“อย่าห่วงไปเลยเซซิเลีย เรายังมีเรื่องน่าสนใจที่ต้องพิสูจน์อีกนะ!”อีวานและซีน่ามองหน้ากัน ก่อนจะพูดกับเซซิเลีย“เรื่องน่าสนใจอะไร ฉันไม่ใช่เรื่องน่าสนใจหรือไง ตอนนี้น่ะ?”เซซีเลียแทบจะร้องไห้“มาตรงนี้สิ!”อีวานยิ้ม ก่อนจะดึงเซซิเลียมายืนข้าง ๆ หลังจากนั้น เขาก็เล่าให้เธอฟังว่าเฟนด์โดนวางยายังไง“จริงเหรอ? นายจะบอกว่าเฟนด์ก็จะล้มตายไปเฉย ๆ น่ะนะ?”เซซิเลียรู้สึกดีขึ้นทันทีเมื่อเธอได้ยินเช่นนั้น ถ้าเธอต้องขายหน้าในวันนี้ เธอก็คงดีใจมากถ้าเฟนด์ต้องตาย เธอคงจะลืมความแค้นโกรธแค้นที่เธอมีหลังจากนั้น “แน่นอน ฉันเพิ่งไปเช็คมาเมื่อไม่กี่วันก่อนนี่เอง เขาเริ่มมีอาการแล้ว เขาบอกว่ามันปวดหัว แถมยังรู้สึกเพลีย ๆ ตอนนี้ ส่วนใดส่วนนึงของร่างกายเขาควรจะเริ่มเน่าได้แล้ว และจริง ๆ เขาไม่ควรยืนไหว แต่น่าจะเป็นเพราะร่างกายของเขาแข็งแรงมาก เขาเลยยังไม่เป็นไร!”“ฮึ่ม สมควร ใครจะรู้ล่ะว่ามันไปเอาเงินที่ไหนมาจองโรงแรมเจ็ดดาว? มันทำให้ฉันต้องอับอายไปตลอดชีวิต มันสมควรตาย!”เซซิเลียมองไปที่จอภาพของโรงแรมฝั่งตรงข้าม “ดูจากท่าทีที่เขาหัวเราะกับเทพีแห่งสงครามแล้ว เขาอาจจะยืมเงินมาจากเธอก็ได้ คนแบบเธอ
“นั่น นั่นมันเจ้าของแคทธีเซียจิวเวลไม่ใช่เหรอ? เขาเป็นนักธุรกิจที่ร่ำรวยมากในเมืองจิน! และตอนนี้เขาก็มาที่นี่ในเมืองเล็ก ๆ ของเราแล้ว!” ผู้คนบางคนจำผู้อาวุโสตรงหน้าได้ทันที เพราะเขาเป็นคนสำคัญที่มักจะออกทีวีอยู่บ่อย ๆ “ยินดีด้วยนะ!” ผู้จัดการลินช์ก็มางานนี้ด้วย เธอส่งยิ้มให้เฟนด์แบบเขิน ๆ แล้วหันมาสนใจเซเลน่า “เจ้าสาวสวยมาก!” เธออุทานออกมาด้วยน้ำเสียงที่ปนความอิจฉา ทันทีที่เธอเห็นเซเลน่าด้วยตาตัวเอง ในที่สุดเธอก็รู้แล้วว่าทำไมเฟนด์ถึงไม่เคยนอกใจเซเลน่าเลย เซเลน่ามีชื่อเสียงมากในเรื่องความงาม เธอเป็นราชินีแห่งอาณาเขตกลาง อีกอย่าง การแต่งหน้าและชุดของเธอยังถูกทำขึ้นโดยทีมช่างแต่งหน้าและนักออกแบบเสื้อผ้ามืออาชีพ และเมื่อสวมชุดแต่งงานที่สวยงามแล้ว มันทำให้เธอยิ่งดูมีเสน่ห์มากขึ้นไปอีก “ขอบคุณทุกคนที่มาร่วมงานแต่งของผม บอกตรง ๆ เลยนะ ผมรู้สึกปลื้มปิติมาก!” รอยยิ้มบาง ๆ และดูเขินอายปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเฟนด์ ในขณะที่เขาสวมแหวนอันวิจิตรงดงามลงบนนิ้วที่เรียวยาวของเซเลน่า “ฉันต้องสวมแหวนหลายวงเหรอ? ดูสิ ฉันมีที่…” แก้มของเซเลน่าเปลี่ยนเป็นสีชมพูอย่างกับถูกช่างแต่งหน้าปัดบลัชออนสี
