เซเลน่าเกรงกลัวนิดหน่อยเมื่อเห็นว่ามีคนมากมายอยู่ตรงหน้าเธอ บอดี้การ์ดส่วนใหญ่ก็อยู่ที่นี่ด้วย ไม่นานก็มีคนอยู่ฝั่งตระกูลเดรคหนึ่งถึงสองร้อยคน เธอจึงเกลี้ยกล่อมเฟนด์ทันทีแต่เฟนด์ยังคงยืนอยู่ที่เดิมและไม่ขยับไปไหน เขาจ้องทิโมธีอย่างเย็นชาและพูดว่า “ทิโมธี มานี่สิ คุกเข่าแล้วขอโทษภรรยาของฉัน คำนับสามครั้งและฉันจะปล่อยทุกอย่างไป ถ้าไม่อย่างนั้น นายจะต้องเสียใจแน่ถ้าฉันลงมือเอง!”“ไอ้บ้า มันจะไม่มากเกินไปหน่อยเหรอ?!” ผู้เฒ่ากอร์ดอนอดทนไม่ไหวอีกต่อไป เขาเริ่มโมโห ดังนั้นเขาจึงเดินออกมาข้างหน้าสองก้าว มองไปที่เฟนด์แล้วพูดว่า “นี่คือตระกูลเดรคนะ! นายรู้ไหมว่าทิโมธีเป็นใคร? เขาเป็นนายน้อยคนโตของตระกูลเรา! มันก็ไม่อะไรหรอกถ้าจะเรียกชื่อเขาตรง ๆ แต่นายกล้าดียังไงถึงมาสั่งให้คนที่มีเกียรติอย่างเขาคุกเข่าและคำนับให้นาย! นายนี่ช่างอวดดีเสียจริง!”เฟนด์มองชายชราคนนี้อย่างเย็นชาก่อนจะพูดว่า “ฉันกำลังพูดกับทิโมธี กรุณาอย่ามาขัดจังหวะในการพูดคุยของเรา!”“นาย...” ผู้เฒ่ากอร์ดอนโกรธจัดและกำมือแน่น “แน่นอน พวกเขาทั้งหมดบอกว่านายแข็งแกร่ง และในเมื่อนายกล้าแสดงท่าทางอวดดีต่อหน้าพวกเราที่คฤหาสน์ตระกูลเด
“ผู้เฒ่ากอร์ดอน หยุด! จะขัดคำสั่งฉันเหรอ?” เจมส์เห็นว่าผู้เฒ่ากอร์ดอนก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเฟนด์อย่างแน่นอนอย่างไรก็ตาม เขาได้ลงมือไปแล้ว หลังจากที่เขาล้มเหลว เขาทำได้เพียงแค่ยืนอยู่ตรงนั้นและจ้องไปที่เฟนด์เพราะยังไงซะ เขาอาจจะตายอย่างน่าสมเพชมาก ถ้าเขาพุ่งไปข้างหน้าและต่อสู้กับเฟนด์ต่อ แต่ถ้าเขาหยุดตอนนี้เขาคงจะเสียหน้าสีหน้าผู้เฒ่ากอร์ดอนเย็นชาหลังจากได้ยินสิ่งที่เจมส์พูด “หนุ่มน้อย วันนี้ฉันจะอดทนไว้ก่อน เพราะนายท่านสั่งไว้ ยังไงก็ตาม ที่นี่คือคฤหาสน์ตระกูลเดรค ถ้านายกล้าทำอะไรรุนแรง ฉันจะไม่ทนอีกต่อไป!” ผู้เฒ่ากอร์ดอนถอยหลังกลับมาหลังจากเขาพูดจบมุมปากของทิโมธีกระตุกไปหลายครั้ง สุดท้ายเขาก็สังเกตเห็นว่าถ้าผู้เฒ่ากอร์ดอนสู้แค่คนเดียว เขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเฟนด์อย่างแน่นอน อีกอย่าง ผู้เฒ่ากอร์ดอนเป็นคนที่รักในศักดิ์ศรีของตัวเอง เขาทิ้งคำพูดพวกนั้นไว้ เพื่อที่เขาจะได้ออกมาอย่างมีเกียรติ“เอาล่ะ เฟนด์ เป็นไงบ้าง? งั้นไม่เป็นไรถ้านายกับคุณเซเลน่าไม่อยากกลับมาทำงาน ครั้งนี้ ลูกชายของฉันเป็นคนเดียวที่หุนหันพลันแล่น ฉันจะให้เงินนายแปดร้อยล้านเหรียญ ดีไหม? แล้วปล่อยเรื่องนี้ไปเถอะ!”
