“วิ่งทำไม? ทำไมผมต้องกลัวด้วยล่ะ ในเมื่อเฟนด์แข็งแกร่งขนาดนั้น? นอกเหนือจากนั้นแล้ว ตระกูลเทย์เลอร์ของพวกเรา..” อีวานยิ้มอย่างเยือกเย็น แล้วพูดอย่างไม่แยแสเท่าไหร่เขาไม่รู้เลยว่าเรื่องนี้จริงจังขนาดไหน“ฮ่าฮ่า มาแล้วเหรอ? วันนี้ เป็นวันตายของแก!” ลูคัส แลมเบิร์ตหันกลับมา แล้วมองไปที่อีวานอย่างเยือกเย็น ความเย็นชาในสายตาของเขาทำให้คนอื่น ๆ รู้สึกไม่สบายใจเอาซะเลย“นาย...นายคือ...” เดิมทีอีวานมีสีหน้าที่ยิ้มแย้ม แต่รอยยิ้มของเขาก็หายไปไม่นานหลังจากนั้น ก่อนจะแทนที่ด้วยความหวาดกลัวถึงเรื่องมันจะเกิดมาตั้งห้าปีแล้ว และชายคนนี้ก็ดูโตขึ้นในหลายปีที่ผ่านมา แต่อีวานก็ยังคงจำเขาได้“ให้ตาย พวกเขามาจากเมืองจิน!” อีวานกลัวสุดขีด คนพวกนี้มีอำนาจมากเมื่อหลายปีก่อน มันหมายความว่าพวกเขาต้องมาจากตระกูลที่ทรงอิทธิพลแน่ พวกเขาต้องมั่นใจในระดับนึงเลยถึงกล้ามาตามหาเขาเขาอยากจะหนีไปจริง ๆ หลังจากพูดจบวี๊ดดด!อีกฝ่ายสะบัดดาบไปมา และประกายดาบที่แสนน่ากลัวก็พุ่งเข้าไปหาอีวานทันที“ไม่!” ธีโอดอร์ตะโกนออกมาเสียงดัง เขารู้ว่าประกายดาบของคน ๆ นั้นน่ากลัวขนาดไหน เขายังรู้อีกด้วยว่าลูกชายของเขาไม่รู้เ
“ยืนทำอะไรตรงนั้น? ไปช่วยนายน้อยสิ!”ธีโอดอร์ตะโกนออกมาทันที“ตายซะ!”บอดี้การ์ดหลายคนจากตระกูลเทย์เลอร์ตะโกนออกมา แล้วพุ่งเข้าไปทันที“เกิดอะไรขึ้น?”ในที่สุด บอดี้การ์ดสาวสวยสิบคนที่อยู่ในบ้านของเฟนด์ ที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ได้ยินเสียงอึกทึกครึกโครมที่เกิดขึ้น ก่อนจะตามออกมาเช่นกัน“ปล่อย ปล่อยฉันไปเถอะ ฉันผิดไปแล้ว!”อีวานหวาดผวาสุดขีด ศัตรูของเขาแข็งแกร่งมากเกินไป เขาสู้ไม่ไหว“ตายซะเถอะ!”ในเมื่อคู่หมั้นของเขาขวางเฟนด์เอาไว้ ลูคัสก็ไม่ต้องกังวลอะไรอีกต่อไป เขาฟันดาบ แล้วฆ่าอีวานทันที“ไม่!”ธีโอดอร์ตะโกนสุดเสียง กับภาพที่ลูกชายของเขากำลังตายอยู่ตรงหน้า เขาเป็นลมล้บพับไปกับพื้น“นายท่าน!”สมาชิกของตระกูลเทย์เลอร์หลายคน มาช่วยพยุงธีโอดอร์ขึ้นมาเซเลน่ากำหมัดแน่น เธอรู้สึกกังวลมากเฟนด์เองก็กังวลมากเหมือนกัน เมื่อเขาสังเกตเห็นบอดี้การ์ดของตระกูลเทย์เลอร์ และออร์คิดส์ กับคนอื่น ๆ รีบวิ่งเข้ามา ที่สุดแล้ว ทั้งสี่คนนี้ก็เป็นนักสู้ที่แข็งแกร่ง อาจจะไม่แข็งแกร่งเท่าเพทสงคราม แต่ก็เกือบ“อย่าเข้ามา พวกเธอสู้ไม่ไหวหรอก!”จู่ ๆ เฟนด์ก็ตะโกนขึ้นมา เขาสะบัดข้อมือ และดาบสีดำ ก็ปราก
