันมีคนพาหนีหลังจากเรื่องเมื่อวานจริง หากเป็นชาวบ้านธรรมดาจะต้องมีคนพาหนีไปทำไม” “หรือจะเป็นฆ่าตัดมู่หรงเซียนหลิวนั่งอยู่ในห้องบุตรีเพียงคนเดียวของตน มือหนาวางถ้วยชาที่ยกขึ้นดื่มระหว่างการสนทนาอันเคร่งเครียดลง เขาถามนางว่าระหว่างองค์ชายชางและหลี่อวี้อ๋อง หากไม่นับเรื่องความเหมาะสมหรือการต้องตอบแทนบุญคุณบุพการีโดยการทำตามคำสั่ง หัวใจของนางปรารถนาผู้ใดระหว่างสองคนนี้ และนางก็อึกอักในคำตอบอยู่เป็นนานสองนาน “พ่อคิดว่าเจ้าสนิทชิดเชื้อกับท่านอ๋องมากกว่าเป็นไหน ๆ” ผู้เป็นบิดาไฉนจะดูไม่ออก “เรื่องนั้นก็จริงเจ้าค่ะ” หากพูดในแง่ของความรู้สึกแล้ว เยว่ชิงไม่มีข้อกังขาใดเลย นางใกล้ชิดกับหลี่อวี้อ๋องยิ่งนัก ทั้งยังชอบที่จะอยู่กับเขา ให้เขาสอนนางทำสิ่งต่าง ๆ ทั้งขี่ม้า เดินหมาก ให้เขาช่วยเลือกซื้อสิ่งของมากมาย นางอ่อนไหวกับสัมผัสจากฝ่ามือหนา ปลายนิ้วที่แตะโดนแก้ม เสียงหัวเราะและรอยยิ้มดังก้องที่ประทับอยู่ในหัวใจของนาง “แล้วเจ้าลังเลด้วยเหตุใด” เยว่ชิงไม่ได้ตอบออกไปในทันที ด้วยเกรงว่าบิดาเองก็จะขบขันแล้วล้อเลียนนาง นางพยายามคิดถึงอนาคตระยะยาวของตัวเองกับการได้อภิเษกกับบุรุษที่ร่ำรวยเป็นอันดับต้น ๆ ของแคว้น ซึ่งบังเอิญเป็นโอรสฮ่องเต้อีกต่างหาก แม้ในตอนนี้ที่นางไม่ได้เป็น
การเข้าพบหลี่อวี้อ๋องในวันนั้นไม่ได้มีเพื่อกระชับความสัมพันธ์ใด ๆ อย่างที่นางเข้าใจ เขาไม่ได้เบื่อหน่ายสตรีนางนั้น ซ้ำยังไปมาหาสู่อย่างเปิดเผยมากยิ่งขึ้น แม้แต่ข่าวที่ว่าท่านหญิงนั่นเคยถูกวางตัวไว้สำหรับองค์ชายชางเห็นทีจะไม่เป็นความจริง หรือถึงจริง องค์ชายก็ย่อมยินดีที่จะหลีกทางให้หลี่อวี้อ๋องอยู่ดี จะมีสิ่งใดบ้างที่คนเช่นเขาต้องการแล้วจะเอามาครอบครองไม่ได้เขาคงจะมีจิตใจรักใคร่มู่หรงเยว่ชิงมากกว่าที่คิด ถึงขนาดหอบข้าวหอบของมากมายไปให้ แล้วยังนั่งวาดรูปหลังขดหลังแข็งอีก นางยังจำได้ถึงวันที่เรียกจิตรกรหลวงเข้าพบแล้วทำท่ารำคาญใจที่นางเสนอหน้าไปในเวลาเดียวกันพอดี ถ้าหากไม่หลงมาก จะลงทุนวาดไปทำไมคิดแล้วมันก็น่าโมโหนัก นอกจากมู่หรงเยว่ชิงจะได้รับความรักความเมตตาอย่างไม่เป็นธรรมจากฮ่องเต้ ยังจะดวงแข็งไม่เจ็บไม่ป่วยได้สักที หรือนางต้องจัดการขั้นเด็ดขาด ในเมื่อจะเอาให้เสียโฉมแล้วมันไม่สำเร็จผล ก็ลบนางออกไปจากโลกไม่ดีกว่าหรือ หากไม่มีนังผู้หญิงคนนั้นอยู่แล้ว หลี่อวี้อ๋องจะไปไหนได้ ก็ต้องกลับมาหานางอยู่ดี ในเมื่อนางคือคนที่เหมาะสมตั้งแต่ต้น แม้แต่ฮ่องเต้ยังทรงมองออก
