“พรุ่งนี้พี่จะคุยกับอาธีทัตเป็นการส่วนตัวก่อน ถ้าได้เรื่องยังไงพี่จะบอกให้เรารู้แล้วกัน” กันตภณพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งขณะที่ลุกขึ้นจากเก้าอี้ทำงาน
ทั้งที่เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์แต่ก็ต้องมาทำงานที่ค้างไว้รวมถึงรวบรวมเอกสารที่ใช้เจรจากับอาธีทัตในวันพรุ่งนี้ แน่นอนว่าหลักฐานมีมากพอที่จะมัดตัวได้ ทว่าอีกฝ่ายคงไม่ยอมรับง่ายๆ เด็ดขาด ในตอนนี้สีหน้าของกตตน์ดูไม่ค่อยพอใจมากนักเพราะว่าถูกสั่งห้ามไม่ให้เข้าไปพูดคุยด้วยแม้ภายนอกจะเห็นว่าเป็นคนสุขุมมากแค่ไหน แต่กับกันตภณรู้ดีว่าน้องชายนั้นมีนิสัยหัวร้อนมากพอดู อาจจะทำให้การคุยนั้นดูแย่มากไปกว่าเดิม“ผมต้องการที่จะคุยกับอาด้วย” กตตน์ยังคงยืนยันคำเดิม“พี่รู้นะว่าใจร้อน แต่พี่ว่ามันอาจไม่เป็นผลดีมากนัก เรื่องนี้พี่จะจัดการเอง ส่วนผลหลังจากคุยเสร็จจะบอกให้รู้ อีกอย่างอาธีทัตเองก็ทำธุรกิจกับคุณพ่อมานาน ถ้าจะแล้งน้ำใจมากเกินไปคนอื่นจะมองในทางที่ไม่ดีเอาได้”กตตน์เงียบนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนพยักหน้ารับแล้วขยับตัวลุกขึ้นจากโซฟาที่นั่งฝั่งตรงข้ามกับพี่ชาย ครั้นจะหันตัวเดินไปเสียงเรียกของกันตภ“เห็นเรามีเรื่องอยากจะคุยกับอา” ธีทัตกล่าวขณะที่นั่งลงบนโซฟารับรองภายในห้องทำงานของกันตภณ “เรื่องโครงการของเจ้าไม้ที่กำลังดำเนินการอยู่หรือ”ธีทัตพูดเข้าเรื่องทันทีเพราะไม่พอใจกับโครงการที่กตตน์เป็นฝ่ายรับผิดชอบ ซ้ำทุกคนยังเห็นด้วยโดยที่ไม่สนใจคำคัดค้านของเขาเลยสักนิดกันตภณไม่ได้ฟัง เขาหยิบเอกสารจำนวนหนึ่งแล้วเดินมานั่งลงที่โซฟาฝั่งตรงข้ามกับอาธีทัต“ถ้าเทียบแล้ว ตอนนี้ทางผมเป็นหุ้นส่วนใหญ่มากกว่า อีกทั้งยังมีอำนาจตัดสินใจมากกว่า แต่เป็นเพราะคุณอาเป็นเพื่อนสนิทของพ่อผม รวมทั้งทำธุรกิจร่วมกันมาหลายปี ผมจึงอยากจะคุยกับอาตรงๆ...” กันตภณพูดขึ้น แม้จะดูอ้อมค้อมไปบ้าง แต่ความหมายโดยนัยนั้นทำให้ใจธีทัตดูไม่เป็นสุขขึ้นมาทันที“เรากำลังจะพูดเรื่องอะไร ?”“ผมอยากให้อาคืนหุ้นให้ทั้งหมด” กันตภณไม่ได้อ้อมค้อมจากจุดประสงค์ที่ต้องการคุย เขายังไม่บอกถึงสาเหตุที่พูดเรื่องนี้ขึ้นมา เพราะหลังจากตรวจสอบข้อมูลอย่างละเอียดรวมถึงรายการบัญชีเงินที่หายไปทำให้รู้ว่าจำนวนนั้นไม่ใช่น้อยๆ เลยในตอนนี้สีหน้าของธีทัตดูเกรี้