“อย่าไป!”ออร์คิด ที่กำลังจะพุ่งเข้าไป บอกเอเลนให้หยุดทันที หลังจากที่เธอได้ยินคำพูดของเฟนด์เธอเดาว่าคนพวกนี้ต้องไม่ธรรมดาแน่ ๆ มิฉะนั้นเฟนด์คงไม่หยุดเธอมันหมายความว่า ต่อให้เธอไป เธอก็อาจไม่ได้ช่วยอะไรมาก อาจจะโดนฆ่าเหมือนกันก็ได้แน่นอน มันไม่ยากเลยสำหรับเฟนด์ที่จะฆ่าทั้งสี่คนนั้น แต่เขาตั้งใจไม่ทำ เพราะมันจะได้ดูเหมือนว่าเขาช่วยอีวานไว้ไม่ได้ ตระกูลเทย์เลอร์ต้องสงสัยเขาแน่ ๆ ถ้าเขาจัดการทั้งสี่คนอย่างรวดเร็ว และง่ายดายในตอนนี้นั่นจึงเป็นสาเหตุที่เขาต้องควบคุมตัวเองตอนนี้ เขาต้องทำให้มันดูเหมือนว่าเขารอดมาอย่างหวุดหวิด ราวกับว่าเขาใช้ทักษะ และพละกำลังทั้งหมด“มารวมตัวฆ่ามันดีกว่า! มันกล้าดียังไงมาทำให้สโนว์เจ็บ!”ชายคนที่ชื่อลูคัสพูดอย่างขุ่นเคืองจู่ ๆ พวกเขาทั้งสี่คนก็ล้อมรอบเฟนด์เฟนด์และคนอื่น ๆ ยังคงไม่รู้ว่าชายชรา และหญิงสาว กำลังดูเรื่องที่เกิดขึ้นจากไกล ๆ หลบอยู่ในรถอย่างปลอดภัย“ท่านคะ เราควรเข้าไปช่วยนายน้อยไหมคะ?”หญิงสาวหน้านิ่วคิ้วขมวด ก่อนจะถามชายชรา “ไม่มีทางที่เรื่องร้าย ๆ จะเกิดขึ้นกับนายน้อยเฟนด์ นายน้อยอาจจะขอบคุณเรา ที่ช่วยเขาเอาไว้ตอนนี้ และอาจจะตกลง
พยานมากมายได้ชมเหตุการณ์นองเลือดระหว่างนักสู้ทั้งหลาย ผู้คนจากเมืองจินต้องสืบหาความจริงแน่ ถ้าทั้งสี่คนนั้นตาย และพวกเขาต้องรู้เรื่องที่เกิดขึ้นแน่ตระกูลเทย์เลอร์อาจจะตกที่นั่งลำบากเซเลน่าสังเกตเห็นท่าทีของนายใหญ่ เธอเลยพูดกับเขาว่า “คุณปู่คะ ทำคุณปู่ถึงถอนหายใจล่ะ? ดูเหมือนว่าเฟนด์จะเอาชนะพวกนั้นได้นะ!”ฟีโอน่าและคนอื่น ๆ ต่างมองไปที่เขาด้วยความสงสัย“มีองค์กรที่ทรงอำนาจมากมายในเมืองจิน ถึงหลานจะกำจัดตระกูลที่ทรงอำนาจไปสิบตระกูลที่นั่น แต่ตระกูลที่อ่อนแอกว่าสิบตระกูลนั้น ก็ยังแข็งแกร่งอยู่ดี และเหล่าผู้อาวุโสของพวกเขาก็ทรงอำนาจมาก ถ้าพวกเขาตาย ก็ไม่ต่างอะไรกับเรายั่วโมโหมหาอำนาจเข้าให้แล้ว!”นายใหญ่เทย์เลอร์ถอนหายใจ ก่อนจะพูดเสริม “แต่เฟนด์ต้องฆ่าพวกเขาในตอนนี้ คิดซะว่าเป็นเหตุสุดวิสัย ไม่มีทางอื่นแล้ว”เปรี้ยง! ปั้ง! ตู้ม!การต่อสู้ยังคงเข้มข้นเหมือนก่อนหน้านี้ และไม่นานหลังจากนั้น เฟนด์ก็ฆ่านักสู้ทั้งสามที่เหลือได้สำเร็จ“วิ-วิเศษมาก ฮ่าฮ่า!”ธีโอดอร์คำรามด้วยเสียงหัวเราะ ก่อนจะวิ่งไปกอดร่างไร้วิญญาณของลูกชายของเขา “ลูกเห็นไหม อีวาน? ไอ้พวกที่มันทำผิดต่อลูกตายไปหมดแล้ว เฟ
“พวกเขามาจากเมืองจินงั้นเหรอ? นั่นเป็นปัญหาแน่... มีนักสู้ที่เก่งกาจมากมายท่ามกลางตระกูลที่ทรงอำนาจทั้งหลาย”ออร์คิดทท่าทีเคร่งเครียด เมื่อเธอได้ยินเช่นนั้น “น่าเสียดายที่พวกเขาไม่ได้ส่งผู้เชี่ยวชาญทั้งหมดมาด้วย ตอนที่เริ่มสู้กัน ไม่งั้นเราคงชนะไปนานแล้ว”“เร็ว เก็บศพออกไปซะ”นายใหญ่เทย์เลอร์สั่งลูกน้องให้เก็บซากศพออกไป ผู้คนตกอยู่ในความโกลาหลทันที ตราบเท่าที่เรื่องนี้ยังคงค้างคา มันคงจะง่ายมากสำหรับตระกูลแลมเบิร์ต ถ้าพวกเขาจะมาสืบสวนเรื่องการตายของลูคัส และคนอื่น ๆนายใหญ่เทย์เลอร์ใช้เวลากับตัวเองสักพักเพื่อจัดการความคิดของเขา ก่อนจะพูดกับธีโอดอร์ “อีวานถึงแก่ความตายแล้วในวันนี้ ก็เพราะเขาไปยั่วโมโหพวกเขาไว้เมื่อห้าปีก่อน