หลังจากที่หงุดหงิดมาทั้งวัน ในที่สุดฉันก็ยิ้มออกมาได้ แม้ว่านั่นจะเป็นรอยยิ้มที่ยิ้มด้วยความสะใจก็เถอะ ฉันอยากหันกลับไปถามแม่จันทร์จ๋าเหลือเกินว่ารู้สึกยังไง โดนหักหน้าแบบไม่เหลือชิ้นดี ไม่รู้ว่ากาวตราช้างจะซ่อมหน้าเธอได้หรือเปล่าฉันเข้าไปถึงก็เจอว่าเขานั่งอยู่ที่หน้าโต๊ะทำงาน ใบหน้าที่เคร่งเครียดทำให้ฉันรู้สึกผิดน้อยๆ ที่คิดน้อยใจเขาก่อนหน้านี้ เขาน่าจะเหนื่อยมากๆ กับเรื่องน่าปวดหัวที่กำลังถาโถมเข้ามา แต่ฉันกลับช่วยอะไรเขาไม่ได้เลย“เหนื่อยไหมคะ เห็นคุณหวานบอกว่าวันนี้คุณไม่ได้พักเลย”“ยัยนั่นมาเสี้ยมให้เธอพูดอะไรแปลกๆ อีกล่ะสิ”เขาพูดทั้งที่ยังไม่ได้เงยหน้าขึ้นมาจากหน้าจอคอมฯ ขณะเดียวกันคิ้วเข้มก็ขมวดเข้าหากันจนแทบจะผูกกันเป็นปม“หือ? ไม่นี่คะ”“ไม่งั้นเธอคงไม่ปากดีใส่จันทร์จ๋าแบบนั้นหรอก”เขากำลังจะต่อว่าที่ฉันไปเถียงกับแฟนเก่าเขาอย่างนั้นเหรอ หลังจากที่พวกเขาหายไปกันสองคนทั้งวัน ทิ้งฉันไว้คนเดียวที่บ้าน ในใจฉันที่คิดว่าอาการน้อยใจพวกนั้นหายไปแล้วตอนที่เขาเรียกฉันเข้ามา แต่เปล่าเลย...มันยังคงหน่วงอยู่ในใจไม่หายฉันยืนหน้างอไม่ได้ตอบอะไรกลับไป และการทำอย่างนั้นมันทำ
จันทร์เอ๋ยจันทร์เจ้าขอข้าวขอแกงขอแหวนทองแดงผูกมือน้องข้าขอช้าง...ขอม้า...ให้น้องข้าขี่ขอเก้าอี้ ให้น้องข้านั่งขอเตียงตั่ง ให้น้องข้านอน...ขอสิ่งใดก็ได้ ที่จะเอาน้องสาวของเธอคืนมา...จะได้ไหมหญิงสาวยืนอยู่นอกตัวบ้านแหงนมองขึ้นไปยังพระจันทร์ดวงโตที่กำลังทอแสงสุกสกาวอยู่บนท้องฟ้า มันเป็นพระจันทร์เต็มดวงที่สดใส แต่กลับเต็มไปด้วยความรู้สึกหดหู่ที่สุดเท่าที่เธอเคยมองมันมา ความรู้สึก ความทรงจำ ภาพเหตุการณ์วันนั้นยังคงติดตาไม่มีลืม‘พี่คะ หนูจะต้องหาย หนูจะต้องกลับไปเรียนได้เหมือนเดิมใช่ไหมคะพี่?’เธอเป็นเพียงแค่เด็กหญิงอายุ 17 ปีคนหนึ่งเท่านั้น แต่ต้องกลับมานั่งมองน้องสาวเพียงคนเดียวของตัวเองกรีดร้องอย่างเจ็บปวด วันนั้นที่น้องสาวของอ้ายชิงอย่าง อันฉี หายตัวออกไปจากบ้าน ตำรวจพบเธอนอนหายใจรวยรินอยู่ที่ริมลำธารเล็กๆ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากโรงเรียนนานาชาติในเมืองมากนัก ข้างๆ ของอันฉี มีร่างของ มาร์ค หวัง ผู้เป็นเพื่อนรักและยังเป็นแฟนของเธอนอนอยู่ด้วยทั้งคู่ถูกทำร้ายจนโคม่านอนรักษาตัวอยู่หลายเดือน ตอนนั้นอ้ายชิงอายุเพียงแค่ 16 ปี ทั้งต้องทำงานส่งตัวเองเรียน แล้วยังต้องส่งน้องสาวเรียน พอน้อง
