เพราะนางยังเข้าใจว่าเขาเป็นนายโลมที่รับเงินจากคนชั่วแล้วมาทำลายพรหมจรรย์ของตน แม้วันนี้มันจะไม่มีผลอะไรกับการใช้ชีวิตของซูเจินแล้วก็ตาม แต่บาดแผลในอดีตคงยากที่จะเลือนหาย ส่วนห่าวหรานนั้นก็ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร เขาเลือกที่จะพูดความจริงบางส่วน “ข้าพยายามจะเล่าให้เจ้าฟังหลายครั้งแต่เจ้าไม่ค่อยจะหยุดฟังข้า ครั้งนี้ขอให้ตั้งใจฟังสักครั้งโดยไม่ขัด จะได้หรือไม่” เขาจริงจังขึ้นมา นางเลยหันไปสบตา แล้วก็พยักหน้าให้ในที่สุด “คืนนั้นข้ามีงานสำคัญ ต้องอารักขาบุคคลสำคัญมาก ทว่าเกิดเหตุวางยาพิษในสุราขึ้น สถานการณ์บังคับให้ข้าต้องเป็นคนดื่มสุรานั้นเอง โชคดีที่มันเป็นเพียงยาปลุกกำหนัด ทำให้อารมณ์ของข้าแตกซ่าน ไม่สามารถทำงานในวันนั้นต่อให้สำเร็จลุล่วงได้ แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องน่าอายสำหรับเจ้านายข้า ห้ามใครรู้เห็น ข้าจึงไม่อาจกลับสำนัก ต้องแวะหาที่หลบภัย ก็เลยเปิดห้องหนึ่งในโรงเตี๊ยมไว้เพื่อรอเวลาให้อาการดีขึ้น แล้วคืนนั้น...อยู่ๆ เป็นเจ้าที่เข้ามา” “เจ้า...ไม่ใช่นายโลม” ดวงตาค่อยๆ เบิกกว้างขึ้น “แล้วทำไมไม่บอกข้าแต่แรก ปล่อยให้ล่วงเลยมาขนาดนี้ได้!” “ทำไมจะไม่บอก ข้าพู
“ใครมันจะไปทำช้าๆ ได้ ลองมีเมียที่ตอดรัดแน่นแบบนี้ อีกอย่าง ถ้าเจ้าไม่ชอบที่ข้าทำแรง แล้วจะ...เด้งเอวสู้ทำไม” “อ๊ะ...ไอ้คนลามก หุบปากนะ อ๊าย!” “หุบปากก็ได้ แต่เจ้าห้ามหุบ ข้าชอบฟังเสียงเจ้า จะเสียงด่าหรือเสียงครางก็ชอบหมด มันเร้าอารมณ์ดิบเถื่อนดีเหลือเกินเมียจ๋า...” “ไอ้บ้า! คนบ้า! อ๊าง!” ค่ำคืนนั้นแสนยาวไกล จากห้องน้ำก็ไปต่อที่ห้องนอน โชคดีแล้วที่ไฉไฉเหนื่อยมากจนหลับยาวอยู่ในเปลใหม่ของตัวเอง เลยไม่ได้เป็นอุปสรรคในการเสริมสร้างความสัมพันธ์ของพ่อแม่ ที่ตอนนี้ใช้พื้นที่ของเตียงแทบจะทุกตาราง แล้วก็ไปต่อที่เก้าอี้ โต๊ะ ไปยันหน้าต่าง เรียกได้ว่าเป็นการทำทบต้นทบดอก ระหว่างที่ห่างหายกันไปในหลายปีมานี้ จนแม่ของไฉไฉแทบจะหลับกลางอากาศไปเลยทีเดียว “ข้าว่าคราวนี้เราได้ลูกชายแน่”เกือบสว่างห่าวหรานถึงได้หยุด เขาอุ้มซูเจินให้กลับมานอนดีๆ ห่มผ้าให้อย่างทะนุถนอม ส่วนหญิงสาวตอนนี้หมดสภาพ ร่างกายฉ่ำชื้นไปด้วยเหงื่อของตัวเองและของคนที่นอนด้วย ยังไหนจะในส่วนลับที่ตอนนี้เอ่อล้นไปด้วยสายธารชีวิตของชายหนุ่มอีก เขาไม่ยอมให้นางปล่อยมันออก เพราะกลัวจะไม่ได้ลูก แต่สุดท้ายเพราะ