“เจ้าแน่ใจได้อย่างไร” เพ่ยเพ่ยยิ้มแพรวพราว เยว่ชิงไม่เคยสังเกตมาก่อนเลยว่าบ่าวคู่ใจของตนเองแก่นแก้วและเจนจัดถึงเพียงนี้แล้ว “หากในยามปกติก็อาจจะไม่แน่ใจนัก แต่ตอนที่คุณหนูนอนเจ็บ เพียงแค่รู้ข่าว ท่านอ๋องก็รีบรุดมาทันทีทันใด นั่งเฝ้าท่านอยู่ไม่ห่าง แม้ยามท่านฟื้นก็ยังคอยดูทุกฝีก้าว เอาของมาให้เพื่อปลอบและเรียกขวัญกำลังใจของท่าน แบบนี้จะไม่ให้บ่าวแน่ใจได้อย่างไรเจ้าคะ” เพียงแค่ฟัง นางก็รู้สึกอบอุ่นขึ้นมาในหัวใจ แม้จะหวาดหวั่นถึงเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่ลึก ๆ แต่เพียงเห็นหน้าเขา ความกลัวก็หายไปในบัดดล “ข้าหวังว่าท่านพ่อก็จะคิดเช่นที่เจ้าคิด” “ท่านไม่ได้ตอบท่านแม่ทัพไปหรือเจ้าคะ” “ข้าไม่รู้จะตอบอย่างไร เป็นหญิงจะให้ออกปากเลือกเองหรือ แล้วอีกอย่าง…ข้าไม่รู้ว่าท่านอ๋องคิดเช่นไรกับข้า” “ก็ในเมื่อนายท่านถามนี่เจ้าคะ ข้าก็ไม่เห็นว่าจะเป็นอะไร ส่วนเรื่องท่านอ๋อง เชื่อบ่าวเถิดเจ้าค่ะ ท่านอ๋องมีใจให้คุณหนูของบ่าวอย่างแน่นอน” “เจ้านี่มันเหลือเกิน” คนโดนดุหัวเราะคิกคักขณะพานางเขาห้อง จัดการรินน้ำชาแล้วเอาพัดมาพัดวีให้ ก็พอดีกับที่พ่อบ้านมาแจ้งข่าว “คุ
หลังจากแยกจากกันคราวนั้นมู่หรงเยว่ชิงก็ไม่ได้มีโอกาสได้เจอกับท่านอ๋องไปอีกหลายวันราวกับเขาได้หายตัวเข้ากลีบเมฆไป ไม่มีข่าวคราวการเสด็จเยือนแคว้นทางเหนือกับฮ่องเต้เหมือนปีที่แล้ว ทุกอย่างไร้ความเคลื่อนไหว และเมื่อนางส่งคนไปที่ตำหนัก ก็ได้รับรายงานกลับมาว่าท่านอ๋องไม่ได้ประทับอยู่ที่นั่นนางร้อนใจกับการหายไปของเขา รวมถึงคำสุดท้ายที่ไม่มีโอกาสได้พูดบนสะพานนั่น ทุกวันที่นางได้แต่นั่งทอดถอนใจมองไปรอบห้อง แต่มองตรงไหนก็มักจะเห็นเขาอยู่ด้วยเสมอ แม้แต่เสื้อผ้าหลายต่อหลายชุดที่นางสวมใส่ เครื่องประดับที่นางหยิบใช้ ล้วนมาจากการเลือกของเขาทั้งสิ้น สวนด้านนอกที่เคยเดินหรือประตูจวนก็ทำให้นางหวนคิดถึงเขาอยู่ทุกขณะจิต“คุณหนูเจ้าขา หยุดเดินก่อนเถอะเจ้าค่ะ”นางถอนหายใจ หยุดตามคำบอกของเพ่ยเพ่ย แต่ยังไม่วายจ้องประตูไม่ลดละ กลัวว่าหากเขาเปิดเข้ามาแล้วนางจะคลาดกับเขาไปได้“คุณหนู หากท่านอ๋องจะเสด็จมา คงจะมีการแจ้งล่วงหน้าก่อนนะเจ้าคะ จ้องไปก็ไร้ประโยชน์” เพ่ยเพ่ยสงสารคุณหนูยิ่งนัก“บางครั้งเขาก็มาโดยไม่บอกกล่าว”“นั่นก็จริงอยู