ทิโมธีตกใจมาก เขาทำได้เพียงกัดฟันและไม่ยอมรับเรื่องนี้เมื่อเห็นคนจำนวนมากมองมาที่เขา“ไร้สาระ?” คราวนี้แม้แต่เซเลน่าก็ทนไม่ได้และมองมาที่ทิโมธีอย่างไม่พอใจ “ฮ่าฮ่า นายน้อยทิโมธี ฉันไม่ได้คิดว่าคุณจะเป็นพวกขี้ขลาดที่ไม่กล้ายอมรับในสิ่งที่คุณทำ ถ้าคุณพูดอย่างนั้น ทำไมเราไม่ลองไปถามคนในบริษัทดูล่ะ เรามีพนักงานตั้งมากมาย คุณคิดว่าพวกเขาไม่ได้ยินอะไรเลยงั้นเหรอ?” สีหน้าของทิโมธีหมองลงทันทีเมื่อเขาได้ยินสิ่งที่เธอพูด ใช่ มันยากที่จะอธิบาย ว่าเกิดอะไรขึ้นก่อนหน้านี้ ในตอนแรกเขาคงบอกคนในบริษัทว่าเซเลน่าเป็นคนล่อล่วงเขาได้ หลายคนคงเชื่อในสิ่งที่เขาพูด แต่ตอนนี้เฟนด์พาเซเลน่ามาที่บ้านของเขาแล้ว คงไม่มีใครเชื่อถ้าเขาใช้ข้ออ้างแบบนั้น นั่นจะเป็นปัญหาอย่างมาก “ไอ้...ไอ้ลูกเวร!” ในที่สุดเจมส์ก็ตระหนักได้ว่าสิ่งที่ลูกชายของเขาทำนั้นมันน่ารังเกียจแค่ไหน เขาก้าวออกมาและตบทิโมธีอย่างแรง “ฉันผิดหวังในตัวแกจริง ๆ ฉันคิดว่าแกแค่ไล่พวกเขาสองคนออก ฉันไม่คิดว่าแกจะทำร้ายคุณเซเลน่าด้วย ไม่น่าแปลกใจเลยที่เฟนด์จะโกรธมาก!” ผู้เฒ่ากอร์ดอนซึ่งเดิมทีรู้สึกว่าเฟนด์ทำตัวเกินเหตุ ในที่สุดเขาก็รู้ตัวเกือบถูกทิโ
กางเกงของทิโมธีเต็มไปด้วยเลือดสีแดงสด เป็นภาพที่สยดสยองมาก มุมปากของเจมส์กระตุก หน้าของเขาบิดเบี้ยว แต่ก็ไม่มีคำพูดอะไรแม้แต่คำเดียวหลุดออกมาจากปากของเขา ทั้งบริเวณนั้นเงียบสนิท เงียบจนได้ยินเสียงเข็มหล่น! นั่นคือนายน้อยของตระกูลเดรค แต่เฟนด์ก็ยังกล้าทำร้ายเขา ตอนนี้เขานอนอยู่ตรงนั้นและไม่มีใครรู้ว่าเขายังมีชีวิตรอดอยู่หรือเปล่า “นายท่าน…” สเปคเตอร์เฟซก้าวออกมาพร้อมทั้งขมวดคิ้ว เขาไม่รู้ว่าจะพูดอะไร เขารู้ว่าหัวใจของเจมส์เต็มไปด้วยความเจ็บปวดที่แสนสาหัส “ออกมาเลยถ้าพวกคุณอยากแก้แค้นให้เขา แต่ฉันเกรงว่าพวกคุณอาจจะรับผลที่ตามมาไม่ได้ ถ้าพวกคุณเริ่มลงมือครั้งแรก!” เฟนด์พูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม แม้ว่าข้างในของเจมส์จะรู้สึกเจ็บปวดมาก แต่เขากลับฝืนยิ้ม “ไม่เป็นไร เฟนด์ ตราบใดที่ทำให้นายหายโกรธได้! แค่บอกมาถ้านายยังต้องการการชดใช้อะไรอีก!” เฟนด์ส่งยิ้มนิด ๆ ให้ “ไม่จำเป็น!” เขาหมุนตัวและเดินจากไป โดยพาเซเลน่าไปด้วย “ไม่ต้องห่วง ลูกชายของคุณยังไม่ตาย แต่ผมไม่แน่ใจว่าในอนาคตเขาจะมีทายาทได้หรือไม่” เซเลน่าเหลือบไปมองด้านหลังของเธอ กลัวว่านักสู้และบอดี้การ์ดที่ทำงานให้ตระกูล