ธีโอดอร์ เรื่องนี้จะไม่เกิดขึ้นเลยถ้าเขาไม่พยายามไปยุ่งกับคู่หมั้นของคนอื่น ฉันเองก็ไม่คิดเลยว่าพวกเขาจะมาตามหาอีวานหลังจากผ่านมาหลายปีแล้ว หลังจากที่พวกเขารู้ว่าอีวานยังไม่ตายน่ะ”ดวงตาของธีโอดอร์แดงก่ำ ขณะที่เขาพยักหน้า “ผมเข้าใจครับพ่อ ผมเตือนเขาหลายรอบแล้วให้เขาควบคุมพฤติกรรมของเขา แต่เขาไม่เคยฟังผมเลย อ่า... เฟนด์เพิ่งจะฆ่าทั้งสี่คนนั้นจากตระกูลแลมเบิร์ตไป
โจแอนหน่ายจะสนใจเธอ เธอพาเซเลน่ากับเฟนด์มาตรงกลางสวน ในคฤหาสน์ ของพวกเขาเฟนด์เริ่มบทสนทนาก่อนที่แม่ของเขาจะเริ่ม “แม่ ชายชรากับผู้หญิงคนนั้นมาหาแม่เหรอ? พวกเขาบอกให้แม่พูดอะไรกับผมรึเปล่า?”เธอยิ้ม “ลูกพูดถูก ลูกเดาถูกก่อนแม่จะพูดอะไรอีก”“ชายชราคนไหน? ผู้หญิงอะไร? ไม่เห็นเข้าใจ”เซเลน่างุนงง สับสนว่าพวกเขากำลังคุยกันเรื่องอะไรโจแอนหันไปหาเซเลน่า ก่อนจะพูดว่า “เซเลน่า มีอะไรบางอย่างที่เรายังไม่เคยบอกให้เธอรู้ พ่อของเฟนด์ยังไม่ตาย...เขายังมีชีวิตอยู่ และชื่อของเขาก็คือแนช วู๊ด”“อะไรนะ?!”เซเลน่าตกใจเฮือก เธอตกใจมาก และมันใช้เวลาสักพักจนกระทั่งเธอเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น “งั้นตอนนี้ เขาก็กลับมาหาเฟนด์งั้นเหรอ?” เซเลน่าโพล่งออกมา “ทั้งคู่รู้มาตั้งนานแล้วเหรอว่าเขายังมีชีวิตอยู่น่ะ?”โจแอนพยักหน้า “พูดยังไงดีละ...? มีชนชั้นสูงมากมายในโลกใบนี้ อย่างสิบตระกูลชนชั้นสูงจากเมืองจิน พวกเขาค่อนข้างแข็งแกร่งเลย ใช่ไหมล่ะ?”โจแอนหยุดไปครู่นึง เพื่อให้เธอคิด ก่อนจะพูดต่อว่า “แต่ก็ยังมีมหาอำนวจที่น่ากลัวในโลกใบนี้ แข็งแกร่งกว่าสิบตระกูลชนชั้นสูงจากเมืองจินมาก พวกเขาเป็นตระกูลลับ ปกติพวกเขาจะ
“จริงเหรอคะ? หมดคำจะพูดกับแนช วู๊ดจริง ๆ ...แน่นอน เขาเสียสละเพื่อครอบครัวไปมาก แต่เขาเป็นพ่อที่ไม่มีความรับผิดชอบเอาซะเลย!”เซเลน่าถอนหายใจ เมื่อเธอได้ยินเช่นนั้น “แม่คะ อย่างน้อย แนชได้ให้เงินแม่รึเปล่า ตอนที่เขาบอกให้แม่ออกมา?” เธฮถามโจแอน “เขารู้รึเปล่าว่าแม่กำลังท้องเฟนด์?”ริมฝีปากของโจแอนเปลี่ยนเป็นยิ้มอย่างเหยเก “เขาไม่กล้าบอกลิลลี่ด้วยซ้ำตอนที่เฟนด์เกิด แต่เขาจัดเตรียมบ้านไว้ให้เรา เขามาเยี่ยมเราเป็นครั้งคราว แล้วก็ให้เงินเราบ้าง แต่ตอนที่เฟนด์อายุประมาณห้าหกขวบ เขาก็รวบรวมความกล้าบอกลิลลี่ทุกอย่าง... เธอฉุนเฉียวมาก เธอกับสมาชิกของตระกูลลาโกริโอ และตระกูลวู๊ด มาขับไล่พวกเราออกไป เธอบอกให้เราหนีไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้”การท่าทีของเฟนด์แข็งกระด้างมาก “แต่หลังจากผ่านไปหลายปี เขาได้สะสมอำนาจให้กับตัวเอง” โจแอนอธิบาย “เขาไม่รู้ว่าเราไปที่ไหนหลังจากที่เราหนีไป แต่ฉันเชื่อว่าเขาจะหาเราเจอในไม่ช้า ถ้าเขาต้องการ น่าเศร้าที่เขาไม่ได้ทำแบบนั้น”รอยยิ้มที่แสนเย็นชา และขมขื่นปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเฟนด์ “ผมไปที่บ้านของตระกูลวู๊ดเมื่อ 5 ปีที่แล้ว เพราะแม่ของผมต้องการเงินหนึ่งล้านไปผ่