เป็นอย่างที่คาดเมื่อฮูหยินคิดว่าการมอบของขวัญเล็ก ๆ น้อย ๆ นอกจากจะเพื่อตอบแทนน้ำใจไมตรีแล้วยังแสดงออกถึงการยอมรับความรู้สึกที่อีกฝ่ายหยิบยื่นให้ นางจึงยอมให้ลูกสาวออกไปหาซื้อของ ข้างนอกถือเป็นการแก้เบื่อด้วย โดยให้บ่าวรับใช้อีกสองคนนอกจาก เพ่ยเพ่ยตามไปด้วย มู่หรงเยว่ชิงไม่เคยเบื่อหน่ายต่อความคึกคักของผู้คนข้างนอก ร้านรวงที่พ่อค้าแม่ค้าขยันเรียกความสนใจจากลูกค้าและร้านอาหารที่มีกลิ่นหอมเชิญชวนให้นักเดินทางแวะเข้าไปตลอดเวลา นางได้ของเต็มไม้เต็มมือเช่นเคย แต่ความคิดที่จะถักเชือกประดับหยกสวย ๆ สักเส้นดูจะเข้าท่ากว่าความคิดอื่น จึงวางใจที่จะกลับจวนเพื่อไปดำเนินการต่อ ไม่ได้อยู่เดินเล่นอ้อยอิ่งดังเช่นทุกครั้ง บ่าวรับใช้หนึ่งคนไปเอารถม้า อีกสองคนคอยประกบนางไม่ห่าง แต่รออยู่นานสองนานก็ไม่มาสักที “จะเกิดอะไรขึ้นหรือเปล่านะ” “ข้าจะไปตามนะขอรับ” “เอาสิ” เยว่ชิงพยักหน้าอนุญาต แล้วบ่าวชายก็วิ่งหายไปอีกทาง คราวนี้รอไม่นานนัก รถม้าประจำตระกูลก็แล่นเข้ามาจอดตรงหน้า ทั้งนางและ เพ่ยเพ่ยก้าวขึ้นไปนั่งด้านในอย่างเรียบร้อย แรกเริ่มเดิมท
จวนมู่หรงไม่เคยอึมครึมและหม่นเศร้าขนาดนี้มาก่อน เมื่อไม่มีรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของหญิงสาวที่มักจะปรากฏตัวพร้อมกับความ รื่นเริงเสมอ ทุกอย่างก็เงียบเหงาลงจนไม่เหลือความรื่นรมย์ใด ๆ อีก แม้แต่ดอกไม้ในสวนก็ดูจะเหี่ยวเฉาตามร่างที่นอนไร้สติอยู่บนเตียงในห้องที่ รายล้อมไปด้วยของมีค่าที่นางรักนักหนา สมาชิกทุกคนจะผลัดเปลี่ยนกันมาอยู่เป็นเพื่อน หวังอย่าง เต็มเปี่ยมว่านางจะตื่นขึ้นมาและเห็นว่าพวกเขาไม่ได้ทอดทิ้งและนั่งอยู่ด้วยตลอดเวลา แค่รอเวลาที่นางจะตื่นขึ้นมาเท่านั้น และวันนี้ถึงทีหลี่อวี้อ๋องที่จะได้นั่งอยู่กับนาง เขาเอาหนังสือมาอ่านให้นางฟังด้วย แต่ก็ไม่มีวี่แวววว่านางจะรู้สึกตัว เขานั่งมองหน้านางอยู่เป็นนานจนกระทั่งตัดสินใจกลับ อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นอย่างไม่สมเหตุสมผลทำให้มู่หรงเยว่ชิงได้รับการกระทบกระเทือนที่ศีรษะ กระดูกบางส่วนหัก ทุกคนได้แต่หวังว่าการกระทบกระเทือนนี้จะไม่ส่งผลต่อสมองหรือความทรงจำ ซึ่งแม้แต่ หมอหลวงที่ฮ่องเต้ส่งมาให้ก็ไม่อาจรับประกันได้ “ท่านอ๋อง” “ข้าจะต้องเห็นนางบาดเจ็บอีกกี่ครั้งกัน ฉีฟ่าง” องครักษ์หนุ่มหยุดยืนอยู่ด้าน
แม่ทัพมู่หรงเดินกลับไปกลับมาอยู่หน้าห้องด้วยความร้อนใจเมื่อเพ่ยเพ่ยสังเกตเห็นว่านิ้วของเยว่ชิงกระตุกและมีเสียงแผ่วเบาออกมาจากลำคอของนางอันเป็นสัญญาณที่ดีของการฟื้นคืนสติ เขาจึงตามหมอมาตรวจอาการอย่างเร่งด่วน ผ่านมาเป็นครู่ใหญ่แล้ว หมอก็ยังตรวจไม่เสร็จสักที “ท่านพ่อทราบเรื่องหรือยังขอรับ” เซียวหนานเดินหน้าตั้งเข้ามาหา “เรื่องอะไร ตอนนี้หมอกำลังตรวจน้องเจ้าอยู่ จะมีอะไรเร่งด่วนไปกว่านี้อีก” “เรื่องที่ฝู่อิงเว่ยเป็นคนวางแผนฆ่าเยว่ชิง” “เจ้าว่าอะไรนะ” “บุตรีใต้เท้าฝู่เป็นคนวางแผนปองร้ายน้องทั้งสองครั้งขอรับ” “ทำไม” เขานึกไม่ออกว่าจะมีเหตุผลใดให้นางกระทำการโหดเหี้ยมเช่นนี้ ในเมื่อทั้งสองตระกูลไม่เคยมีความบาดหมางต่อกันมาก่อน ใต้เท้าฝู่เองก็มีไมตรีจิตรกับเขามาโดยตลอด ยิ่งกับลูกสาวแล้ว เขาไม่รู้จักเป็นการส่วนตัวเสียด้วยซ้ำ อย่าว่าแต่เยว่ชิงเลย “ข้าเองก็เพิ่งรู้ว่านางเคยถูกทาบทามเอาไว้ให้อภิเษกกับท่านอ๋องขอรับ” “อย่างนั้นรึ ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงเรื่องก็พอจะเข้าเค้า” “ขอรับ แต่ไม่ใช่การตกลงอย่างจริงจัง เป็นเพียงการรับสั่งของฮ่องเต้ครั้งสองค
มู่หรงเยว่ชิงไม่รู้ว่าตนเองอยู่ที่ใด นางไม่รู้ว่าสิ่งนี้คือความฝันหรือจริงกันแน่ หรือว่านางอาจตายแล้ววิญญาณออกจากร่าง เพราะหลายวันมานี้นางได้แต่ตามดูชีวิตของหญิงสาวนางหนึ่งซึ่งมีใบหน้าเหมือนกันกับนางมิผิดเพี้ยน นางได้ยินเสียงเรียกชื่ออันคุ้นเคยมาจากที่ไกล ๆ แต่นางกลับสนใจที่จะตามดูชีวิตของหญิงสาวนางนี้มากกว่าสถานที่ที่หญิงสาวนางนี้อยู่คล้ายโลกที่นางไม่รู้จัก ผู้คนแต่งตัวผิดแผก มีสิ่งก่อสร้างแปลกตา บ้างก็สูงเสียดฟ้าจนนางนึกว่าอาจเชื่อมไปถึงสวรรค์ก็เป็นได้ ข้าวของที่นางไม่รู้จักมากมาย บนถนนก็มียานพาหนะแปลก ๆ แล่นไปด้วยความเร็วสูงโดยที่ไม่ต้องใช้ม้าเทียมหญิงสาวนางนี้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ค่อนข้างลำบากกว่านางนัก เริ่มตั้งแต่ตื่นแต่เช้าออกจากบ้านที่เป็นเพียงห้องสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ ไปทำงาน เวลาที่นางต้องการซื้ออะไรแม้จะเป็นอาหารก็ตาม นางจะต้องคอยนึกถึงเงินในกระเป๋าอยู่ตลอดเวลา พอเวลานางอยู่คนเดียวในห้องก็มักจะเหม่อมองแล้วหยิบภาพคนซึ่งน่าจะเป็นครอบครัวของนางขึ้นมาดู และทุกครั้งแววตาของนางจะสะท้อนทั้งความรู้สึกเศร้าเสียใจ เจ็บช้ำ และสุดท้ายจะเปลี่ยนเป็นเคียดแค้นชี
“อ๊ะ” เยว่ชิงสะดุ้งกับการถูกรุกล้ำเข้ามาในกายสาว นางรัดแขนรอบคอเขาแน่น สัมผัสของมันทำให้ภายในส่วนกลางกายบีบรัดจนร้อนระอุ พาให้นางเสียววูบวาบอย่างตั้งตัวไม่ติด นางกลั้นหายใจพลางซบหน้าอยู่กับไหล่กว้างเมื่อเขาขยับมือชักเข้าออกเริ่มจากเชื่องช้าไปสู่ความรัวเร็วจนร่างกายของนางรับไม่ไหว เขาเงยหน้าขึ้นมองดวงหน้าที่มีเม็ดเหงื่อผุดพรายแหงนหงายไปด้านหลัง ริมฝีปากเม้มแน่นเป็นเส้นตรง ขณะที่เส้นผมสีดำขลับปัดป่ายอยู่ตรงช่วงลำตัวของนาง ในตอนที่นางหลุดเสียงร้องครวญครางแล้วตัวกระตุกเกร็งภายใต้มือของเขา “ท่านอ๋อง” นางกล่าวเพียงเท่านั้นก่อนจะถอนหายใจหนักหน่วง คล้ายจะบอกว่าตัวเองได้รับความสุขสมเป็นอย่างดีแต่เหนื่อยเกินกว่าจะเอ่ยและปล่อยให้เขาจับพลิกตัวนอนลงกับเตียง “ข้าหวังว่าคงจะไม่มีใครเข้ามาขัดอีก เพราะคราวนี้ข้าจะไม่ยอมถอนกำลังเป็นแน่ หากข้าไม่ได้ชัยชนะ” “แล้วชัยชนะของท่านคือสิ่งใดกัน” นางถามราวกับจะยั่ว “เดี๋ยวเราก็จะได้รู้กัน” เขาปลุกปั่นความปรารถนาของนางขึ้นมาอีกครั้ง แต่กลับทำรุนแรงยิ่งกว่าเดิมอย่างหักห้ามใจไม่ไหว ทั้งบดขยี้กลีบปากบาง สองมือต้องการที่จะได้สัมผัสแตะต้องทุกตารางนิ้ว จนก
หญิงสาวยืนตัวตรงอยู่ข้างเตียง สวมเพียงชุดหลวม ๆ สำหรับ ซับในเอาไว้เรียบร้อย หลี่อวี้อ๋องมองนางแน่นิ่งราวกับจะมองให้ทะลุเนื้อผ้าเข้าไปจนกระทั่งเห็นถึงผิวเนื้อด้านใน คนที่ตกเป็นเป้าสายตาก็รู้ตัวดีจนถึงขนาดร้อน ๆ หนาว ๆ ต้องหาเรื่องเบี่ยงประเด็น “ฮ่องเต้เสด็จมาหรือเจ้าคะ” เขาพยักหน้าก่อนจะวางกล่องในมือเอาไว้บนโต๊ะ “เอาของขวัญมาให้ แต่ที่จริงน่าจะอยากแกล้งเสียมากกว่า” “แกล้ง?” “ก็จงใจมาขัดขวางตอนที่ข้าจะเข้าสนามรบน่ะซี่” คำพูดของเขาทำให้นางอายจนต้องก้มหน้างุด ไม่ว่านางจะทำสิ่งใดในสายตาของเขานั้นนางก็น่าเอ็นดู น่าจับมาโอบกอดและรัดแน่น ๆ แล้วก็ไม่ทำสิ่งใดเลยนอกจากมีนางอยู่ในอ้อมแขนทั้งวันทั้งคืน “ข้าจะไปอาบน้ำก่อนละ” “ไปอาบน้ำก่อนอะไรหรือ ก่อนทำเรื่องนั้นหรืออย่างไร” เขาถามแกล้ง ๆ เยว่ชิงอ้าปากค้าง นับวันหลี่อวี้อ๋องที่กลายมาเป็นสามีของนางก็ยิ่งเจ้าเล่ห์เพทุบาย ขี้แกล้งและช่างหยอกเย้าเก่งขึ้นทุกที จนนางไม่รู้ว่าจะรับมือกับเขาอย่างไร “ไปเถอะ ข้าจะนอนรออย่างใจจดใจจ่ออยู่ที่นี่” “ท่าน!” “ข้าพูดความจริงนี่” เขาตอบหน้าตาเฉย ก่อนจะพูดไล่หลังเมื่อนางกำลังจะเปิดประตูออกไป
งานอภิเษกสมรสของหลี่อวี้อ๋องกับมู่หรงเยว่ชิงถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ถึงขนาดที่ฮ่องเต้มาเป็นประธานในงาน และเหล่าเชื้อพระวงศ์และขุนนางชั้นสูงจำนวนมากต่างมาร่วมงาน ที่ด้านนอกชาวบ้านล้านตลาดก็พากันออกมาดูเจ้าสาวที่นั่งเกี้ยวแปดคนหาม ซึ่งด้านหลังมีสินเดิมของเจ้าสาวยาวเหยียดชนิดที่ว่าหัวขบวนเคลื่อนไปถึงถนนอีกสายแต่ท้ายขบวนที่ตั้งคอยอยู่ยังไม่มีทีท่าว่าจะขยับออกจากจวนแม่ทัพ สมแล้วที่นางเป็นถึง ท่านหญิงตำลึงทอง แล้วหลังจากที่แต่งงานกับหลี่อวี้อ๋อง ตำลึงทองของนางเห็นจะมีแต่เพิ่มพูนขึ้นไปอีก พิธีการทุกอย่างราบรื่นสวยงามจนกระทั่งจะถึงตอนเข้าหอที่ทำให้เจ้าสาวอย่างเยว่ชิงรู้สึกกระวนกระวายใจขึ้นมา