“แล้วนาย...ยังรักฉันอยู่บ้างหรือเปล่า”คำถามนั้นทำให้ตัวฉันมันชาวาบไปหมด ฉันไม่รู้เลยว่าตัวเองต้องรู้สึกยังไงกับเรื่องนี้ดี ถึงฉันจะรู้อยู่แล้วว่าสักวันมันเกิดขึ้น แต่ตัวฉันที่ใกล้เขาแค่ประตูกั้น กลับได้แค่นั่งฟังด้วยความรู้สึกสับสน“เธอมาถามอะไรเอาตอนนี้” เขาตอบกลับเสียงเรียบ ทั้งที่เป็นจังหวะการพูดปกติ แต่ฉันกลับรู้สึกได้ถึงเวลาที่ผ่านไปอย่างช้าๆ จนแทบจะนับวินาทีได้“ฉันแค่อยากรู้ อย่างน้อยๆ ถ้านายยังรักฉัน ฉันสามารถออกไปเสียสละเพื่อนายได้...ให้นายได้มีความสุขกับติญ่า”“เลิกพูดเรื่องโง่ๆ ได้แล้ว ฉันไม่ยอมให้ใครตายทั้งนั้นแหละ”“งั้นนายก็ยอมรับว่าตัวเองยังรักฉันอยู่งั้นสิ”เขาไม่ได้ตอบรับ แต่เขาก็ไม่ได้ปฏิเสธ...ฉันนั่งฟังอยู่ตรงนี้ได้แต่เอามือลูบที่แหวนของตัวเองอย่างแผ่วเบา พยายามปลอบใจว่าเขาคือสามีของฉัน เราแต่งงานกันแล้ว ก่อนที่เราจะแต่งงานกันเขาก็ยังรักจันทร์จ๋าอยู่ เพราะฉะนั้นมันไม่แปลกที่เขาจะยังตัดเธอไม่ขาดแต่ถึงจะคิดอย่างนั้น ไม่รู้ทำไมหัวใจของฉันมันถึงได้เจ็บจนจุกไปหมด“นายไม่เข้าใจหรอก...ความรู้สึกของคนที่ต้องมองคนที่ตัวเองรักต้องมาเกาะแกะอยู่กับผู้หญิงคนอื
ปึกปึกปึกเสียงของแข็งบางอย่างกระทบกันดังขึ้นเป็นระยะ รบกวนช่วงเวลาในห้วงนิทราของฉันจนไม่สามารถหลับตาอยู่ได้อีกต่อไป เปลือกตาที่แสนหนักอึ้งเปิดขึ้นมาอย่างช้าๆ แต่ก็ต้องกะพริบตาถี่ๆ เพราะแสงจ้าตรงหน้ามันทำให้ปวดกระบอกตาไปหมด“ทำดีๆ สิวะ กูไม่อยากให้ไอ้คามินทร์มันมาเห็นสภาพเมียมันเป็นๆ เอาให้มันทรมานใจเท่าไรได้ยิ่งดี”เสียงและสำเนียงภาษาไทยแปร่งๆ นั่นฟังดูคุ้นเคยจนฉันต้องลืมตาขึ้นมาเพื่อดูว่าคนพูดคือใครกันแน่คนพูดเป็นชายหนุ่มที่น่าจะอายุมากกว่าฉันอยู่หลายปี ใบหน้าของเขานั้นออกไปทางชาวจีนที่ฉันค่อนข้างคุ้นเคยเป็นอย่างดี ทั้งสายตาและรอยยิ้มของเขาช่างอำมหิตจนฉันขนลุกซู่ไปหมด ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรงเพราะกลัวว่าจะทำให้เขาไม่พอใจแล้วฆ่าฉันทิ้งได้ง่ายๆ ทันใดนั้นฉันก็มองตามสายตาของเขาไปยังกลุ่มคนชุดดำที่กำลังทำบางอย่าง บางคนถือพลั่ว บางคนถือเสียม และกำลังขุดหลุมบางอย่างที่มีรูปร่างเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้ารูปร่างของมัน...เหมือนกับโลงศพไม่มีผิดและถ้าฉันเดาไม่ผิด นั่นคงไม่ใช่หลุมฝังศพของฉันอย่างนั้นใช่ไหม?“หือ? มีคนตื่นแล้วนี่ ตื่นเร็วดีนะ”ทันใดนั้นเสียงของชายหนุ่มที่ฉันกำลังจ้องอยู
