“มีปัญหาแล้วครับ นายท่าน ผมสัมผัสได้ว่าคนกำลังจับตาดูเราจากรอบ ๆ บ้านครับ!” วอลเตอร์มาถึงตรงหน้าของเฟนด์ในวันถัดมา เขารายงานด้วยท่าทีเคร่งขรึม เฟนด์ที่กำลังดื่มชาอยู่ในสวน เขาไม่ได้สนใจเท่าไหร่ เขายิ้มหวานก่อนจะพูดว่า “แล้วคิดว่าเป็นใครล่ะ” “พวกเขาต้องมาจากตระกูลแวกเนอร์แน่ พวกเขากลัวว่าพวกเราจะหนีไปแน่ ๆ แต่พวกเขาได้จู่โจมเราเพราะไม่มีนักสู้ที่เหมาะสม ในตระกูลของพวกเขา พวกเขาเป็นชนชั้นสูงระดับที่สามอยู่ดี นอกจากผมแล้ว นักสู้ที่เก่งกาจของพวกเขาก็เป็นเพียงราชาสงครามสามดาราเท่านั้น เพราะงั้นพวกเขาเลยไม่กล้าโจมตีเรา!” “และสำหรับนักสู้จากตระกูลโลวแล้ว ต้องใช้เวลาอย่างน้อยวันนึง ถึงจะรีบมาจากตระกูลจินก็ตาม เพราะแบบนั้นตระกูลแวกเนอร์เลยคอยจับตาดูเรา เพราะพวกเขากลัวว่าเราจะหนีไป!” หลังจากที่วอลเตอร์จบ เขาก็ถามเฟนด์ว่า “เราจะทำยังไงดีครับนายท่าน?” เฟนด์ทำท่าบอกให้เขานั่งลง “สกายเลอร์บอกฉันแล้วเรื่องนี้” เขาพูดอย่างช้า ๆ “ไม่มีอะไรต้องกลัว เราจะไม่ออกไปไหนสองสามวันนี้ แล้วรอให้พวกเขามา อย่าห่วงไปเลย เราไม่ต้องหนีไปไหน มันจะไม่เป็นไรถ้าเราอยู่เฉย ๆ !” "ไม่เป็นไร!" วอลเตอร์พยักหน้
ชายคนที่มารายงาน อดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างขมขื่น นักสู้ที่เก่งขนาดนั้นต้องเป็นคนสำคัญแน่ และคนมากมายต่างก็พากันสนับสนุนเขา แต่เขาก็ถูกไอ้นักเลงนั่นฆ่า "เดี๋ยวนะ ราชาสงครามเจ็ดดาราถูกใครฆ่า ถูกราชาสงครามแปดดาราฆ่า หรือคนจากตระกูลวู๊ด หรือคนอื่น?” พีซนึกบางอย่างขึ้นมาได้ ก่อนจะถามออกไปอย่างรวดเร็ว “เขาถูกเฟนด์ วู๊ดฆ่า!” ชายคนนั้นตอบ เมื่อพวกเขาได้ยินเช่นนั้น พีซและพ่อของเขามองหน้ากัน ทั้งสองถอนหายใจเฮือกใหญ่ ทักษะการต่อสู้ของเฟนด์ไม่ใช่เล่น ๆ เลย โชคดีที่พวกเขาไม่ได้ทำตัวบุ่มบ่ามไป ทักษะการต่อสู้ของเขาเทียบเท่ากับราชาสงครามได้ และนั้นก็น่ากลัวพอแล้ว ไม่ต้องพูดถึงผู้หญิงที่สวมหน้ากากเลย เธอดูไม่ใช่พวกหัวอ่อนเหมือนกัน “จัดการเฟนด์นี่ไม่ใช่ง่าย ๆ เลย ของคุณพระเจ้าที่เราไม่พลุ่งพล่านไปในวันนั้น!” นายใหญ่ตระกูลแชฟฟ์แมน พิจารณาสถานการณ์ก่อนจะพูดว่า “ตระกูลแวกเนอร์มีลูกชายแค่คนเดียว และเขาก็มีลูกไม่ได้แล้ว มันเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่เลยสำหรับพวกเขา ตระกูลแวกเนอร์ไม่มีลูกหลานมาหลายปีแล้ว และตอนนี้ อาจจะไม่มีลูกหลานรุ่นต่อไปอีกแล้ว เพราะอย่างงั้นตระกูลแวกเนอร์ต้องแก้แค้นให้ลูกชายของพวกเ