เซเลน่าไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “ความหวังมีประโยชน์อะไร? ทำไมฉันต้องหวังถ้าพวกเขาไม่มา!” “คุณอยากให้พวกเขามาจริง ๆ เหรอ? งั้นผมควรจะเชิญพวกเขามา!” เฟนด์ยิ้มและพูดด้วยน้ำเสียงมั่นใจ “ผมเชื่อว่าพวกเขาจะต้องรักษาเกียรติของผมอย่างแน่นอน!” “โอ้ พระเจ้า คุณพูดอย่างกับว่าคุณมีเกียรติมากมายมาตั้งแต่แรก!” เซเลน่ากลอกตาใส่เขา จากนั้นเธอก็สังเกตเห็นว่ามือของเขามาอยู่ที่ต้นขาของเธอ เธอจับมันขึ้นมา แก้มของเธอแดงระเรื่อ “ขับรถดี ๆ อย่าเอามือวางไม่เป็นที่ จริงจังหน่อย!” “เฮ้ ดูเหมือนคุณจะเขินนะ!” เฟนด์หัวเราะคิกคัก “ผมจะเอามือวางไว้ทุกที่ตอนถึงเวลานอน ดีไหม?” แก้มของเซเลน่าแดงมากขึ้น “ฉันไม่ยุ่งกับคุณแล้ว คนบ้ากาม! ตอนนี้เราทั้งคู่ตกงาน และคุณก็ทำให้ตระกูลเดรคโกรธเคือง ฉันภาวนาแค่ว่าเจมส์จะไม่มาหาเรื่องเราอย่างที่คุณพูด!” “อย่ากังวลไปเลย เขาคงทำอะไรสักอย่างไปแล้วถ้าเขาอยากแก้แค้น! เขาคงไม่ปล่อยเราออกมาแบบนี้หรอก จริงไหม?” พวกเขามาถึงคฤหาสน์อย่างรวดเร็ว หลังจากที่พวกเขาจอดรถเสร็จ เฟนด์ก็พูดว่า “โอ้ จริงด้วย ให้ผมบอกคุณไหมว่าผมถูกทิโมธีไล่ออกได้ยังไง!” “โอ้ จริงด้วย ฉันคงลืมไ
“นายท่าน เราจะปล่อยให้มันเป็นอย่างนี้จริง ๆ เหรอ? นายน้อย... เขา...”นักต่อสู้คนหนึ่งก้าวไปและถามเจมส์ ถึงแม้ว่าเขาจะพูดออกไปไม่ได้ว่านายน้อยไม่สมควรได้รับมัน แต่เฟนด์ก็พาภรรยาของเขามาที่บ้านของตระกูลเดรค และเตะนายน้อยเดรคซะจนแหลก คนที่ผ่านไปมาจะเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดนี่เป็นที่สุดของความอัปยศของตระกูลเดรค แต่ก็โชคดีที่ไม่ค่อยมีคนเห็นเหตุการณ์นี้ แต่ชื่อเสียงของตระกูลเดรคได้ถูกเหยียบย่ำไว้มากจริง ๆ “ฉันว่ามันเป็นไปไม่ได้หรอก เฟนด์แข็งแกร่งมาก ไม่มีทางที่เราจะล้มเขาได้ด้วยตัวคนเดียว อย่างน้อยก็สำหรับฉัน!” ผู้เฒ่ากอร์ดอนพูดขึ้นหลังจากคิด ในความเป็นจริง เขาอยากจะบอกว่ามันไม่มีประโยชน์แม้ว่าพวกเขาทุกคนจะเข้าหาเฟนด์ในเวลาเดียวกัน เขาพยายามลดเสียงลงเพื่อรักษาศักดิ์ศรีเอาไว้“เฟนด์มั่นใจมากอย่างเห็นได้ชัดเลย ดูจากวิธีที่เขาพูดออกมาตอนนี้ เขามั่นใจในตัวเองมาก เราทำได้แค่ลืม ๆ มันไปซะ!” เจมส์ยิ้มอย่างหมดหวัง “ฉันด่าทิโมธีไปหลายรอบแล้ว แต่เขาก็ไม่ยอมฟัง ไม่ต้องห่วงเรื่องเขาไปไล่ทั้งเฟนด์ทั้งเซเลน่าออก แต่เขากล้าแตะต้องทีหลังจริง ๆ อา ถ้าฉันเป็นนาย นายจะไม่คิดที่จะฆ่าเขาเหรอ? เฟนด์เคยค