ผู้คนรอบข้างก็ตกใจแทบตายเมื่อเห็นชายคนนั้นกระโดดลงมาจากเฮลิคอปเตอร์ เขาพยายามกระโดดลงมาที่จุดชมวิวที่อยู่บนตึก จุดชมวิวไม่ได้กว้างนัก บางทีมันอาจจะจุคนได้ไม่เกินยี่สิบคน แต่ชายคนนั้นเลือกที่จะกระโดดลงมาบนนั้น การกระโดดของเขาต้องแม่นยำแค่ไหน? “ตุ้บ!” เสียงที่เบาและไม่ได้ดังมาก ชายคนที่กระโดดลงจากเฮลิคอปเตอร์ นั่งยอง ๆ หลังจากที่กระโดดลงมาบนจุดชมวิว เขาค่อย ๆ ลุกขึ้นยืน รอยยิ้มร้ายกาจปรากฏขึ้นที่มุมปากของชายคนนั้น ผู้รับผิดชอบการถ่ายทำและบันทึกวิดีโอวิ่งเข้ามาดูชายคนนั้น กรามของเขาค้าง ปากอ้างกว้าง ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ “เทพสงคราม โยเซฟ สมิธ!” หลังจากที่เงียบไปชั่วขณะท่ามกลางผู้คน ชายชราคนหนึ่งก็ตะโกนออกมาอย่างตื่นเต้นและเรียกชื่อของชายคนนั้น โยเซฟยิ้มออกมานิด ๆ และเดินเข้าไปหาเฟนด์อย่างชิว ๆ “เฮ้ เฟนด์! ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ!" เขาหยุดไปพักหนึ่งขณะที่ความสนใจของเขาเปลี่ยนจากเฟนด์ไปที่เซเลน่า “นี่เจ้าสาวเหรอ? คุณสวยมากจริง ๆ!” โยเซฟมองเซเลน่าและพูดชมเชยออกมา “ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ ท่านเทพสงคราม!” เซเลน่ารู้สึกสับสนและดีใจมาก นี่เทพสงครามมางานแต่งของเธองั้นเห
เมื่อนายใหญ่เทย์เลอร์มาถึงทางเข้าโรงแรมระดับเจ็ดดาว เขารู้สึกประหลาดใจมากที่เขารู้สึกตื่นเต้นอยู่ข้างใน เทพสงครามสองคนมางานแต่งของเฟนด์ เฟนด์ดูทรงเกียรติมาก! แต่ไม่นานเขาก็ขมวดคิ้วและพึมพำอย่างสับสนว่า “เดี๋ยวก่อน มันแปลกนะ เทพสงครามรู้ได้ยังไงว่างานแต่งงานของเฟนด์คือวันนี้? มันเพิ่งประกาศออกมาได้ไม่นาน ยังไงซะ ถึงแม้ว่าข้อความจะถูกส่งไปยังทุกคน แต่มันก็เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะมาร่วมงานทันทีหลังจากที่ได้รับข้อความ จริงไหม? ฉันเกรงว่าเฟนด์คงไม่ใช่แค่ผู้ช่วยผู้บัญชาการแล้วนะ ไม่งั้นเทพสงครามจะมาร่วมงานของเขาได้ยังไง?” ในทางกลับกัน อีวานก็ไม่อยากจะเชื่อว่าเฟนด์เป็นราชาสงครามหรือเป็นคนที่ยิ่งใหญ่ตำแหน่งอื่น เขาหัวเราะอย่างประชดประชันและพูดว่า “ฮึ่ม! คุณปู่ แน่นอนว่าที่เทพสงครามมาที่นี่ไม่ใช่เพราะเฟนด์ แต่มาเพราะท่านลาน่า คุณปู่ลองคิดดูนะ ผมได้ยินมาว่าท่านโยเซฟยังโสดและท่านลาน่าก็สวยและมีรูปร่างที่ดีมาก ดังนั้น ผมมั่นใจว่าที่ท่านมาที่นี่ต้องเป็นเพราะท่านลาน่ามากกว่าที่จะมาเพราะเฟนด์!” ธีโอดอร์ที่อยู่ข้าง ๆ ก็พูดขึ้นมาทันทีว่า “การวิเคราะห์ของอีวานมีเหตุผล ถึงแม้ว่าเฟนด์จะเป็นทหารมาห้าป
เพราะในวันนี้เจ้าของแคทธีเซียจิวเวลก็มาร่วมงานแต่งงานของเฟนด์ ประกอบกับการมาร่วมงานของ โยเซฟ และ ลาน่า ซึ่งทั้งสองเป็นเทพสงคราม ภาพแบบนี้หาได้ยากมาก ลองนึกถึงชื่อเสียงและกิตติศัพท์ที่พวกเขาจะนำมาสู่ตระกูลเทย์เลอร์ในอนาคต ถ้าตระกูลเทย์เลอร์ประกาศก่อตั้งบริษัทใหม่และให้คนรับผิดชอบเป็นเซเลน่า บริษัทนี้จะมีอนาคตที่สดใสอย่างแน่นอน “ตระกูลเดรคมาถึงแล้ว!” ชายคนหนึ่งที่อยู่ในงานตะโกนออกมา ตอนนั้นเอง เขาไม่คิดว่าเจมส์จากตระกูลเดรคจะมาร่วมงานด้วย ยังไงซะ เฟนด์เพิ่งทำร้ายทิโมธีไปไม่นาน