กระทั่งเสียงแปลกๆ ดังขึ้นหน้าร้าน คล้ายๆ ประทัด ซูเจินรีบไปดูเพราะกลัวเป็นเด็กมาจุดเล่นไม่รู้เรื่อง ถ้ามาโดนข้าวก็อาจเกิดความเสียหายได้ เพราะถ้าไฟไหม้ขึ้นมาคงเป็นเรื่องใหญ่แน่ๆ“อะไรกัน ไม่เห็นมีอะไรเสียหน่อย แล้วตกลงมันเสียงอะไรกันแน่” ออกมาแล้วก็ไม่พบอะไรสักอย่าง ทั้งคนและซากประทัด หญิงสาวหันมองรอบตัว มันเป็นเวลาบ่ายคล้อยแล้วตอนนั้น พ่อค้าที่มาส่งข้าวยี่สิบกระสอบก็กลับไปได้พักใหญ่แล้ว ไม่น่าจะมีอะไร “เฮ้อ สงสัยข้าจะนอนน้อยเลยหูฝาด ว่ามิได้ พ่อของไฉไฉกินดุเหลือเกิน ฮิฮิ...ว้าย! อุ้บ!”เพราะไม่ได้ระวังตัว อยู่ๆ เลยถูกใครเอาปิดปากแล้วลากไปทางตรอกมืดๆ ดูเหมือนจะไม่ได้มีแค่คนเดียวด้วย ซูเจินดิ้นรนสุดกำลัง“เร็วๆ สิหวังซู่ เรี่ยวแรงเจ้าไปไหนหมด! เดี๋ยวก็มีใครมาเห็น”“เราซุ่มดูนานขนาดนี้แล้วไม่มีใครผ่านมาทางนี้หรอก นี่ถ้าเจ้าช่วยอะไรไม่ได้ก็หุบปากเงียบๆ ดีหรือไม่ วุ่นวายน่ารำคาญ!”“อย่างกับข้าอยากออกมาเสี่ยงด้วยเสียอย่างนั้น ถ้าข้าไม่กลัวว่าเจ้าจะยังแอบมีใจให้ซูเจินแล้วละก็ จ้างให้ข้าก็หนีไปพร้อมท่านพ่อแล้ว ไม่อยู่เฝ้าเจ้าให้ตัวเองต้องมาเสี่ยงอันตราย”“แล้วใครขอให้เจ้าอยู่กันหือ! อีกอย่าง
หวังซู่พูดไม่จบคำ เพราะอยู่ๆ ก็มีลูกธนูลอยมาปักกลางหลัง ก่อนจะตามมาด้วยเสียงกรีดร้องเสียขวัญของอ้ายฉิง เขาเสียหลักปล่อยมือจากซูเจิน นางรีบดิ้นสลัดเอาผ้าที่ปิดปากและเชือกที่ถูกมัดมือไว้ออกอย่างรวดเร็ว เพราะคิดว่าต้องมีคนมาช่วยแล้วเป็นแน่ทว่าในเสี้ยวลมหายใจที่อ้ายฉิงสติแตกไปแล้วนั้น หันไปเห็นซูเจินกำลังจะหนี นางเลยไปฉวยเอามีดพกที่เอวของชายหนุ่มที่ลงไปกองที่พื้นแน่นิ่งไปแล้ว พุ่งเข้าหาคนที่กำลังจะหลบหนีทันที“อีสารเลว อีตัวอัปมงคล อย่าหวังเลยว่าจะรอด หวังซู่เพิ่งจะบอกว่าเจ้าควรตายไปตั้งนานแล้ว อย่างนั้นก็ตายมันซะตอนนี้เถอะ หลี่ซูเจิน!”คงเป็นเวรเป็นกรรมที่มีมาหนหลังที่ตามสวี่อ้ายฉิงทัน เพราะตอนที่นางพุ่งเข้าหาซูเจินนั้น ดันสะดุดขาหวังซู่ที่นอนอยู่ แล้วก็ดันเสียหลักล้มหน้าทิ่ม ข้อมือพลิกเข้าหาตัว คมมีดจึงวกกลับไปปักเข้าร่างทางเอง“อึ่ก!”“ให้ทุกข์แก่ท่าน ทุกข์นั้นถึงตัวโดยแท้” ซูเจินที่ใจหายใจคว่ำคิดว่าเกือบไม่รอด เมื่อครู่ทำได้แค่เอี้ยวตัวหลบเพราะยังแกะเชือกไม่เสร็จ ตอนนี้ได้แต่คิดว่าคงเป็นเพราะวิญญาณของบิดามาปกปักรักษาไว้เป็นแน่ “สวี่อ้ายฉิง ตั้งแต่เล็กจนโต ข้ามีเจ้าเป็นเพื่อนที่สนิทที