ยังมีเวลาเหลืออยู่อีกเกือบชั่วโมงหลังจากที่นัดพบพูดคุยตกลงรายละเอียดกับลูกค้าเสร็จแล้ว ภพธรขอแยกตัวกลับไปก่อนหลังจากที่เสร็จงานเรียบร้อย วันนี้ไม่มีงานค้างของเดิมและของเช้าที่เข้ามาก็จัดการเสร็จเรียบร้อย จรีภรณ์ยังมีเวลาในการแวะห้างสรรพสินค้าซื้อของใช้ส่วนตัว เธอจำได้ว่าตั้งแต่คราวก่อนที่เกิดเรื่องหลังจากวันนั้นกตตน์ก็ไปไหนมาไหนด้วยตลอด ถึงจะพอเข้าใจว่าส่วนหนึ่งคงรู้สึกผิดกับสิ่งที่ทำลงไป แต่อีกส่วนหนึ่งเธอก็หลงคิดไปเองไม่ได้ว่าเขาเริ่มมีใจให้กับเธอ...ไม่สิ ให้กับพริมมาต่างหากคิดแล้วก็เจ็บปวดจรีภรณ์เดินเข้าร้านซื้อครีมบำรุงผิวรวมถึงน้ำหอมและเครื่องสำอางเล็กๆ น้อยๆ แล้วออกมาเดินหาซื้ออะไรรองท้องก่อนกลับถึงบ้านเพื่อรับประทานอาหารมื้อเย็น หลังจากที่เดินออกจากร้านซื้อไอศกรีมเสร็จแล้ว เธอเดินออกมาก้มหน้าก้มตาตักกินของหวานตรงหน้าโดยไม่สนใจสิ่งอื่นใดจนกระทั่งเงยหน้าขึ้นมามองไปยังเบื้องหน้าไม่ไกลนักเห็นชายคนหนึ่งยกมือโบกทักทาย ไม่ใช่ใครอื่นธนวินทร์นั่นเอง ช่างเป็นโชคไม่ดีเอาเสียเลย เธอทำเป็นมองไม่เห็นการทักทายของชายหนุ่ม โดยการเบือนมองไปทางอื่นและหันหลังกลับในทันทีเด
“วันนี้คุยกับคุณอามาแล้วหรือคะ ?” จรีภรณ์เอ่ยถามขึ้นขณะที่หวีผมอยู่หน้ากระจก ดวงตากลมมองใบหน้าคมผ่านทางกระจก เขาวางเอกสารที่นั่งอ่านอยู่เมื่อครู่แล้วเดินเข้ามาหาเธอ“ใช่แล้ว”“คุณจะทำยังไง ?” หญิงสาววางหวีลงและหมุนตัวหันมามอง ชายหนุ่ม “คุณคงไม่คิดจะแจ้งความคุณอาใช่ไหม ?”“ไม่” ชายหนุ่มตอบด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “คุณอาทำธุรกิจกับคุณพ่อมานาน ทั้งยังเป็นเพื่อนเก่า ที่ผมต้องการแค่ ถอนหุ้นจากคุณอาออกทั้งหมด อีกอย่างถ้ามีคดีความคงเป็นเรื่องราวใหญ่โต...”จรีภรณ์พยักหน้ารับโดยไม่พูดอะไรต่อ เธอขยับตัวลุกขึ้นแล้วเตรียมจะสาวเท้าเดินไปที่เตียง ทว่ามือแกร่งเอื้อมเข้ามารั้งที่ต้นแขนเอาไว้“มีอะไรหรือเปล่า” เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงห้วนส่งสายตามองชายหนุ่มกตตน์มองดวงตากลมที่สะท้อนกับแสงไฟอยู่ครู่หนึ่งก่อนดึงเธอเข้าสู่อ้อมกอด วงแขนแกร่งกอดรัดร่างเล็กเอาไว้ราวกับว่ากลัวจะหายไป จรีภรณ์ไม่ขัดขืนเลยสักนิดตรงกันข้ามกลับรู้สึกดีด้วยซ้ำทว่าลึกๆ แล้วก็เจ็บปวดมากเหมือนกัน...ยิ่งอยู่ในอ้อมกอดเขาแบบนี้ยิ่