“ผม? รับช่วงต่อธุรกิจเนี่ยนะ? ไม่มีทาง ตระกูลวู๊ดไม่มีทางเห็นด้วยแน่ ลิลลี่ก็มีลูกชายกับเขาเหมือนกัน และผู้หญิงคนนั้นไม่มีทางปล่อยให้มันเกิดขึ้นแน่ ถึงแม้ว่ามันจะทำให้เธอเจ็บก็ตาม”เฟนด์ตะลึงไปอีกครั้ง “นอกจากนี้แล้ว แนชจะป่วยเป็นโรคอะไรได้? พวกเขาแค่ดูแลเขาไม่ได้รึไง ดูจากสถานการณ์ของตระกูลวู๊ดตอนนี้น่ะ? ”“แม่ก็ไม่รู้ว่าโรคอะไร แต่พ่อบ้านบอกแม่ว่า พ่อของลูกจะตายในสามเดือนนี้”“เพื่อตระกูลวู๊ดแล้ว ผู้อาวุโสทั้งหลาย และสมาชิกของตระกูลอยากให้ลูกกลับไป ลิลลี่และลูกชายของแนชไปแดนป่าลึกลับ พร้อมกับลูกชายของตระกูลมหาอำนาจอื่น ๆ แต่พวกเขาไม่เคยได้กลับมา ตระกูลวู๊ดตามหาพวกเขาอย่างทั่วถึง แต่ก็ไม่เจอพวกเขาแม้แต่เงา พวกเขาอาจจะโดนสัตว์ป่ากินไปแล้ว”โจแอนยิ้มอย่างขมขื่น “ลูกเป็นลูกชายคนเดียวที่แนชมีในตอนนี้” เธอพูดกับเฟนด์ “แน่นอนว่าเขาและสมาชิกคนอื่น ๆ ในตระกูลวู๊ด ต้องอยากให้ลูกกลับไปทำหน้าที่อยู่แล้ว และแน่นอนว่าลิลลี่และตระกูลลาโกริโอ จะต้องตามรังควานลูกแน่ เพราะงั้น ลูกจะต้องเตรียมตัวให้แข็งแกร่ง ถ้าลูกเลือกที่จะกลับไป”เฟนด์เงียบ เวลาผ่านไป ในที่สุดเก็เงยหน้าขึ้นมามองแม่ของเขา “แม่ แม
ตราบใดที่มันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการบ่มเพาะโอสถของเขา ทั้งสองคนจะทำอะไรตามต้องการก็ย่อมได้ สิ่งนั้นไม่กระทบอะไรกับเขาเลย“ถึงฉันจะดูแคลนหมอนี่ แต่เขาก็ยังกล้าเสมอ เขาก็คงจะมีความสามารถอยู่บ้าง เขาน่าจะผ่านสองขั้นตอนแรกได้อย่างไม่มีปัญหา” เกรย์สันพูดอย่างชัดเจนรูดี้มองไปที่เกรย์สันด้วยรอยยิ้มเย็นชาบนใบหน้าแล้วตอบว่า "นายดูมั่นใจกับหมอนี่มากเลยนะ ฉันจะคิดว่าทุกครั้งที่เขาพูดก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเรื่องไร้สาระทั้งหมด“ฉันคิดว่าเขาอาจจะไปถึงขั้นที่สองก่อนที่เขาจะล้มเหลวโดยสิ้นเชิง! ฉันอยากเห็นจริง ๆ ว่าถ้าล้มเหลวขึ้นมา เด็กสารเลวคนนี้จะสู้หน้าเราได้ยังไง”เกรย์สันสูดหายใจเข้าลึก ๆ เขารู้สึกได้ว่าความโกรธของรูดี้ที่มีต่อเฟนด์นั้นลึกซึ้งกว่าของเขามากดวงตาของรูดี้ลุกเป็นไฟ เห็นได้ชัดว่าเขาเกลียดเฟนด์มากเพียงใดเกรย์สันหัวเราะอย่างเย็นชา "แล้วมาดูกันว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ฉันคิดว่าเขาน่าจะสามารถไปถึงขั้นตอนสุดท้ายได้ ถ้าเขาสามารถควบรวมอักขระทางยาได้ถึงร้อยเม็ดเขาก็น่าจะมาถึงระดับนั้น"หลังจากที่ทั้งสองพูดเรื่องเหล่านั้นออกมา พวกเขาก็ปิดปากเงียบพร้อม ๆ กับการมองดูเฟนด์โดยไม่พูดอะไรพวกเขามอง