วันนี้เป็นวันดี เป็นฤกษ์มงคลดิถีนัก ตระกูลหลี่จัดงานเลี้ยงยิ่งใหญ่ไปถึงเจ็ดวัน มีการทำทานให้แก่ผู้ยากไร้เป็นข้าวเปลือกข้าวสารและเกลือที่ได้รับสนับสนุนมาจากองค์ชายรอง ซึ่งตอนนี้ได้รับแต่งตั้งอย่างเป็นทางการให้เป็นองค์รัชทายาทแล้ว หลังจัดการกบฏราบคาบ ทุกคนได้รับโทษอย่างเหมาะสมกับความโหดเหี้ยม องค์รัชทายาทคนใหม่ จึงทรงสนองคุณให้แก่ขุนนางที่ช่วยสนับสนุนทั้งสิ้น โดยเฉพาะเสนาบดีหลี่ลู่ซือที่ทำงานด้วยความซื่อสัตย์ยิ่งจนแม้ตัวจะตายไป ก็ยังหาหลักฐานผู้คิดคดในขบวนการกบฏหมายล้มล้างองค์จักรพรรดิให้ ซึ่งนั้นก็คือองค์ชายสามและพรรคพวกที่เพิ่งจะถูกกำจัดไปนั่นเองแน่นอนว่าจางหวังซู่และสวี่อ้ายฉิงมิได้ตายตกในวันนั้นที่ไปก่อเรื่องกับซูเจินเขา พวกเขาได้รับการรักษาให้พอบรรเทาแล้วไปรับฟังโทษ หวังซู่ถูกถอดแซ่และริบทรัพย์ทั้งหมด เนรเทศให้ไปใช้แรงงานในเมืองที่ทำเหมืองแร่หิน เป็นการตายอย่างช้าๆ ที่สิ้นหวังและดูทรมานไม่น้อยไปเพราะต้องสูดไอพิษทุกวันอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง โดยมีอาหารและน้ำให้จำกัด และไม่มียารักษาโรค ก็เหมาะแล้วกับคนที่หักหลังผู้มีพระคุณ จางหวังซู่มีชีวิตอย่างทุกข์ทรมานจากนั้นไปอีกหกปีก็ถึงแก่ชีวิต
“ก็ท่านแม่อุ้มน้องไว้อยู่นี่เจ้าคะ ไฉไฉจะไปให้ท่านอุ้มอีกคนได้อย่างไรละ ก็เลยให้ท่านพ่ออุ้ม” เป็นเหตุผลที่ฟังขึ้นมาก ถ้าไม่นับอาการเอาหน้าไปถูไถไหล่บิดา แล้วก็ประคองมือน้อยๆ กับใบหน้าเขา “ท่านพ่อของไฉไฉ ไม่เจอกันตั้งสามวัน ท่านพ่อก็ยังรูปงามที่สุด งามกว่าอาจารย์หวังที่มาสอนวิชาบทกวี แล้วก็อาจารย์หวงที่มาสอนดีดผิน ท่านพ่อยังเป็นที่หนึ่งในใจของข้าเสมอเลยเจ้าค่ะ”“ฟังดูดี แต่ทำไมอาจารย์ของเจ้ามีแต่ผู้ชาย” ความจริงก็มีอาจารย์ผู้หญิง แต่เด็กน้อยจับทางบิดาถูก รู้ว่าเขาจะไม่พอใจเวลานางเกี่ยวข้องกับผู้ชายคนอื่น ทำนองว่าหวง “ไม่ได้การแล้ว วันนี้พ่อคงต้องอุ้มเจ้าทั้งวันแล้ว มิเช่นนั้นทั้งอาจารย์หวังและอาจารย์หวง ได้มาแย่งนางฟ้าน้อยๆ ของพ่อไปอุ้มแน่ๆ พ่อไม่ยอม”“โถ...” ซูเจินไม่อยากจะพูดอะไรอีกเรื่องความเห่อลูกสาวของห่าวหราน นางเดินนำหน้าไปเพื่อจะทักทายมารดาแล้วจะไปหาอารองกับอาสะใภ้ หลิงเอ๋อร์ที่เพิ่งสั่งงานบ่าวไพร่เห็นนางเข้าก็ยิ้มยินดีรีบเดินเข้ามาหา ก็เป็นตอนที่ซูเจินอยู่ๆ วูบเกือบได้ล้ม หลิงเอ๋อร์เข้ามารับได้ทัน“คุณหนู เป็นอะไรเจ้าคะ หรือว่าอากาศร้อนเลยเป็นลม” รีบกางพัดมาโบกให้ เห็นเม็ดเหงื
หญิงสาวแต่งกายด้วยแพรพรรณงดงามเฉกเช่นคุณหนูกุลสตรีชั้นสูงอยู่ในห้องด้วยใจระทึกเพื่อรอเวลา ส่วนบิดามารดาอย่างหัวหน้าองครักษ์เสื้อแพร เจิ้งห่าวหรานกับหลี่ซูเจิน(พระเอกนางเอกจากเรื่อง “มารดาผู้นี้จะรีดไถเงินบิดาที่ไม่เคยเลี้ยงดูให้หมดตัวเลย”) และท่านยายรวมถึงญาติๆ จากตระกูลหลี่ของมารดา รออยู่ด้านนอกเพื่อเตรียมต้อนรับคณะเกี้ยวที่จะมาจากในวัง วันนี้เป็นวันมงคลที่จะมีการรับบุตรีคนโตของตระกูลเจิ้งเข้าวังไปเพื่อเตรียมอภิเษกเป็นพระชายาขององค์ชายใหญ่ฟู่เหริน