เซเลน่ายิ้มอย่างขมขื่น “แม่ เฟนด์บอกหนูแล้ว” เธอพูด “ที่จริง หนูก็ถูกไล่ออกเหมือนกัน ไม่ หนูออกเอง หนูไม่อยากทำอีกแล้ว!” "อะไรนะ!" รอยยิ้มบนใบหน้าของฟีโอน่าหายไปทันที “เฟนด์โดนไล่ออกเพราะทำร้ายนายน้อยเดรค เขาโดนเพราะเงินหมื่นล้านตั้งแต่แรก” เธอพูดอย่างซึม ๆ “เรื่องนี้เข้าใจได้ แต่ทำไมลูกถึงออกด้วย? นี่มันไม่เหมือนกันนะ”เซเลน่ามองฟีโอน่าและเฟนด์ “ไม่มีอะไร หนูแค่ไม่อยากทำอีกแล้ว” เธอโกหกเพราะกลัวว่าแม่จะเป็นห่วง “มันไม่มีประโยชน์กับหนู ที่สำคัญ ลูกน้องก็ไม่ค่อยให้ความร่วมมือ แถมเอาไปนินทาลับหลัง!” “บ้าไปแล้วเซเลน่า ตอนนี้เฟนด์ไม่มีงานทำ ลูกก็เหมือนกัน เงินเดือนก็สูงมากนี่!” แอนดรูว์ส่ายหัวจิบไวน์ “แต่มันไม่สำคัญแล้ว ออกมาแล้ว เพราะฉะนั้นเราต้องฉลาดในการใช้เงินก็พอแล้ว” “ใช่ครับพ่อ” เบ็นพูดพร้อมกับรอยยิ้ม “เราแค่พอกินพอใช้ก็พอ เป็นเหมือนแม่ไม่ได้ ที่มีตาไว้มองเงินเท่านั้น เราควรพอใจในสิ่งที่มี!” “พูดอะไรน่ะเบ็น? คนสติดีที่ไหนจะทิ้งโอกาสทำเงิน? ทำไมเราถึงจะไม่อยากได้มากขึ้นไปอีกในเมื่อเราสามารถมีได้มากกว่านั้น?” ฟีโอน่าจ้องลูกชาย “นอกจากนี้เงินหมื่นล้านมันก็ไม่เท่าไหร่ ทุก
เฟนด์ทำได้แค่ยิ้มเท่านั้น “แม่ สร้อยเส้นนี้อยู่ที่ไหน?” เขาถามฟีโอน่า “ทำไมผมไม่เคยรู้มาก่อน!” “ชั้น 2 ที่ห้างทัมซิน เป็นร้านอัญมณีที่ใหญ่ที่สุดของที่นั่น ของที่พวกเขาขายมีราคาแพงมาก” เธอตอบ “คนธรรมดาจะเคอะเขินเกินกว่าจะเดินเข้าไปดู ของอะไรก็ตามมีมูลค่ามากกว่าแสนทั้งนั้น!”ฟีโอน่าหยุดพูดก่อนจะพูดต่อ “ฉันบังเอิญไปเจอป้ายโฆษณามาตอนที่เดินผ่าน ก็เลยรู้ อัญมณีนั่นนำเข้ามาจากเมืองจิน และมันก็เตรียมตัวจัดแสดงในอีกไม่กี่วัน มีโฆษณาทางทีวีด้วย!” “คนธรรมดาจะไปฝันที่จะใส่สร้อยอย่างนั้นได้ยังไง!” แอนดรูว์ยิ้มอย่างไม่สนใจ “ของหายากที่สุดก็คือของที่แพงที่สุดในโลก แน่นอน สร้อยคอราคาแพงมาก ถ้ามันมีแค่เส้นเดียว ก็เป็นเรื่องปกติที่จะมีมูลค่ามากกว่า 900 ล้าน!” “ที่สำคัญคือไม่เคยมีใครสวมใส่สร้อยคอเส้นนั้นมาก่อน มันทำมาเพื่อโชว์ พวกเขาจะต้องหาคนมาใส่ถ่ายโฆษณา แต่ดูเหมือนจะไม่มีคนดังคนไหนเหมาะที่จะใส่มันเลยนะ เจ้านายของพวกเขาต้องเป็นคนเจ้าเล่ห์มาก!” ฟีโอน่าพูดยิ้ม ๆ เฟนด์และคนอื่น ๆ ขึ้นไปชั้นบนหลังทานอาหารเสร็จ“โอ๊ะ ในที่สุดพรุ่งนี้ก็ได้นอนเต็มอิ่ม เพราะไม่ต้องไปทำงาน!” เซเลน่ายิ้มอย่างข
ตราบใดที่มันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการบ่มเพาะโอสถของเขา ทั้งสองคนจะทำอะไรตามต้องการก็ย่อมได้ สิ่งนั้นไม่กระทบอะไรกับเขาเลย“ถึงฉันจะดูแคลนหมอนี่ แต่เขาก็ยังกล้าเสมอ เขาก็คงจะมีความสามารถอยู่บ้าง เขาน่าจะผ่านสองขั้นตอนแรกได้อย่างไม่มีปัญหา” เกรย์สันพูดอย่างชัดเจนรูดี้มองไปที่เกรย์สันด้วยรอยยิ้มเย็นชาบนใบหน้าแล้วตอบว่า "นายดูมั่นใจกับหมอนี่มากเลยนะ ฉันจะคิดว่าทุกครั้งที่เขาพูดก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเรื่องไร้สาระทั้งหมด“ฉันคิดว่าเขาอาจจะไปถึงขั้นที่สองก่อนที่เขาจะล้มเหลวโดยสิ้นเชิง! ฉันอยากเห็นจริง ๆ ว่าถ้าล้มเหลวขึ้นมา เด็กสารเลวคนนี้จะสู้หน้าเราได้ยังไง”เกรย์สันสูดหายใจเข้าลึก ๆ เขารู้สึกได้ว่าความโกรธของรูดี้ที่มีต่อเฟนด์นั้นลึกซึ้งกว่าของเขามากดวงตาของรูดี้ลุกเป็นไฟ เห็นได้ชัดว่าเขาเกลียดเฟนด์มากเพียงใดเกรย์สันหัวเราะอย่างเย็นชา "แล้วมาดูกันว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ฉันคิดว่าเขาน่าจะสามารถไปถึงขั้นตอนสุดท้ายได้ ถ้าเขาสามารถควบรวมอักขระทางยาได้ถึงร้อยเม็ดเขาก็น่าจะมาถึงระดับนั้น"หลังจากที่ทั้งสองพูดเรื่องเหล่านั้นออกมา พวกเขาก็ปิดปากเงียบพร้อม ๆ กับการมองดูเฟนด์โดยไม่พูดอะไรพวกเขามอง
ผู้อาวุโสฮอร์สท์กระแอมเล็กน้อยในขณะที่เขาพูดต่อ “หลังจากที่เธอบ่มเพาะโอสถได้สำเร็จแล้ว ให้นำโอสถมาให้ฉันตรวจสอบ พวกเธอจะมีเวลาในการทดสอบทั้งสิ้นแปดชั่วโมง ถ้าเธอไม่สามารถบ่มเพาะโอสถได้ภายในแปดชั่วโมง ก็จะแปลว่าไม่ผ่านการทดสอบ ดังนั้นอย่าได้ช้าเกินไป”พวกเขาทั้งสามพยักหน้าแทบจะพร้อมกัน หลังจากผู้อาวุโสฮอร์สท์ให้คำแนะนำแล้ว เขาก็จัดให้มีคนงานสองสามคนคอยเป็นคนตรวจ มีผู้ดูแลยืนอยู่ด้านหลังทั้งสามคนเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่ทำอะไรผิดพลาดหลังจากนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็หันกลับมาและไปหาผู้สอบคนอื่น ๆ รูดี้หรี่ตาลง ขณะที่เขาเหลือบมองเฟนด์และพูดว่า "ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการบ่มเพาะโอสถระดับหกคือขั้นตอนสุดท้าย แต่ขั้นตอนแรกก็ไม่ง่ายเช่นกัน ถ้านายรู้ว่าทำไม่ได้ ก็อย่าทำให้ต้องสิ้นเปลืองวัตถุดิบเลย ของพวกนี้ล้วนมีราคาค่างวด ต่อให้นายจะขายตัวเองเป็นทาสก็ยังไม่พอให้ซื้อของพวกนี้!”เฟนด์ถอนหายใจออกเบา ๆ หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านั้น ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าเขาเบื่อเกินกว่าจะอ้าปากพูดด้วยซ้ำ เขาตัดสินใจที่จะเพิกเฉยต่อผู้ชายคนนั้นและทุกสิ่งที่จะออกมาจากปากเขา ถึงโต้ตอบไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี
เกรย์สันหรี่ตาลงขณะที่เขามองเฟนด์ด้วยความโกรธเช่นกัน เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ดูเหมือนว่าวันนี้ นายจะมาที่นี่เพื่อหาเรื่องขายหน้าให้กับตัวเองเท่านั้น"หลังจากพูดจบเกรย์สันก็หันหลังกลับและเงียบไป เสียงความขัดแย้งหยุดลง และทุกคนรอบ ๆ ก็เริ่มกระซิบกระซาบกันผู้อาวุโสฮอร์สท์มองเฟนด์อย่างมีความหมาย ราวกับว่าเขามองเฟนด์ในมุมมองที่ต่างออกไป ทันใดนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็อยากรู้เรื่องของเฟนด์อย่างไม่น่าเชื่อ แต่ในขณะนั้นเขาไม่อาจพูดอะไรออกมาได้เมื่อเขาเห็นว่าทุกคนได้จับกลุ่มกันเรียบร้อยแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็โบกมือแล้วพูดว่า "มากับฉัน!"ทุกคนติดตามผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปเป็นกลุ่ม ๆ ผู้อาวุโสฮอร์สท์เข้าไปในเรือวิญญาณ ภายในเรือเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังรีบร้อนพวกเขาเดินตามหลังผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปอย่างใกล้ชิด เดินลัดเลาะไปตามทางก่อนจะมาถึงห้องกว้างขวางในที่สุด ห้องกว้างขวางมากจนเรียกได้ว่าห้องโถงเลยทีเดียวทันทีที่พวกเขาก้าวเข้าไปในห้อง ทุกคนก็สามารถสัมผัสได้ถึงรังสีของโอสถที่หนาแน่นรอบ ๆ บรรยากาศ พื้นที่ในห้องนี้ใหญ่เกินพอสำหรับพวกเขาแปดสิบคนเฟนด์ประเมินสถานการณ์เล็กน้อย ห้องนี้ใหญ่พอที่จะรองรับคน
พวกเขาถาโถมข้อกล่าวหาและดูหมิ่นมามากเกินไป ถึงเขาจะไม่อยากโต้เถียงกับคนพวกนี้ แต่เขาก็ยังถูกบังคับให้ต้องเงยหน้าขึ้นมาอย่างช้า ๆ อยู่วันยันค่ำเขามองเข้าไปในดวงตาของรูดี้ซึ่งเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน ราวกับเขาเป็นเพียงแมลงในสายตาของรูดี้เฟนด์หัวเราะอย่างเย็นชา “แล้วนายได้ยินเสียงสุนัขที่เห่าดังที่สุดแล้วหรือยังล่ะ?”คำพูดเหล่านั้นสามารถเยาะเย้ยทุกคนที่นั่นได้สำเร็จ เขาเปรียบเทียบกิลเบิร์ตกับสุนัขและเย้ยหยันทุกคนที่ฟังสุนัขตัวนั้นเห่า มันทำให้การแสดงออกบนใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปกิลเบิร์ตเกือบจะลืมความโกรธของตัวเองไปแล้ว เขาไม่อยากจะเชื่ออะไรด้วยซ้ำว่าเฟนด์จะสามารถขจัดคำดูถูกดูแคลนทั้งหมดลงได้ แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นกิลเบิร์ตหันกลับมาจ้องมองเฟนด์ด้วยใบหน้าแดงก่ำจากความโกรธเขาอยากจะตะโกนกลับแต่ถูกรองเหรัญญิกปรามไว้ "ดูเหมือนว่านายจะไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบแล้วสินะ!"ประโยคนั้นเพียงประโยคเดียวก็ทำให้กิลเบิร์ตไม่อาจพูดอะไรออกมาได้อีก กิลเบิร์ตตระหนักได้แล้วว่าเขาได้ทำให้รองเหรัญญิกขุ่นเคืองอย่างหนักหากเขายังคงยืนกรานที่จะต่อปากต่อคำกับเฟนด์ รองเหรัญญิกอาจจะดึงเขาออกไปจริง ๆ แล้วเขาจะ