เช้าวันต่อมา ตระกูลแชฟฟ์แมนออกไปที่ถนนใกล้บ้านเฟนด์กับครอบครัวของเขาแต่เช้า พวกเขารีบหาที่นั่งในร้านขายของว่าง มองไปที่วิลล่าที่อยู่ตรงหน้า พลางทานอาหารไปด้วย พีซรอคอยอย่างมีความหวัง เขามองไปที่ทางเข้าวิลล่าอย่างไม่ลดละ ตอนนี้ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขารู้ว่ามันสงบได้เพียงไม่นานเท่านั้น เพราะมันคือความสงบ ก่อนพายุจะมาถึงยังไงล่ะ หลังจากนาฬิกาถึงเวลาสิบโมง คนจากตระกูลวิลสันมาถึงหน้าวิลล่าพร้อมนักสู้กว่า 200 คนจากเมืองจิน “พวกมาแล้ว พวกเขามาแล้ว เร็ว! ไปบอกนายท่าน!” บอดี้การ์ดทั้งสองคนสังเกตเห็นลูกน้องหลายคนจากไกล ๆ ก่อนจะรีบตะโกน แล้ววิ่งออกไปทันที เฟนด์ให้ทุกคนซ่อนอยู่ในบ้าน เขาพาลาน่า, สกายเลอร์, วอลเตอร์, เพนดรากอน, เดนนิส และผู้ชายอีกสองสามโหลไปตรงที่ว่างตรงหน้าทางเข้าของวิลล่า รอให้ศัตรูมาถึง “ฮ่ะ ไม่คิดเลยนะว่านายจะมารอพวกเราถึงที่!” นายท่านแวกเนอร์ถึงกับหัวเราะออกมาเมื่อเห็นเช่นนั้น “แกคือไอ้สารเลวที่ทำแบบนั้นกับหลานชายของฉันใช่ไหม? รนหาที่ตายรึไง?” มีชายชราคนหนึ่งผมขาวทั้งหัว เขาใช้มือตบไปที่หัวของสิงโตหินตรงทางเข้า มันสูงครึ่งนึงของผู้ชายเป็นอย่างต่ำ ปัง! เกิ
ปัง! แรงที่แสนพลังปะทุขึ้น และคลื่นพลังงานที่แสนน่ากลัวก็พุ่งออกมาจากหมัด เป็นผลมาจากคลื่นกระแทก "อะไรกัน!" ชายชราสัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งอันน่าสะพรึงกลัวในกำปั้นของเฟนด์ ความสยดสยองเต็มตาของเขา “อัก!” เขากระเด็นไปข้างหลังสองสามเมตรก่อนจะหยุดลง เขาเลือดกลบปาก "พ่อ!" ลูอิซาร้องออกมา เมื่อเห็นพ่อของเธอได้รับบาดเจ็บ เธอไม่อยากจะเชื่อกับภาพที่เห็นตรงหน้า พ่อของเธอแข็งแกร่งเท่ากับราชาสงครามเก้าดารา แทบทุกคนในเมืองจินกำลังแหวกทางให้เขา แต่เขากลับถูกไอ้นักเลงที่ทำร้ายโดยการต่อยแค่ครั้งเดียว “ฉันจะลืมทุกอย่างที่เกิดขึ้นถ้าพวกแกออกไปตอนนี้ ถ้าไม่ แล้วยังรนหาที่ตายอีกล่ะก็ อย่าโทษที่ฉันโหดร้ายแล้วกัน!” เฟนด์นำมือไพล่หลังไว้ ก่อนจะพูดอย่างนุ่มนวล “เราจะทำไงดีล่ะ? ไอ้นักเลงนี่…” หญิงชราก้าวไปข้างหน้าทันที ก่อนจะถามชายชรา "ผมไม่เป็นไร แขนเขาก็แค่แข็งแกร่งเท่านั้นแหละ!” ชายชราจ้องไปที่เฟนด์ ก่อนจะเช็ดเลือดจากมุมปากของเขา “ฆ่าพวกมันคงไม่ยากเท่าไหร่ ถ้าดูจากจำนวนคนของเราแล้ว” เขาพูด “ไอ้สารเลวนี่แค่อยากจะขู่เราแค่นั้น!” หญิงชราพยักหน้า "ฉันก็ว่างั้นเหมือนกัน แถมยังให้โอก
วอลเตอร์ตื่นเต้นมาก เมื่อชื่อนั้นเข้ามาในหัวของเขา เฟนด์ นักรบสูงสุด! ไม่มีใครเคยเห็นหน้าเขามาก่อน ไม่รู้จักแม้แต่ชื่อด้วย แต่เขากลับมีโอกาสได้เจอนักรบสูงสุด เพื่อเป็นสักขีพยานในการต่อสู้ของเขา และสู้ไปกับเขา เขาไม่คิดไม่ฝันเกี่ยวกับเรื่องนี้มาก่อนเลย แต่ตอนนี้เขาได้อยู่ใกล้ ๆ นักรบสูงสุด ถ้าเฟนด์เป็นนักรบสูงสุดจริง ๆ เขาคงฆ่าคนที่อยู่ตรงหน้าเขาทั้งหมดอย่างง่ายดาย นอกจากนี้แล้ว เขาไม่จำเป็นต้องออกแรงทั้งหมดเลยด้วยซ้ำ มันก็ง่าย ๆ เหมือนการหายใจสำหรับเขา ทว่า เขารู้มาว่านักรบสูงสุดคือคนที่ชอบทำตัวต่ำต้อย