“ฮะ! นายน้อยของนายนี่รสนิยมดีจังเลยนะ ดูเขาสนใจหลายอย่างจริง ๆ แต่น่าสงสาร ที่เขาไม่มีสิทธิ์ทำแบบนั้น!” เฟนด์อ้าปากหวอเมื่อเขาได้ยินเช่นนั้น เขาจ้องไปที่คนพวกนั้นอย่างดูถูก “จัดการมันก่อน!” บอดี้การ์ดไม่เสียเวลาพูดอีกต่อไป เขากางแขนออก ก่อนจะใช้มือของเขาจับเฟนด์ไว้ "อ๊า!" วินาทีต่อมา เฟนด์ก็จับแขนของบอดี้การ์ดคนนั้น และเสียงกระดูกหักอันน่าสะอิดสะเอียนก็ดังขึ้น บอดี้การ์ดจากตระกูลควินตันร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดทันที เขาเจ็บปวดมาก หน้าของเขาซีดเผือด ก่อนที่เขาจะคุกเข่าลงกับพื้น “แกอยากตายรึไง?” บอดี้การ์ดอีกสองคนอึ้งกิมกี่ไปครู่นึง เมื่อเห็นว่าเฟนด์แข็งแกร่งขนาดไหน พวกเขาตั้งสติได้เร็วมาก ก่อนจะพุ่งออกไปพร้อมกัน เพื่อจู่โจมเฟนด์จากสองฝั่ง ปัง ปัง! เฟนด์ต่อยออกไปสองหมัดติด ๆ กัน อย่างรวดเร็ว ชายทั้งสองคนกระเด็นไปข้างหลังภายในเสี้ยววินาทีเท่านั้น "ไม่มีทาง!" บอดี้การ์ดคนอื่น ๆ ต่างก็ตกใจกับภาพที่เห็น พวกเขาพุ่งเข้าไปจู่โจมเฟนด์ทันที ปัง ปัง ปัง! บอดี้การ์ดพวกนี้มีทักษะการต่อสู้ที่ค่อนข้างดีเลย ไม่ง่ายเลยที่จะหาบอดี้การ์ดที่มีความสามารถแบบนี้ในอาณาเขตกลาง และพว
“ใช่ครับนายน้อย! ทำไมเหรอครับ?" บอดี้การ์ดรู้สึกสับสน เขาไม่เข้าใจว่าทำไมนายน้อยถึงจู่ ๆ ก็ถามออกมาแบบนั้น คาเลบแสยะยิ้ม “ไปทางไหนล่ะ? ถ้าพวกเขาไปเดินเล่น ก็ไม่น่าจะไปไหนไกลนะ พวกเขาไม่ควรเดินไปไกลขนาดนั้น ในเมื่อมันยากมากที่จะได้ผู้หญิงคนนั้นมา ดูเหมือนว่าเราต้องเรียนรู้ที่จะแบ่งปันสินะ!” "แบ่งปันงั้นเหรอครับ?" บอดี้การ์ดที่อยู่ตรงหน้าของเขามองหน้ากัน ทุกคนล้วนสับสน “ไม่ต้องคิดเยอะ บอกฉันมาว่ามันไปทางไหนก็พอ!” คาเลบพูดขึ้นมาอีกครั้ง “พวกเขากำลังเดินไปที่ถนนคอร์นฟลาวเวอร์ ใช่แล้ว ที่นั่นมีถนนดัง ๆ มากมาย ที่ดึงดูดเหล่าคนรวยได้เพียบ มีย่านหรูมากมายแถว ๆ นั้น แถมยังมีคฤหาสน์อีกหลายหลังอีกด้วย!” บอดี้การ์ดคนนั้นตอบกลับไป หลังจากที่เขาครุ่นคิด “ผมว่า มีโอกาสเป็นไปได้สูงที่พวกเขาจะไปเดินเล่นที่วอลซ์สตรีท!” "ก็ได้ เข้าใจแล้ว ไปซะ ไปพักผ่อน แล้วดูแลเจคด้วยล่ะ ถอนเงินในบัญชีให้เขาไปสักหนึ่งล้านเหรียญ แล้วแบ่งให้คนที่บาดเจ็บซะ พักผ่อนกันดี ๆ ล่ะ!” คาเลบเอ่ยคำสั่ง ก่อนจะเลือกบอดี้การ์ดสามสี่คน แล้วขับรถออกไป “นายน้อยคาเลบ เราจะไปไหนกันเหรอครับ?” บนรถ บอดี้การ์ดคนหนึ่งถามข
