“ผม? รับช่วงต่อธุรกิจเนี่ยนะ? ไม่มีทาง ตระกูลวู๊ดไม่มีทางเห็นด้วยแน่ ลิลลี่ก็มีลูกชายกับเขาเหมือนกัน และผู้หญิงคนนั้นไม่มีทางปล่อยให้มันเกิดขึ้นแน่ ถึงแม้ว่ามันจะทำให้เธอเจ็บก็ตาม”เฟนด์ตะลึงไปอีกครั้ง “นอกจากนี้แล้ว แนชจะป่วยเป็นโรคอะไรได้? พวกเขาแค่ดูแลเขาไม่ได้รึไง ดูจากสถานการณ์ของตระกูลวู๊ดตอนนี้น่ะ? ”“แม่ก็ไม่รู้ว่าโรคอะไร แต่พ่อบ้านบอกแม่ว่า พ่อของลูกจะตายในสามเดือนนี้”“เพื่อตระกูลวู๊ดแล้ว ผู้อาวุโสทั้งหลาย และสมาชิกของตระกูลอยากให้ลูกกลับไป ลิลลี่และลูกชายของแนชไปแดนป่าลึกลับ พร้อมกับลูกชายของตระกูลมหาอำนาจอื่น ๆ แต่พวกเขาไม่เคยได้กลับมา ตระกูลวู๊ดตามหาพวกเขาอย่างทั่วถึง แต่ก็ไม่เจอพวกเขาแม้แต่เงา พวกเขาอาจจะโดนสัตว์ป่ากินไปแล้ว”โจแอนยิ้มอย่างขมขื่น “ลูกเป็นลูกชายคนเดียวที่แนชมีในตอนนี้” เธอพูดกับเฟนด์ “แน่นอนว่าเขาและสมาชิกคนอื่น ๆ ในตระกูลวู๊ด ต้องอยากให้ลูกกลับไปทำหน้าที่อยู่แล้ว และแน่นอนว่าลิลลี่และตระกูลลาโกริโอ จะต้องตามรังควานลูกแน่ เพราะงั้น ลูกจะต้องเตรียมตัวให้แข็งแกร่ง ถ้าลูกเลือกที่จะกลับไป”เฟนด์เงียบ เวลาผ่านไป ในที่สุดเก็เงยหน้าขึ้นมามองแม่ของเขา “แม่ แม
เฟนด์ตื่นเต้นมากเมื่อได้ยินสิ่งที่ลาน่าพูด “เธอพูดจริงเหรอ? เกล็ดมังกร?” เขาถามอย่างตื่นเต้น “มันคือเกล็ดมังกรจริง ๆ เหรอ?” “ใช่แล้ว! ฉันใช้เวลานานมากในการติดตามข่าวลือของมัน แต่ตอนนี้ฉันไม่รู้ว่าใครรู้เรื่องนี้บ้าง ที่สำคัญคือมันเกิดขึ้นแล้ว!” ลาน่าก็ตื่นเต้นมากเหมือนกัน “มันคงจะวิเศษมากถ้าคุณได้สิ่งนี้มา ท่านอาจารย์ เพราะยังไงซะ…” “ผู้คนจำนวนมากคงจะต่อสู้กันเพื่อสิ่งนี้ถ้ามันถูกเปิดเผยสู่สาธารณะจริง ๆ มันอาจจะไม่ค่อยมีประโยชน์มากนักสำหรับต่อคนทั่วไป แต่มันก็เป็นสมบัติล้ำค่า มันคุ้มค่าที่จะเก็บไว้!” เฟนด์พูดออกมาด้วยอารมณ์ที่เอ่อล้นอยู่ในขณะนั้น “เราไม่รู้ว่าใครเป็นเจ้าของมัน แต่เฟอร์นันโดอาศัยอยู่แถว ๆ นั้น เขาไปที่นั่นเพื่อช่วยอาจารย์ค้นหาและรับมันแล้ว! เกรงว่าถ้าเราไม่รีบลงมือมันอาจจะถูกยึดหรือเคลื่อนย้ายไป” ลาน่าพูดยิ้ม ๆ “ก็ได้ ให้เขาไปตรวจสอบก่อน เราต้องเอาเกล็ดมังกรมาให้ได้ อีกไม่นานเราจะไปที่นั่น!” เฟนด์พยักหน้า “ฉันเพิ่งไปทำให้ตระกูลแลมเบิร์ตจากเมืองจินโมโหมา พวกมันไม่ใช่ตระกูลใหญ่มากนัก แต่ก็ไม่ใช่ตระกูลเล็ก ๆ เหมือนกัน ช่วงสองวันนี้ฉันจะจัดการทรัพย์สินของครอบค