(จันทร์จ๋า)เมื่อไรมันจะจบเสียที ฉันเหนื่อย...เหนื่อยแล้วกับการที่ต้องมานั่งปั้นหน้าเสแสร้งต่อหน้าผู้ชายคนนี้ เหนื่อยกับการที่ต้องทำอะไรไม่รู้โดยที่ไม่รู้เลยว่าปลายทางมันจะไปสิ้นสุดที่ตรงไหนฉันตายเขาตายติญ่าตายหรือเราทุกคนต่างก็ตายไปพร้อมๆ กันชีวิตมันเจ็บปวดมากเลยใช่ไหม หลายคนบอกฉันว่าคนตายนั้นน่าสงสาร แต่ใครจะรู้ว่าจริงๆ แล้วคนที่ยังอยู่ต่างหากที่น่าสงสารยิ่งกว่าฉันมองมือถือของผู้ชายที่เป็นอดีตคนรักด้วยความรู้สึกเฉยชาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ความรู้สึกทั้งหลายที่สะสมมาตลอดหลายปีมันทำให้ฉันกลายเป็นคนที่ไม่มั่นใจอะไรในความรู้สึกของตัวเองเลยสักอย่างรักเหรอ? หรือว่าหวง ที่ฉันกำลังเป็นอยู่มันความรู้สึกอะไรกันแน่แต่ในขณะที่ฉันกำลังมองมือถือของเขาในมือด้วยความสับสน ร่างที่นอนแน่นิ่งอยู่บนเตียงของโรงพยาบาลก็ได้เริ่มขยับ“อือ...”จาเรด...คนโง่ที่คิดว่าตัวเองจัดการได้ทุกอย่าง อันที่จริงเรื่องบนเรือวันนั้น ถ้าหากว่าเขาไม่สาระแนจนได้ยินเรื่องแผนของฉันกับมาร์ค ทุกอย่างก็คงไม่เป็นอย่างนี้ฉันไม่ได้มีความคิดที่จะฆ่าคนหรอก แต่ฉันก็ปล่อยเขาให้รอดไปไม่ได้อย่างน้อยๆ...ก็ก่อนที่แผนข
(คามินทร์)ผมไม่เคยคิดว่าตัวเองจะถูกหลอก เพราะผมรู้ทุกอย่าง รู้มาตั้งแต่แรกว่าเธอคือใคร รู้ว่าเธอตั้งใจจะทำอะไร แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังปล่อยให้ทุกอย่างมันเกิดขึ้นแต่สิ่งหนึ่งที่ผมอยากรู้...คือที่ผ่านมาเธอรักผมบ้างไหม หรือมีแค่ผมที่คิดไปเองคนเดียว“รัก? นายมาถามหาคำว่ารักจากคนที่นายพรากน้องสาวเขาไป คิดก่อนถามบ้างหรือเปล่า”“...”“ถ้านายคิดไปเองว่าที่ฉันทำตลอดเจ็ดปีที่เราคบกันคือความรัก งั้นตอนนี้ที่นายทำกับติญ่าอยู่หมายความว่ายังไง”ผมยังไม่ได้ตอบคำถามนั้น จันทร์จ๋าก็ได้ยกมือถือที่ผมจำได้ว่าเป็นของผมขึ้นมา ในนั้นโชว์หมายเลขที่เพิ่งจะวางสายไปในจังหวะที่ผมกำลังพูดเรื่องนั้นกับเธอเข้าพอดี ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันคือเบอร์ของใคร แต่กลับรู้สึกเย็นวาบทั่วสันหลัง เพราะชื่อที่เธอเพิ่งจะพูดออกมาก่อนหน้านี้ติญ่า...“เธอคิดจะทำอะไรกันแน่จันทร์จ๋า?”“ทำอะไรเหรอ ก็ทำให้พวกนายแตกหักกันไง เอ...จะเกิดอะไรขึ้นนะถ้าเกิดว่ายัยนั่นรู้ว่านายไม่ได้รักเธอ แต่กำลังเร้าหรืออยู่กับแฟนเก่า”“อย่าทำอะไรติญ่า ไม่งั้นฉันไม่เอาเธอไว้แน่”ผมพยายามเข้าไปแย่งเอามือถือของตัวเองคืนมา ซึ่งเธอก็ไม่ได้ขัดขืนแต
(ตติญา)[แล้วเธอล่ะ ที่ผ่านมาเธอเคยรักฉันบ้างหรือเปล่า?]ติ๊ดสายได้ถูกตัดไปราวกับว่าเขาจงใจจะให้ฉันได้ยินแค่คำนี้เท่านั้น ฉันถูกปล่อยเท้าให้เป็นอิสระแล้วจับมาอยู่ที่หน้าหลุมซึ่งขุดเสร็จเป็นที่เรียบร้อย ส่วนผู้ชายที่เป็นคนมีอำนาจที่สุดที่นี่กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามฉันแล้วแสยะยิ้มมาให้ด้วยความสะใจ“เป็นยังไงบ้าง เจ็บจี๊ดดีไหมล่ะ ผู้ชายที่เธอรัก เขากำลังบอกรักคนเก่าอยู่น้า...”