เมื่อเขาได้ยินเช่นนั้น รอยยิ้มที่เคยอยู่บนหน้าของพีซก็หายไปทันที เขาดูโกรธแทน พีซเคยพบผู้หญิงสวย ๆ มากมายมาก่อน เขาคิดว่าเขาเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านความงามอย่างแท้จริง และไม่มีคนธรรมดาคนไหน ที่จะเข้าตาเขาได้ นางแบบสองคนที่เขาเจอวันนี้ค่อนข้างสวยเลย เขาไม่เคยคิดเลยว่าคาเลบจะพูดออกมาได้ ว่าพวกหล่อนเทียบไม่ได้กับสาวสวยที่เขาเจอ ก่อนที่พีซจะพูดอะไร นางแบบทั้งสองก็ดูไม่มีความสุขเช่นกัน “นายน้อยควินตัน คุณต้องล้อกันเล่นแน่ ๆ ใช่ไหม?” หนึ่งในนางแบบพูดออกมาด้วยท่าทีเย็นชา “เราเป็นนางแบบชั้นนำของงานโชว์รถมากมาย แต่คุณกลับพูดมาได้ว่าเราเทียบอะไรไม่ได้กับผู้หญิงคนอื่นน่ะนะ? คุณพูดเกินจริงไปหน่อยรึเปล่า!” “เหอะ คุณสองคนก็ดูดีนะ แต่คุณขาดคุณสมบัติของผู้หญิงยังไงล่ะ ประกายความอ่อนโยน และความใจดี ตบท้ายด้วยความงามที่ไร้ที่ติ แบบที่ดึงดูดคุณทันทีที่คุณเห็น ยิ่งดูยิ่งน่าหลงไหล!” คาเลบรักษารอยยิ้มของเขาไว้ “ถ้าฉันคาเลบ ควินตัน โกหกแม้แต่คำเดียวนะ” เขาพูดอย่างตรงไปตรงมา “ขอให้พระเจ้าลงโทษฉัน!” “มีผู้หญิงแบบนั้นจริง ๆ ด้วยเหรอ?” ดวงตาของพีซเป็นประกาย เมื่อคาเลบสาบาน เขารีบลุกขึ้นยืน ก่อนจะถามด้ว
สาวสวยสองคนก้มลงไปเก็บเงินทันที "ไปกันเถอะ นายน้อยควินตัน ฉันอยากเห็นจะแย่แล้ว ว่าผู้หญิงที่นายพูดสวยอย่างที่ว่ารึเปล่า!” พีซลูบคางทิพย์ของเขา ก่อนจะออกไปข้างนอก คาเลบสังเกตเห็นบอดี้การ์ดที่มากับพีซ เขาขมวดคิ้ว ก่อนจะถามว่า “นายน้อยแชฟฟ์แมน บอดี้การ์ดของคุณแข็งแกร่งรึเปล่า? มีน้อยไปไหมเนี่ย? ผมจะบอกอะไรคุณให้นะ คุณจะต้องหาทางอื่นเพื่อให้ได้เธอมาแน่ ๆ หลังจากที่คุณเห็นเธอน่ะ!” “ฮ่ะ! ไม่ต้องห่วง บอดี้การ์ดของฉันแข็งแกร่งใช้ได้เลยล่ะ ไม่งั้นจะจ้างมาทำไม” พีซหัวเราะออกมา เขาพูดเสริมอีกว่า “ไม่ต้องพูดอีกแล้วล่ะ นายน้อยควินตัน ยิ่งพูดฉันยิ่งคิดมาก ฉันล่ะอยากจะเห็นเธอจริง ๆ ถ้าเธอสวยอย่างที่ว่า หวยก็มาออกที่เธอแล้วล่ะ!” คาเลบหัวเราะคิกคัก “ดูคุณสิ ผมรู้ว่าคุณชอบคนสวย ๆ แถมยังมีรสนิยมที่ดีอีก ผมแค่อยากจะแนะนำเธอให้คุณรู้จักน่ะ!” “บอกมาเถอะ นายอยากได้อะไร? เงินเหรอ? หนึ่งล้านเหรียญดูจะน้อยเกินไป ถ้าเธอสวยอย่างที่นายว่า ฉันจะให้นายพันล้านเหรียญ ฟังดูเป็นไง?" พีซอมยิ้มขณะที่เขาพูด หลังจากที่ครุ่นคิด เขารู้ดีว่าคาเลบต้องการอะไรตอบแทนในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งแน่นอน จู่ ๆ ก็แนะนำสาวสวย
“ผมไม่ได้โม้นะ ไม่ได้โม้จริง ๆ !" คาเลบตกใจมาก เขาโบกมือปฏิเสธอย่างรวดเร็ว “นายน้อยแชฟฟ์แมน คิดดูนะ ผมไม่สนเงินพันล้านเหรียญของคุณด้วยซ้ำ ผมแค่อยากจะได้ผู้หญิงคนนั้น นั่นมันก็หมายความว่าเธอต้องสวยอยู่แล้วไม่ใช่รึไง?” “ฮ่ะ ล้อเล่นน่า แค่อยากเห็นนายกังวลเฉย ๆ !” พีซระเบิดหัวเราะออกมาทันที แล้วเขาก็โบกมือ “ขึ้นมาสิ เราจะไปดูรอบ ๆ วอลซ์สตรีท แล้วดูว่าเธออยู่นั่นรึเปล่า ถ้าไม่ เราก็จะไปจับตัวเธอที่บ้านเลย!” “คุณนี่เด็ดเดี่ยวจริง ๆ นายน้อยแชฟฟ์แมน ไม่เสียเวลาแม้แต่วิเดียว!” คาเลบชมพีซทันที ไม่นานหลังจากนั้น ออดี้สามคัน ก็ตรงเข้ามาจอดอยู่ตรงหน้าทางเข้าของคฤหาสน์ "โอ้ ใช่ ฉันคิดจริง ๆ ว่าหล่อนน่าจะเป็นเด็กเสี่ย ทำไมเราไม่ลองใช้เงินแก้ปัญหากันก่อนล่ะ!” ในรถ พีซกำลังสูบซิการ์ เขาครุ่นคิด ก่อนจะพูดออกมา “น่าจะยาก เมื่อวันก่อนผมบอกว่าจะเลี้ยงอาหารพวกเธอ อยากกินอะไรก็ได้ แต่ต้องทิ้งเบอร์ไว้ แต่พวกเธอปฏิเสธ!” คาเลบตอบหลังจากครุ่นคิด น่าแปลก ที่ท่าทีของพีซไม่ได้แสดงอาการเหยียดหยามใด ๆ ทั้งนั้น “นายไร้เดียงสาเกินไป นายเลี้ยงอาหารไปเท่าไหร่ได้ล่ะ ล้านเหรียญ? สองล้านเหรียญ? และคิดว
ไม่นานพวกเขาก็เจอที่จอดรถ ระหว่างทางไปที่นั่น พวกเขาไม่เห็นเฟนด์ หรือเซเลน่าเลย บางทีพวกเขาอาจจะไปวอลซ์สตรีทแล้วจริง ๆ “เราลงไปกันเถอะ เราจะไปดูรอบ ๆ วอลซ์สตรีท แล้วถ้าเราไม่เจอผู้หญิงคนนั้น เราค่อยไปที่บ้านของเธอ!” พีซพูดด้วยรอยยิ้มชั่วแสนร้ายบนหน้าของเขา คาเลบครุ่นคิด ก่อนจะเตือนเขา “นายน้อยแชฟฟ์แมน มันไม่ดีหรอก มันจะไม่ได้ผลด้วย! ผมจะเกือบลืมบอกคุณไปแล้ว ว่ามีผู้หญิงอีกคนนึงที่ใส่หน้ากากครึ่งหน้า ผู้หญิงคนนั้น ว้าว เธอมีร่างกายที่เย้ายวนจริง ๆ เธอมีประกาย และนิสัยใจคอที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง กับผู้หญิงที่ผมบอกคุณ ทั้งสองแตกต่างกันมาก!” ดวงตาของพีซเป็นประกายราวกับหลอดไฟ หลังจากที่ได้ยินคาเลบพูด "อะไรวะ! ทำไมนายเพิ่งจะมาบอกเอาตอนนี้ล่ะ? สาวสวยสองคนงั้นเหรอ มันจะไม่สมเหตุสมผลเลยถ้าเราต้องการผู้หญิงคนนั้นแค่คนเดียว! ทำไมเราไม่เอาทั้งสองคนเลยล่ะ?” อย่างไรก็ตาม คาเลบยิ้มอย่างขมขื่น “จริง ๆ แล้ว...ผมอยากจะเตือนคุณไม่ให้ไปบ้านของพวกเขา เพราะผู้หญิงสุดฮอตคนนั้นมีทักษะการต่อสู้ที่เหนือกว่ามาก เธอแข็งแกร่งกว่าลุงสองของผมอีก เขาสู้เธอไม่ไหวด้วยซ้ำ! ลุงสองของผมโดนเธออัดจนน่วมเมื่อวานนี้ แถม
“เข้าใจแล้ว ฉันก็นึกว่าพวกเขาเป็นบอดี้การ์ดของนาย นายได้รับความช่วยเหลือจากคนอื่นเหรอ ฮ่าฮ่า!”เฟนด์อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเสียงดัง“สมบูรณ์แบบ! มีเพียงคำว่า 'สมบูรณ์แบบ' เท่านั้นที่สามารถอธิบายเธอได้! ผู้หญิงคนนี้งดงามมาก เธอเป็นเทพธิดาจริง ๆ!”ในทางกลับกัน พีซไม่สนใจแล้วว่าบอดี้การ์ดพวกนั้นเป็นใครและเป็นบอดี้การ์ดของใคร สายตาของเขาจับจ้องไปที่ใบหน้าอันสมบูรณ์แบบของเซเลน่า เขาเหมือนคนงี่เง่าที่น้ำลายไหลเพราะความงามตรงหน้า“ไอ้อ้วนสกปรก แกจ้องพอหรือยัง? ถ้าพอแล้วก็ไปซะ!”เฟนด์หงุดหงิดกับสายตาและใบหน้าลามกของพีซเลยอดที่จะด่าออกมาไม่ได้“ไอ้หนุ่ม ระวังปากของเแกหน่อย! แกอยากตายมากเลยใช่ไหม? กล้าดียังไงมาพูดกับนายน้อยของเราแบบนี้? แกไม่รู้เหรอว่านายน้อยของเราร่ำรวยและมีอำนาจมากแค่ไหน?”หนึ่งในบอดี้การ์ดของพีซจ้องเฟนด์ด้วยสายตาน่ากลัวขณะที่ตะคอกออกมา เขาเหมือนกำลังจะพุ่งออกมาและโจมตี“ชู่ว! เบา ๆ หน่อย! อย่าทำให้สาวสวยคนนี้กลัวสิ!”ทุกคนประหลาดใจ เพราะพีซตะคอกใส่บอดี้การ์ดคนนั้นหลังจากที่บอกให้บอดี้การ์ดเงียบแล้ว เขาก็หันกลับมาและหัวเราะ “เฮ้ คนสวย ผมอยากได้คุณและผมจะทำให้คุณมา