นางได้รู้อะไรมาบ้างจากเพ่ยเพ่ย ก็ไม่ได้มีสิ่งใดมากมายนักเนื่องจากเรื่องเช่นนี้พูดสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้และมันยังน่าอายที่จะหยิบยกเอามาพูดบ่อย ๆ ด้วย สิ่งที่นางรู้ก็เห็นจะเป็นเรื่องห้ามนอนนิ่งเป็นหินแข็งเท่านั้นเอง บ่าวแก่แดด ในขณะที่นางนั่งกังวลเรื่องนี้อยู่ หลี่อวี้อ๋องก็ได้รับกลเม็ดเคล็ดลับมากมายที่จะทำให้มีบุตรอย่างง่ายดายจากทั้งพี่ชายอย่างฮ่องเต้และพ่อสามีหมาด ๆ ว่าด้วยท่
มู่หรงเยว่ชิงเฝ้าครุ่นคิดถึงเรื่องราวที่พบเจอในฝัน หรืออันที่จริงคือตัวนางในชาติที่แล้ว ต้องตกตายเพราะเศษเงินเพียงเหรียญเดียวเท่านั้น ช่างอนาถโดยแท้ ขนาดมาเกิดใหม่ในตระกูลที่มีอันจะกิน นิสัยขี้งก เอ้ย เอาเป็นว่า เห็นคุณค่าของเงินยังติดตัวมาอีก แต่ถ้าจะให้แก้ตอนนี้ก็คงสายไปเสียแล้วกระมัง “คุณหนูเจ้าคะ” เสียงเรียกของสาวใช้คนสนิทขัดความคิดของนาง “ท่านอ๋องมาถึงแล้วหรือ” “ถึงแล้วเจ้าค่ะ” นางพยักหน้ารับ ก้าวเดินไปยังประตูห้อง นางเพิ่งผ่านพิธีปักปิ่นไปเมื่อสิบวันที่แล้ว และแน่นอนว่าปิ่นที่นางเลือกใช้คือปิ่นทองลายหลันฮวาที่หลี่อวี้อ๋องมอบให้แก่นาง ซึ่งเป็นอันเดียวกับที่นางใช้ปักอยู่ทุกวันนี้ ตอนนี้เท่ากับว่านางผ่านพ้นจากวัยเด็กเข้าสู่วัยผู้ใหญ่และพร้อมสำหรับการออกเรือนแล้ว ช่างรวดเร็วจนน่าใจหาย นางเพียงแค่อายุสิบหกหนาวเท่านั้น ร่างบางที่นับวันความงามยิ่งฉายชัดเดินมาหยุดยืนข้างร่างสูงที่ยืนรออยู่ที่ศาลากลางสวน เมื่อเขาเห็นนางก็เผยยิ้มต้อนรับ กวาดสายตามองนางอย่างถวิลหา ช่วงนี้ทั้งสองคนมัวแต่ยุ่งอยู่กับพิธีอภิเษกที่จะมาถึงในไม่ช้า และนางก็จะต้องถนอมเนื้อตัวจน
“รับปิ่นข้าไปแล้วเท่ากับว่าเจ้าเป็นของข้าไปครึ่งหนึ่งแล้ว รอหลังเจ้าปักปิ่นเราจะจัดงานมงคลกันทันที” “ไม่เร็วไปหน่อยหรือเจ้าคะ” “ข้าเตรียมการไว้หมดแล้ว” “นี่ท่าน” หญิงสาวเบิกตาโต “ข้าจะยอมให้เจ้าตกเป็นของคนอื่นได้อย่างไรกัน ไหนจะหลานชายข้าอีก” “แล้วฝ่าบาท…” “เสด็จพี่ย่อมทำตามที่ข้าต้องการ” เขาพูดพลางหยิบอะไรบางอย่างออกมาชูให้นางดู เป็นม้วนผ้าสีทอง “นี่อย่างไรล่ะ รอเพียงเจ้าฟื้นจะได้ประกาศราชโองการฉบับนี้เสียที” “ราชโองการอันใดเจ้าคะ” นางคาดเดาไว้ในใจ แต่ก็เอ่ยปากถาม “สมรสพระราชทานระหว่างชินอ๋องเฉินหลี่อวี้ พระอนุชาใน เสวียนจงฮ่องเต้ กับท่านหญิงมู่หรงเยว่ชิง ธิดาของแม่ทัพใหญ่มู่หรง เซียนหลิวอย่างไรเล่า” “ท่านมั่นใจอย่างไรว่าข้าจะแต่งกับท่าน” นางนึกหมั่นไส้ “เจ้าย่อมแต่งให้ข้า เพราะไม่มีใครเหมาะสมกับเจ้าและใจกว้างเท่าข้าอีกแล้ว” “องค์ชายชาง…” นางยังพูดไม่ทันจบก็ถูกเขาขโมยจูบ “หากยังพูดถึงชายอื่นข้าจะจูบเจ้าอีก” “ท่านนี่มัน…ร้ายกาจนัก ฮึ่ย! แต่ข้าก็รักท่าน” นางแสร้งต่อว่าและบอกรักเขาไปในตัว ก็เขาอยากฟัง