ดังนั้นความเป็นไปได้ที่เจมส์จะมาร่วมงานแต่งงานของเฟนด์แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย แต่ตอนนี้ เจมส์ ทันย่า และคนอื่น ๆ ในตระกูลเดรคเดินเข้ามาร่วมงานแต่งงานของเฟนด์ พวกเขาทุกคนนั้นมีรอยยิ้มสดใสและสวยงามปรากฏอยู่บนใบหน้า อันที่จริง เมื่อเช้าของวันนี้ เจมส์ยังลังเลว่าจะมาร่วมงานแต่งงานดีไหม เพราะยังไงซะ เฟนด์ก็เป็นคนที่ทำร้ายทิโมธี ดังนั้นถ้าเขามางานนี้มันคงน่าขายหน้าและน่าอัปยศสำหรับเขา เพราะเขาก็ไม่ได้รู้สึกดีกับเรื่องนั้น แต่ในเวลาเดียวกัน เขาก็คิดไตร่ตรองดูว่าอาจจะมีเทพสงครามบางคนมาร่วมงานแต่งของเฟนด์หรือเปล่า
ยิ่งเคลลี่ โกลด์คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้มากเท่าไหร่ ความโกรธก็ยิ่งทำให้เลือดในกายเขาพุ่งพล่านมากเท่านั้น เขาจ้องเซซิเลียเขม็งและตะโกนออกมาว่า “เซซิเลียสมองของเธอเต็มไปด้วยขี้เลื่อยหรือไง? ทำไมต้องจัดงานแต่งวันเดียวกับเซเลน่าด้วย? ถ้าเราจัดเร็วกว่าหรือช้ากว่าสักสองวัน มันคงไม่แย่ขนาดนี้ ดูสิ งานเงียบมาก!” เซซิเลียพูดไม่ออก ขณะเดียวกันเธอก็โกรธมาก เธอไม่คิดว่าเคลลี่จะโยนความผิดทั้งหมดมาให้เธอ เธอถลึงตาใส่เคลลี่อย่างโกรธจัดและบ่นออกมาว่า “เคลลี่ โกลด์ คุณจะโทษฉันเรื่องนี้ได้ยังไง คุณก็เป็นส่วนหนึ่งที่คิดแผนนี้เหมือนกัน จำได้ไหม? คุณก็ต้องรับผิดชอบในเรื่องนี้ด้วย! ตอนที่ฉันบอกแผนนี้กับคุณ คุณก็เห็นด้วยกับมัน! ทำไมตอนนั้นคุณไม่ปฏิเสธล่ะ?” “เอาล่ะ พอแล้ว หยุดเถียงกันได้แล้ว!” หัวหน้าตระกูลโกลด์ก้าวออกมาและหยุดพวกเขาไม่ให้เถียงกัน เขาก็รู้สึกโกรธในเรื่องที่พวกเขาเถียงด้วยเหมือนกัน “วันนี้เป็นวันแต่งงานของพวกลูกเอง ถ้าพวกลูกทะเลาะกัน มันจะไม่กลายเป็นเรื่องตลกมากขึ้นไปอีกเหรอ! อยากเป็นอย่างนั้นเหรอ?” “เฮ้อ ดูนั่นสิ! ทำไมถึงมีเฮลิคอปเตอร์อีกลำ?” เซซิเลียเห็นบางอย่างแปลก ๆ และชี้ไปทางนั้
คนคนหนึ่งยกมือขึ้นโดยสัญชาตญาณเพื่อทำความเคารพ “เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้พบท่าน ท่านเทพสงคราม!” ทุกคนต่างทำตาม เฟนด์ไม่มีทางเลือกอื่นจึงต้องคำนับไปพร้อมกับคนอื่น เสียงของเขาผสานเข้ากับพวกเขา “หยุดเถอะ พวกคุณพูดเกินไปแล้ว!” เฟอร์นันโดหัวเราะคิกคักแล้วเดินจากไป ราชาแห่งสงครามเจ็ดดาราอดกลั้นความอยากรู้อยากเห็นของตัวเองเอาไว้ไม่อยู่ ดังนั้นเขาจึงหันไปถามโยเซฟว่า “ท่านสมิธ ทำไมท่านถึงมางานเลี้ยงฉลองแต่งงานของเฟนด์กับเซเลน่าล่ะ? พวกท่านรู้จักกันมาก่อนเหรอ?” ทุกคนหันหน้าไปมองเมื่อได้ยินคำถามนั้น พวกเขาก็สงสัยว่าทำไมโยเซฟ สมิธถึงได้มางานเลี้ยงด้วย โยเซฟยิ้มอย่างอึดอัดออกมา โชคดีที่ลาน่าบอกให้พวกเขาคิดหาข้อแก้ตัวดี ๆ มาก่อนที่พวกเขาจะมาถึง เพื่อที่พวกเขาจะได้เตรียมตัวถ้าหากถูกถามคำถามแบบนี้ โยเซฟยิ้มและพูดว่า “ไม่นานหลังจากที่ฉันถูกส่งไปที่สนามรบ ฉันเคยเกือบตาย แต่เฟนด์มีความรู้ทางการแพทย์ที่เก่งมาก เขาช่วยชีวิตฉันไว้ เขาเป็นผู้มีพระคุณของฉัน ดังนั้นจึงเป็นเรื่องปกติที่ฉันจะมาร่วมงานเลี้ยงของเขา!” เฟนด์ตกตะลึงเมื่อได้ยินคำตอบของโยเซฟ เฟนด์บอกพวกเขาว่าอย่าเปิดเผยตัวตนของเขา แต่เ