เฟนด์เงียบไปครู่หนึ่งขณะที่เขากำลังใช้ความคิด ก่อนจะตอบเซเลน่าว่า “เมืองนางแอ่น” เซเลน่ากังวลขึ้นมาทันทีหลังจากได้ยินคำตอบของเขา คิ้วของเธอขมวดเข้าหากันด้วยความกังวล “ไม่ ไม่นะ ทำไมต้องเป็นเมืองนางแอ่น? เมืองนั่นไม่ได้ไกลจากเมืองจินเลย! ฉันคิดว่าเราควรหนีไปให้ไกลที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ มันอาจจะเกิดอันตรายได้ถ้าเราไปที่เมืองนางแอ่น!” “ผมคิดว่าที่ที่อันตรายที่สุดก็คือที่ที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับเรา ถ้าเราซ่อนตัวในที่แจ้ง พวกมันอาจจะนึกไม่ถึง อีกอย่าง ผมมีบางอย่างต้องทำที่เมืองนางแอ่น” เฟนด์หยุดพูดไปสักพักก่อนจะพูดต่อว่า “นอกจากนี้ ที่นั่นยังอยู่ใกล้ตระกูลวู๊ดด้วย มันคงสะดวกถ้าเราเลือกที่จะกลับไปที่นั่น” เมื่อได้ยินแบบนั้น ริมฝีปากของเซเลน่าก็ค่อย ๆ ขยับเป็นรอยยิ้ม คำตอบของเฟนด์ทำให้เธอประทับใจมาก “จริงเหรอ? เยี่ยมไปเลย! ฉันบอกได้เลยว่าแม่ยังคงรัก แนช วู๊ด อยู่ อีกอย่าง คุณก็เป็นลูกชายของเขา และเขาก็กำลังจะตาย ฉันหวังว่าคุณจะไปเยี่ยมเขา คุณอาจเสียใจถ้าคุณไม่ได้เจอเขาก่อนที่เขาจะตาย สำหรับปัญหาเกี่ยวกับเรื่องใครจะกลายเป็นหัวหน้าตระกูล เอ่อ…ฉันไม่สนหรอกว่าคุณจะตัดสินใจยังไง”ยังไงก็ตา
“แกชื่ออะไรนะ? เฟนด์ วู๊ด ใช่ไหม? ประสาทสัมผัสที่รวดเร็วและความตื่นตัวของแกน่าประทับใจมาก แต่ในคืนนี้แกจะได้หายใจเป็นคืนสุดท้าย!” ชายชราหัวเราะและหรี่ตาลง กำหมัดแน่น เขาวิ่งไปข้างหน้าด้วยความเร็วเต็มที่และวินาทีถัดมาเขาก็มาอยู่ตรงหน้าเฟนด์ “โอ้ แกรวดเร็วดีหนิ!” มันทำให้เฟนด์ประหลาดใจ แม้จะเพียงเล็กน้อย เมื่อเขาสังเกตเห็นความสามารถในการต่อสู้ของผู้อาวุโสคนนี้เทียบเท่าคนสี่คนจากตระกูลแลมเบิร์ตที่มาเมื่อเช้านี้เลย มีนักสู้ชั้นยอดแบบผู้อาวุโสคนนี้ไม่มากนักในอาณาเขตกลาง ดังนั้นเฟนด์จึงรู้ได้ในทันทีว่า คนพวกนี้น่าจะเป็นคนที่ลิลลี่ ลาโกริโอส่งมา เพราะยังไงซะ สี่คนจากตระกูลแลมเบิร์ตก็เพิ่งตายไปเมื่อเช้านี้ และพวกแลมเบิร์ตไม่น่าจะรู้ที่อยู่ที่นี่ คนพวกนี้จึงไม่ใช่คนที่พวกแลมเบิร์ตส่งมา ดังนั้นมีเพียงคำอธิบายเดียวสำหรับเรื่องนี้ ลิลลี่ หญิงที่โหดเหี้ยมและชั่วร้าย เมื่อรู้ว่าพ่อบ้านวู๊ดและเบธมาเยี่ยมเฟนด์ เธอจึงได้ให้คนของเธอแอบตามพวกเขามาด้วย ยิ่งไปกว่านั้น เฟนด์คิดว่าชายตรงหน้ารู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน แม้ว่าพวกเขาอาจกลัวว่าเบธและพ่อบ้านจะจับได้ พวกเขากลัวว่าเบธและพ่อบ้านจะเข้ามายุ่งตอน