ดูเหมือนว่านั่นจะเป็นสาเหตุที่เขาปกปิดตัวตนของเขามาตั้งแต่แรก ไม่เคยมีใครรู้ชื่อของเขา ถึงแม้ว่าเขาจะมีส่วนในช่วยเหลือประเทศมาตลอดก็ตาม “วอลเตอร์ ทำไมเหม่อแบบนั้นล่ะ?” สกายเลอร์สังเกตเห็นว่าวอลเตอร์กำลังมองไปที่เฟน ดวงตาของเขาเผยให้เห็นความตื่นเต้น เขาเลยดุชายหนุ่ม "โอ้ ผมขอโทษ!" วอลเตอร์กลับมาตั้งใจ ก่อนจะพลิกฝ่ามือของเขา แล้วชักดาบของเขาออกมา “ไปหาหัวหน้ามันก่อนเลย!” ชายชราจู่โจมเฟนด์ก่อน เขาฟันดาบออกไป แน่นอน เขามีเทคนิคที่ดี รังสีดาบของเขาแทบจะเป็นของแข็ง ทำให้รู้
คู่รักชราหวาดกลัวมากกว่าเดิมเมื่อเห็นคนของพวกเขาตายลงทีละคน รอบ ๆ พวกเขา ในที่สุดพวกเขาก็เข้าใจแล้วว่าเฟนด์ให้โอกาสพวกเขาได้ใช้ชีวิตแล้วจริง ๆ อย่างไรก็ตาม มันก็สายเกินไปแล้วที่จะเสียใจ "ตายซะ!" ในชั่วพริบตาเท่านั้น เฟนด์ก็ปรากฏตัวขึ้นระหว่างคู่รักชรา เขาวาดดาบเป็นวงกลม ก่อให้เกิดคลื่นดาบแสนน่าหวาดกลัว มันเป็นประกายแวววาว คู่รักชรา และนักสู้กว่าสิบคนของตระกูลโลวถูกรัศมีการโจมตีถล่มเข้าอย่างจัง ปัง ปัง ปัง! ทั้งหมดกระเด็นไปด้านหลัง ก่อนจะตกลงบนพื้นอย่างแรง ไม่มีใครหายใจอีกต่อไป "พ่อ! แม่!" ลูอิซาตะโกนออกมาทันทีที่เห็นพ่อแม่ของเธอถูกสังหารอย่างง่ายดาย ตอนนี้เธอรู้แล้วว่ามันเป็นการตัดสินใจที่โง่มากที่พาพ่อแม่ของเธอมาแก้แค้น ไม่เพียงแต่ไม่ได้แก้แค้น เธอยังทำให้พวกเขาตายอีกด้วย ในพริบตาเดียว คนของพวกเขากว่าร้อยคนก็ตายลง เหลือเพียงอีกครึ่งเท่านั้นที่ยังมีชีวิตอยู่ “ไม่ ไม่มีทาง!” นักสู้ของตระกูลโลวบางคนสติแตก พวกเขาส่ายหัวอย่างแรง พวกเขากลัวที่เห็นซากศพเกลื่อนไปทั่วพื้น "วิ่ง!" เฟนด์ฟาดคลื่นดาบไปอีกสองครั้ง และชายนับโหลก็ล้มลงไปกับพื้น มีบางคนทนไม่ไหวอีกต่อไป พวกเขา
“จัดการศพด้วย!” เฟนด์ยิ้มอย่างขมขื่นเมื่อเขาเห็นศพเกลื่อนทั่วพื้น เขาอยากจะหาเกล็ดมังกรอย่างเงียบ ๆ เขาไม่ได้อยากมีปัญหาตั้งแต่แรกด้วยซ้ำ เขาไม่เคยคิดเลย ว่ามันจะจบลงแบบนี้ ตระกูลแวกเนอร์ตายไปแล้ว และนักสู้มากมายจากเมืองจินก็จบชีวิตลงที่นี่เช่นกัน ดูเหมือนว่าตระกูลมหาอำนาจหลายตระกูลจากเมืองนางแอ่นจะคอยจับตาดูเขาและครอบครัวในตอนนี้ ทว่า ตอนนี้เขาคิดเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น มันอาจจะไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไรเลยก็ได้ อย่างน้อย ตระกูลที่วางกับดักใส่เขาจะได้ระมัดระวัง และรอบคอบมากขึ้นหลังจากเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ “ฉันกลัวมากเลย ว่าจะมีคนเยอะแยะเข้ามาพร้อมกันไปหมด ของคุณพระเจ้า พวกเธอทุกคนแข็งแกร่งมากจริง ๆ ไม่งั้นเราคงตายไปแล้ว!” ฟีโอน่าและคนอื่น ๆ ออกมาจากบ้านเมื่อเห็นว่าบอดี้การ์ดกำลังจัดการศพอยู่ ฟีโอน่าตบหน้าอกของเธอ เห็นได้ชัดว่าเธอยังคงตกใจอยู่ “พ่อเก่งมากเลย หนูอยากแข็งแรงแบบพ่อจังตอนหนูโตขึ้น!” ไคลี่วิ่งเข้ามา เธอมองไปที่เฟนด์ด้วยความชื่นชม ดวงตาของกลมสวย มันงดงามมาก เฟนด์ถึงกับพูดไม่ออกไปครู่นึง “แม่ปล่อยให้ไคลี่ออกมาได้ยังไง?” เขาพูดกับฟีโอน่าและคนอื่น ๆ “เร