มันจงใจลากเสียงด้วยความยียวน ฉันรู้ว่านี่คือการทำให้ฉันเข้าใจผิดเท่านั้น ไม่มีทางที่เขาจะพูดอย่างนั้นออกมาจริงๆ หรอก ก่อนหน้านั้นมันจะต้องมีคำพูดอื่น นี่เป็นแค่แผนของไอ้พวกนี้เท่านั้นแต่ถึงจะรู้อย่างนั้น... หัวใจของฉันมันก็ยังบีบอย่างรุนแรง จนแทบจะทำให้ฉันหายใจไม่ออก ทั้งตัวหนักอึ้งเหมือนมีอะไรมาทับเอาไว้“ฉันไม่เชื่ออะไรที่แกพูดทั้งนั้น จนกว่าจะได้ยินกับหูตัวเอง”“เหอะ ที่เธอฟังอยู่มันไม่ใช่หูหรือไง เชื่อใจมันขนาดนั้นเชียว มันที่พาแฟนเก่าออกจากบ้านแล้วทิ้งเธอไว้คนเดียวทุกวัน”“นั่นก็เพราะเรื่องของคุณไม่ใช่หรือไง”ฉันไม่ยอมถูกเขาปั่นหัวเอาได้ง่ายๆ หรอก ฉันไม่ใช่คนโง่ที่จะเชื่อคำพูดไม่กี่ค
แค่คิดอย่างนั้น ความเศร้ามันก็กัดกินหัวใจฉันจนรู้สึกเหมือนจะหายใจไม่ออก ฉันไม่รู้ว่าต้องทำยังไงต่อไป สมองมึนจนกลายเป็นขาวโพลนไปหมด“ฮ่าๆๆๆๆ”จู่ๆ คนตรงหน้าฉันก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังลั่น นั่นทำให้ฉันลืมตามองจันทร์จ๋าด้วยความงุนงง“เธอเนี่ยนะจะมาตายเพื่อผู้ชายอย่างนั้น คิดง่ายไปหรือเปล่าหือ?”“แล้วถ้าเธอไม่ต้องการชีวิต เธออยากได้อะไรจากฉัน...”“ก็แค่...อยากให้พวกเธอมาเห็นฉากการตาย เหมือนอย่างที่ฉันเห็น...”“อะไรนะ?”“เหมือนอย่างที่ฉันเห็นน้องของฉันโดน มาเจอภาพติดตาแบบนั้นกันเถอะนะ”พูดจบเธอก็เปิดขวดน้ำใสๆ ในมือกรอกเข้าปากตัวเองอย่างไว ท่ามกลางความงุนงงของฉัน รอยยิ้มกว้างก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเธออีกครั้ง“เธอรู้ใช่ไหมว่าการโดนยานี่ซ้ำๆ มันจะเป็นยังไง”“เดี๋ยวสิ จะทำอะไรของเธอ”“คนที่โดนเล็กน้อยจะมีอาการใจสั่น หน้าแดง ร่างกายร้อนผ่าว มีอารมณ์ทางเพศอย่างรุนแรงเพราะฮอร์โมนถูกกระตุ้น”“อย่าทำอะไรบ้าๆ นะจันทร์จ๋า หยุดสิ”ฉันไม่รู้ว่าตัวเองจะทำอะไรได้ แต่ฉันก็ยังพยายามดิ้น ดิ้นให้แรงที่สุดเพื่อจะพาตัวเองออกไปจากการพันธนาการนี่ ฉันอยากช่วยเธอ ไม่ว่าเธอจะตัดสินใจยังไงฉันจ
(ตติญา)ฉันไม่คิดว่าตัวเองจะได้พูดคำนี้ออกมาเหมือนกัน แต่รู้ตัวอีกที ทุกอย่างก็ผ่านไปหลายปีแล้ว คิรินโตแล้ว กำลังจะขึ้นอนุบาล 3 ปีนี้ และลูกสาวคนเล็กที่มาพร้อมเรือนผมสีเทาเข้มเหมือนพ่อของเขา น้องดิว ชื่อดิว Dwyn มาจากภาษาเวลส์ แปลว่า คลื่นทะเล ฉันตั้งชื่อพี่ชายว่าคิริน ที่แปลว่า ภูเขา เพราะตอนที่หนีจากคามินทร์มา ภาพที่เห็นตรงหน้าเวลาร้องไห้มีแต่ภูเขาที่อยู่เป็นเพื่อน พอมีลูกสาวอีกคน ฉันอยากให้ชื่อนั้นสื่อถึงความทรงจำแทรกที่พ่อแม่ได้เจอกัน นั่นก็คือ ทะเล...