ชายชรากัดฟันแน่น ทนกับความเจ็บปวดและบังคับตัวเองให้ลุกขึ้น จากนั้นเขาก็เรียกคนที่เหลือให้เข้าไปจัดการกับเฟนด์ “ย่าาา!” คนที่เหลือต่างดึงดาบออกมากันทีละคน ๆ แล้วพุ่งเข้าใส่เฟนด์ “ในเมื่อพวกแกอยากดิ้นรนมาเจอกับความตายเอง ฉันก็จะทำให้พวกแกสมหวัง!” เฟนด์พลิกฝ่ามือ ดาบโลหะสีดำก็ปรากฏขึ้นมาในมือของเขา ฟุ่บ! เฟนด์สะบัดข้อมือขณะที่ถือดาบทำให้เกิดลมพัดอย่างรุนแรง คลื่นดาบพุ่งใส่กลุ่มคนพวกนั้น แล้วคนพวกนั้นก็ล้มลงบนพื้น ตกตายไป “แก…แกรู้วิธีสร้างคลื่นดาบ!” ชายชราตกใจ เขาคิดว่าเฟนด์จะต้องถูกฆ่าตายในคืนนี้แน่ ด้วยพรรคพวกมากมายที่มาพร้อมเขา แต่ทั้งหมดนั้นกลับสูญเปล่า “พูดมาสิ! ลิลลี่ส่งแกมาใช่ไหม?” เฟนด์ถือดาบไว้ในมือและเดินเข้าไปหาชายชรา ดวงตาของเขาไร้อารมณ์ น้ำเสียงราบเรียบและไร้ความปราณี ซึ่งมันทำให้กระดูกสันหลังของคนที่ได้ยินเย็นยะเยือก ชายตรงหน้าเขาดูธรรมดาเกินไป ชายชราคิด แต่ใครจะไปคิดว่าเขาจะสร้างคลื่นดาบได้ด้วย? “ข้าจะสู้กับแกให้ตายกันไปข้าง!”ชายชราไม่ยอมเปิดเผยความจริงออกมา เขาวิ่งเข้าหาเฟนด์พร้อมดาบในมือ พยายามจะตัดหัวของเฟนด์ให้หลุดออกจากบ่า ในวินาทีถัดมาความพยา
คนหลายสิบคนยืนอยู่ที่หน้าประตูหลักของคฤหาสน์ แต่ละคนร่างกายกำยำ สูงและตัวโตมาก พวกเขาดูมีพลัง รปภ.สองคนที่เฝ้าอยู่หน้าประตูรีบวิ่งเข้ามาในคฤหาสน์ทันที และยืนอยู่ข้างหลังเฟนด์ ร่างกายของพวกเขาสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว เฟนด์เห็นพวกที่มารวมตัวกันที่หน้าประตูคฤหาสน์ เขาจึงออกคำสั่งทันทีว่า “ออร์คิด พาเซเลน่า แม่ของฉัน และคนอื่น ๆ เข้าไปในคฤหาสน์ ซ่อนตัวอยู่ในนั้น ปล่อยให้เรื่องนี้ฉันจัดการเอง” “ได้ค่ะนายท่าน!” ออร์คิดพยักหน้ารับและตะโกนออกมาเสียงดัง “ทุกคน เข้าไปในคฤหาสน์กับฉันเดี๋ยวนี้! ห้ามใครออกมาจนกว่านายท่านจะสั่ง!” “เฟนด์ ระวังตัวด้วยนะ พวกนั้นทั้งหมดมาจากอเมริกา ฉันไม่รู้ว่าเราไปทำให้พวกเขาขุ่นเคืองตอนไหนและโกรธเคืองได้ยังไง!” คิ้วของเซเลน่าขมวดเข้าหากันขณะที่เธอพูดกับเฟนด์ จากนั้นเธอก็เดินตามคนอื่น ๆ เข้าไปในคฤหาสน์อย่างไม่เต็มใจ “เฮ้! แกเป็นคนที่เห็นแก่ครอบครัวและเพื่อนพ้องใช่ไหม? แต่แกคิดว่าแกจะสามารถปกป้องพวกเขาได้งั้นเหรอ?”ชายหัวล้านร่างใหญ่ที่น่าจะมาจากอเมริกา เขาลูบตัวเองแล้วหัวเราะออกมา “เมื่อเราจัดการกับแกเสร็จแล้ว เราจะส่งครอบครัวและเพื่อนของแกตามไปด้วย!”