กว่าจะประชุมเสร็จกับฝ่ายการตลาดเรื่องรูปร่างการออกแบบสินค้าชิ้นใหม่ สุดท้ายแล้วฝ่ายการตลาดไม่ยอมให้ รูปร่างผลิตภัณฑ์ที่ออกแบบมานี้วางจำหน่ายเพราะกลัวว่าสินค้าจะขายได้น้อยลง เธอจึงต้องยอมรับการตัดสินใจของฝ่ายตลาดดูท่าแล้วถ้าหากให้ทรงที่ออกแบบมานี้ผู้บริโภคผู้หญิงอาจจะไม่ชอบก็ได้เวลานี้พระอาทิตย์เริ่มตกดิน ทุกคนในบริษัทต่างเดินทางออกเพื่อกลับบ้าน ขณะที่เธอเดินกลับมายังห้องทำงานอีกครั้งเก็บเอกสารบางส่วนนำกลับไปทำต่อในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ เมื่อเดินออกมารอลิฟต์ก็เจอกับกตตน์เข้าพอดี เธอไม่ได้สบตามองเขาทั้งยังหลบสายตาเหมือนเดิมตลอดหลายวันที่ผ่านมา นอกจากจะคุยเรื่องงานกับเขาแล้ว เรื่องส่วนตัวหรือเรื่องอื่นๆ ก็ไม่ได้คุยอะไรเลยสักนิดแม้จะกลับบ้านพร้อมกันก็ตามจรีภรณ์ก้าวเข้าไปในลิฟต์แล้วกดชั้นที่ต้องการลง เธอหันหน้าไปอีกฝั่งโดยที่ไม่มีการพูดคุย บรรยากาศในตอนนี้ช่างหน้าอึดอัดเหลือเกินกตตน์ไม่ได้พูดอะไร เขามองคนตัวเล็กที่เบือนหน้าหนี หลายวันมานี้ภรรยาหลบสายตาเขามาตลอดและพูดจนแทบนับคำได้ตั้งแต่วันนั้น เขารู้สึกอึดอัดกับความรู้สึกแบบนี้...แต่นี่ก็หลายวันมาแล้ว ชายหนุ่มเอื้อมมือเ
ภายในห้องที่เคยสะอาดเรียบร้อยตอนนี้รกสกปรกดูไม่ได้ หลายวันที่ผ่านมาเธอแทบไม่ได้ออกไปไหนนอกจากเก็บตัวอยู่แต่ในห้องด้วยความเศร้า แม้จะออกไปรับงานแต่ก็ไม่ใช่เรื่องดีมากนักเพราะถูกเสี่ยของบ่อนแห่งหนึ่งซ้อมทำร้ายร่างกายมา อีกทั้งมารดายังขอเงินจากเธอเพื่อนำไปเล่นการพนันอีก ครั้นมองชีวิตที่น่าขยาดนี้แล้วก็ไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปร่างกายของแพรวรุ้งเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำจากการถูกทำร้าย ใบหน้ามีรอยช้ำสีเขียวม่วงข้างแก้ม รวมถึงคราบน้ำตาที่ไหลรินลงมา ขอบตานั้นแดงบวมหลังจากที่ร้องไห้เป็นเวลานานติดต่อกันไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไป...แต่ทว่าเมื่อเปิดรูปถ่ายคู่ของเธอและกตตน์ก็รู้สึกมีความสุขขึ้นมา เธอรู้ดีว่าการที่ถูกเขาทิ้งไปนั้นเป็นเรื่องที่เจ็บปวดมากที่สุด มากกว่าแผลตามร่างกายที่เป็นอยู่ตอนนี้ แต่ว่าไม่ว่าจะทำอะไร...เขาคงไม่กลับมาแพรวรุ้งพยุงร่างกายของตัวเองขึ้นเดินไปหยิบขวดยาที่อยู่บนโต๊ะออกมา เจ็บปวดและทรมานแต่ถ้ามันสามารถทำให้เขารับรู้และกลับมาหาเธอได้ ต่อให้เจ็บตัวมากแค่ไหนเธอก็ยินดีหยดน้ำตาไหลลงมาที่แก้มนวล มือสั่นเทาและร่างกายที่สั่นเทานี้กำลังหวาดกลัว ความเจ็บปวดและความตายท