ไม่นานนัก ข่าวก็กระจายไปทั่วเมืองแห่งศิลปะการต่อสู้ เมืองนางแอ่น “พ่อ แม่ คุณปู่ คุณย่า ผม ผมจะล้างแค้นให้ทุกคน…” ในทางกลับกัน นอกเมืองนางแอ่น ดีแลนพาบอดี้การ์ดสองสามคนติดตัวไป เขามุ่งที่เมืองจินโดยรถยนต์ หลังจากผ่านไปสามวัน ลาน่าก็มาอยู่ตรงหน้าของเฟนด์ ลาน่าหน้าตามีความสุขมาก เธอแทบจะเก็บความสุขเอาไว้ไม่อยู่ “นายท่าน ฉันมีข่าวดีมาบอก! ในที่สุด เราก็ได้ข่าวเกี่ยวกับเกล็ดมังกรแล้ว!” ลาน่ามองไปที่เฟนด์ ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความตื่นเต้น น้ำเสียงของเธอดูร่าเริงมาก “มีคฤหาสน์หลังใหญ่ตั้งอยู่นอกเมืองศิลปะการต่อสู้นี้ และฉันได้ยินมาว่าจะมีการประมูลลับ ๆ ในคฤหาสน์หลังใหญ่ในคืนพรุ่งนี้ มีคนร่ำรวยที่ไม่เปิดเผยตัวตน แอบติดต่อตระกูลที่แสนร่ำรวยในเมืองนี้ ตั้งใจที่จะรวบรวมทั้งตระกูล และนักธุรกิจที่มีชื่อเสียง เพื่อเข้าร่วมงานประมูลที่เขาจัดขึ้นมา มีของเพียงอย่างเดียวเท่านั้นที่จะถูกประมูล และนั่นคือเกล็ดมังกร!” "อืม เป็นอย่างงั้นเองเหรอ? เธอคิดไงกับเรื่องนี้ล่ะ?” เฟนด์ถามออกไป พลางขมวดคิ้ว “ฉันว่า ตราบเท่าที่เรายังใช้เงินแก้ปัญหาได้ มันก็ไม่มีปัญหา คนอื่น ๆ อาจคิดว่าเกล็ดมังกรเป็นขอ
ตราบใดที่มันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการบ่มเพาะโอสถของเขา ทั้งสองคนจะทำอะไรตามต้องการก็ย่อมได้ สิ่งนั้นไม่กระทบอะไรกับเขาเลย“ถึงฉันจะดูแคลนหมอนี่ แต่เขาก็ยังกล้าเสมอ เขาก็คงจะมีความสามารถอยู่บ้าง เขาน่าจะผ่านสองขั้นตอนแรกได้อย่างไม่มีปัญหา” เกรย์สันพูดอย่างชัดเจนรูดี้มองไปที่เกรย์สันด้วยรอยยิ้มเย็นชาบนใบหน้าแล้วตอบว่า "นายดูมั่นใจกับหมอนี่มากเลยนะ ฉันจะคิดว่าทุกครั้งที่เขาพูดก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเรื่องไร้สาระทั้งหมด“ฉันคิดว่าเขาอาจจะไปถึงขั้นที่สองก่อนที่เขาจะล้มเหลวโดยสิ้นเชิง! ฉันอยากเห็นจริง ๆ ว่าถ้าล้มเหลวขึ้นมา เด็กสารเลวคนนี้จะสู้หน้าเราได้ยังไง”เกรย์สันสูดหายใจเข้าลึก ๆ เขารู้สึกได้ว่าความโกรธของรูดี้ที่มีต่อเฟนด์นั้นลึกซึ้งกว่าของเขามากดวงตาของรูดี้ลุกเป็นไฟ เห็นได้ชัดว่าเขาเกลียดเฟนด์มากเพียงใดเกรย์สันหัวเราะอย่างเย็นชา "แล้วมาดูกันว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ฉันคิดว่าเขาน่าจะสามารถไปถึงขั้นตอนสุดท้ายได้ ถ้าเขาสามารถควบรวมอักขระทางยาได้ถึงร้อยเม็ดเขาก็น่าจะมาถึงระดับนั้น"หลังจากที่ทั้งสองพูดเรื่องเหล่านั้นออกมา พวกเขาก็ปิดปากเงียบพร้อม ๆ กับการมองดูเฟนด์โดยไม่พูดอะไรพวกเขามอง