ผู้อาวุโสฮอร์สท์กระแอมเล็กน้อยในขณะที่เขาพูดต่อ “หลังจากที่เธอบ่มเพาะโอสถได้สำเร็จแล้ว ให้นำโอสถมาให้ฉันตรวจสอบ พวกเธอจะมีเวลาในการทดสอบทั้งสิ้นแปดชั่วโมง ถ้าเธอไม่สามารถบ่มเพาะโอสถได้ภายในแปดชั่วโมง ก็จะแปลว่าไม่ผ่านการทดสอบ ดังนั้นอย่าได้ช้าเกินไป”พวกเขาทั้งสามพยักหน้าแทบจะพร้อมกัน หลังจากผู้อาวุโสฮอร์สท์ให้คำแนะนำแล้ว เขาก็จัดให้มีคนงานสองสามคนคอยเป็นคนตรวจ มีผู้ดูแลยืนอยู่ด้านหลังทั้งสามคนเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่ทำอะไรผิดพลาดหลังจากนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็หันกลับมาและไปหาผู้สอบคนอื่น ๆ รูดี้หรี่ตาลง ขณะที่เขาเหลือบมองเฟนด์และพูดว่า "ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการบ่มเพาะโอสถระดับหกคือขั้นตอนสุดท้าย แต่ขั้นตอนแรกก็ไม่ง่ายเช่นกัน ถ้านายรู้ว่าทำไม่ได้ ก็อย่าทำให้ต้องสิ้นเปลืองวัตถุดิบเลย ของพวกนี้ล้วนมีราคาค่างวด ต่อให้นายจะขายตัวเองเป็นทาสก็ยังไม่พอให้ซื้อของพวกนี้!”เฟนด์ถอนหายใจออกเบา ๆ หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านั้น ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าเขาเบื่อเกินกว่าจะอ้าปากพูดด้วยซ้ำ เขาตัดสินใจที่จะเพิกเฉยต่อผู้ชายคนนั้นและทุกสิ่งที่จะออกมาจากปากเขา ถึงโต้ตอบไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี
เกรย์สันหรี่ตาลงขณะที่เขามองเฟนด์ด้วยความโกรธเช่นกัน เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ดูเหมือนว่าวันนี้ นายจะมาที่นี่เพื่อหาเรื่องขายหน้าให้กับตัวเองเท่านั้น"หลังจากพูดจบเกรย์สันก็หันหลังกลับและเงียบไป เสียงความขัดแย้งหยุดลง และทุกคนรอบ ๆ ก็เริ่มกระซิบกระซาบกันผู้อาวุโสฮอร์สท์มองเฟนด์อย่างมีความหมาย ราวกับว่าเขามองเฟนด์ในมุมมองที่ต่างออกไป ทันใดนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็อยากรู้เรื่องของเฟนด์อย่างไม่น่าเชื่อ แต่ในขณะนั้นเขาไม่อาจพูดอะไรออกมาได้เมื่อเขาเห็นว่าทุกคนได้จับกลุ่มกันเรียบร้อยแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็โบกมือแล้วพูดว่า "มากับฉัน!"ทุกคนติดตามผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปเป็นกลุ่ม ๆ ผู้อาวุโสฮอร์สท์เข้าไปในเรือวิญญาณ ภายในเรือเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังรีบร้อนพวกเขาเดินตามหลังผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปอย่างใกล้ชิด เดินลัดเลาะไปตามทางก่อนจะมาถึงห้องกว้างขวางในที่สุด ห้องกว้างขวางมากจนเรียกได้ว่าห้องโถงเลยทีเดียวทันทีที่พวกเขาก้าวเข้าไปในห้อง ทุกคนก็สามารถสัมผัสได้ถึงรังสีของโอสถที่หนาแน่นรอบ ๆ บรรยากาศ พื้นที่ในห้องนี้ใหญ่เกินพอสำหรับพวกเขาแปดสิบคนเฟนด์ประเมินสถานการณ์เล็กน้อย ห้องนี้ใหญ่พอที่จะรองรับคน