ดิวเป็นเด็กที่สุขุมผิดกับเด็กหญิงทั่วไปลิบลับ เธอนั้นไม่ค่อยซุกซน พูดจาดูเป็นผู้ใหญ่ ทั้งยังใจเย็นและรู้ความ ผิดกับพี่ชายที่นับวันยิ่งโตยิ่งเหมือนพ่อ ทั้งกวนส้นเท้าและเกรียนยิ่งกว่าอะไรดี ส่วนหนึ่งคงเพราะเมื่อก่อนสมัยอยู่เชียงใหม่ คิรินไม่ได้มีเพื่อนเล่นที่ไหนเลยนอกจากแม่ พอลงมาอยู่ที่นี่ก็มีลูกน้องของพ่อมาเล่นด้วย มีชัลก้า มีดิวและนับดาวที่เกิดไล่หลังมาไม่กี่ปี และตอนนี้ก็ยังมีน้องจินนี่อีก ครอบครัวเรากลายเป็นครอบครัวใหญ่ที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะของผู้ใหญ่และเด็กๆ ไปซะแล้วส่วนบ้านที่เชียงใหม่ บ้านที่แม่นวลยกให้เ
(พาร์ทพิเศษ ราล์ฟ)สำนักข่าวราล์ฟฟี่ รายงาน สวัสดีครับผมราล์ฟ ผู้ครองตำแหน่งมือขวาคนใหม่ของบอสแล้วยังเป็นพี่เลี้ยงเด็กดีเด่นประจำปีอีกด้วย ช่วงนี้ชีวิตผมค่อนข้างที่จะมั่นคง แม้ใครจะบอกว่าตำแหน่งอยู่ไม่นาน ตำนานจะคงอยู่ตลอดไป ส่วนผมนั้นตั้งใจจะเป็นทั้งตำแหน่งและตำนาน ไม่มีใครมาโค่นล้มลงไปได้ก่อนหน้านี้ตำแหน่งมือขวาของบอสไม่ใช่ของผมหรอกนะครับ แต่เป็นของคุณจาเรด ชายผู้ฝีมือดีที่สุดและยังเป็นคนที่บอสไว้วางใจเป็นอย่างมาก ผมต้องนึกขอบคุณเขาเลยนะที่ถูกจับตัวไปในครั้งนั้น เลยทำให้ผมได้มีโอกาสแสดงฝีมือกับเขาบ้างตอนนี้อย่าว่าแต่ปกป้องบอสเลย หน้าที่เล็กใหญ่ในแก๊งตั้งแต่ดูแลแมวยักษ์อย่างชัลก้า หรือแม้แต่การดูแลบอสน้อยของเราอย่างคุณคิริน ก็เป็นของผมไปหมด“ทำให้มันดีๆ หน่อยไม่ได้หรือไง!!!”ส่วนคุณจาเรดที่ก่อนหน้านี้คือคนโปรดของบอส กลับถูกลดระดับมาเป็นเพียงครูฝึกให้แก่เด็กใหม่ที่เข้ามาในแก๊งเสียอย่างนั้น แต่แม้ว่าหน้าที่ของเขาจะเปลี่ยนไป แต่เรื่องชื่อเสียงของเขาในหมู่เด็กใหม่นั้นไม่ได้ก้อยลงเลย ทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าคุณจาเรดครูฝึกคนใหม่นั้น ทั้งดุ โหด แล้วไม่มีโหมดคิตตี้ให้
(คามินทร์)“ใจร้ายจังเลยนะ คิรินเป็นเหลนย่าแท้ๆ ทำไมไม่รู้จักบอกย่าเสียบ้าง รู้ไหมว่าใจแทบขาดตอนรู้จากปากน้ำหวานว่าหนูเจออะไรมาบ้าง”ตอนนั้นผมบอกว่ากลัวจะถูกย่าบ่นใช่ไหมครับ ตอนนี้สบายใจแล้วเพราะมีคนมารับแทน ติญ่านั่งหง็อยอยู่หน้าโซฟาโดยมีคิรินนั่งเล่นกับชัลก้าอยู่ ส่วนผมนั้นลอยตัว สามารถนั่งเอกเขนกได้อย่างสบายใจแต่ก็สบายใจได้แค่ไม่กี่นาทีเท่านั้น พอเห็นว่าหลานสะใภ้ท่าทางน่าสงสาร ย่าก็ได้เบนเข็มมาที่ผมแทน“แกนี่แหละตัวต้นเหตุไอ้หลานเวร ทำอะไรไม่คิดจนทำให้หนูญ่าต้องหนีไป สำนึกบ้างไหม ขึ้นไปนั่งบนโซฟาสบายใจไม่ดูเลยว่าเมียนั่งพื้น ลงมา!”