ด้วยเป็นพระประสงค์ขององค์จักรพรรดิ เหตุจากในครั้งที่พระองค์ยังคงเป็นองค์ชายผู้ซึ่งเตรียมจะก้าวขึ้นสู่ความเป็นรัชทายาท ก็ได้เจิ้งห่าวหรานผู้จงรักภักดีได้ถวายการอารักขาอย่างไม่คิดชีวิต ถึงขั้นดื่มสุราที่คาดว่าน่าจะเป็นยาพิษแทนต่อมาเมื่อได้ทรงขึ้นครองราชย์แล้ว จึงประทานรางวัลให้เป็นการเลื่อนตำแหน่งสู่การเป็นขุนนางสำคัญในกรมยุติธรรม แต่เจิ้งห่าวหรานปฏิเสธ ด้วยอยากมีชีวิตอย่างสงบสุขกับครอบครัวมากกว่า ต่อให้ทรงบังคับอย่างไรเขาก็ยังจงใจจะขัดพระประสงค์ให้ได้และด้วยความดื้อดึงนี้องค์จักรพรรดิก็ยังเปลี่ยนใจเขาไม่ได้ จึงทรงขอให้ยอมรับรางวัลอย่างหนึ
“พี่ใหญ่! ปล่อยผมข้าก่อน มันเจ็บ!” เจ้าตัวน้อยพยายามแกะมือพี่สาวออก โวยวายแต่ไม่กล้าเสียงดังมากเพราะกลัวพวกผู้ใหญ่รู้ว่ามาแอบฟัง “พี่ใหญ่ ว่าที่พี่เขยของข้าที่เป็นองค์ชาย หนีไปแล้วหรือเจ้าคะ แล้วนี่พวกเราจะทำอย่างไรกันดี!” นางคือฮัวฮัว เป็นน้องสาวคนเล็กสุดที่อายุเพียงห้าขวบ แต่นางเป็นเด็กฉลาดและรู้ความมากกว่าเด็กวัยเดียวกัน พี่สาวยอมปล่อยผมแล้ว ปรากฏว่ากระจุกผมน้องยุ่งเหยิง“พี่ใหญ่ ท่านยายอบรมสั่งสอนพี่ใหญ่อย่างเข้มงวดมาตลอดเพราะหวังจะให้พี่ใหญ่เป็นหลักประกันว่าในวันหน้าตระกูลเจิ้งของเราและตระกูลหลี่ของท่านแม่จะไม่ต้องประสบภัยพิบัติเกือบถูกลบล้างเช่นในอดีตสมัยท่านตาอีกรอบ แต่ว่าที่พี่เขยหนีไปแบบนี้ แล้วพี่ใหญ่จะไปแต่งงานกับใครเพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรีได้กัน!”“ดูท่าเซี่ยงกงกงทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าองค์ชายหนีไปจากวังทำให้ฤกษ์อภิเษกอาจต้องเลื่อนออกไป แต่ยังดึงดันจะเอาตัวพี่เข้าวังไปให้ได้ ก็คงเพราะไม่อยากให้มีคำครหา ว่าผู้ที่กำลังจะเป็นว่าที่องค์รัชทายาททำเรื่องไร้สาระโดยไม่เห็นแก่สถานะของตน...” หญิงสาวขบเม้มริมฝีปากแน่น นางครุ่นคิด“เรื่องนี้ย่อมเป็นภารกิจโดยตรงของสำนักบูรพา แปลว่าต้องถ
สองปีผ่านไป...หลังจบเรื่องวุ่นวายในราชสำนัก ก็ใช้เวลาไปเกือบปี ทำให้ฤกษ์หมั้นหมายเสียหาย องค์ชายฟู่เหรินจึงเสนอว่าให้ใช้ฤกษ์อภิเษกไปเลยในคราวเดียว นั่นคือหมั้นและแต่งในวันเดียวกันย่อมไม่มีใครขัดขวางอยู่แล้ว เพราะใครๆ ต่างก็อยากให้องค์ชายใหญ่เป็นฝั่งเป็นฝาเพื่อที่จะก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งต่อไป แต่เป็นเขาเองที่ชิงทูลองค์จักรพรรดิก่อน ว่าไม่ต้องการขึ้นเป็นรัชทายาท“เจ้าเป็นลูกคนโต ถ้าเจ้าไม่เป็นรัชทายาท แล้วเจ้าจะเป็นอะไร”พระบิดาถามเขาในวันนั้น และเขาที่มีพระชายาอยู่เคียงข้าง ก็ตอบทันควัน“กระหม่อมจะเป็นหมอ จะรักษาผู้คนโดยไม่แบ่งแยกฐานะ นี่ก็เป็นการดูแลไพร่ฟ้าในฐานะเชื้อพระวงศ์เช่นกัน...”