ทั้งเคนและนีลมาร่วมงานเลี้ยงที่เฟนด์จัดขึ้นเพียงเพื่อดูเขาตาย พวกเขาอยากเห็นเฟนด์ล้มลงบนพื้นเพราะร่างกายของเขาต่อสู้กับพิษไม่ไหวที่สำคัญไปกว่านั้น พวกเขาอยากเห็นอาการตกใจและหวาดกลัวบนใบหน้าของทุกคน พวกเขาอยากเห็นเฟนด์ตายต่อหน้าเซเลน่า อยากดูสีที่เจ็บปวดอย่างไม่มีวันลืมของเธอ แต่พวกเขาไม่คิดว่าจะเกิดเหตุการณแบบนี้ ตอนที่เขาเห็นเทพครามมาร่วมงานทีละคน ๆ และสนับสนุนชื่อเสียงของเฟนด์กับเซเลน่าอย่างไม่สิ้นสุด เห็นได้ชัดว่าทุกคนชื่นชมพวกเขาอย่างไร “ฉันมั่นใจ และเราก็เห็นมันด้วยตาเราเอง! เมื่อไม่กี่วันก่อนเฟนด์บ่นว่าเขารู้สึกไม่ค่อยสบาย ซีน่าก็อยู่ที่นั่นด้วย!” อีวานหน้าบึ้ง “รอกันอีกหน่อยเถอะ นี่ก็วันสุดท้ายแล้ว เป็นไปได้ว่าเฟนด์อาจมีร่างกายที่แข็งแรงพอที่จะต้านทานพิษได้ไปอีกสักพัก ดังนั้นอาการต่าง ๆ ก็น่าจะยังไม่แสดงออกมา บางทีอาการพวกนั้นอาจจะเกิดขึ้นอย่างกะทันหันก็ได้ แล้วเขาก็จะควบคุมมันไม่ได้และตาย มันเป็นไปได้!” “ใช่แล้ว ฉันยืนยันได้ว่าตรวจสอบดูแล้ว ฉันตามอีวานไปด้วยในวันนั้น เฟนด์บอกเราว่าเขารู้สึกไม่ค่อยสบาย!” ซีน่าพยักหน้า “ฉันคิดว่ามันถึงเวลาแล้ว! หรือไม่ยาพิษที่คุณสองคน
ตราบใดที่มันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการบ่มเพาะโอสถของเขา ทั้งสองคนจะทำอะไรตามต้องการก็ย่อมได้ สิ่งนั้นไม่กระทบอะไรกับเขาเลย“ถึงฉันจะดูแคลนหมอนี่ แต่เขาก็ยังกล้าเสมอ เขาก็คงจะมีความสามารถอยู่บ้าง เขาน่าจะผ่านสองขั้นตอนแรกได้อย่างไม่มีปัญหา” เกรย์สันพูดอย่างชัดเจนรูดี้มองไปที่เกรย์สันด้วยรอยยิ้มเย็นชาบนใบหน้าแล้วตอบว่า "นายดูมั่นใจกับหมอนี่มากเลยนะ ฉันจะคิดว่าทุกครั้งที่เขาพูดก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเรื่องไร้สาระทั้งหมด“ฉันคิดว่าเขาอาจจะไปถึงขั้นที่สองก่อนที่เขาจะล้มเหลวโดยสิ้นเชิง! ฉันอยากเห็นจริง ๆ ว่าถ้าล้มเหลวขึ้นมา เด็กสารเลวคนนี้จะสู้หน้าเราได้ยังไง”เกรย์สันสูดหายใจเข้าลึก ๆ เขารู้สึกได้ว่าความโกรธของรูดี้ที่มีต่อเฟนด์นั้นลึกซึ้งกว่าของเขามากดวงตาของรูดี้ลุกเป็นไฟ เห็นได้ชัดว่าเขาเกลียดเฟนด์มากเพียงใดเกรย์สันหัวเราะอย่างเย็นชา "แล้วมาดูกันว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ฉันคิดว่าเขาน่าจะสามารถไปถึงขั้นตอนสุดท้ายได้ ถ้าเขาสามารถควบรวมอักขระทางยาได้ถึงร้อยเม็ดเขาก็น่าจะมาถึงระดับนั้น"หลังจากที่ทั้งสองพูดเรื่องเหล่านั้นออกมา พวกเขาก็ปิดปากเงียบพร้อม ๆ กับการมองดูเฟนด์โดยไม่พูดอะไรพวกเขามอง