“สมองหมอนั่นจะต้องมีอะไรผิดปกติจริง ๆ นั่นแหละ เขาคิดจริง ๆ หรือว่าเขาอยู่ในระดับเดียวกับอีกสองคนที่อยู่ตรงหน้าเขา แค่เพราะไปยืนอยู่กลุ่มเดียวกัน? นั่นน่าจะตลกมากเกินไปหน่อยนะ…”“ฉันนึกว่าการทดสอบจะเข้มงวดและจริงจังเสียอีก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะได้เห็นอะไรแบบนี้ ทำเอาฉันขำจนปวดท้องเลยล่ะ…”แอนดรูว์ขมวดคิ้วอย่างรู้สึกอับอาย รองเหรัญญิกโกรธจนตัวสั่นหลังจากได้ยินคำพูดของกิลเบิร์ต เขานึกอยากจะพุ่งตัวไปไปตบกิลเบิร์ตสักสองสามครั้งกิลเบิร์ตเพิกเฉยต่อชื่อเสียงของวิมานโอสถอย่างเห็นแก่ตัวที่สุด พวกเขาแทบอยากจะมุดดินหนี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นี่จะเป็นความอัปยศอดสูที่วิมานโอสถไม่อาจจำกัดทิ้งได้รองเหรัญญิกตะโกนออกไปว่า "หุบปากเดี๋ยวนี้! นายกำลังพูดเรื่องบ้าอะไร ถ้าไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบ ก็ไสหัวไปซะ!"รองเหรัญญิกโกรธมาก ขณะที่เขาพูดเช่นนั้น สีหน้าของเขาดูอดสูอย่างไม่น่าเชื่อ เขายังคิดจะฆ่ากิลเบิร์ตให้ตายเสียเดี๋ยวนี้ เมื่อถูกตำหนิเช่นนั้นก็ทำให้กิลเบิร์ตตระหนักได้ว่าเขาพูดผิดไปถึงกระนั้นก็ไม่มีทางที่เขาจะถอนคำพูดเหล่านั้นกลับคืนมา เขากระแอมเบา ๆ ก่อนที่จะรีบหันศีรษะไปซ้ายทีขวาที อย่างไม่กล้
ไม่มีใครรู้ดีไปกว่ารองเหรัญญิกว่าโอสถระดับหกหมายถึงสิ่งใด ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา วิมานโอสถรับบัณฑิตมาจำนวนนับไม่ถ้วน แต่มีไม่มากนักที่จะได้กลายเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุระดับหกจริง ๆคอนสแตนซ์ยิ้มอย่างมีความหมายขณะที่เขาเอ่ยถาม "รองเหรัญญิกคนนี้มีความสามารถหลากหลายจริง ๆ ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าวิมานโอสถจะมีอัจฉริยะกับเขาด้วย ผมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย"ริมฝีปากของรองเหรัญญิกกระตุก เขาต้องการอธิบายตัวเอง แต่ถ้าเขาบอกว่าเฟนด์ไม่สามารถสกัดโอสถระดับหกได้ และมีเพียงพรสวรรค์ในการสร้างอักขระทางยาเท่านั้น มันคงจะกลายเป็นเรื่องตลกครั้งใหญ่ และทุกคนคงจะหัวเราะเยาะวิมานโอสถเป็นแน่แต่ถ้าเขายังคงดื้อรั้นต่อไป พอถึงเวลาต้องบ่มเพาะโอสถ เฟนด์ก็จะเปิดเผยความจริงข้อนั้นออกมา เมื่อนั้นความอัปยศอดสูก็จะยิ่งหนักข้อขึ้นเขาถึงกับมือสั่น ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยรู้สึกเหมือนตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้มาก่อน เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกกักขังอยู่ในกำแพงอีกสองด้าน ทุกคนคิดว่ารองเหรัญญิกกำลังวางแผนที่จะใช้ความเงียบเพื่อตอบคำถามเมื่อเห็นกับตาว่ารองเหรัญญิกไม่ตอบอะไรออกมาแต่ทว่าคอนสแตนซ์คล้ายกับจะไม่เ