มู่หรงเยว่ชิงไม่รู้ว่าตนเองอยู่ที่ใด นางไม่รู้ว่าสิ่งนี้คือความฝันหรือจริงกันแน่ หรือว่านางอาจตายแล้ววิญญาณออกจากร่าง เพราะหลายวันมานี้นางได้แต่ตามดูชีวิตของหญิงสาวนางหนึ่งซึ่งมีใบหน้าเหมือนกันกับนางมิผิดเพี้ยน นางได้ยินเสียงเรียกชื่ออันคุ้นเคยมาจากที่ไกล ๆ แต่นางกลับสนใจที่จะตามดูชีวิตของหญิงสาวนางนี้มากกว่าสถานที่ที่หญิงสาวนางนี้อยู่คล้ายโลกที่นางไม่รู้จัก ผู้คนแต่งตัวผิดแผก มีสิ่งก่อสร้างแปลกตา บ้างก็สูงเสียดฟ้าจนนางนึกว่าอาจเชื่อมไปถึงสวรรค์ก็เป็นได้ ข้าวของที่นางไม่รู้จักมากมาย บนถนนก็มียานพาหนะแปลก ๆ แล่นไปด้วยความเร็วสูงโดยที่ไม่ต้องใช้ม้าเทียมหญิงสาวนางนี้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ค่อนข้างลำบากกว่านางนัก เริ่มตั้งแต่ตื่นแต่เช้าออกจากบ้านที่เป็นเพียงห้องสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ ไปทำงาน เวลาที่นางต้องการซื้ออะไรแม้จะเป็นอาหารก็ตาม นางจะต้องคอยนึกถึงเงินในกระเป๋าอยู่ตลอดเวลา พอเวลานางอยู่คนเดียวในห้องก็มักจะเหม่อมองแล้วหยิบภาพคนซึ่งน่าจะเป็นครอบครัวของนางขึ้นมาดู และทุกครั้งแววตาของนางจะสะท้อนทั้งความรู้สึกเศร้าเสียใจ เจ็บช้ำ และสุดท้ายจะเปลี่ยนเป็นเคียดแค้นชี
แม่ทัพมู่หรงเดินกลับไปกลับมาอยู่หน้าห้องด้วยความร้อนใจเมื่อเพ่ยเพ่ยสังเกตเห็นว่านิ้วของเยว่ชิงกระตุกและมีเสียงแผ่วเบาออกมาจากลำคอของนางอันเป็นสัญญาณที่ดีของการฟื้นคืนสติ เขาจึงตามหมอมาตรวจอาการอย่างเร่งด่วน ผ่านมาเป็นครู่ใหญ่แล้ว หมอก็ยังตรวจไม่เสร็จสักที “ท่านพ่อทราบเรื่องหรือยังขอรับ” เซียวหนานเดินหน้าตั้งเข้ามาหา “เรื่องอะไร ตอนนี้หมอกำลังตรวจน้องเจ้าอยู่ จะมีอะไรเร่งด่วนไปกว่านี้อีก” “เรื่องที่ฝู่อิงเว่ยเป็นคนวางแผนฆ่าเยว่ชิง” “เจ้าว่าอะไรนะ” “บุตรีใต้เท้าฝู่เป็นคนวางแผนปองร้ายน้องทั้งสองครั้งขอรับ” “ทำไม” เขานึกไม่ออกว่าจะมีเหตุผลใดให้นางกระทำการโหดเหี้ยมเช่นนี้ ในเมื่อทั้งสองตระกูลไม่เคยมีความบาดหมางต่อกันมาก่อน ใต้เท้าฝู่เองก็มีไมตรีจิตรกับเขามาโดยตลอด ยิ่งกับลูกสาวแล้ว เขาไม่รู้จักเป็นการส่วนตัวเสียด้วยซ้ำ อย่าว่าแต่เยว่ชิงเลย “ข้าเองก็เพิ่งรู้ว่านางเคยถูกทาบทามเอาไว้ให้อภิเษกกับท่านอ๋องขอรับ” “อย่างนั้นรึ ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงเรื่องก็พอจะเข้าเค้า” “ขอรับ แต่ไม่ใช่การตกลงอย่างจริงจัง เป็นเพียงการรับสั่งของฮ่องเต้ครั้งสองค