องค์จักรพรรดิอยากจะขัด แต่พอเห็นโอรสกับชายาของเขาจับมือกันไว้แน่นราวกับว่าได้ร่วมกันตัดสินใจเรื่องนี้มาทั้งคู่ ก็ได้แต่ระลึกไปถึงพระสนมอิงหลันผู้ล่วงลับ นางไม่เคยมีใครรักชอบให้เขา แต่งงานเพราะหน้าที่ แต่ตลอดเวลานางก็ทำได้ดี กระทั่งอบรมสั่งสอนบุตรก็ยังทำได้ไม่มีบกพร่อง เป็นเขาเองที่กักขังนางไว้ในวังหลวงนี้จนวันตาย“เช่นนั้นเมื่อถึงเวลาแล้วก็ไปปกครองเมืองต้าหลี่ก็แล้วกัน” จักรพรรดิพูดถึงเมืองใหญ่ที่สุดที่อย
“ข้าจะไปช่วยเขา สนามพลังแบบนั้นต้องมีคนคุ้มกัน ไม่อย่างนั้นอาจเป็นอันตราย” นางหันไปบอกสองคนข้างหลัง “ท่านพาลูกปลาตัวกลมไปที่บ้านยายเฒ่าตาบอดก่อน แล้วข้าจะตามไปทีหลัง”“คงไม่ต้องแล้ว” เป็นฮัวฮัวที่พูดขึ้น สายตานางมองไปอีกทางแล้วก็ชี้นิ้วไปข้างหน้า “ท่านพ่อกับพวกอาๆ มาช่วยพวกเราแล้ว เย้!”เกิดการปะทะระหว่างนักฆ่าลึกลับกับพวกองครักษ์เสื้อแพรที่มากันเต็มรูปแบบ เพราะตอนนี้ได้จัดการภายในราชสำนักเสร็จสิ้น จึงตามออกมากวาดล้างทั้งหมดที่เหลือข้างนอกในคราวเดียว“ถวายการอารักขาองค์ชายใหญ่!” เสียงเจิ้งห่าวหรานหัวหน้าองครักษ์ตะโกนก้อง “ไฉไฉ ฮัวฮัว หลบไปอยู่ในที่ปลอดภัย เร็ว!”เมื่อพ่อสั่งก็มีอย่างเดียวคือห้ามต่อต้าน สามสายลับต่างวัยวิ่งไปหลบหลังต้นไม้ไกลๆ และคอยดูห่างๆ พวกเขาไม่ได้เก่งต่อสู้สักคน แค่พอมีวิชาและเอาตัวรอดเป็นเท่านั้น ในเมื่อองครักษ์มาแล้ว ก็ควรให้เป็นหน้าที่ของคนมีความสามารถแล้วกัน“นั่น...เสียงอะไร” เพราะความเป็นคนหูดีที่สุดของไฉไฉทำให้ได้ยินอะไรแปลกๆ นางรู้ทันทีว่ามีคนแอบอยู่แถวนั้นและกำลังจะหนี หันไปมองหน้าน้องสาว เห็นนางจ้องอยู่เช่นกัน แสดงว่ารู้แล้ว “ฮัวฮัว พี่เพิ่งเจอว่าเหลือลู
“นี่เจ้า! ริอ่านติดสินบนเจ้าพนักงานตั้งแต่ยังเด็ก ท่านพ่อตีเจ้าตายแน่ๆ! ตุ่นภูเขา! แล้วท่านเป็นผู้ใหญ่ประสาอะไร พาเด็กห้าขวบมาในสถานที่แบบนี้ ท่านเองก็ต้องถูกลงโทษด้วยแน่นอน!”“โฮ่! แมวพันหน้า อย่าเพิ่งพูดมากเลยดีกว่า ถ้าไม่ได้ข้ากับลูกปลาตัวกลมเมื่อครู่ ท่านเองก็คงไม่เหลือซาก”“นี่พวกเจ้า...พูดอะไรกัน ข้างงไปหมด” ฟู่เหรินที่ฟังสายลับสามคนสามวัยเถียงกันด้วยภาษาอะไรก็ไม่รู้ช่างปวดหัวนัก “เดี๋ยวก่อน ทำไมเราต้องมาเถียงกันในเวลานี้ นี่มันหน้าสิ่วหน้าขวาน! พวกนักฆ่าตามมาถึงตัวแล้ว!”“ลูกหินของข้าหมดแล้ว! พี่ใหญ่ ท่านเอาที่ข้าให้ไว้มาด้วยหรือเปล่า” ฮัวฮัวแบมือหาพี่สาวทันที ไฉไฉรีบล้วงเสื้อ ปรากฏว่ามีแต่หมั่นโถวตากแดดร่วงลงมาหลายชิ้น “พี่ใหญ่! แล้วก็ชอบห้ามข้ากินของหวานตอนกลางคืน แต่พี่กลับพกติดตัวตอนหนีพวกนักฆ่าออกมาแบบนี้ จะให้ข้าคิดยังไงกัน!”