ผู้อาวุโสฮอร์สท์กระแอมเล็กน้อยในขณะที่เขาพูดต่อ “หลังจากที่เธอบ่มเพาะโอสถได้สำเร็จแล้ว ให้นำโอสถมาให้ฉันตรวจสอบ พวกเธอจะมีเวลาในการทดสอบทั้งสิ้นแปดชั่วโมง ถ้าเธอไม่สามารถบ่มเพาะโอสถได้ภายในแปดชั่วโมง ก็จะแปลว่าไม่ผ่านการทดสอบ ดังนั้นอย่าได้ช้าเกินไป”พวกเขาทั้งสามพยักหน้าแทบจะพร้อมกัน หลังจากผู้อาวุโสฮอร์สท์ให้คำแนะนำแล้ว เขาก็จัดให้มีคนงานสองสามคนคอยเป็นคนตรวจ มีผู้ดูแลยืนอยู่ด้านหลังทั้งสามคนเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่ทำอะไรผิดพลาดหลังจากนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็หันกลับมาและไปหาผู้สอบคนอื่น ๆ รูดี้หรี่ตาลง ขณะที่เขาเหลือบมองเฟนด์และพูดว่า "ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการบ่มเพาะโอสถระดับหกคือขั้นตอนสุดท้าย แต่ขั้นตอนแรกก็ไม่ง่ายเช่นกัน ถ้านายรู้ว่าทำไม่ได้ ก็อย่าทำให้ต้องสิ้นเปลืองวัตถุดิบเลย ของพวกนี้ล้วนมีราคาค่างวด ต่อให้นายจะขายตัวเองเป็นทาสก็ยังไม่พอให้ซื้อของพวกนี้!”เฟนด์ถอนหายใจออกเบา ๆ หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านั้น ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าเขาเบื่อเกินกว่าจะอ้าปากพูดด้วยซ้ำ เขาตัดสินใจที่จะเพิกเฉยต่อผู้ชายคนนั้นและทุกสิ่งที่จะออกมาจากปากเขา ถึงโต้ตอบไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี
เกรย์สันหรี่ตาลงขณะที่เขามองเฟนด์ด้วยความโกรธเช่นกัน เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ดูเหมือนว่าวันนี้ นายจะมาที่นี่เพื่อหาเรื่องขายหน้าให้กับตัวเองเท่านั้น"หลังจากพูดจบเกรย์สันก็หันหลังกลับและเงียบไป เสียงความขัดแย้งหยุดลง และทุกคนรอบ ๆ ก็เริ่มกระซิบกระซาบกันผู้อาวุโสฮอร์สท์มองเฟนด์อย่างมีความหมาย ราวกับว่าเขามองเฟนด์ในมุมมองที่ต่างออกไป ทันใดนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็อยากรู้เรื่องของเฟนด์อย่างไม่น่าเชื่อ แต่ในขณะนั้นเขาไม่อาจพูดอะไรออกมาได้เมื่อเขาเห็นว่าทุกคนได้จับกลุ่มกันเรียบร้อยแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็โบกมือแล้วพูดว่า "มากับฉัน!"ทุกคนติดตามผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปเป็นกลุ่ม ๆ ผู้อาวุโสฮอร์สท์เข้าไปในเรือวิญญาณ ภายในเรือเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังรีบร้อนพวกเขาเดินตามหลังผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปอย่างใกล้ชิด เดินลัดเลาะไปตามทางก่อนจะมาถึงห้องกว้างขวางในที่สุด ห้องกว้างขวางมากจนเรียกได้ว่าห้องโถงเลยทีเดียวทันทีที่พวกเขาก้าวเข้าไปในห้อง ทุกคนก็สามารถสัมผัสได้ถึงรังสีของโอสถที่หนาแน่นรอบ ๆ บรรยากาศ พื้นที่ในห้องนี้ใหญ่เกินพอสำหรับพวกเขาแปดสิบคนเฟนด์ประเมินสถานการณ์เล็กน้อย ห้องนี้ใหญ่พอที่จะรองรับคน