ผู้อาวุโสฮอร์สท์กระแอมเล็กน้อยในขณะที่เขาพูดต่อ “หลังจากที่เธอบ่มเพาะโอสถได้สำเร็จแล้ว ให้นำโอสถมาให้ฉันตรวจสอบ พวกเธอจะมีเวลาในการทดสอบทั้งสิ้นแปดชั่วโมง ถ้าเธอไม่สามารถบ่มเพาะโอสถได้ภายในแปดชั่วโมง ก็จะแปลว่าไม่ผ่านการทดสอบ ดังนั้นอย่าได้ช้าเกินไป”พวกเขาทั้งสามพยักหน้าแทบจะพร้อมกัน หลังจากผู้อาวุโสฮอร์สท์ให้คำแนะนำแล้ว เขาก็จัดให้มีคนงานสองสามคนคอยเป็นคนตรวจ มีผู้ดูแลยืนอยู่ด้านหลังทั้งสามคนเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่ทำอะไรผิดพลาดหลังจากนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็หันกลับมาและไปหาผู้สอบคนอื่น ๆ รูดี้หรี่ตาลง ขณะที่เขาเหลือบมองเฟนด์และพูดว่า "ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการบ่มเพาะโอสถระดับหกคือขั้นตอนสุดท้าย แต่ขั้นตอนแรกก็ไม่ง่ายเช่นกัน ถ้านายรู้ว่าทำไม่ได้ ก็อย่าทำให้ต้องสิ้นเปลืองวัตถุดิบเลย ของพวกนี้ล้วนมีราคาค่างวด ต่อให้นายจะขายตัวเองเป็นทาสก็ยังไม่พอให้ซื้อของพวกนี้!”เฟนด์ถอนหายใจออกเบา ๆ หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านั้น ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าเขาเบื่อเกินกว่าจะอ้าปากพูดด้วยซ้ำ เขาตัดสินใจที่จะเพิกเฉยต่อผู้ชายคนนั้นและทุกสิ่งที่จะออกมาจากปากเขา ถึงโต้ตอบไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี
เกรย์สันหรี่ตาลงขณะที่เขามองเฟนด์ด้วยความโกรธเช่นกัน เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ดูเหมือนว่าวันนี้ นายจะมาที่นี่เพื่อหาเรื่องขายหน้าให้กับตัวเองเท่านั้น"หลังจากพูดจบเกรย์สันก็หันหลังกลับและเงียบไป เสียงความขัดแย้งหยุดลง และทุกคนรอบ ๆ ก็เริ่มกระซิบกระซาบกันผู้อาวุโสฮอร์สท์มองเฟนด์อย่างมีความหมาย ราวกับว่าเขามองเฟนด์ในมุมมองที่ต่างออกไป ทันใดนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็อยากรู้เรื่องของเฟนด์อย่างไม่น่าเชื่อ แต่ในขณะนั้นเขาไม่อาจพูดอะไรออกมาได้เมื่อเขาเห็นว่าทุกคนได้จับกลุ่มกันเรียบร้อยแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็โบกมือแล้วพูดว่า "มากับฉัน!"ทุกคนติดตามผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปเป็นกลุ่ม ๆ ผู้อาวุโสฮอร์สท์เข้าไปในเรือวิญญาณ ภายในเรือเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังรีบร้อนพวกเขาเดินตามหลังผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปอย่างใกล้ชิด เดินลัดเลาะไปตามทางก่อนจะมาถึงห้องกว้างขวางในที่สุด ห้องกว้างขวางมากจนเรียกได้ว่าห้องโถงเลยทีเดียวทันทีที่พวกเขาก้าวเข้าไปในห้อง ทุกคนก็สามารถสัมผัสได้ถึงรังสีของโอสถที่หนาแน่นรอบ ๆ บรรยากาศ พื้นที่ในห้องนี้ใหญ่เกินพอสำหรับพวกเขาแปดสิบคนเฟนด์ประเมินสถานการณ์เล็กน้อย ห้องนี้ใหญ่พอที่จะรองรับคน