“นี่ทำไมข้าถึงได้พกหมั่นโถวออกมาขนาดนี้เนี่ย ข้าต้องหยิบเสื้อมาผิดตัวแน่ๆ” นางคิดไปถึงเหตุผลว่าทำไมต้องหยิบเสื้อมาใส่ แล้วก็ดันเกิดหน้าแดง เพราะตอนนั้นเกือบได้สานสัมพันธ์กับฟู่เหรินอยู่แล้วเชียว “โอ๊ย! ไม่รู้แล้ว พวกเราหาอาวุธเอาเท่าที่มีรอบตัวสู้ไป
“หา...หมายความว่า...ว้าย!”พรึ่บ!ไฉไฉมัวแต่เถียงกับองค์ชายเลยไม่ทันระวังตัว นางก้าวพลาดลงไปในบ่อที่ขุดไว้ดักสัตว์ แม้จะไม่เจ็บเท่าไรเพราะกลิ้งม้วนตัวลงไปพอดี แต่หลุมนี้ลึกมาก เรียกว่าเป็นความซวยจริงๆ“องค์ชาย! ท่านวิ่งไปข้างหน้าอีกไม่เท่าไรจะเจอต้นไม้สองง่าม มีกระท่อมของยายเฒ่าตาบอดอยู่ไม่ไกลจากนั้น” นางตะโกนบอกเขาเสียงดัง “ที่นั่นเป็นจุดนัดพบของสายลับกับองครักษ์ ท่านจะปลอดภัย”“ไม่ได้! รอก่อน ข้าจะช่วยเจ้าเอง” ฟู่เหรินลงไปนอนแนบพื้นแล้วพยายามส่งมือเข้าไปหา “ข้าจะไม่หนีไปคนเดียว ถ้าจะรอด เราต้องรอดไปด้วยกัน!”“โอ๊ย! ท่านนี่โง่จริง ข้าให้ท่านหนีไปก่อนเพราะท่านเป็นตัวถ่วง ยังไม่รู้ตัวอีก” เสียงหญิงสาวแผดขึ้นมา “ท่านมันอ่อนแอจึงเป็นตัวภาระ นี่ข้ามีแผนแล้ว ข้ามีระเบิดพลุติดตัวไว้ยามฉุกเฉิน ข้าจะยิงใส่พวกมัน แล้วท่านจะมาอยู่แถวนี้ให้เกะกะทำไมเล่า!”หญิงสาวโกหก นางไม่มีของที่ว่า แต่ทำเป็นชูอะไรก็ไม่รู้ขึ้นมา เพื่อให้เขาสบายใจ“ระเบิดพลุอะไรของเจ้าหา นั่นมันหมั่นโถวตากแดดที่เอาไว้ปิ้งกินกับน้ำผึ้งที่น้องสาวชอบไม่ใช่หรือไง แล้วนี่พกมาทำไมเนี่ย!” เขาพูดแบบนั้นนางเลยได้หันดู อ้าวจริงด้วย ไม่ร
โอ๊ย!...อุ้บ!”ไฉไฉดึงหูฟู่เหรินเหมือนที่เห็นหลี่ซูเจินทำเจิ้งห่าวหรานมาตั้งแต่นางจำความได้ ท่านแม่ดึงหูท่านพ่อทีไร ท่านพ่อมีอันได้ยอมแพ้ เพราะมันเจ็บ!มือหนึ่งดึงหู อีกมืออุดปากเขาแน่นไม่ให้ร้อง แต่เพียงครู่เดียวก็ปล่อยมือที่บิดหูออกแล้วไปกระซิบ“ข้างนอกเป็นนักฆ่าที่ตั้งใจลอบฆ่าท่านมาตั้งแต่ที่ตลาดแล้ว และท่านคงคิดไม่ผิด ฝู่เตี้ยวเป็นหนอนจริงๆ ตอนนี้พวกเราถึงได้ตกอยู่ในอันตราย”“ขืนยังอยู่แบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ยังไงพวกเราก็คงได้ตาย” ฟู่เหรินได้พูดเป็นคำแรกตนที่เอามือลูบหูตัวเองป้อยๆ คิ้วขมวดตึง มองไปข้างนอกยังเห็นห่ามีดบินอยู่เลย “ข้าจะพาเจ้าออกไปเอง เจ้าหลบข้างหลังข้าไว้ก็แล้วกัน”กลายเป็นไฉไฉที่คิ้วขมวดไปด้วย เพราะสำหรับนางแล้วฟู่เหรินหาได้เป็นวรยุทธ์ไม่ ซ้ำยังอ่อนแอจนไม่รู้ว่ามีชีวิตรอดจากวังหลวงมาถึงวันนี้ได้อย่างไร ถึงนางไม่เก่งอะไรมาก แต่อย่างน้อยก็รู้หลักพื้นฐาน และเอาตัวรอดเก่งด้วย “ท่านอยู่ข้างหน้าข้า คงอยากเป็นเป้าเคลื่อนที่กระมัง” นางเอื้อมมือขึ้นไปบนเตียง ควานหาลูกหินของฮัวฮัวอีกชุด ซึ่งมันเป็นชุดสุดท้ายแล้ว “นี่แหละองค์ชาย ท่านคงยังไม่รู้ว่าอะไร ข้าถูกท่านพ่อจับไปฝึกเป็นสา