ตามคาด มุมปากของพีซที่เคยยิ้มอยู่ค่อย ๆ หุบยิ้มลง ไม่นานความรู้สึกเศร้าก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา “ถ้าเงินสามารถแก้ปัญหาได้ ผมก็เลือกที่จะไม่ใช้กำลัง ผมเป็นคนแบบนั้น เฮ้ คนสวย ผมให้โอกาสคุณได้หลีกเลี่ยงเรื่องนั้นแล้ว แต่คุณไม่คว้ามันไว้เอง ในเมื่อเราตกลงกันไม่ได้ ก็อย่ามาโทษว่าผมโหดร้าย!”ดวงตาของเขาดุร้ายและโหดเหี้ยม เขาโบกมือขึ้นและตะโกนออกคำสั่ง “ฆ่าผู้ชายซะและจับตัวผู้หญิงมา!” “ครับนายน้อย!” บอดี้การ์ดยิ้มอย่างชั่วร้ายและเดินไม่กี่ก้าวตรงไปที่เฟนด์กับเซเลน่า พวกเขาถูกสั่งให้ฆ่าเขาซะ เฟนด์ก้าวออกมาข้างหน้าและยืนบังเซเลน่าไว้ เขากำหมัดแน่นแล้วเหวี่ยงแขนใส่บอดี้การ์ดสองคน “ฮึ! เด็กน้อย ดูร่างกายปวกเปียกของแกสิ แก...” บอดี้การ์ดหนึ่งในสองคนนั้นพูดออกมาอย่างเย็นชา จากนั้นทั้งคู่ก็กำหมัดและพุ่งเข้าไปต่อยเฟนด์ ปัง! น่าเสียดายที่ก่อนที่เขาจะพูดจบประโยค ทั้งคู่ก็ถูกอัดลอยกระเด็นถอยหลังไปหลายเมตรและร่วงลงกระแทกกับพื้นอย่างแรงตรงที่ไกล ๆ “ฟิ้วว!” ทั้งคู่กระอักเลือดออกมาตอนที่ตกถึงพื้น หน้าของพวกเขาซีดเผือด สีหน้าเปลี่ยนเป็นสีขาว “บ้าเอ๊ย เป็นไปไม่ได้! คนของเราคนหนึ่งเที
ตราบใดที่มันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการบ่มเพาะโอสถของเขา ทั้งสองคนจะทำอะไรตามต้องการก็ย่อมได้ สิ่งนั้นไม่กระทบอะไรกับเขาเลย“ถึงฉันจะดูแคลนหมอนี่ แต่เขาก็ยังกล้าเสมอ เขาก็คงจะมีความสามารถอยู่บ้าง เขาน่าจะผ่านสองขั้นตอนแรกได้อย่างไม่มีปัญหา” เกรย์สันพูดอย่างชัดเจนรูดี้มองไปที่เกรย์สันด้วยรอยยิ้มเย็นชาบนใบหน้าแล้วตอบว่า "นายดูมั่นใจกับหมอนี่มากเลยนะ ฉันจะคิดว่าทุกครั้งที่เขาพูดก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเรื่องไร้สาระทั้งหมด“ฉันคิดว่าเขาอาจจะไปถึงขั้นที่สองก่อนที่เขาจะล้มเหลวโดยสิ้นเชิง! ฉันอยากเห็นจริง ๆ ว่าถ้าล้มเหลวขึ้นมา เด็กสารเลวคนนี้จะสู้หน้าเราได้ยังไง”เกรย์สันสูดหายใจเข้าลึก ๆ เขารู้สึกได้ว่าความโกรธของรูดี้ที่มีต่อเฟนด์นั้นลึกซึ้งกว่าของเขามากดวงตาของรูดี้ลุกเป็นไฟ เห็นได้ชัดว่าเขาเกลียดเฟนด์มากเพียงใดเกรย์สันหัวเราะอย่างเย็นชา "แล้วมาดูกันว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ฉันคิดว่าเขาน่าจะสามารถไปถึงขั้นตอนสุดท้ายได้ ถ้าเขาสามารถควบรวมอักขระทางยาได้ถึงร้อยเม็ดเขาก็น่าจะมาถึงระดับนั้น"หลังจากที่ทั้งสองพูดเรื่องเหล่านั้นออกมา พวกเขาก็ปิดปากเงียบพร้อม ๆ กับการมองดูเฟนด์โดยไม่พูดอะไรพวกเขามอง