เฟนด์หัวเราะเยาะออกมา เขารู้สึกพูดไม่ออก ดูเหมือนว่าคนพวกนี้จะรู้วิธีเก็บความลับเอาไว้ “พอแล้วสำหรับการพูดคุย ฆ่ามันซะ!” ชายหัวล้านที่เป็นหัวหน้าโบกมือ คนจำนวนมากพุ่งเข้าใส่เฟนด์ “พยายามข่มขู่ฉันด้วยจำนวนที่มากกว่างั้นเหรอ?” เฟนด์หรี่ตาลง เขาหักนิ้ว แต่เขาไม่ได้หวั่นกลัวเลยแม้แต่น้อย เขากลับวิ่งออกไปข้างหน้าแทน “หมัดกรงเล็บอินทรี!” ชายคนหนึ่งใช้ทักษะของเขาขณะที่มาอยู่ตรงหน้าเฟนด์ เขาปล่อยหมัดอย่างต่อเนื่อง อากาศเหมือนถูกแหวกเป็นชิ้น ๆ ตรงหน้าเขา ได้ยินแม้แต่เสียงหวือหวาที่ดังออกมาชัดเจนผ่านอากาศ ปัง! เฟนด์ไม่ได้สนใจการโจมตีของชายคนนั้น เฟนด์ปล่อยหมัดใส่ชายอีกคน หมุนเท้า และเดินตรงไปที่คนอื่น ชายที่ใช้หมัดกรงเล็บอินทรีนั้นน่าจะแข็งแกร่งพอ ๆ กับทหารขั้นพันตรี เขาถือว่าเป็นนักสู้ที่โดดเด่นคนหนึ่งเลย น่าเสียดายที่เฟนด์เห็นเขาไม่ต่างจากเด็กน้อยที่พยายามจะเลียนแบบปรมาจารย์ และเทคนิคการใช้หมัดของเขาไม่ใช่เทคนิคที่แท้จริง ชายคนนั้นกระเด็นออกไปด้านข้างเพราะถูกเฟนด์โจมตี แขนของเขาหัก “อ๊าก!” ชายคนนั้นปล่อยเสียงร้องออกมาอย่างเจ็บปวด หน้าของเขาซีดทันที ปัง! ปัง! ปัง!
นายจะยกคฤหาสน์ราคาแพงหลังนี้ให้พวกเขางั้นเหรอ? น่าเสียดายจัง!” สีหน้าของฟีโอน่ามืดลงขณะที่เธอคิดว่าจะต้องเสียคฤหาสน์ที่สวยงามเช่นนี้ไป “แม่คะ ตอนนี้เราก็มีเงินมากพอแล้ว ครอบครัวของพวกเราสามารถใช้ชีวิตได้อย่างดีในเมืองนางแอ่นหรือแม้แต่เมืองจิน แม้ว่าเราจะไม่ใช่ครอบครัวที่แข็งแกร่งที่สุดของที่นั่น มันคงต้องใช้เวลาอีกนานในการขายคฤหาสน์หลังนี้ ดังนั้นจึงเป็นการดีที่สุดที่เราจะยกมันให้พวกเขา เราจะได้รีบย้ายออกไปเร็ว ๆ!” เซเลน่ายิ้มขณะที่พยายามโน้มน้าวแม่ของเธอ “ก็ได้ ทำไมอีวานต้องปฏิเสธที่จะเข้าร่วมกองทัพด้วย? ทำไมเขาต้องเคยไปทำให้พวกแลมเบิร์ตโกรธเคืองมาก่อนด้วย? เฮ้อ คิดว่าเป็นความโชคร้ายของเราแล้วกัน!” ฟีโอน่าถอนหายออกมาอย่างหนักและเดินเข้าไปในห้องของเธอ เฟนด์โทรหานายท่านจอร์จ นายท่านจอร์จที่เพิ่งทานอาหารเสร็จและกำลังเดินเล่นอยู่ในสวน หัวใจของเขาเต้นแรงเมื่อเห็นว่าเฟนด์โทรมา “มีอะไรหรือเปล่าเฟนด์?” เขาถาม เฟนด์ยิ้มออกมา “นายท่านจอร์จ ผมมีคนรับใช้ไม่มากนัก” เขาพูดในสาย “ผมเพิ่งฆ่าคนไปหลายสิบศพในสวนของผม ช่วยส่งคนมาช่วยเคลียร์ศพให้หน่อยได้ไหม?” นายท่านจอร์จถึงกับอึ้งเมื่อไ
ตราบใดที่มันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการบ่มเพาะโอสถของเขา ทั้งสองคนจะทำอะไรตามต้องการก็ย่อมได้ สิ่งนั้นไม่กระทบอะไรกับเขาเลย“ถึงฉันจะดูแคลนหมอนี่ แต่เขาก็ยังกล้าเสมอ เขาก็คงจะมีความสามารถอยู่บ้าง เขาน่าจะผ่านสองขั้นตอนแรกได้อย่างไม่มีปัญหา” เกรย์สันพูดอย่างชัดเจนรูดี้มองไปที่เกรย์สันด้วยรอยยิ้มเย็นชาบนใบหน้าแล้วตอบว่า "นายดูมั่นใจกับหมอนี่มากเลยนะ ฉันจะคิดว่าทุกครั้งที่เขาพูดก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเรื่องไร้สาระทั้งหมด“ฉันคิดว่าเขาอาจจะไปถึงขั้นที่สองก่อนที่เขาจะล้มเหลวโดยสิ้นเชิง! ฉันอยากเห็นจริง