“อ้าวย่า ปกติเราก็นั่งพื้นดูหนังกันบ่อยออก นั่งสบายกว่าโซฟาอายุหมื่นปีของย่าอีก”“ไอ้หลานเวรนี่ อยากปากแตกตายใช่ไหมฮะ”บรรยากาศในบ้านของผมกลับมาครึกครื้นอีกครั้งหลังจากที่ห่างหายไปนาน ก่อนหน้านี้ทั้งเรื่องของน้องดาทำให้ไอ้วินทร์ดูซึมๆ และไม่ยอมเข้าบ้านเลยตลอดสามปี จนกระทั่งช่วงเดือนก่อนที่ติญ่ากลับมาทำห้องเสื้ออีกครั้ง และดึงเอาน้องดามาร่วมงานด้วย เราเลยได้มีโอกาสพูดคุยกันแบบครบทั้งครอบครัวเป็นครั้งแรกอันที่จริง...จะว่าครบก็ไม่ครบนัก เพ
เขาว่ากันว่า ความฝันของหญิงสาวทุกคน คือการได้ใส่ชุดแต่งงานสวยๆ แต่งงานกับผู้ชายที่ตัวเองรัก เชื่อไหมคะ ตอนที่ฉันยังทำงานอยู่ในสตูดิโอที่เชียงใหม่ ฉันไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะมีโอกาสได้ใส่ชุดแต่งงานพวกนั้นอีกครั้ง คิดแค่ว่าแค่ได้มองผู้คนยิ้มมีความสุขกับครั้งหนึ่งที่แสนสำคัญในชีวิต แค่นั้นก็มากพอแล้วแต่ไม่คิดว่าฉันจะได้สวมมันอีกครั้ง อยู่ต่อหน้าผู้ชายคนนี้...คนเดียวกับที่ฉันเคยบอกว่าไม่มีวันรักเขาได้ฉันค่อยๆ เดินไปตามทางเดินเพื่อเข้าสู่แท่นพิธีที่มีเจ้าบ่าวชุดขาวยืนรออยู่ก่อนแล้ว เขามองมาที่ฉันแล้วก็ยิ้ม มันเป็นรอยยิ้มที่สะกดฉันได้แทบทุกครั้ง รอยยิ้มและสายตาคู่นั้นเขาไม่เคยใช้มองใครเลยนอกจากฉัน มันเป็นของฉัน...ของฉันคนเดียวเท่านั้น...“แม่ค้าบ คิยินหย่อกว่าปะป๊าหยือป่าว”ฉันคงลืมบอกไป วันนี้คนที่จูงฉันเข้าสู่แท่นพิธีไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นเจ้าคิรินน้อยนี่เอง เขาตื่นเต้นมากๆ เพราะพี่เลี้ยงทุกคนเอาแต่พูดกรอกหูว่า เนี่ยนะ มีไม่กี่คนในโลกหรอกที่จะได้อยู่ในงานแต่งงานของพ่อแม่ตัวเอง เขาคือคนพิเศษ แค่นั้นแหละเจ้าเด็กก็ดีใจใหญ่ เขาเป็นคนที่ตื่นเต้นกับงานแต่งงานในครั้งนี้ไม่แพ้คนที่แต่งเ
“ปล่อยเมียฉันซะพิมพิ ถ้าเธอไม่อยากโดนเป่าหัวกระจุยตอนนี้”เสียงของคามินทร์ที่ดังขึ้นหยุดทุกอย่าง ฉันลืมตาขึ้นมามองภาพตรงหน้าก่อนจะพบว่าเขากำลังเอาปืนจ่อที่หัวของคนที่พยายามจะฆ่าฉัน ทว่ายังไม่ทันที่พิมพิจะได้ตอบโต้ คอเสื้อของเธอก็ถูกดึงอย่างแรงจนร่างปลิวไปกระแทกเก้าอี้ที่อยู่ไม่ไกล หลังจากนั้น ก็มีคนวิ่งเข้ามาจับตัวเธอกดลงกับพื้น“ปล่อยฉันนะไอ้พวกบ้า ปล่อยฉัน ปล่อย!!!”เสียงโวยวายของเธอดังไปทั่วห้อง ดังจนฉันเห็นสีหน้าหงุดหงิดของทุกคนในห้องนี้ คามินทร์ตรงเข้ามาหาฉันอย่างเงียบๆ ก่อนที่เขาจะออกแรงดึงฉันเข้าไปแนบอกแล้วกอดเอาไว้แน่นความกลัวทุกอย่างก่อนหน้านี้ ทุกสิ่งถูกระบายออกมาผ่านม่านน้ำตาเมื่อได้สัมผัสกับอ้อมกอดของเขา...มันเป็นอ้อมกอดที่...ทั้งอบอุ่นแล้วก็ปลอดภัยที่สุดเท่าที่ฉันเคยได้รับมาเลย...“ฮึก...”“ขอโทษที่มาช้านะ”มันเป็นอย่างนั้นเสมอ อ้อมกอดของเขามันทั้งอบอุ่น ปลอดภัย แล้วก็ทำให้ฉันไม่หวาดกลัวอะไรอีกต่อไป ฉันไม่ได้ยินเสียงของพิมพิที่ร้องตะโกนเหมือนคนบ้า ไม่ได้ยินความวุ่นวายอะไร มีเพียงเสียงของเขาเท่านั้นที่ดังอยู่ข้างหูฉันกลัว...กลัวเหลือเกินว่าอาจจะไม่