ผู้อาวุโสฮอร์สท์กระแอมเล็กน้อยในขณะที่เขาพูดต่อ “หลังจากที่เธอบ่มเพาะโอสถได้สำเร็จแล้ว ให้นำโอสถมาให้ฉันตรวจสอบ พวกเธอจะมีเวลาในการทดสอบทั้งสิ้นแปดชั่วโมง ถ้าเธอไม่สามารถบ่มเพาะโอสถได้ภายในแปดชั่วโมง ก็จะแปลว่าไม่ผ่านการทดสอบ ดังนั้นอย่าได้ช้าเกินไป”พวกเขาทั้งสามพยักหน้าแทบจะพร้อมกัน หลังจากผู้อาวุโสฮอร์สท์ให้คำแนะนำแล้ว เขาก็จัดให้มีคนงานสองสามคนคอยเป็นคนตรวจ มีผู้ดูแลยืนอยู่ด้านหลังทั้งสามคนเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่ทำอะไรผิดพลาดหลังจากนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็หันกลับมาและไปหาผู้สอบคนอื่น ๆ รูดี้หรี่ตาลง ขณะที่เขาเหลือบมองเฟนด์และพูดว่า "ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการบ่มเพาะโอสถระดับหกคือขั้นตอนสุดท้าย แต่ขั้นตอนแรกก็ไม่ง่ายเช่นกัน ถ้านายรู้ว่าทำไม่ได้ ก็อย่าทำให้ต้องสิ้นเปลืองวัตถุดิบเลย ของพวกนี้ล้วนมีราคาค่างวด ต่อให้นายจะขายตัวเองเป็นทาสก็ยังไม่พอให้ซื้อของพวกนี้!”เฟนด์ถอนหายใจออกเบา ๆ หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านั้น ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าเขาเบื่อเกินกว่าจะอ้าปากพูดด้วยซ้ำ เขาตัดสินใจที่จะเพิกเฉยต่อผู้ชายคนนั้นและทุกสิ่งที่จะออกมาจากปากเขา ถึงโต้ตอบไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี
เกรย์สันหรี่ตาลงขณะที่เขามองเฟนด์ด้วยความโกรธเช่นกัน เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ดูเหมือนว่าวันนี้ นายจะมาที่นี่เพื่อหาเรื่องขายหน้าให้กับตัวเองเท่านั้น"หลังจากพูดจบเกรย์สันก็หันหลังกลับและเงียบไป เสียงความขัดแย้งหยุดลง และทุกคนรอบ ๆ ก็เริ่มกระซิบกระซาบกันผู้อาวุโสฮอร์สท์มองเฟนด์อย่างมีความหมาย ราวกับว่าเขามองเฟนด์ในมุมมองที่ต่างออกไป ทันใดนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็อยากรู้เรื่องของเฟนด์อย่างไม่น่าเชื่อ แต่ในขณะนั้นเขาไม่อาจพูดอะไรออกมาได้เมื่อเขาเห็นว่าทุกคนได้จับกลุ่มกันเรียบร้อยแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็โบกมือแล้วพูดว่า "มากับฉัน!"ทุกคนติดตามผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปเป็นกลุ่ม ๆ ผู้อาวุโสฮอร์สท์เข้าไปในเรือวิญญาณ ภายในเรือเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังรีบร้อนพวกเขาเดินตามหลังผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปอย่างใกล้ชิด เดินลัดเลาะไปตามทางก่อนจะมาถึงห้องกว้างขวางในที่สุด ห้องกว้างขวางมากจนเรียกได้ว่าห้องโถงเลยทีเดียวทันทีที่พวกเขาก้าวเข้าไปในห้อง ทุกคนก็สามารถสัมผัสได้ถึงรังสีของโอสถที่หนาแน่นรอบ ๆ บรรยากาศ พื้นที่ในห้องนี้ใหญ่เกินพอสำหรับพวกเขาแปดสิบคนเฟนด์ประเมินสถานการณ์เล็กน้อย ห้องนี้ใหญ่พอที่จะรองรับคน