เช้าวันใหม่ของสัปดาห์การเริ่มต้นทำงานอีกครั้งหนึ่ง เสียงพูดคุยบนโต๊ะอาหารไม่ใช่เรื่องไกลตัวแต่อย่างใด แต่เป็นเรื่องเกี่ยวกับอาธีทัตที่สอง พี่น้องหนุ่มนั้นยังไม่เคยบอกมารดาให้ทราบ“เป็นแบบนี้จริงๆ หรือ ทำไมเราไม่บอกแม่เรื่องนี้แต่แรกล่ะ” น้ำเสียงของบวรลักษณ์ดูตกใจและเครียด ไม่ใช่เพราะจำนวนเงินที่ถูกยักยอกไปแต่เป็นเพราะทำธุรกิจร่วมกับธีทัตมานานตั้งแต่สมัยที่แต่งงานกับสามีใหม่ๆ จากบริษัทเล็กๆ ที่บริหารดูแล้วท่าจะไม่รอดจนวันนี้เติบใหญ่ขึ้นมาได้ ก้าวสู่แบรนด์ชั้นนำ อีกทั้งยังมีสินค้าหลากหลายที่ส่งออกสู่ประเทศเพื่อนบ้าน“ผมจัดการเรื่องนี้แล้วครับ จะไม่มีใครรู้ความจริงภายในเรื่องนี้” กันตภณพูดขณะที่วางช้อนส้อมและเอื้อมมือหยิบแก้วน้ำขึ้นดื่ม“แน่ใจนะ แม่ไม่อยากให้เรื่องบานปลาย ถ้าเป็นพ่อก็คงไม่อยากให้คนนอกรู้”“ครับ” สองพี่น้องตอบพร้อมกัน“ถ้างั้นผมไปทำงานก่อนนะครับ” กันตภณพูดพร้อมกับลุกขึ้นขณะที่มารวีก็ลุกขึ้นด้วยเช่นกัน“เดินๆ ระวังด้วยนะยัยเมย์” ผู้เป็นแม่สามีพูดขึ้นด้วยความเป็นห่วง เกรง
“ต่อไปเป็นกระบวนการและขั้นตอนการผลิตนะครับ เราจะนำวัตถุดิบเข้ามาโดยผ่านเครื่องจากทางด้านนี้และส่งเข้าไปในเครื่องเพื่อทำการใส่ส่วนผสมโดยจะมีการตั้งปริมาณน้ำหนักไว้ตามอัตราส่วนครับ ต่อมาเป็นเครื่องกวนผสม...” ผู้บรรยายได้บอกเกี่ยวกับกระบวนการผลิตในโรงงานอย่างคร่าวๆ จรีภรณ์มองดูถึงความสะอาดและเครื่องจักรที่ทันสมัย ในห้องผลิตนี้ไม่มีพนักงานสักคน เรียกได้ว่าทุกอย่างถูกควบคุมเอาไว้หมดเพื่อความปลอดภัยต่อสินค้า ซึ่งตัวอย่างของแต่ละขั้นตอนจะถูกนำสุ่มออกมาเพื่อการตรวจวิเคราะห์ทางเคมี ทดสอบสารก่อภูมิแพ้ รวมถึงความปลอดภัยทางด้านชีววิทยาด้วย“ถัดต่อจากนี้ไปจะเป็นห้องบรรจุหลังจากมีการสุ่มตัวอย่างเพื่อตรวจสอบสินค้าแต่ละล็อตที่ผลิตออกมา จะเห็นได้ว่าทางบริษัทของเราป้องกันการปนเปื้อนจากทุกด้านโดยเฉพาะทางกายภาพและทางเคมีที่จะส่งผลต่อผู้บริโภค...”“หลังจากการผลิตแล้วเราจะขนส่งผลิตภัณฑ์ทั้งหมดมาบรรจุต่อเองที่บริษัทก่อนออกจำหน่าย” กตตน์พูดขึ้น“อ้อ ! ถ้าอย่างนั้นทางเราจะทำหน้าที่ขนส่งผลิตภัณฑ์ทั้งหมดให้ เดี๋ยวเรื่องนี้เจ้านายจะคุยรายละเอียดอีกครั้งใ
ความมืดนี้...นี่คือที่ไหนกันจรีภรณ์ปรือตาขึ้นมองไปยังความมืดสนิทตรงหน้า ปลายทางข้างหน้าไม่มีแม้แต่แสง เธอพยุงร่างของตัวเองลุกขึ้นแล้วก้าวเดินไปใน ความมืดที่มองไม่เห็น ความรู้สึกที่ล้อมร่างกายอยู่นั้นเย็นยะเยือกและหนาวสั่น เส้นทางที่ไม่มีวันจบต่อให้เดินไปสุดแค่ไหนเธอจำได้ว่ากำลังอยู่ในเหตุการณ์วุ่นวายหน้าโรงพยาบาลอยู่ เเละทุกอย่างก็เกิดขึ้นเร็วมากจนตั้งตัวไม่ทัน