พวกเขาถาโถมข้อกล่าวหาและดูหมิ่นมามากเกินไป ถึงเขาจะไม่อยากโต้เถียงกับคนพวกนี้ แต่เขาก็ยังถูกบังคับให้ต้องเงยหน้าขึ้นมาอย่างช้า ๆ อยู่วันยันค่ำเขามองเข้าไปในดวงตาของรูดี้ซึ่งเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน ราวกับเขาเป็นเพียงแมลงในสายตาของรูดี้เฟนด์หัวเราะอย่างเย็นชา “แล้วนายได้ยินเสียงสุนัขที่เห่าดังที่สุดแล้วหรือยังล่ะ?”คำพูดเหล่านั้นสามารถเยาะเย้ยทุกคนที่นั่นได้สำเร็จ เขาเปรียบเทียบกิลเบิร์ตกับสุนัขและเย้ยหยันทุกคนที่ฟังสุนัขตัวนั้นเห่า มันทำให้การแสดงออกบนใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปกิลเบิร์ตเกือบจะลืมความโกรธของตัวเองไปแล้ว เขาไม่อยากจะเชื่ออะไรด้วยซ้ำว่าเฟนด์จะสามารถขจัดคำดูถูกดูแคลนทั้งหมดลงได้ แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นกิลเบิร์ตหันกลับมาจ้องมองเฟนด์ด้วยใบหน้าแดงก่ำจากความโกรธเขาอยากจะตะโกนกลับแต่ถูกรองเหรัญญิกปรามไว้ "ดูเหมือนว่านายจะไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบแล้วสินะ!"ประโยคนั้นเพียงประโยคเดียวก็ทำให้กิลเบิร์ตไม่อาจพูดอะไรออกมาได้อีก กิลเบิร์ตตระหนักได้แล้วว่าเขาได้ทำให้รองเหรัญญิกขุ่นเคืองอย่างหนักหากเขายังคงยืนกรานที่จะต่อปากต่อคำกับเฟนด์ รองเหรัญญิกอาจจะดึงเขาออกไปจริง ๆ แล้วเขาจะ
“สมองหมอนั่นจะต้องมีอะไรผิดปกติจริง ๆ นั่นแหละ เขาคิดจริง ๆ หรือว่าเขาอยู่ในระดับเดียวกับอีกสองคนที่อยู่ตรงหน้าเขา แค่เพราะไปยืนอยู่กลุ่มเดียวกัน? นั่นน่าจะตลกมากเกินไปหน่อยนะ…”“ฉันนึกว่าการทดสอบจะเข้มงวดและจริงจังเสียอีก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะได้เห็นอะไรแบบนี้ ทำเอาฉันขำจนปวดท้องเลยล่ะ…”แอนดรูว์ขมวดคิ้วอย่างรู้สึกอับอาย รองเหรัญญิกโกรธจนตัวสั่นหลังจากได้ยินคำพูดของกิลเบิร์ต เขานึกอยากจะพุ่งตัวไปไปตบกิลเบิร์ตสักสองสามครั้งกิลเบิร์ตเพิกเฉยต่อชื่อเสียงของวิมานโอสถอย่างเห็นแก่ตัวที่สุด พวกเขาแทบอยากจะมุดดินหนี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นี่จะเป็นความอัปยศอดสูที่วิมานโอสถไม่อาจจำกัดทิ้งได้รองเหรัญญิกตะโกนออกไปว่า "หุบปากเดี๋ยวนี้! นายกำลังพูดเรื่องบ้าอะไร ถ้าไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบ ก็ไสหัวไปซะ!"รองเหรัญญิกโกรธมาก ขณะที่เขาพูดเช่นนั้น สีหน้าของเขาดูอดสูอย่างไม่น่าเชื่อ เขายังคิดจะฆ่ากิลเบิร์ตให้ตายเสียเดี๋ยวนี้ เมื่อถูกตำหนิเช่นนั้นก็ทำให้กิลเบิร์ตตระหนักได้ว่าเขาพูดผิดไปถึงกระนั้นก็ไม่มีทางที่เขาจะถอนคำพูดเหล่านั้นกลับคืนมา เขากระแอมเบา ๆ ก่อนที่จะรีบหันศีรษะไปซ้ายทีขวาที อย่างไม่กล้