พวกเขาถาโถมข้อกล่าวหาและดูหมิ่นมามากเกินไป ถึงเขาจะไม่อยากโต้เถียงกับคนพวกนี้ แต่เขาก็ยังถูกบังคับให้ต้องเงยหน้าขึ้นมาอย่างช้า ๆ อยู่วันยันค่ำเขามองเข้าไปในดวงตาของรูดี้ซึ่งเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน ราวกับเขาเป็นเพียงแมลงในสายตาของรูดี้เฟนด์หัวเราะอย่างเย็นชา “แล้วนายได้ยินเสียงสุนัขที่เห่าดังที่สุดแล้วหรือยังล่ะ?”คำพูดเหล่านั้นสามารถเยาะเย้ยทุกคนที่นั่นได้สำเร็จ เขาเปรียบเทียบกิลเบิร์ตกับสุนัขและเย้ยหยันทุกคนที่ฟังสุนัขตัวนั้นเห่า มันทำให้การแสดงออกบนใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปกิลเบิร์ตเกือบจะลืมความโกรธของตัวเองไปแล้ว เขาไม่อยากจะเชื่ออะไรด้วยซ้ำว่าเฟนด์จะสามารถขจัดคำดูถูกดูแคลนทั้งหมดลงได้ แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นกิลเบิร์ตหันกลับมาจ้องมองเฟนด์ด้วยใบหน้าแดงก่ำจากความโกรธเขาอยากจะตะโกนกลับแต่ถูกรองเหรัญญิกปรามไว้ "ดูเหมือนว่านายจะไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบแล้วสินะ!"ประโยคนั้นเพียงประโยคเดียวก็ทำให้กิลเบิร์ตไม่อาจพูดอะไรออกมาได้อีก กิลเบิร์ตตระหนักได้แล้วว่าเขาได้ทำให้รองเหรัญญิกขุ่นเคืองอย่างหนักหากเขายังคงยืนกรานที่จะต่อปากต่อคำกับเฟนด์ รองเหรัญญิกอาจจะดึงเขาออกไปจริง ๆ แล้วเขาจะ
“สมองหมอนั่นจะต้องมีอะไรผิดปกติจริง ๆ นั่นแหละ เขาคิดจริง ๆ หรือว่าเขาอยู่ในระดับเดียวกับอีกสองคนที่อยู่ตรงหน้าเขา แค่เพราะไปยืนอยู่กลุ่มเดียวกัน? นั่นน่าจะตลกมากเกินไปหน่อยนะ…”“ฉันนึกว่าการทดสอบจะเข้มงวดและจริงจังเสียอีก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะได้เห็นอะไรแบบนี้ ทำเอาฉันขำจนปวดท้องเลยล่ะ…”แอนดรูว์ขมวดคิ้วอย่างรู้สึกอับอาย รองเหรัญญิกโกรธจนตัวสั่นหลังจากได้ยินคำพูดของกิลเบิร์ต เขานึกอยากจะพุ่งตัวไปไปตบกิลเบิร์ตสักสองสามครั้งกิลเบิร์ตเพิกเฉยต่อชื่อเสียงของวิมานโอสถอย่างเห็นแก่ตัวที่สุด พวกเขาแทบอยากจะมุดดินหนี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นี่จะเป็นความอัปยศอดสูที่วิมานโอสถไม่อาจจำกัดทิ้งได้รองเหรัญญิกตะโกนออกไปว่า "หุบปากเดี๋ยวนี้! นายกำลังพูดเรื่องบ้าอะไร ถ้าไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบ ก็ไสหัวไปซะ!"รองเหรัญญิกโกรธมาก ขณะที่เขาพูดเช่นนั้น สีหน้าของเขาดูอดสูอย่างไม่น่าเชื่อ เขายังคิดจะฆ่ากิลเบิร์ตให้ตายเสียเดี๋ยวนี้ เมื่อถูกตำหนิเช่นนั้นก็ทำให้กิลเบิร์ตตระหนักได้ว่าเขาพูดผิดไปถึงกระนั้นก็ไม่มีทางที่เขาจะถอนคำพูดเหล่านั้นกลับคืนมา เขากระแอมเบา ๆ ก่อนที่จะรีบหันศีรษะไปซ้ายทีขวาที อย่างไม่กล้