ๆ ว่าถ้าล้มเหลวขึ้นมา เด็กสารเลวคนนี้จะสู้หน้าเราได้ยังไง”เกรย์สันสูดหายใจเข้าลึก ๆ เขารู้สึกได้ว่าความโกรธของรูดี้ที่มีต่อเฟนด์นั้นลึกซึ้งกว่าของเขามากดวงตาของรูดี้ลุกเป็นไฟ เห็นได้ชัดว่าเขาเกลียดเฟนด์มากเพียงใดเกรย์สันหัวเราะอย่างเย็นชา "แล้วมาดูกันว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ฉันคิดว่าเขาน่าจะสามารถไปถึงขั้นตอนสุดท้ายได้ ถ้าเขาสามารถควบรวมอักขระทางยาได้ถึงร้อยเม็ดเขาก็น่าจะมาถึงระดับนั้น"หลังจากที่ทั้งสองพูดเรื่องเหล่านั้นออกมา พวกเขาก็ปิดปากเงียบพร้อม ๆ กับการมองดูเฟนด์โดยไม่พูดอะไรพวกเขามอง
ผู้อาวุโสฮอร์สท์กระแอมเล็กน้อยในขณะที่เขาพูดต่อ “หลังจากที่เธอบ่มเพาะโอสถได้สำเร็จแล้ว ให้นำโอสถมาให้ฉันตรวจสอบ พวกเธอจะมีเวลาในการทดสอบทั้งสิ้นแปดชั่วโมง ถ้าเธอไม่สามารถบ่มเพาะโอสถได้ภายในแปดชั่วโมง ก็จะแปลว่าไม่ผ่านการทดสอบ ดังนั้นอย่าได้ช้าเกินไป”พวกเขาทั้งสามพยักหน้าแทบจะพร้อมกัน หลังจากผู้อาวุโสฮอร์สท์ให้คำแนะนำแล้ว เขาก็จัดให้มีคนงานสองสามคนคอยเป็นคนตรวจ มีผู้ดูแลยืนอยู่ด้านหลังทั้งสามคนเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่ทำอะไรผิดพลาดหลังจากนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็หันกลับมาและไปหาผู้สอบคนอื่น ๆ รูดี้หรี่ตาลง ขณะที่เขาเหลือบมองเฟนด์และพูดว่า "ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการบ่มเพาะโอสถระดับหกคือขั้นตอนสุดท้าย แต่ขั้นตอนแรกก็ไม่ง่ายเช่นกัน ถ้านายรู้ว่าทำไม่ได้ ก็อย่าทำให้ต้องสิ้นเปลืองวัตถุดิบเลย ของพวกนี้ล้วนมีราคาค่างวด ต่อให้นายจะขายตัวเองเป็นทาสก็ยังไม่พอให้ซื้อของพวกนี้!”เฟนด์ถอนหายใจออกเบา ๆ หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านั้น ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าเขาเบื่อเกินกว่าจะอ้าปากพูดด้วยซ้ำ เขาตัดสินใจที่จะเพิกเฉยต่อผู้ชายคนนั้นและทุกสิ่งที่จะออกมาจากปากเขา ถึงโต้ตอบไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี
เกรย์สันหรี่ตาลงขณะที่เขามองเฟนด์ด้วยความโกรธเช่นกัน เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ดูเหมือนว่าวันนี้ นายจะมาที่นี่เพื่อหาเรื่องขายหน้าให้กับตัวเองเท่านั้น"หลังจากพูดจบเกรย์สันก็หันหลังกลับและเงียบไป เสียงความขัดแย้งหยุดลง และทุกคนรอบ ๆ ก็เริ่มกระซิบกระซาบกันผู้อาวุโสฮอร์สท์มองเฟนด์อย่างมีความหมาย ราวกับว่าเขามองเฟนด์ในมุมมองที่ต่างออกไป ทันใดนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็อยากรู้เรื่องของเฟนด์อย่างไม่น่าเชื่อ แต่ในขณะนั้นเขาไม่อาจพูดอะไรออกมาได้เมื่อเขาเห็นว่าทุกคนได้จับกลุ่มกันเรียบร้อยแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็โบกมือแล้วพูดว่า "มากับฉัน!"ทุกคนติดตามผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปเป็นกลุ่ม ๆ ผู้อาวุโสฮอร์สท์เข้าไปในเรือวิญญาณ ภายในเรือเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังรีบร้อนพวกเขาเดินตามหลังผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปอย่างใกล้ชิด เดินลัดเลาะไปตามทางก่อนจะมาถึงห้องกว้างขวางในที่สุด ห้องกว้างขวางมากจนเรียกได้ว่าห้องโถงเลยทีเดียวทันทีที่พวกเขาก้าวเข้าไปในห้อง ทุกคนก็สามารถสัมผัสได้ถึงรังสีของโอสถที่หนาแน่นรอบ ๆ บรรยากาศ พื้นที่ในห้องนี้ใหญ่เกินพอสำหรับพวกเขาแปดสิบคนเฟนด์ประเมินสถานการณ์เล็กน้อย ห้องนี้ใหญ่พอที่จะรองรับคน
พวกเขาถาโถมข้อกล่าวหาและดูหมิ่นมามากเกินไป ถึงเขาจะไม่อยากโต้เถียงกับคนพวกนี้ แต่เขาก็ยังถูกบังคับให้ต้องเงยหน้าขึ้นมาอย่างช้า ๆ อยู่วันยันค่ำเขามองเข้าไปในดวงตาของรูดี้ซึ่งเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน ราวกับเขาเป็นเพียงแมลงในสายตาของรูดี้เฟนด์หัวเราะอย่างเย็นชา “แล้วนายได้ยินเสียงสุนัขที่เห่าดังที่สุดแล้วหรือยังล่ะ?”คำพูดเหล่านั้นสามารถเยาะเย้ยทุกคนที่นั่นได้สำเร็จ เขาเปรียบเทียบกิลเบิร์ตกับสุนัขและเย้ยหยันทุกคนที่ฟังสุนัขตัวนั้นเห่า มันทำให้การแสดงออกบนใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปกิลเบิร์ตเกือบจะลืมความโกรธของตัวเองไปแล้ว เขาไม่อยากจะเชื่ออะไรด้วยซ้ำว่าเฟนด์จะสามารถขจัดคำดูถูกดูแคลนทั้งหมดลงได้ แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นกิลเบิร์ตหันกลับมาจ้องมองเฟนด์ด้วยใบหน้าแดงก่ำจากความโกรธเขาอยากจะตะโกนกลับแต่ถูกรองเหรัญญิกปรามไว้ "ดูเหมือนว่านายจะไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบแล้วสินะ!"ประโยคนั้นเพียงประโยคเดียวก็ทำให้กิลเบิร์ตไม่อาจพูดอะไรออกมาได้อีก กิลเบิร์ตตระหนักได้แล้วว่าเขาได้ทำให้รองเหรัญญิกขุ่นเคืองอย่างหนักหากเขายังคงยืนกรานที่จะต่อปากต่อคำกับเฟนด์ รองเหรัญญิกอาจจะดึงเขาออกไปจริง ๆ แล้วเขาจะ
“สมองหมอนั่นจะต้องมีอะไรผิดปกติจริง ๆ นั่นแหละ เขาคิดจริง ๆ หรือว่าเขาอยู่ในระดับเดียวกับอีกสองคนที่อยู่ตรงหน้าเขา แค่เพราะไปยืนอยู่กลุ่มเดียวกัน? นั่นน่าจะตลกมากเกินไปหน่อยนะ…”“ฉันนึกว่าการทดสอบจะเข้มงวดและจริงจังเสียอีก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะได้เห็นอะไรแบบนี้ ทำเอาฉันขำจนปวดท้องเลยล่ะ…”แอนดรูว์ขมวดคิ้วอย่างรู้สึกอับอาย รองเหรัญญิกโกรธจนตัวสั่นหลังจากได้ยินคำพูดของกิลเบิร์ต เขานึกอยากจะพุ่งตัวไปไปตบกิลเบิร์ตสักสองสามครั้งกิลเบิร์ตเพิกเฉยต่อชื่อเสียงของวิมานโอสถอย่างเห็นแก่ตัวที่สุด พวกเขาแทบอยากจะมุดดินหนี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นี่จะเป็นความอัปยศอดสูที่วิมานโอสถไม่อาจจำกัดทิ้งได้รองเหรัญญิกตะโกนออกไปว่า "หุบปากเดี๋ยวนี้! นายกำลังพูดเรื่องบ้าอะไร ถ้าไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบ ก็ไสหัวไปซะ!"รองเหรัญญิกโกรธมาก ขณะที่เขาพูดเช่นนั้น สีหน้าของเขาดูอดสูอย่างไม่น่าเชื่อ เขายังคิดจะฆ่ากิลเบิร์ตให้ตายเสียเดี๋ยวนี้ เมื่อถูกตำหนิเช่นนั้นก็ทำให้กิลเบิร์ตตระหนักได้ว่าเขาพูดผิดไปถึงกระนั้นก็ไม่มีทางที่เขาจะถอนคำพูดเหล่านั้นกลับคืนมา เขากระแอมเบา ๆ ก่อนที่จะรีบหันศีรษะไปซ้ายทีขวาที อย่างไม่กล้