ไม่มีใครรู้ดีไปกว่ารองเหรัญญิกว่าโอสถระดับหกหมายถึงสิ่งใด ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา วิมานโอสถรับบัณฑิตมาจำนวนนับไม่ถ้วน แต่มีไม่มากนักที่จะได้กลายเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุระดับหกจริง ๆคอนสแตนซ์ยิ้มอย่างมีความหมายขณะที่เขาเอ่ยถาม "รองเหรัญญิกคนนี้มีความสามารถหลากหลายจริง ๆ ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าวิมานโอสถจะมีอัจฉริยะกับเขาด้วย ผมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย"ริมฝีปากของรองเหรัญญิกกระตุก เขาต้องการอธิบายตัวเอง แต่ถ้าเขาบอกว่าเฟนด์ไม่สามารถสกัดโอสถระดับหกได้ และมีเพียงพรสวรรค์ในการสร้างอักขระทางยาเท่านั้น มันคงจะกลายเป็นเรื่องตลกครั้งใหญ่ และทุกคนคงจะหัวเราะเยาะวิมานโอสถเป็นแน่แต่ถ้าเขายังคงดื้อรั้นต่อไป พอถึงเวลาต้องบ่มเพาะโอสถ เฟนด์ก็จะเปิดเผยความจริงข้อนั้นออกมา เมื่อนั้นความอัปยศอดสูก็จะยิ่งหนักข้อขึ้นเขาถึงกับมือสั่น ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยรู้สึกเหมือนตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้มาก่อน เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกกักขังอยู่ในกำแพงอีกสองด้าน ทุกคนคิดว่ารองเหรัญญิกกำลังวางแผนที่จะใช้ความเงียบเพื่อตอบคำถามเมื่อเห็นกับตาว่ารองเหรัญญิกไม่ตอบอะไรออกมาแต่ทว่าคอนสแตนซ์คล้ายกับจะไม่เ
เฟนด์เป็นคนเดียวที่ยังคงยืนอยู่ ขณะนั้นเขาดูคล้ายกับกำลังลังเลและดูเหมือนกำลังรออะไรบางอย่างอยู่ ขณะที่รองเหรัญญิกพูดจบ ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็จ้องมองมาอย่างอยากรู้อยากเห็นแม้ว่าดวงตาของเขาจะดูเป็นประกายมากขนาดไหน แต่เฟนด์ก็ยังคงรู้สึกถึงความเฉียบคมภายใน ราวกับว่าเขาจะถูกตัดสิทธิ์หากเขาไม่ขยับริมฝีปากของเฟนด์กระตุกอย่างช่วยไม่ได้ เขารีรอต่อไปไม่ได้แล้ว จึงได้แต่เดินไปยังพื้นที่ที่เขาวางแผนไว้ก่อนหน้านี้ในตอนแรกเฟนด์ไม่ได้ดึงดูดความสนใจใครมากนัก เขาอาจจะเป็นคนสุดท้ายที่ปรากฏตัวขึ้น ไม่มีใครจำเขาได้ ต่อให้เขาจะมาจากวิมานโอสถ แต่นอกจากคนที่เคยพบเขาแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใครขณะที่เขาเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกต่อไป ทุกคนก็เริ่มจ้องมองไปที่เขา ใบหน้าของรองเหรัญญิกก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นบูดบึ้งเมื่อเขาสังเกตเห็นว่าเฟนด์กำลังมุ่งหน้าไปทางใด“ผู้ชายคนนั้นคิดจะไปต่อหลังรูดี้หรือเปล่า? เขาคิดจะพิสูจน์ตัวเองด้วยการกลั่นโอสถระดับหกด้วยหรือ?”“ก็คงเป็นแบบนั้น เว้นแต่เขาจะเป็นคนโง่เง่าที่ไม่ทันได้ฟังกฎการตัดสินให้ดี ไม่งั้นคงไม่เดินไปแบบนั้นหรอก เขาเป็นใคร ทำไมฉันไม่เคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับเขาเลย
กิลเบิร์ตทำท่าราวกับกลืนแมลงวันเข้าไปสองสามตัว เขาคาดหวังว่ารองเหรัญญิกจะพูดคำเหล่านั้นกับเขาเสียอีก แต่กลับกลายเป็นว่ารองเหรัญญิกไม่ละสายตามามองเขาเลยแม้แต่วินาทีเดียวรองเหรัญญิกฝากความหวังทั้งหมดไว้กับเฟนด์ราวกับว่ากิลเบิร์ตและแอนดรูว์มาที่นี่เพื่อเพิ่มจำนวนคนเท่านั้นแอนดรูว์มีสีหน้าขมขื่นเช่นกัน ในอดีตเขาขัดแย้งกับกิลเบิร์ตมามากมาย และความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ไม่อาจพัฒนาไปในทางที่ดีได้แต่ต้องขอบคุณเฟนด์ที่ทำให้เขาสามารถวางเฉยต่อความแค้นทั้งหมดที่เคยมีได้แอนดรูว์พูดด้วยใบหน้าที่มืดมน “รองเหรัญญิก ดูเหมือนคุณจะฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เฟนด์เลยนะ“แต่คุณก็น่าจะเตือนเฟนด์สักหน่อยว่าต่อให้เขาจะมีพรสวรรค์ค่อนข้างดี แต่ก็ไม่ควรหยิ่งผยองเกินไป”แอนดรูว์โกรธมากในขณะนั้นและอดไม่ได้จริง ๆ ที่จะต้องเอ่ยคำดูแคลนที่สุดเช่นนั้นออกมากิลเบิร์ตกล่าวเสริมอย่างรีบร้อนทันที “แอนดรูว์พูดถูก แม้ว่าพรสวรรค์ของเฟนด์จะค่อนข้างดี แต่เขาก็ไม่ควรหยิ่งผยองนัก คำพูดพวกนั้นไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด”เฟนด์ถึงกับพูดไม่ออกเมื่อถูกคนทั้งสองเหยียบย่ำ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเฟนด์ไม่ได้เอ่ยปากเลยสักคำ แล้วเขาจะเอาเวลา
ในตอนแรก คอนสแตนซ์และซีนย์เพียงยืนเคียงข้างกันโดยไม่สนใจเรื่องนี้ พวกเขาต้องการปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินต่อไปอย่างที่ควรจะเป็น แต่เมื่อว่าเกรย์สันและรูดี้เริ่มเถียงกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งสองคนก็ถูกบีบให้ต้องทำอะไรสักอย่างพวกเขาถูกบีบให้ต้องแยกรูดี้และเกรย์สันออกจากกัน นั่นก็เพราะ การทะเลาะกันของเด็ก ๆ ควรจะมีขีดจำกัด เพราะหากมันเกินขีดจำกัดไปแล้ว นั่นจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของพวกเขา นี่คือสิ่งที่รูดี้และเกรย์สันเองก็ไม่อยากเห็นเป็นเวลาเกือบสิบห้านาทีแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์นั่งบนเก้าอี้ ขณะมองดูการทะเลาะวิวาทและการพูดคุยกันอย่างเฉยเมย เมื่อหมดเวลาเขาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้เสียงปรบมือดังขึ้นตอนที่เขาจะพูดว่า "เอาล่ะ หมดเวลาแล้ว ทุกคนต้องตัดสินใจได้แล้วว่าจะพิสูจน์ความสามารถของตัวเองยังไง”“ฉันไม่คิดว่าฉันจะต้องบอกอะไรพวกนายทุกอย่างหรอกนะ ตอนนี้ก็แยกออกเป็นกลุ่มเสีย ผู้ที่ต้องการรวมอักขระทางยาจะยืนอยู่ทางทิศตะวันออก“ผู้ที่ต้องการแยกแยะวัสดุสามารถยืนอยู่ตรงกลางได้เลย และหากจะพิสูจน์ตัวเองด้วยกันบ่มเพาะโอสถให้ไปยืนที่ทางทิศตะวันตก“ถึงอย่างนั้นฉันก็ต้องขอเตือนทุกคนก่อน หากทุกคนต้องการ