พวกเขาถาโถมข้อกล่าวหาและดูหมิ่นมามากเกินไป ถึงเขาจะไม่อยากโต้เถียงกับคนพวกนี้ แต่เขาก็ยังถูกบังคับให้ต้องเงยหน้าขึ้นมาอย่างช้า ๆ อยู่วันยันค่ำเขามองเข้าไปในดวงตาของรูดี้ซึ่งเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน ราวกับเขาเป็นเพียงแมลงในสายตาของรูดี้เฟนด์หัวเราะอย่างเย็นชา “แล้วนายได้ยินเสียงสุนัขที่เห่าดังที่สุดแล้วหรือยังล่ะ?”คำพูดเหล่านั้นสามารถเยาะเย้ยทุกคนที่นั่นได้สำเร็จ เขาเปรียบเทียบกิลเบิร์ตกับสุนัขและเย้ยหยันทุกคนที่ฟังสุนัขตัวนั้นเห่า มันทำให้การแสดงออกบนใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปกิลเบิร์ตเกือบจะลืมความโกรธของตัวเองไปแล้ว เขาไม่อยากจะเชื่ออะไรด้วยซ้ำว่าเฟนด์จะสามารถขจัดคำดูถูกดูแคลนทั้งหมดลงได้ แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นกิลเบิร์ตหันกลับมาจ้องมองเฟนด์ด้วยใบหน้าแดงก่ำจากความโกรธเขาอยากจะตะโกนกลับแต่ถูกรองเหรัญญิกปรามไว้ "ดูเหมือนว่านายจะไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบแล้วสินะ!"ประโยคนั้นเพียงประโยคเดียวก็ทำให้กิลเบิร์ตไม่อาจพูดอะไรออกมาได้อีก กิลเบิร์ตตระหนักได้แล้วว่าเขาได้ทำให้รองเหรัญญิกขุ่นเคืองอย่างหนักหากเขายังคงยืนกรานที่จะต่อปากต่อคำกับเฟนด์ รองเหรัญญิกอาจจะดึงเขาออกไปจริง ๆ แล้วเขาจะ
“สมองหมอนั่นจะต้องมีอะไรผิดปกติจริง ๆ นั่นแหละ เขาคิดจริง ๆ หรือว่าเขาอยู่ในระดับเดียวกับอีกสองคนที่อยู่ตรงหน้าเขา แค่เพราะไปยืนอยู่กลุ่มเดียวกัน? นั่นน่าจะตลกมากเกินไปหน่อยนะ…”“ฉันนึกว่าการทดสอบจะเข้มงวดและจริงจังเสียอีก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะได้เห็นอะไรแบบนี้ ทำเอาฉันขำจนปวดท้องเลยล่ะ…”แอนดรูว์ขมวดคิ้วอย่างรู้สึกอับอาย รองเหรัญญิกโกรธจนตัวสั่นหลังจากได้ยินคำพูดของกิลเบิร์ต เขานึกอยากจะพุ่งตัวไปไปตบกิลเบิร์ตสักสองสามครั้งกิลเบิร์ตเพิกเฉยต่อชื่อเสียงของวิมานโอสถอย่างเห็นแก่ตัวที่สุด พวกเขาแทบอยากจะมุดดินหนี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นี่จะเป็นความอัปยศอดสูที่วิมานโอสถไม่อาจจำกัดทิ้งได้รองเหรัญญิกตะโกนออกไปว่า "หุบปากเดี๋ยวนี้! นายกำลังพูดเรื่องบ้าอะไร ถ้าไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบ ก็ไสหัวไปซะ!"รองเหรัญญิกโกรธมาก ขณะที่เขาพูดเช่นนั้น สีหน้าของเขาดูอดสูอย่างไม่น่าเชื่อ เขายังคิดจะฆ่ากิลเบิร์ตให้ตายเสียเดี๋ยวนี้ เมื่อถูกตำหนิเช่นนั้นก็ทำให้กิลเบิร์ตตระหนักได้ว่าเขาพูดผิดไปถึงกระนั้นก็ไม่มีทางที่เขาจะถอนคำพูดเหล่านั้นกลับคืนมา เขากระแอมเบา ๆ ก่อนที่จะรีบหันศีรษะไปซ้ายทีขวาที อย่างไม่กล้