จวนมู่หรงไม่เคยอึมครึมและหม่นเศร้าขนาดนี้มาก่อน เมื่อไม่มีรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของหญิงสาวที่มักจะปรากฏตัวพร้อมกับความ รื่นเริงเสมอ ทุกอย่างก็เงียบเหงาลงจนไม่เหลือความรื่นรมย์ใด ๆ อีก แม้แต่ดอกไม้ในสวนก็ดูจะเหี่ยวเฉาตามร่างที่นอนไร้สติอยู่บนเตียงในห้องที่ รายล้อมไปด้วยของมีค่าที่นางรักนักหนา สมาชิกทุกคนจะผลัดเปลี่ยนกันมาอยู่เป็นเพื่อน หวังอย่าง เต็มเปี่ยมว่านางจะตื่นขึ้นมาและเห็นว่าพวกเขาไม่ได้ทอดทิ้งและนั่งอยู่ด้วยตลอดเวลา แค่รอเวลาที่นางจะตื่นขึ้นมาเท่านั้น และวันนี้ถึงทีหลี่อวี้อ๋องที่จะได้นั่งอยู่กับนาง เขาเอาหนังสือมาอ่านให้นางฟังด้วย แต่ก็ไม่มีวี่แวววว่านางจะรู้สึกตัว เขานั่งมองหน้านางอยู่เป็นนานจนกระทั่งตัดสินใจกลับ อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นอย่างไม่สมเหตุสมผลทำให้มู่หรงเยว่ชิงได้รับการกระทบกระเทือนที่ศีรษะ กระดูกบางส่วนหัก ทุกคนได้แต่หวังว่าการกระทบกระเทือนนี้จะไม่ส่งผลต่อสมองหรือความทรงจำ ซึ่งแม้แต่ หมอหลวงที่ฮ่องเต้ส่งมาให้ก็ไม่อาจรับประกันได้ “ท่านอ๋อง” “ข้าจะต้องเห็นนางบาดเจ็บอีกกี่ครั้งกัน ฉีฟ่าง” องครักษ์หนุ่มหยุดยืนอยู่ด้าน
เป็นอย่างที่คาดเมื่อฮูหยินคิดว่าการมอบของขวัญเล็ก ๆ น้อย ๆ นอกจากจะเพื่อตอบแทนน้ำใจไมตรีแล้วยังแสดงออกถึงการยอมรับความรู้สึกที่อีกฝ่ายหยิบยื่นให้ นางจึงยอมให้ลูกสาวออกไปหาซื้อของ ข้างนอกถือเป็นการแก้เบื่อด้วย โดยให้บ่าวรับใช้อีกสองคนนอกจาก เพ่ยเพ่ยตามไปด้วย มู่หรงเยว่ชิงไม่เคยเบื่อหน่ายต่อความคึกคักของผู้คนข้างนอก ร้านรวงที่พ่อค้าแม่ค้าขยันเรียกความสนใจจากลูกค้าและร้านอาหารที่มีกลิ่นหอมเชิญชวนให้นักเดินทางแวะเข้าไปตลอดเวลา นางได้ของเต็มไม้เต็มมือเช่นเคย แต่ความคิดที่จะถักเชือกประดับหยกสวย ๆ สักเส้นดูจะเข้าท่ากว่าความคิดอื่น จึงวางใจที่จะกลับจวนเพื่อไปดำเนินการต่อ ไม่ได้อยู่เดินเล่นอ้อยอิ่งดังเช่นทุกครั้ง บ่าวรับใช้หนึ่งคนไปเอารถม้า อีกสองคนคอยประกบนางไม่ห่าง แต่รออยู่นานสองนานก็ไม่มาสักที “จะเกิดอะไรขึ้นหรือเปล่านะ” “ข้าจะไปตามนะขอรับ” “เอาสิ” เยว่ชิงพยักหน้าอนุญาต แล้วบ่าวชายก็วิ่งหายไปอีกทาง คราวนี้รอไม่นานนัก รถม้าประจำตระกูลก็แล่นเข้ามาจอดตรงหน้า ทั้งนางและ เพ่ยเพ่ยก้าวขึ้นไปนั่งด้านในอย่างเรียบร้อย แรกเริ่มเดิมท