“ฝู่เตี้ยวคงไม่ได้อยู่ตรงนั้นตั้งแต่แรก” นางบอก หลังคาดการณ์จากสิ่งที่ฮัวฮัวบอกไว้ก่อนกลับบ้านไป พฤติกรรมประหลาดของขันทีน้อย คือเขาชอบหายไปไหนในช่วงที่ฟู่เหรินจะไม่มีทางรับรู้ ฮัวฮัวสะกดรอยตามแบบห่างๆ จึงรู้ว่าฝู่เตี้ยวต้องไปพบใครมาแน่ๆ แต่คงไม่ใช่ฝ่ายเดียวกัน เพราะฝ่ายเดียวกันนี้ก็มีเพียงหน่วยองครักษ์กับคนของเซี่ยงกงกงเท่านั้นเอง ประจวบเหมาะกับที่อยู่ดีๆ ตำแหน่งขององค์ชายถูกเปิดเผย จึงไม่มีทางคิดเป็นอื่นไปได้เลย นอกจาก... “ฝู่เตี้ยวคือหนอนบ่อนไส้สินะ” ฟู่เหรินพูดขึ้นมาเอง เป็นไฉไฉที่ต้องหันหน้าไปมอง เพราะเขาพูดเหมือนรู้ว่านี่มันเรื่องอะไร ชายหนุ่มสั่นหน้าด้วยความหดหู่ใจ “อะไรคือสิ่งที่ทำให้ฝู่เตี้ยวที่อยู่กับข้ามาตั้งแต่อายุสิบปีกลับมาหักหลังข้าได้” “นั่นเป็นเรื่องที่ต้องไปสืบภายหลัง แต่ตอนนี้...” ข้างนอกเงียบเกินไป ราวกับไม่มีแม้แต่เสียงของสายลมราตรี หญิงสาวล้วงไปใต้เตียงแล้วหยิบดาบที่เป็นอาวุธประจำตัวซึ่งซุกซ่อนไว้เผื่อเวลาฉุกเฉิน “เราต้องรอดไปจากที่นี่ให้ได้ก่อน ได้โปรดอยู่ข้างหลังข้าก็พอ” “อาหง ท่าทีเจ้าเปลี่ยน หรือว่าความจริง...เจ้ามีสถานะอื่น”
ไม่ทันได้บอกว่าห้ามอะไรด้วยซ้ำเพราะชายหนุ่มไม่ฟัง เขากระโดดขึ้นเตียงมาทำตัวเหมือนเด็กๆ เท่านั้นไม่พอยังชักผ้าขึ้นมาห่ม แล้วเอามือตบปุๆ กับที่นอนข้างกาย “อาหง ลงมานอนเถอะ วันนี้พวกเราก็เหนื่อยกันมามาก เจ้าไม่ง่วงหรือไง” เจ้าตัวพูดไปก็หาวไป แล้วก็ดึงร่างบางให้ลงมานอนเคียงกัน “ฮ้าว...ที่นอนของเจ้าหอมเหลือเกิน ไหนขอดมใกล้ๆ หน่อย อื้ม...ข้าเข้าใจฮัวฮัวแล้วว่าทำไมติดแม่ เพราะแม่ของนางนอกจากจะหอมแล้วยังตัวอุ่นและนุ่มน่ากอดอีกด้วย ดูท่าหากฮัวฮัวกลับมาเมื่อใด คงได้ทะเลาะกับข้าเป็นแน่ เรื่องแย่งกันกอดแม่ของนาง” “ท่านพี่...” ได้แต่ดีดดิ้นและร้องอย่างถอนอกถอนใจ เพราะตอนนี้นางถูกเขาดึงไปกอดหน้าตาเฉย รับรู้ได้กระทั่งเสียงหัวใจเต้นระรัวของตัวเอง และกายอันอบอุ่นขององค์ชายที่ตอนนี้กดนางให้แนบร่างเขาแน่นยิ่งกว่าเดิม “ท่านพี่ ข้าหายใจไม่ออกเจ้าค่ะ” “หายใจไม่ออก อย่างนั้นคงต้องช่วยให้หายใจคล่องเสียหน่อย” เขาผละตัวแล้วเชยคางนางขึ้น หญิงสาวเลิกคิ้วงงๆ เพราะอยู่ๆ ดันเกิดตามเขาไม่ทัน “สิ่งนี้มีในตำราแพทย์ เรียกว่าการแลกเปลี่ยนลมปราณ ข้าจะแสดงให้เจ้าดูเอง...” “หือ...อื้อ! อื้อ!”