รวมทั้งร่างกายที่อาศัยอยู่นั้นไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง…ราวกับว่ากำลังต่อต้านเธออยู่หญิงสาวหันมองไปรอบๆ ที่มืดมิด เเต่ก็ต้องหยุดชะงักลงเมื่อเห็น พริมมานั้นยืนอยู่ห่างออกไปไม่ไกล สองเท้าก้าวเข้าไปหาพร้อมกับเอื้อมมือคว้าร่างที่อยู่ตรงหน้านี้ไว้ ทว่าร่างของพริมมากลายเป็นกลุ่มควันก่อนจะสลายหายไป…เหลือเพียงความว่างเปล่า“คุณพริม !” มีเพียงความมืดเเละเสียงที่ดังก้องของเธอสะท้อนกลับมาเท่านั้นจรีภรณ์หันมองไปอีกทาง เห็นแผ่นหลังของชายหนุ่มที่ยืนหันหลังให้ เธอสาวเท้าเดินเข้ามาไปเอื้อมมือสัมผัสร่างที่ปรากฏอยู่“คุณกตตน์…”ทุกอย่างกลับสู่ความมืดและความว่างเปล่
ครั้นเห็นสีหน้าของภรรยาก็รู้สึกสนุก เขายิ้มออกมาแล้วพูดขึ้น “คุณอยากให้ผมหยุดไหม?”นั่นเป็นคำถามที่เขาควรถามหรือไม่?!จรีภรณ์ก้มหน้านิ่งลงด้วยความอายร่างกายกำลังเรียกร้องหาเขา ถ้าให้เธอหยุดตอนนี้...หญิงสาวขยับตัวลงเดินเข้ามาหาชายหนุ่ม“ไม่อยากมีกอหญ้าให้ต้นน้ำแล้วหรือคะ?” น้ำเสียงหวานพูดเชิญชวนชายหนุ่ม กตตน์ใจอ่อนทันตา เพราะเสียงและสายตาที่ชวนเขาขนาดนี้มีหรือจะปฏิเสธลงได้กตตน์ดันหญิงสาวชิดกับขอบโต๊ะเขาจูบเธอก่อนที่จะอุ้มร่างเล็กวางนอนกับโต๊ะทำงาน ของและกองเอกสารที่วางอยู่มุมโต๊ะถูกปัดหล่นที่พื้นโดยไม่มีใครสนใจชายหนุ่มฝั่งปลายจมูกลงที่ส่วนอ่อนไหวอีกครั้งหนึ่งคราวนี้เขาสามารถทำให้เธอตอบสนองและครางออกมาได้มากกว่าเดิม“คุณชอบไหม?”&nb
ต้นน้ำวิ่งออกมาจากห้องหันมองประตูด้วยสีหน้าที่บ่งบอกถึงความอดทน เพราะอยากจะมีน้องสาวไวๆ จึงต้องยอมนอนคนเดียวตั้งแต่คืนนี้เป็นต้นไป ทั้งยังต้องปล่อยให้พ่ออยู่แม่ด้วยกันนานๆ“กำลังอดทน?”จรีภรณ์ทวนคำพูดของลูกชายก่อนจะวางงานเเละลุกขึ้นทันทีทว่าประตูห้องเปิดเข้ามาเสียก่อน“มาเอาของหรือคะฉันจะไปดูลูกหน่อย”หญิงสาวพูดขณะเตรียมก้าวไปทว่ามือแกร่งของชายหนุ่มรั้งไว้เสียก่อน“ต้นน้ำไม่เป็นอะไรหรอกคุณโอ๋ลูกมาไปจนติดคุณเเล้วรู้ไหม"กตตน์พูดด้วยน้ำเสียงทุ้มเเล้วเอ่ยต่อไปว่า“ต้นน้ำแกบอกว่าอยากมีน้องสาว…”จรีภรณ์ส่งสายตามองสามีเธอรับรู้ถึงน้ำเสียงกะล่อนของเขาได้“คุณไม่ได้พูดอะไรกับลูกใช่ไหม?!”“ผมเปล่าพูดอะไร&rdqu