พวกเขาถาโถมข้อกล่าวหาและดูหมิ่นมามากเกินไป ถึงเขาจะไม่อยากโต้เถียงกับคนพวกนี้ แต่เขาก็ยังถูกบังคับให้ต้องเงยหน้าขึ้นมาอย่างช้า ๆ อยู่วันยันค่ำเขามองเข้าไปในดวงตาของรูดี้ซึ่งเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน ราวกับเขาเป็นเพียงแมลงในสายตาของรูดี้เฟนด์หัวเราะอย่างเย็นชา “แล้วนายได้ยินเสียงสุนัขที่เห่าดังที่สุดแล้วหรือยังล่ะ?”คำพูดเหล่านั้นสามารถเยาะเย้ยทุกคนที่นั่นได้สำเร็จ เขาเปรียบเทียบกิลเบิร์ตกับสุนัขและเย้ยหยันทุกคนที่ฟังสุนัขตัวนั้นเห่า มันทำให้การแสดงออกบนใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปกิลเบิร์ตเกือบจะลืมความโกรธของตัวเองไปแล้ว เขาไม่อยากจะเชื่ออะไรด้วยซ้ำว่าเฟนด์จะสามารถขจัดคำดูถูกดูแคลนทั้งหมดลงได้ แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นกิลเบิร์ตหันกลับมาจ้องมองเฟนด์ด้วยใบหน้าแดงก่ำจากความโกรธเขาอยากจะตะโกนกลับแต่ถูกรองเหรัญญิกปรามไว้ "ดูเหมือนว่านายจะไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบแล้วสินะ!"ประโยคนั้นเพียงประโยคเดียวก็ทำให้กิลเบิร์ตไม่อาจพูดอะไรออกมาได้อีก กิลเบิร์ตตระหนักได้แล้วว่าเขาได้ทำให้รองเหรัญญิกขุ่นเคืองอย่างหนักหากเขายังคงยืนกรานที่จะต่อปากต่อคำกับเฟนด์ รองเหรัญญิกอาจจะดึงเขาออกไปจริง ๆ แล้วเขาจะ
“สมองหมอนั่นจะต้องมีอะไรผิดปกติจริง ๆ นั่นแหละ เขาคิดจริง ๆ หรือว่าเขาอยู่ในระดับเดียวกับอีกสองคนที่อยู่ตรงหน้าเขา แค่เพราะไปยืนอยู่กลุ่มเดียวกัน? นั่นน่าจะตลกมากเกินไปหน่อยนะ…”“ฉันนึกว่าการทดสอบจะเข้มงวดและจริงจังเสียอีก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะได้เห็นอะไรแบบนี้ ทำเอาฉันขำจนปวดท้องเลยล่ะ…”แอนดรูว์ขมวดคิ้วอย่างรู้สึกอับอาย รองเหรัญญิกโกรธจนตัวสั่นหลังจากได้ยินคำพูดของกิลเบิร์ต เขานึกอยากจะพุ่งตัวไปไปตบกิลเบิร์ตสักสองสามครั้งกิลเบิร์ตเพิกเฉยต่อชื่อเสียงของวิมานโอสถอย่างเห็นแก่ตัวที่สุด พวกเขาแทบอยากจะมุดดินหนี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นี่จะเป็นความอัปยศอดสูที่วิมานโอสถไม่อาจจำกัดทิ้งได้รองเหรัญญิกตะโกนออกไปว่า "หุบปากเดี๋ยวนี้! นายกำลังพูดเรื่องบ้าอะไร ถ้าไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบ ก็ไสหัวไปซะ!"รองเหรัญญิกโกรธมาก ขณะที่เขาพูดเช่นนั้น สีหน้าของเขาดูอดสูอย่างไม่น่าเชื่อ เขายังคิดจะฆ่ากิลเบิร์ตให้ตายเสียเดี๋ยวนี้ เมื่อถูกตำหนิเช่นนั้นก็ทำให้กิลเบิร์ตตระหนักได้ว่าเขาพูดผิดไปถึงกระนั้นก็ไม่มีทางที่เขาจะถอนคำพูดเหล่านั้นกลับคืนมา เขากระแอมเบา ๆ ก่อนที่จะรีบหันศีรษะไปซ้ายทีขวาที อย่างไม่กล้