กลัวเขาไม่รู้ว่านางใส่ใจมากเลยต้องคุยโอ้อวดเสียหน่อย ความจริงแล้วก็เป็นฟู่เหรินนั่นเองที่ตามนางไม่ทัน เพราะไฉไฉนั้นนิสัยเช่นนี้มาตั้งแต่เด็กแล้ว ชายหนุ่มกินน้ำแกงที่ถูกป้อนให้จนเกลี้ยง รู้สึกสบายท้องมาก เพราะเขาก็ไม่ได้กินอะไรเลยนอกจากน้ำเปล่า ไฉไฉรีบเก็บชาม “ข้าจะไปเตรียมน้ำให้ท่านอาบ ท่านพี่ก็ไปผลัดผ้าได้เลยนะเจ้าคะ” หันไปมองห้องพักคนไข้ชั่วคราว เห็นหญิงชรายังป้อนน้ำข้าวให้ลูกชายยังไม่เสร็จ “ข้าควรไปดูพวกเขา...” “เจ้าไปเตรียมน้ำเถอะ ข้าจะไปดูเอง และจะได้ตรวจอาการครั้งสุดท้ายก่อนจะให้ยาระงับปวดด้วย เพราะคนไข้จะได้หลับยาว” ในเมื่อตกลงกันได้เช่นนั้นจึงแยกกัน ไฉไฉเข้าครัวไปจัดน้ำต้มน้ำหม้อหนึ่ง เห็นฝู่เตี้ยวทำอาหารใกล้เสร็จแล้ว นอกจากผัดผักและน้ำแกง ก็มีปลาย่างเพิ่มขึ้นมาด้วย มิช้ามินานนัก น้ำอุ่นก็ถูกผสมจนเสร็จสิ้น ไฉไฉมองด้วยความภูมิใจ เรื่องการบ้านการเรือนแบบนี้ท่านยายย่อมเป็นผู้อบรมสั่งสอนอย่างดี ในที่สุดก็บรรลุเป้าหมาย ได้ผสมน้ำให้องค์ชายอาบเสียที “อ๊ะ ลืมไปเลย ต้องใส่นี่เข้าไปด้วย คิก...” นางหยิบห่อเครื่องหอมออกมาจากอกเสื้อ มันเป็นเครื่องหอมประจำตัวที่ม
“ไฮ้...เจ้าพูดอะไรแบบนั้น ข้าจะรังเกียจทำไมกัน ภรรยาตั้งใจทำให้ขนาดนี้ ข้าต้องดีใจมากอยู่แล้ว” รีบลุกมาแล้วประคองให้นางมานั่ง ก่อนจะเอาผ้าซับเหงื่อที่หน้าผากให้ “อาหง เจ้าเดินไปมาทั้งวันแล้วก็พูดไม่หยุด คงจะเหนื่อยมาก แล้วยังลำบากมาทำอาหารอีก เรื่องแบบนี้ให้ฝู่เตี้ยวทำให้ได้ เขาถนัด”ปกติคงต้องมีขัดคอกันบ้าง แต่คงไม่ใช่ครั้งนี้ เพราะขันทีน้อยเห็นด้วย ในสายตาเขาก็ยังคิดว่าคุณหนูเจิ้งเป็นลูกผู้ดีเป็นชนชั้นสูง แต่ทำงานพอๆ กับสาวชาวบ้าน ตอนนี้คงเหนื่อยสายตัวแทบขาดหารู้ไม่ว่าไฉไฉไม่เหมือนคุณหนูบ้านไหน เพราะนางแอบเข้ามาฝึกเป็นสายลับกับหน่วยของบิดาตั้งแต่อายุแปดขวบแล้ว...ก็ตั้งแต่หลังจากพบกับองค์ชายว่าที่คู่หมั้น เจิ้งห่าวหรานก็จับลูกสาวมาฝึกวิชายุทธ์ทันที ทำให้แค่นี้ไม่ได้ทำให้หญิงสาวเหนื่อยล้าหรือพลังถดถอยได้เลย“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ วันนี้พวกเราทั้งสามคนเหนื่อยเหมือนกันหมด เรื่องแค่นี้ข้าทำได้ อีกอย่างข้ารู้ว่าฝู่เตี้ยวคงต้องกำลังดูแลท่านพี่อยู่ด้วย ข้าเลยไม่ได้เข้ามาปรนนิบัติท่านพี่ ต้องขออภัยด้วยนะเจ้าคะ”“นั่นสิ ความจริงแม่นางหงควรมาดูแลคุณชาย แล้วบ่าวต่างหากที่ไปทำกับข้าว” ฝู่เตี้ยวลุกขึ