จากวันนั้นก็ผ่านมาหลายปีแล้วทุกอย่างไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนเเปลงไปมากกว่าเก่าเพียงเเต่สิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนเเปลงไปคือความรู้สึกของเขาหลายปีมานี้จนกระทั่งมีลูกชายคนเเรกเธอรับรู้การเปลี่ยนไปของผู้ชายคนนี้มากรวมทั้งตัวของเธอด้วยเเต่สิ่งหนึ่งที่ยังคงอยู่ในความทรงจำของเธอไปตลอดคือ'พริมมา'ไม่ว่าจะผ่านมากี่ปีก็ไม่มีวันลืมได้ว่าร่างกายนี้…เสียงลมหายใจนี้เป็นของหล่อนที่มอบให้เธอได้กลับมาอยู่กับเขาอีกครั้งหนึ่ง“แม่ค้าบบ”เสียงของเด็กชายวัยสี่ปีกว่าๆดังขึ้นขณะที่เสียงฝีเท้าวิ่งพราดเข้ามาหาผู้เป็นแม่มือน้อยๆดึงชายกระโปรงชุดนอนเป็นเชิงเรียกให้มารดาที่นั่งทำงานอยู่บนโซฟาหันมามอง“มีอะไรครับคนเก่งของแม่”จรีภรณ์ละสายตาจากเอกสารหันมองลูกชายตัวน้อยเด็กชายส่งสมุดวาดรูปให้กับผู้เป็นแม่
ขวัญข้าวจัดกระเป๋าขณะที่มือก็ถือกุญแจเอาไว้ แต่ถือไว้ไม่ดีจึงทำให้หล่นลงพื้น ไม่เพียงแค่นั้นขณะก้มลงเก็บสายสะพายกระเป๋าก็ร่วงลงมาด้วยทำให้น้ำหนักทั้งหมดอยู่ที่แขนซ้าย หญิงสาวมีใบหน้าหงุดหงิดเล็กน้อยเพราะของที่เยอะทำให้หยิบจับอะไรไม่สะดวก แต่ก็โทษใครไม่ได้ที่ดันซื้อมาเยอะเองเพราะคิดว่าคืนนี้ต้องอยู่ดึกทำรายงานยาว เกรงว่าจะหิวเลยจัดซะเต็ม‘ของเธอใช่ไหม ?’ เสียงทุ้มเอ่ยทักขึ้นขณะที่ยื่นมือส่งกุญแจให้กับเธอ ขวัญข้าวพยักหน้ารับก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของเสียงเขาอีกแล้ว...!!‘ขอบคุณค่ะ’ หญิงสาวกล่าวพร้อมกับเอื้อมมือรับ‘พักอยู่ห้องนี้เหรอ’ ธนวินทร์เอ่ยถามขึ้น‘ค่ะ’‘เหรอ’ เขายิ้ม ‘เราพักอยู่ห้องข้างๆ เธอนะ’ขวัญข้าวยิ้มเจื่อนๆ ก่อนหันมาเปิดประตูห้อง แต่ก็นึกเพราะคนเก่าที่อยู่เป็นรุ่นพี่ผู้หญิง แสดงว่าเขาเพิ่งย้ายเข้ามาใหม่ได้ไม่นาน‘เธอชื่ออะไรเหรอ ?’ ชายหนุ่มเอ่ยถามพร้อมกับส่งยิ้มที่เป็นมิตรให้ คนตัวเล็กมองอยู่นานก่อนจะตอบกลับ‘ข้าวค่ะ’&lsquo
หลังเลิกเรียนวิชาสุดท้ายของวัน อาจารย์ผู้สอนเก็บของและเดินออกไปจากห้อง พะแพงลุกขึ้นวางของแล้วเดินเข้ามาหาเพื่อนในกลุ่มก่อนจะพูดขึ้นเสียงดัง‘วันนี้ไปส่องผู้ชายกัน !’‘ที่ไหน ! / ไปตอนไหน !’ แก้วและปรางพูดขึ้นพร้อมกันขณะที่ ขวัญข้าวนิ่งเงียบทำราวกับว่าไม่ได้ยินที่พะแพงพูด‘ข้าว แกต้องไปด้วยนะ’‘การบ้านยังไม่เสร็จเลย’ หญิงสาวหาข้ออ้าง‘แกทำการบ้านทุกวันนั่นแหละ ! อย่าอ้าง วันนี้ต้องไปด้วย ! เห็นว่าเด็กบริหารหล่อๆ มาเล่นกีฬาที่สนามเยอะเลย’หญิงสาวยิ้มเจื่อนๆ มองหน้าเพื่อนรักทั้งสามคนทำตาปริบๆ‘ไม่ต้อง ! แกต้องไปส่องผู้ชาย ทำการบ้านไปด้วยได้บรรยากาศดีจะตาย’ แก้วพูดขึ้นขวัญข้าวทำหน้ามุ่ย ดูเหมือนว่าครั้งนี้จะหาข้ออ้างหลีกเลี่ยงไม่ได้จริงๆเป็นเวลานานเกือบชั่วโมงที่นั่งรวมตัวอยู่กับเพื่อนแล้ว ‘ส่องผู้ชาย’ ขวัญข้าวแทบไม่มีอะไรทำจนต้องหยิบโทรศัพท์ขึ้นมานั่งเล่นเกมเป็นการฆ่าเวลา จนกระทั่งผ่านไปถึงสองชั่วโมงเพื่อนทั้งสามของเธอก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะกลับหอ หญิงสา