ไม่มีใครรู้ดีไปกว่ารองเหรัญญิกว่าโอสถระดับหกหมายถึงสิ่งใด ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา วิมานโอสถรับบัณฑิตมาจำนวนนับไม่ถ้วน แต่มีไม่มากนักที่จะได้กลายเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุระดับหกจริง ๆคอนสแตนซ์ยิ้มอย่างมีความหมายขณะที่เขาเอ่ยถาม "รองเหรัญญิกคนนี้มีความสามารถหลากหลายจริง ๆ ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าวิมานโอสถจะมีอัจฉริยะกับเขาด้วย ผมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย"ริมฝีปากของรองเหรัญญิกกระตุก เขาต้องการอธิบายตัวเอง แต่ถ้าเขาบอกว่าเฟนด์ไม่สามารถสกัดโอสถระดับหกได้ และมีเพียงพรสวรรค์ในการสร้างอักขระทางยาเท่านั้น มันคงจะกลายเป็นเรื่องตลกครั้งใหญ่ และทุกคนคงจะหัวเราะเยาะวิมานโอสถเป็นแน่แต่ถ้าเขายังคงดื้อรั้นต่อไป พอถึงเวลาต้องบ่มเพาะโอสถ เฟนด์ก็จะเปิดเผยความจริงข้อนั้นออกมา เมื่อนั้นความอัปยศอดสูก็จะยิ่งหนักข้อขึ้นเขาถึงกับมือสั่น ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยรู้สึกเหมือนตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้มาก่อน เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกกักขังอยู่ในกำแพงอีกสองด้าน ทุกคนคิดว่ารองเหรัญญิกกำลังวางแผนที่จะใช้ความเงียบเพื่อตอบคำถามเมื่อเห็นกับตาว่ารองเหรัญญิกไม่ตอบอะไรออกมาแต่ทว่าคอนสแตนซ์คล้ายกับจะไม่เ
เฟนด์เป็นคนเดียวที่ยังคงยืนอยู่ ขณะนั้นเขาดูคล้ายกับกำลังลังเลและดูเหมือนกำลังรออะไรบางอย่างอยู่ ขณะที่รองเหรัญญิกพูดจบ ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็จ้องมองมาอย่างอยากรู้อยากเห็นแม้ว่าดวงตาของเขาจะดูเป็นประกายมากขนาดไหน แต่เฟนด์ก็ยังคงรู้สึกถึงความเฉียบคมภายใน ราวกับว่าเขาจะถูกตัดสิทธิ์หากเขาไม่ขยับริมฝีปากของเฟนด์กระตุกอย่างช่วยไม่ได้ เขารีรอต่อไปไม่ได้แล้ว จึงได้แต่เดินไปยังพื้นที่ที่เขาวางแผนไว้ก่อนหน้านี้ในตอนแรกเฟนด์ไม่ได้ดึงดูดความสนใจใครมากนัก เขาอาจจะเป็นคนสุดท้ายที่ปรากฏตัวขึ้น ไม่มีใครจำเขาได้ ต่อให้เขาจะมาจากวิมานโอสถ แต่นอกจากคนที่เคยพบเขาแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใครขณะที่เขาเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกต่อไป ทุกคนก็เริ่มจ้องมองไปที่เขา ใบหน้าของรองเหรัญญิกก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นบูดบึ้งเมื่อเขาสังเกตเห็นว่าเฟนด์กำลังมุ่งหน้าไปทางใด“ผู้ชายคนนั้นคิดจะไปต่อหลังรูดี้หรือเปล่า? เขาคิดจะพิสูจน์ตัวเองด้วยการกลั่นโอสถระดับหกด้วยหรือ?”“ก็คงเป็นแบบนั้น เว้นแต่เขาจะเป็นคนโง่เง่าที่ไม่ทันได้ฟังกฎการตัดสินให้ดี ไม่งั้นคงไม่เดินไปแบบนั้นหรอก เขาเป็นใคร ทำไมฉันไม่เคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับเขาเลย
กิลเบิร์ตทำท่าราวกับกลืนแมลงวันเข้าไปสองสามตัว เขาคาดหวังว่ารองเหรัญญิกจะพูดคำเหล่านั้นกับเขาเสียอีก แต่กลับกลายเป็นว่ารองเหรัญญิกไม่ละสายตามามองเขาเลยแม้แต่วินาทีเดียวรองเหรัญญิกฝากความหวังทั้งหมดไว้กับเฟนด์ราวกับว่ากิลเบิร์ตและแอนดรูว์มาที่นี่เพื่อเพิ่มจำนวนคนเท่านั้นแอนดรูว์มีสีหน้าขมขื่นเช่นกัน ในอดีตเขาขัดแย้งกับกิลเบิร์ตมามากมาย และความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ไม่อาจพัฒนาไปในทางที่ดีได้แต่ต้องขอบคุณเฟนด์ที่ทำให้เขาสามารถวางเฉยต่อความแค้นทั้งหมดที่เคยมีได้แอนดรูว์พูดด้วยใบหน้าที่มืดมน “รองเหรัญญิก ดูเหมือนคุณจะฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เฟนด์เลยนะ“แต่คุณก็น่าจะเตือนเฟนด์สักหน่อยว่าต่อให้เขาจะมีพรสวรรค์ค่อนข้างดี แต่ก็ไม่ควรหยิ่งผยองเกินไป”แอนดรูว์โกรธมากในขณะนั้นและอดไม่ได้จริง ๆ ที่จะต้องเอ่ยคำดูแคลนที่สุดเช่นนั้นออกมากิลเบิร์ตกล่าวเสริมอย่างรีบร้อนทันที “แอนดรูว์พูดถูก แม้ว่าพรสวรรค์ของเฟนด์จะค่อนข้างดี แต่เขาก็ไม่ควรหยิ่งผยองนัก คำพูดพวกนั้นไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด”เฟนด์ถึงกับพูดไม่ออกเมื่อถูกคนทั้งสองเหยียบย่ำ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเฟนด์ไม่ได้เอ่ยปากเลยสักคำ แล้วเขาจะเอาเวลา
ในตอนแรก คอนสแตนซ์และซีนย์เพียงยืนเคียงข้างกันโดยไม่สนใจเรื่องนี้ พวกเขาต้องการปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินต่อไปอย่างที่ควรจะเป็น แต่เมื่อว่าเกรย์สันและรูดี้เริ่มเถียงกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งสองคนก็ถูกบีบให้ต้องทำอะไรสักอย่างพวกเขาถูกบีบให้ต้องแยกรูดี้และเกรย์สันออกจากกัน นั่นก็เพราะ การทะเลาะกันของเด็ก ๆ ควรจะมีขีดจำกัด เพราะหากมันเกินขีดจำกัดไปแล้ว นั่นจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของพวกเขา นี่คือสิ่งที่รูดี้และเกรย์สันเองก็ไม่อยากเห็นเป็นเวลาเกือบสิบห้านาทีแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์นั่งบนเก้าอี้ ขณะมองดูการทะเลาะวิวาทและการพูดคุยกันอย่างเฉยเมย เมื่อหมดเวลาเขาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้เสียงปรบมือดังขึ้นตอนที่เขาจะพูดว่า "เอาล่ะ หมดเวลาแล้ว ทุกคนต้องตัดสินใจได้แล้วว่าจะพิสูจน์ความสามารถของตัวเองยังไง”“ฉันไม่คิดว่าฉันจะต้องบอกอะไรพวกนายทุกอย่างหรอกนะ ตอนนี้ก็แยกออกเป็นกลุ่มเสีย ผู้ที่ต้องการรวมอักขระทางยาจะยืนอยู่ทางทิศตะวันออก“ผู้ที่ต้องการแยกแยะวัสดุสามารถยืนอยู่ตรงกลางได้เลย และหากจะพิสูจน์ตัวเองด้วยกันบ่มเพาะโอสถให้ไปยืนที่ทางทิศตะวันตก“ถึงอย่างนั้นฉันก็ต้องขอเตือนทุกคนก่อน หากทุกคนต้องการ