ไม่มีใครรู้ดีไปกว่ารองเหรัญญิกว่าโอสถระดับหกหมายถึงสิ่งใด ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา วิมานโอสถรับบัณฑิตมาจำนวนนับไม่ถ้วน แต่มีไม่มากนักที่จะได้กลายเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุระดับหกจริง ๆคอนสแตนซ์ยิ้มอย่างมีความหมายขณะที่เขาเอ่ยถาม "รองเหรัญญิกคนนี้มีความสามารถหลากหลายจริง ๆ ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าวิมานโอสถจะมีอัจฉริยะกับเขาด้วย ผมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย"ริมฝีปากของรองเหรัญญิกกระตุก เขาต้องการอธิบายตัวเอง แต่ถ้าเขาบอกว่าเฟนด์ไม่สามารถสกัดโอสถระดับหกได้ และมีเพียงพรสวรรค์ในการสร้างอักขระทางยาเท่านั้น มันคงจะกลายเป็นเรื่องตลกครั้งใหญ่ และทุกคนคงจะหัวเราะเยาะวิมานโอสถเป็นแน่แต่ถ้าเขายังคงดื้อรั้นต่อไป พอถึงเวลาต้องบ่มเพาะโอสถ เฟนด์ก็จะเปิดเผยความจริงข้อนั้นออกมา เมื่อนั้นความอัปยศอดสูก็จะยิ่งหนักข้อขึ้นเขาถึงกับมือสั่น ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยรู้สึกเหมือนตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้มาก่อน เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกกักขังอยู่ในกำแพงอีกสองด้าน ทุกคนคิดว่ารองเหรัญญิกกำลังวางแผนที่จะใช้ความเงียบเพื่อตอบคำถามเมื่อเห็นกับตาว่ารองเหรัญญิกไม่ตอบอะไรออกมาแต่ทว่าคอนสแตนซ์คล้ายกับจะไม่เ
เฟนด์เป็นคนเดียวที่ยังคงยืนอยู่ ขณะนั้นเขาดูคล้ายกับกำลังลังเลและดูเหมือนกำลังรออะไรบางอย่างอยู่ ขณะที่รองเหรัญญิกพูดจบ ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็จ้องมองมาอย่างอยากรู้อยากเห็นแม้ว่าดวงตาของเขาจะดูเป็นประกายมากขนาดไหน แต่เฟนด์ก็ยังคงรู้สึกถึงความเฉียบคมภายใน ราวกับว่าเขาจะถูกตัดสิทธิ์หากเขาไม่ขยับริมฝีปากของเฟนด์กระตุกอย่างช่วยไม่ได้ เขารีรอต่อไปไม่ได้แล้ว จึงได้แต่เดินไปยังพื้นที่ที่เขาวางแผนไว้ก่อนหน้านี้ในตอนแรกเฟนด์ไม่ได้ดึงดูดความสนใจใครมากนัก เขาอาจจะเป็นคนสุดท้ายที่ปรากฏตัวขึ้น ไม่มีใครจำเขาได้ ต่อให้เขาจะมาจากวิมานโอสถ แต่นอกจากคนที่เคยพบเขาแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใครขณะที่เขาเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกต่อไป ทุกคนก็เริ่มจ้องมองไปที่เขา ใบหน้าของรองเหรัญญิกก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นบูดบึ้งเมื่อเขาสังเกตเห็นว่าเฟนด์กำลังมุ่งหน้าไปทางใด“ผู้ชายคนนั้นคิดจะไปต่อหลังรูดี้หรือเปล่า? เขาคิดจะพิสูจน์ตัวเองด้วยการกลั่นโอสถระดับหกด้วยหรือ?”“ก็คงเป็นแบบนั้น เว้นแต่เขาจะเป็นคนโง่เง่าที่ไม่ทันได้ฟังกฎการตัดสินให้ดี ไม่งั้นคงไม่เดินไปแบบนั้นหรอก เขาเป็นใคร ทำไมฉันไม่เคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับเขาเลย
กิลเบิร์ตทำท่าราวกับกลืนแมลงวันเข้าไปสองสามตัว เขาคาดหวังว่ารองเหรัญญิกจะพูดคำเหล่านั้นกับเขาเสียอีก แต่กลับกลายเป็นว่ารองเหรัญญิกไม่ละสายตามามองเขาเลยแม้แต่วินาทีเดียวรองเหรัญญิกฝากความหวังทั้งหมดไว้กับเฟนด์ราวกับว่ากิลเบิร์ตและแอนดรูว์มาที่นี่เพื่อเพิ่มจำนวนคนเท่านั้นแอนดรูว์มีสีหน้าขมขื่นเช่นกัน ในอดีตเขาขัดแย้งกับกิลเบิร์ตมามากมาย และความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ไม่อาจพัฒนาไปในทางที่ดีได้แต่ต้องขอบคุณเฟนด์ที่ทำให้เขาสามารถวางเฉยต่อความแค้นทั้งหมดที่เคยมีได้แอนดรูว์พูดด้วยใบหน้าที่มืดมน “รองเหรัญญิก ดูเหมือนคุณจะฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เฟนด์เลยนะ“แต่คุณก็น่าจะเตือนเฟนด์สักหน่อยว่าต่อให้เขาจะมีพรสวรรค์ค่อนข้างดี แต่ก็ไม่ควรหยิ่งผยองเกินไป”แอนดรูว์โกรธมากในขณะนั้นและอดไม่ได้จริง ๆ ที่จะต้องเอ่ยคำดูแคลนที่สุดเช่นนั้นออกมากิลเบิร์ตกล่าวเสริมอย่างรีบร้อนทันที “แอนดรูว์พูดถูก แม้ว่าพรสวรรค์ของเฟนด์จะค่อนข้างดี แต่เขาก็ไม่ควรหยิ่งผยองนัก คำพูดพวกนั้นไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด”เฟนด์ถึงกับพูดไม่ออกเมื่อถูกคนทั้งสองเหยียบย่ำ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเฟนด์ไม่ได้เอ่ยปากเลยสักคำ แล้วเขาจะเอาเวลา
ในตอนแรก คอนสแตนซ์และซีนย์เพียงยืนเคียงข้างกันโดยไม่สนใจเรื่องนี้ พวกเขาต้องการปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินต่อไปอย่างที่ควรจะเป็น แต่เมื่อว่าเกรย์สันและรูดี้เริ่มเถียงกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งสองคนก็ถูกบีบให้ต้องทำอะไรสักอย่างพวกเขาถูกบีบให้ต้องแยกรูดี้และเกรย์สันออกจากกัน นั่นก็เพราะ การทะเลาะกันของเด็ก ๆ ควรจะมีขีดจำกัด เพราะหากมันเกินขีดจำกัดไปแล้ว นั่นจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของพวกเขา นี่คือสิ่งที่รูดี้และเกรย์สันเองก็ไม่อยากเห็นเป็นเวลาเกือบสิบห้านาทีแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์นั่งบนเก้าอี้ ขณะมองดูการทะเลาะวิวาทและการพูดคุยกันอย่างเฉยเมย เมื่อหมดเวลาเขาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้เสียงปรบมือดังขึ้นตอนที่เขาจะพูดว่า "เอาล่ะ หมดเวลาแล้ว ทุกคนต้องตัดสินใจได้แล้วว่าจะพิสูจน์ความสามารถของตัวเองยังไง”“ฉันไม่คิดว่าฉันจะต้องบอกอะไรพวกนายทุกอย่างหรอกนะ ตอนนี้ก็แยกออกเป็นกลุ่มเสีย ผู้ที่ต้องการรวมอักขระทางยาจะยืนอยู่ทางทิศตะวันออก“ผู้ที่ต้องการแยกแยะวัสดุสามารถยืนอยู่ตรงกลางได้เลย และหากจะพิสูจน์ตัวเองด้วยกันบ่มเพาะโอสถให้ไปยืนที่ทางทิศตะวันตก“ถึงอย่างนั้นฉันก็ต้องขอเตือนทุกคนก่อน หากทุกคนต้องการ