มีคนบอกว่าการพบกันของคนสองคนมาจากโชคชะตา แต่สำหรับเธอแล้วเหมือน ‘กรรม’ มากกว่า การพบกันไม่ใช่ว่าจะเกิดเรื่องราวดีๆ ระหว่างกันขึ้นเสมอไป มันอาจจะโชคร้ายและแสนเศร้ามากๆ เลยก็ได้ แม้จะมีความสุขแต่ทว่าผลสุดท้ายแล้วคือความเจ็บปวดดีๆ นี่เองเสียงฝีเท้าจากส้นสูงคู่หนึ่งก้าวหยุดอยู่ที่บ้านไม้สองชั้นบรรยากาศ ร่มรื่นมีไม้ดอก ไม้ประดับปลูกล้อมรอบไว้ อีกทั้งในบ้านก็มีต้นไม้ใหญ่หนึ่งต้นที่คอยให้ร่มเงา เธอเอื้อมมือกดกริ่งเรียกคนในบ้านและยืนรอ“กลับมาแล้วเหรอข้าว” เสียงของหญิงวัยกลางคนเอ่ยขึ้นขณะที่เดินมาเปิดประตูบ้านให้“กลับมาแล้วค่ะแม่” ขวัญข้าวขานรับทันทีที่ประตูเปิดออกหญิงสาวขนสัมภาระเข้ามาในบ้านแล้วเดินมากอดผู้เป็นมารดา“คิดถึงจังเลยค่ะ”สองปีได้ที่ต้องไปทำงานที่เมืองนอกโดยแทบไม่มีเวลากลับมาเลย ปีหนึ่งกลับมาแค่ช่วงปีใหม่เท่านั้น ต่อให้จะโทรคุยกันในช่วงที่มีเวลาว่างก็ตาม แต่ก็ไม่เท่ากับการพบหน้าคุยกันอยู่ดี“จ้ะ...แล้วนี่กลับมาทำงานที่นี่เลยไหม ?”“ค่ะ เพราะงานวิจัยที่นั่นเสร็จแล้ว&rdquo
จรีภรณ์ค่อยๆ ลืมตาขึ้นอีกครั้งหันมองไปรอบๆ ห้องแล้วมอง ชายหนุ่มที่ฟุบหน้าลงกับเตียงขณะที่กุมมือของเธอเอาไว้อยู่ สิ่งที่เป็นอยู่ตอนนี้ราวกับความฝันก็ไม่ปาน...เธอกลับเข้าร่างของพริมมาอีกครั้งหนึ่งแล้ว หญิงสาวขยับมือเพียงเล็กน้อย ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกตัวและปรือตาขึ้นมอง“พริม”จรีภรณ์ไม่มีคำพูดใดๆ จะพูดออกมาในตอนนี้นอกจากน้ำตาที่ไหลลงมาไม่ขาดสาย ความรู้สึกที่ไม่สามารถพูดออกมาได้กับการที่กลับมามองหน้าและสัมผัสเขาอยู่ใกล้กันแบบนี้อีกครั้งหนึ่งกตตน์ลุกขึ้นยกมือขึ้นสัมผัสแก้มนวลของภรรยา เขาใช้มือปาดหยดน้ำใสบนใบหน้าของเธอขณะที่โน้มตัวลง จุมพิตที่หน้าผากของเธอเบาๆ“ผมรักคุณ” เป็นเสียงกระซิบที่มีความหมายต่อเธอเหลือเกิน หญิงสาวพยักหน้าพร้อมกับยิ้มทั้งน้ำตาแล้วเอ่ยปากพูดตอบเขาด้วยเสียงแผ่ว“ฉันก็รักคุณค่ะ”ท้องฟ้ามืดสนิทในยามวิกาลไร้หมู่ดาว มีเพียงแสงจันทร์สีเหลืองนวลส่องความสว่างอยู่ท่ามกลางความมืดมิด เสียงลมพัดผ่านเบาๆ บนดาดฟ้าของโรงพยาบาลกับเสียงการจราจรที่ดังผ่านหูเป็นบางครั้งบางคราว พริมมายกมือขึ้นปาดน้ำตาบนใบหน้าขณะที่