(ตติญา)“พี่ฟอง หนูฝากตรงนี้ด้วยนะคะ ดูแลแขกด้านหน้าด้วยค่ะ”ไม่คิดเลยนะ ว่าฉันจะได้จัดงานศพให้แม่นวลเร็วอย่างนี้เลย ตั้งแต่เด็กฉันคิดว่าตัวเองโชคร้ายมากๆ เจอเรื่องร้ายต่างๆ จนไม่น่าจะเจออีกแล้วหลังจากนี้ อย่างที่เขาว่ากันว่าฟ้าหลังฝนมักสวยงามเสมอ แต่ชีวิตฉันมันคงยังอยู่ท่ามกลางพายุ ไม่เจอฟ้าหลังฝนที่ว่าสักทีล่ะมั้งหวังแต่เพียงว่า ขอให้นี่เป็นการสูญเสียครั้งสุดท้าย ขอให้ไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีกฉันหลบจากทางหน้าฝานที่มีแขกเหรื่อมาร่วมงานกันหลายคน ส่วนใหญ่ไม่ใช่คนมีหน้ามีตาอะไรมากมายเพราะนี่ก็เป็นแค่งานศพของแม่บ้านคนหนึ่งเท่านั้น แต่จะเป็นเพื่อนบ้านที่รู้จักกัน รวมทั้งป้าๆ แถวนี้ที่รู้จักแม่นวลมาหลายปีที่หน้าโลงศพของแม่นวล ฉันเป็นคนจัดดอกไม้เองทุกดอก แม้ว่าท่านจะเป็นคนง่ายๆ สบายๆ แต่ว่าก็มีดอกไม้ที่ชอบอยู่ดอกหนึ่งแม่นวลเคยเอารูปให้ฉันดู ตอนนั้นท่านไม่รู้ชื่อ แต่เห็นแล้วชอบมันมากๆ ยิ่งพอได้รู้ความหมาย ท่านก็ยิ่งชอบจนใฝ่ฝันว่าอยากเอามาปลูกภายในบ้าน แต่น้าพาแพ้เกสรดอกไม้เลยทำได้แค่ตั้งเป็นภาพหน้าจอมือถือดอกไม้ชนิดนั้นคือ บลูบอนเน็ต ดอกไม้ที่มีความหมายแสนเศร้า แม้ว่าจะเจ็บปวดแค่ไหนก็ขอไ
เรากลับมากรุงเทพฯทันทีที่รู้เรื่อง ก่อนเดินทางผมและติญ่ารวมทั้งพี่เลี้ยงทั้งสี่ของคิรินเตรียมตัวกันหนักมากๆ เพราะกลัวว่าคิรินจะงอแงตลอดทาง แต่โชคดีที่แค่ขึ้นเครื่องก็หลับปุ๋ย เลยทำให้ทั้งพ่อและแม่มีเวลาพักผ่อนก่อนถึงกรุงเทพฯทันทีที่มาถึงผมได้ให้น้ำหวานมารับคิรินไปพักผ่อนที่บ้าน เพราะต้องไปโรงพยาบาลเพื่อรับศพป้านวลกลับมาทำพิธี ระหว่างทางนั้นผมต้องจับมือติญ่าเอาไว้ตลอด เธอดูเสียใจจนไม่สนแล้วว่าตอนนี้จะมีผมอยู่ข้างกายหรือไม่“ขอบคุณนะคะคุณหมอ เดี๋ยวพิมพิจะเอาเอกสารนี้ไปให้ญาติของป้าเองค่ะ”พวกเรามาถึงที่โรงพยาบาลในเวลาต่อมา ทว่าเมื่อมาถึง มีคนจัดการทุกอย่างแม้แต่เรื่องการจ่ายเงินค่าดำเนินการต่างๆ ไปแล้วเป็นที่เรียบร้อย ซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหน พิมพินั่นเองพอเธอเห็นพวกเรา หญิงสาวในชุดดำที่เป็นลูกพี่ลูกน้องของผมก็ได้เดินตรงเข้ามา เธอยกมือไหว้ผมตามประสาผู้น้อยไหว้ผู้ใหญ่ก่อนจะทักเสียงเรียบ“สวัสดีค่ะพี่คามินทร์ ติญ่า”“สวัสดีพิมพิ มารับศพป้านวลเหรอ?”“ค่ะ ป้าแกไม่ได้มีญาติที่ไหน ก่อนเสียท่านก็ดูแลแม่หนูอย่างดี หนูเลย...”“เอามาให้ฉัน”ติญ่าพูดเสียงแผ่ว เธอยื่นมือสั่นๆ ไปรับเอาเ