ไม่มีใครรู้ดีไปกว่ารองเหรัญญิกว่าโอสถระดับหกหมายถึงสิ่งใด ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา วิมานโอสถรับบัณฑิตมาจำนวนนับไม่ถ้วน แต่มีไม่มากนักที่จะได้กลายเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุระดับหกจริง ๆคอนสแตนซ์ยิ้มอย่างมีความหมายขณะที่เขาเอ่ยถาม "รองเหรัญญิกคนนี้มีความสามารถหลากหลายจริง ๆ ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าวิมานโอสถจะมีอัจฉริยะกับเขาด้วย ผมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย"ริมฝีปากของรองเหรัญญิกกระตุก เขาต้องการอธิบายตัวเอง แต่ถ้าเขาบอกว่าเฟนด์ไม่สามารถสกัดโอสถระดับหกได้ และมีเพียงพรสวรรค์ในการสร้างอักขระทางยาเท่านั้น มันคงจะกลายเป็นเรื่องตลกครั้งใหญ่ และทุกคนคงจะหัวเราะเยาะวิมานโอสถเป็นแน่แต่ถ้าเขายังคงดื้อรั้นต่อไป พอถึงเวลาต้องบ่มเพาะโอสถ เฟนด์ก็จะเปิดเผยความจริงข้อนั้นออกมา เมื่อนั้นความอัปยศอดสูก็จะยิ่งหนักข้อขึ้นเขาถึงกับมือสั่น ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยรู้สึกเหมือนตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้มาก่อน เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกกักขังอยู่ในกำแพงอีกสองด้าน ทุกคนคิดว่ารองเหรัญญิกกำลังวางแผนที่จะใช้ความเงียบเพื่อตอบคำถามเมื่อเห็นกับตาว่ารองเหรัญญิกไม่ตอบอะไรออกมาแต่ทว่าคอนสแตนซ์คล้ายกับจะไม่เ
เฟนด์เป็นคนเดียวที่ยังคงยืนอยู่ ขณะนั้นเขาดูคล้ายกับกำลังลังเลและดูเหมือนกำลังรออะไรบางอย่างอยู่ ขณะที่รองเหรัญญิกพูดจบ ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็จ้องมองมาอย่างอยากรู้อยากเห็นแม้ว่าดวงตาของเขาจะดูเป็นประกายมากขนาดไหน แต่เฟนด์ก็ยังคงรู้สึกถึงความเฉียบคมภายใน ราวกับว่าเขาจะถูกตัดสิทธิ์หากเขาไม่ขยับริมฝีปากของเฟนด์กระตุกอย่างช่วยไม่ได้ เขารีรอต่อไปไม่ได้แล้ว จึงได้แต่เดินไปยังพื้นที่ที่เขาวางแผนไว้ก่อนหน้านี้ในตอนแรกเฟนด์ไม่ได้ดึงดูดความสนใจใครมากนัก เขาอาจจะเป็นคนสุดท้ายที่ปรากฏตัวขึ้น ไม่มีใครจำเขาได้ ต่อให้เขาจะมาจากวิมานโอสถ แต่นอกจากคนที่เคยพบเขาแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใครขณะที่เขาเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกต่อไป ทุกคนก็เริ่มจ้องมองไปที่เขา ใบหน้าของรองเหรัญญิกก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นบูดบึ้งเมื่อเขาสังเกตเห็นว่าเฟนด์กำลังมุ่งหน้าไปทางใด“ผู้ชายคนนั้นคิดจะไปต่อหลังรูดี้หรือเปล่า? เขาคิดจะพิสูจน์ตัวเองด้วยการกลั่นโอสถระดับหกด้วยหรือ?”“ก็คงเป็นแบบนั้น เว้นแต่เขาจะเป็นคนโง่เง่าที่ไม่ทันได้ฟังกฎการตัดสินให้ดี ไม่งั้นคงไม่เดินไปแบบนั้นหรอก เขาเป็นใคร ทำไมฉันไม่เคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับเขาเลย
กิลเบิร์ตทำท่าราวกับกลืนแมลงวันเข้าไปสองสามตัว เขาคาดหวังว่ารองเหรัญญิกจะพูดคำเหล่านั้นกับเขาเสียอีก แต่กลับกลายเป็นว่ารองเหรัญญิกไม่ละสายตามามองเขาเลยแม้แต่วินาทีเดียวรองเหรัญญิกฝากความหวังทั้งหมดไว้กับเฟนด์ราวกับว่ากิลเบิร์ตและแอนดรูว์มาที่นี่เพื่อเพิ่มจำนวนคนเท่านั้นแอนดรูว์มีสีหน้าขมขื่นเช่นกัน ในอดีตเขาขัดแย้งกับกิลเบิร์ตมามากมาย และความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ไม่อาจพัฒนาไปในทางที่ดีได้แต่ต้องขอบคุณเฟนด์ที่ทำให้เขาสามารถวางเฉยต่อความแค้นทั้งหมดที่เคยมีได้แอนดรูว์พูดด้วยใบหน้าที่มืดมน “รองเหรัญญิก ดูเหมือนคุณจะฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เฟนด์เลยนะ“แต่คุณก็น่าจะเตือนเฟนด์สักหน่อยว่าต่อให้เขาจะมีพรสวรรค์ค่อนข้างดี แต่ก็ไม่ควรหยิ่งผยองเกินไป”แอนดรูว์โกรธมากในขณะนั้นและอดไม่ได้จริง ๆ ที่จะต้องเอ่ยคำดูแคลนที่สุดเช่นนั้นออกมากิลเบิร์ตกล่าวเสริมอย่างรีบร้อนทันที “แอนดรูว์พูดถูก แม้ว่าพรสวรรค์ของเฟนด์จะค่อนข้างดี แต่เขาก็ไม่ควรหยิ่งผยองนัก คำพูดพวกนั้นไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด”เฟนด์ถึงกับพูดไม่ออกเมื่อถูกคนทั้งสองเหยียบย่ำ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเฟนด์ไม่ได้เอ่ยปากเลยสักคำ แล้วเขาจะเอาเวลา
ในตอนแรก คอนสแตนซ์และซีนย์เพียงยืนเคียงข้างกันโดยไม่สนใจเรื่องนี้ พวกเขาต้องการปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินต่อไปอย่างที่ควรจะเป็น แต่เมื่อว่าเกรย์สันและรูดี้เริ่มเถียงกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งสองคนก็ถูกบีบให้ต้องทำอะไรสักอย่างพวกเขาถูกบีบให้ต้องแยกรูดี้และเกรย์สันออกจากกัน นั่นก็เพราะ การทะเลาะกันของเด็ก ๆ ควรจะมีขีดจำกัด เพราะหากมันเกินขีดจำกัดไปแล้ว นั่นจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของพวกเขา นี่คือสิ่งที่รูดี้และเกรย์สันเองก็ไม่อยากเห็นเป็นเวลาเกือบสิบห้านาทีแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์นั่งบนเก้าอี้ ขณะมองดูการทะเลาะวิวาทและการพูดคุยกันอย่างเฉยเมย เมื่อหมดเวลาเขาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้เสียงปรบมือดังขึ้นตอนที่เขาจะพูดว่า "เอาล่ะ หมดเวลาแล้ว ทุกคนต้องตัดสินใจได้แล้วว่าจะพิสูจน์ความสามารถของตัวเองยังไง”“ฉันไม่คิดว่าฉันจะต้องบอกอะไรพวกนายทุกอย่างหรอกนะ ตอนนี้ก็แยกออกเป็นกลุ่มเสีย ผู้ที่ต้องการรวมอักขระทางยาจะยืนอยู่ทางทิศตะวันออก“ผู้ที่ต้องการแยกแยะวัสดุสามารถยืนอยู่ตรงกลางได้เลย และหากจะพิสูจน์ตัวเองด้วยกันบ่มเพาะโอสถให้ไปยืนที่ทางทิศตะวันตก“ถึงอย่างนั้นฉันก็ต้องขอเตือนทุกคนก่อน หากทุกคนต้องการ