“เป็นเธอน่ะดีแล้วจริงๆ...” พริมมาพูดอีกครั้งก่อนที่จะสาวเท้าเดินเข้ามาหาจรีภรณ์ แววตาเศร้าสะท้อนออกมามองหญิงสาวตรงหน้า ก่อนจะยิ้มออกมาอีกครั้งหนึ่ง“เพราะเธอคือคนที่เขารักยังไงล่ะ...”จรีภรณ์เงยหน้าขึ้นมองพริมมาด้วยแววตาสับสนและไม่เข้าใจความหมาย ร่างกายของเธอสั่นเทาออกมาจนแทบควบคุมไม่ได้ หล่อนต้องการจะบอกอะไรกันแน่ ? บอกเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ให้เธอดีใจงั้นเหรอ?สำหรับเธอ ทุกอย่างมันจบลงตั้งแต่ที่ออกจากร่างของพริมมา“เธอน่ะพูดบ้าอะไร คนที่เขารักก็คือพริมมาต่างหาก !” เจ็บปวดจนแทบหายใจไม่ออก แต่ทว่านี่คือความจริงที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงได้ ความจริงที่กตตน์ ‘รัก’ พริมมา“ไม่หรอก...” พริมมาตอบด้วยน้ำเสียงเศร้า เพราะรู้ดีว่าตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกันมาสามวันทั้งการกระทำและการเปลี่ยนแปลงของเขาชัดเจน อีกอย่างกตตน์ต้องการพริมมาในแบบจรีภรณ์มากกว่าเธอที่เป็นพริมมาตัวจริงเสียอีก“อย่าพูดบ้าๆ...”‘เวลาของเจ้าได้หมดลงแล้ว’ เสียงหนึ่งดังก้องไปทั่ว หากแต่ไร้ร่างของเจ้าของเสียง จรีภรณ์หันม
“ขอบคุณนะคะ” พริมมาพูดด้วยเสียงแผ่วขณะที่ยมทูตค่อยๆ หายไปกับอากาศ...ขอบคุณที่ทำให้อยู่ในอ้อมกอดของเขาอีกครั้ง“เสร็จงานแล้วหรือ จะกลับเลยไหม ?” กันตภณเอ่ยถามขึ้นขณะที่เห็นน้องชายเดินมารอลิฟต์เช่นกัน“ยังครับ ผมจะไปหาพริมก่อนแล้วค่อยกลับบ้าน” กตตน์ตอบด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งคนเป็นพี่ยิ้มที่มุมปากขณะมองท่าทางของน้องชายก่อนเอ่ยขึ้น “สุดท้ายก็ตัดสินใจได้แล้วสินะ”“ครับ”“แล้วแพรวรุ้งล่ะ จัดการงานเสร็จหรือยัง” กันตภณเอ่ยถาม“เผาไปเมื่อสองวันก่อน สวดแค่สามวันครับ เห็นชาวบ้านและป้าเจ้าของแมนชั่นบอกว่าแม่ของเธอไม่มางานศพของเธอ ผมเองก็ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับแพรวมากนัก ผมคบกับเธอโดยที่ไม่ได้สนเรื่องส่วนตัวมากเท่าไหร่ อีกอย่างแพรวตายเพราะผม...” สำหรับกตตน์คิดว่ามันไม่จำเป็นเลยสักนิดถ้าเกิดว่าเขารู้สึกเพียงแค่ชอบเธอ ทว่าสุดท้ายแล้วเขาอาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เธอตาย...“ก็อาจจะบางทีหรืออาจจะไม่ เรื่องมันผ่านไปแล้ว ถ้ามัวแต่ยึดกับอดีตโดยลืมปัจจุบันไปแล้วล่ะก็...บางทีคนที่ต้อง