ผมเดินตามเมียขึ้นมาที่ชั้นบน กะว่าอยากจะจัดการเด็กดื้อสักหน่อย ทว่ากลับได้ยินเสียงเล็กๆ สะอื้นมาจากห้องของคิริน ก่อนที่ติญ่าจะอุ้มลูกออกมา ปากเธอก็พึมพำปลอบลูกไม่หยุด“ไม่มีอะไรนะครับ แม่ขอโทษน้า ผีไม่มีหรอก”“เกิดอะไรขึ้นเหรอ?”คิรินร้องไห้สะอึกสะอื้นกอดคอแม่เป็นการใหญ่ มือเล็กชี้เข้าไปในห้องแล้วพูดแต่คำว่า ผี ผี ผี อยู่ตลอด จนกระทั่งหลับไปอีกครั้งในอ้อมกอดของผู้เป็นแม่ ตอนนี้ติญ่าพาคิรินมานอนในห้องของตัวเอง ผมได้แต่ยืนมองไม่กล้าถามอะไรมาก เพราะเห็นสีหน้าที่เป็นกังวลของเธอรอจนกระทั่งเธอลูบหลังคิรินหลับไป เลยถามออกไปเสียงแผ่ว“มีอะไรหรือเปล่า ละเมอเหรอ?”ติญ่ามองไปที่ลูกซึ่งตอนนี้หลับไปแล้ว แต่ก็ยังมีอาการสะอื้นให้เห็นอยู่เป็นระยะ“ก็นิดหน่อยค่ะ”สีหน้าที่ดูเป็นกังวลของเธอทำให้ผมพลอยกังวลไปด้วย ติญ่าไม่ได้พูดอะไรต่อ เธอได้เดินไปยังห้องลูกก่อนจะสำรวจที่หน้าต่างด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยดีนัก“ช่วงนี้คิรินบอกว่าเจอผีที่หน้าต่างบ่อยๆ ค่ะ ฉันคิดว่าคงเป็นเพราะเผลอเปิดหนังผีดูด้วยกันเมื่อสองอาทิตย์ที่แล้วเลยทำให้ลูกฝันร้าย แต่อยู่ดีๆ ลูกก็บอกว่าเห็นจริงๆ อยู่ที่ต้นไม้ข้าง
กลับมาถึงบ้านก็นั่นแหละ แบตหมดตามระเบียบ ผมพาคิรินไปนอนบนห้องแล้วก็ไปดูคนป่วยที่น่าจะมีเรี่ยวแรงขึ้นมาได้บ้างแล้วจากการพักมาทั้งวัน แต่กลับพบว่าเธอยังอยู่ในชุดนอนตัวเดิมแล้วดื่มน้ำเย็นลงไปหลายอึก“ดื่มน้ำเย็นแล้วจะหายไหมไข้น่ะ”ผมตรงเข้าไปหาเธอแล้วกอดอกพูดยิ้มๆ ตั้งแต่เมื่อก่อนแล้วที่ชอบดื่มน้ำเย็นเป็นชีวิตจิตใจ แต่ดื่มแล้วก็เสียวฟันจนชอบทำหน้าประหลาดๆ ตลอดเวลา อย่างเช่นตอนนี้ก็ด้วย“หายเจ็บคอหรือยังครับ?”ผมถามเพราะเมื่อเช้ายังได้ยินเสียงเธอแหบแห้งเป็นนักร้องหมอลำอยู่เลย ถึงแม้กลับมาเสียงเธอจะเป็นปกติแล้ว แต่ไม่คิดว่าจะหายง่ายๆ“หายแล้ว ไปซื้อยามากิน”“ยาอะไร?”“ถามทำไม”พูดจบก็ชักสีหน้าใส่ผมด้วยความหงุดหงิด ก่อนจะเดินหายเข้าห้องน้ำไปอีกครั้ง ถ้าให้เดานี่คงเป็นการอาบน้ำครั้งแรกในรอบวัน นึกไปถึงเมื่อวานที่เธอเปลือยล่อนจ้อนต่อหน้าผมในสภาพที่หมดสติ ถ้าเป็นผมคนเมื่อก่อนที่เธอไม่ได้โกรธอยู่ล่ะก็ เธอไม่รอดแน่ระหว่างที่รอติญ่าอาบน้ำ ผมก็สั่งกับข้าวรอไปด้วย ที่นี่เป็นอำเภอเล็กๆ ดึกอย่างนี้ไม่ได้มีบริการเดลิเวอร์รี่ให้บริการ เลยต้องใช้เดลิเวอร์รี่จำเป็นอย่างราล์ฟไปซื้อมาใ