ไม่มีใครรู้ดีไปกว่ารองเหรัญญิกว่าโอสถระดับหกหมายถึงสิ่งใด ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา วิมานโอสถรับบัณฑิตมาจำนวนนับไม่ถ้วน แต่มีไม่มากนักที่จะได้กลายเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุระดับหกจริง ๆคอนสแตนซ์ยิ้มอย่างมีความหมายขณะที่เขาเอ่ยถาม "รองเหรัญญิกคนนี้มีความสามารถหลากหลายจริง ๆ ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าวิมานโอสถจะมีอัจฉริยะกับเขาด้วย ผมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย"ริมฝีปากของรองเหรัญญิกกระตุก เขาต้องการอธิบายตัวเอง แต่ถ้าเขาบอกว่าเฟนด์ไม่สามารถสกัดโอสถระดับหกได้ และมีเพียงพรสวรรค์ในการสร้างอักขระทางยาเท่านั้น มันคงจะกลายเป็นเรื่องตลกครั้งใหญ่ และทุกคนคงจะหัวเราะเยาะวิมานโอสถเป็นแน่แต่ถ้าเขายังคงดื้อรั้นต่อไป พอถึงเวลาต้องบ่มเพาะโอสถ เฟนด์ก็จะเปิดเผยความจริงข้อนั้นออกมา เมื่อนั้นความอัปยศอดสูก็จะยิ่งหนักข้อขึ้นเขาถึงกับมือสั่น ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยรู้สึกเหมือนตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้มาก่อน เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกกักขังอยู่ในกำแพงอีกสองด้าน ทุกคนคิดว่ารองเหรัญญิกกำลังวางแผนที่จะใช้ความเงียบเพื่อตอบคำถามเมื่อเห็นกับตาว่ารองเหรัญญิกไม่ตอบอะไรออกมาแต่ทว่าคอนสแตนซ์คล้ายกับจะไม่เ
เฟนด์เป็นคนเดียวที่ยังคงยืนอยู่ ขณะนั้นเขาดูคล้ายกับกำลังลังเลและดูเหมือนกำลังรออะไรบางอย่างอยู่ ขณะที่รองเหรัญญิกพูดจบ ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็จ้องมองมาอย่างอยากรู้อยากเห็นแม้ว่าดวงตาของเขาจะดูเป็นประกายมากขนาดไหน แต่เฟนด์ก็ยังคงรู้สึกถึงความเฉียบคมภายใน ราวกับว่าเขาจะถูกตัดสิทธิ์หากเขาไม่ขยับริมฝีปากของเฟนด์กระตุกอย่างช่วยไม่ได้ เขารีรอต่อไปไม่ได้แล้ว จึงได้แต่เดินไปยังพื้นที่ที่เขาวางแผนไว้ก่อนหน้านี้ในตอนแรกเฟนด์ไม่ได้ดึงดูดความสนใจใครมากนัก เขาอาจจะเป็นคนสุดท้ายที่ปรากฏตัวขึ้น ไม่มีใครจำเขาได้ ต่อให้เขาจะมาจากวิมานโอสถ แต่นอกจากคนที่เคยพบเขาแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใครขณะที่เขาเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกต่อไป ทุกคนก็เริ่มจ้องมองไปที่เขา ใบหน้าของรองเหรัญญิกก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นบูดบึ้งเมื่อเขาสังเกตเห็นว่าเฟนด์กำลังมุ่งหน้าไปทางใด“ผู้ชายคนนั้นคิดจะไปต่อหลังรูดี้หรือเปล่า? เขาคิดจะพิสูจน์ตัวเองด้วยการกลั่นโอสถระดับหกด้วยหรือ?”“ก็คงเป็นแบบนั้น เว้นแต่เขาจะเป็นคนโง่เง่าที่ไม่ทันได้ฟังกฎการตัดสินให้ดี ไม่งั้นคงไม่เดินไปแบบนั้นหรอก เขาเป็นใคร ทำไมฉันไม่เคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับเขาเลย
กิลเบิร์ตทำท่าราวกับกลืนแมลงวันเข้าไปสองสามตัว เขาคาดหวังว่ารองเหรัญญิกจะพูดคำเหล่านั้นกับเขาเสียอีก แต่กลับกลายเป็นว่ารองเหรัญญิกไม่ละสายตามามองเขาเลยแม้แต่วินาทีเดียวรองเหรัญญิกฝากความหวังทั้งหมดไว้กับเฟนด์ราวกับว่ากิลเบิร์ตและแอนดรูว์มาที่นี่เพื่อเพิ่มจำนวนคนเท่านั้นแอนดรูว์มีสีหน้าขมขื่นเช่นกัน ในอดีตเขาขัดแย้งกับกิลเบิร์ตมามากมาย และความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ไม่อาจพัฒนาไปในทางที่ดีได้แต่ต้องขอบคุณเฟนด์ที่ทำให้เขาสามารถวางเฉยต่อความแค้นทั้งหมดที่เคยมีได้แอนดรูว์พูดด้วยใบหน้าที่มืดมน “รองเหรัญญิก ดูเหมือนคุณจะฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เฟนด์เลยนะ“แต่คุณก็น่าจะเตือนเฟนด์สักหน่อยว่าต่อให้เขาจะมีพรสวรรค์ค่อนข้างดี แต่ก็ไม่ควรหยิ่งผยองเกินไป”แอนดรูว์โกรธมากในขณะนั้นและอดไม่ได้จริง ๆ ที่จะต้องเอ่ยคำดูแคลนที่สุดเช่นนั้นออกมากิลเบิร์ตกล่าวเสริมอย่างรีบร้อนทันที “แอนดรูว์พูดถูก แม้ว่าพรสวรรค์ของเฟนด์จะค่อนข้างดี แต่เขาก็ไม่ควรหยิ่งผยองนัก คำพูดพวกนั้นไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด”เฟนด์ถึงกับพูดไม่ออกเมื่อถูกคนทั้งสองเหยียบย่ำ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเฟนด์ไม่ได้เอ่ยปากเลยสักคำ แล้วเขาจะเอาเวลา
ในตอนแรก คอนสแตนซ์และซีนย์เพียงยืนเคียงข้างกันโดยไม่สนใจเรื่องนี้ พวกเขาต้องการปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินต่อไปอย่างที่ควรจะเป็น แต่เมื่อว่าเกรย์สันและรูดี้เริ่มเถียงกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งสองคนก็ถูกบีบให้ต้องทำอะไรสักอย่างพวกเขาถูกบีบให้ต้องแยกรูดี้และเกรย์สันออกจากกัน นั่นก็เพราะ การทะเลาะกันของเด็ก ๆ ควรจะมีขีดจำกัด เพราะหากมันเกินขีดจำกัดไปแล้ว นั่นจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของพวกเขา นี่คือสิ่งที่รูดี้และเกรย์สันเองก็ไม่อยากเห็นเป็นเวลาเกือบสิบห้านาทีแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์นั่งบนเก้าอี้ ขณะมองดูการทะเลาะวิวาทและการพูดคุยกันอย่างเฉยเมย เมื่อหมดเวลาเขาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้เสียงปรบมือดังขึ้นตอนที่เขาจะพูดว่า "เอาล่ะ หมดเวลาแล้ว ทุกคนต้องตัดสินใจได้แล้วว่าจะพิสูจน์ความสามารถของตัวเองยังไง”“ฉันไม่คิดว่าฉันจะต้องบอกอะไรพวกนายทุกอย่างหรอกนะ ตอนนี้ก็แยกออกเป็นกลุ่มเสีย ผู้ที่ต้องการรวมอักขระทางยาจะยืนอยู่ทางทิศตะวันออก“ผู้ที่ต้องการแยกแยะวัสดุสามารถยืนอยู่ตรงกลางได้เลย และหากจะพิสูจน์ตัวเองด้วยกันบ่มเพาะโอสถให้ไปยืนที่ทางทิศตะวันตก“ถึงอย่างนั้นฉันก็ต้องขอเตือนทุกคนก่อน หากทุกคนต้องการ