เฟนด์เป็นคนเดียวที่ยังคงยืนอยู่ ขณะนั้นเขาดูคล้ายกับกำลังลังเลและดูเหมือนกำลังรออะไรบางอย่างอยู่ ขณะที่รองเหรัญญิกพูดจบ ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็จ้องมองมาอย่างอยากรู้อยากเห็นแม้ว่าดวงตาของเขาจะดูเป็นประกายมากขนาดไหน แต่เฟนด์ก็ยังคงรู้สึกถึงความเฉียบคมภายใน ราวกับว่าเขาจะถูกตัดสิทธิ์หากเขาไม่ขยับริมฝีปากของเฟนด์กระตุกอย่างช่วยไม่ได้ เขารีรอต่อไปไม่ได้แล้ว จึงได้แต่เดินไปยังพื้นที่ที่เขาวางแผนไว้ก่อนหน้านี้ในตอนแรกเฟนด์ไม่ได้ดึงดูดความสนใจใครมากนัก เขาอาจจะเป็นคนสุดท้ายที่ปรากฏตัวขึ้น ไม่มีใครจำเขาได้ ต่อให้เขาจะมาจากวิมานโอสถ แต่นอกจากคนที่เคยพบเขาแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใครขณะที่เขาเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกต่อไป ทุกคนก็เริ่มจ้องมองไปที่เขา ใบหน้าของรองเหรัญญิกก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นบูดบึ้งเมื่อเขาสังเกตเห็นว่าเฟนด์กำลังมุ่งหน้าไปทางใด“ผู้ชายคนนั้นคิดจะไปต่อหลังรูดี้หรือเปล่า? เขาคิดจะพิสูจน์ตัวเองด้วยการกลั่นโอสถระดับหกด้วยหรือ?”“ก็คงเป็นแบบนั้น เว้นแต่เขาจะเป็นคนโง่เง่าที่ไม่ทันได้ฟังกฎการตัดสินให้ดี ไม่งั้นคงไม่เดินไปแบบนั้นหรอก เขาเป็นใคร ทำไมฉันไม่เคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับเขาเลย
กิลเบิร์ตทำท่าราวกับกลืนแมลงวันเข้าไปสองสามตัว เขาคาดหวังว่ารองเหรัญญิกจะพูดคำเหล่านั้นกับเขาเสียอีก แต่กลับกลายเป็นว่ารองเหรัญญิกไม่ละสายตามามองเขาเลยแม้แต่วินาทีเดียวรองเหรัญญิกฝากความหวังทั้งหมดไว้กับเฟนด์ราวกับว่ากิลเบิร์ตและแอนดรูว์มาที่นี่เพื่อเพิ่มจำนวนคนเท่านั้นแอนดรูว์มีสีหน้าขมขื่นเช่นกัน ในอดีตเขาขัดแย้งกับกิลเบิร์ตมามากมาย และความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ไม่อาจพัฒนาไปในทางที่ดีได้แต่ต้องขอบคุณเฟนด์ที่ทำให้เขาสามารถวางเฉยต่อความแค้นทั้งหมดที่เคยมีได้แอนดรูว์พูดด้วยใบหน้าที่มืดมน “รองเหรัญญิก ดูเหมือนคุณจะฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เฟนด์เลยนะ“แต่คุณก็น่าจะเตือนเฟนด์สักหน่อยว่าต่อให้เขาจะมีพรสวรรค์ค่อนข้างดี แต่ก็ไม่ควรหยิ่งผยองเกินไป”แอนดรูว์โกรธมากในขณะนั้นและอดไม่ได้จริง ๆ ที่จะต้องเอ่ยคำดูแคลนที่สุดเช่นนั้นออกมากิลเบิร์ตกล่าวเสริมอย่างรีบร้อนทันที “แอนดรูว์พูดถูก แม้ว่าพรสวรรค์ของเฟนด์จะค่อนข้างดี แต่เขาก็ไม่ควรหยิ่งผยองนัก คำพูดพวกนั้นไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด”เฟนด์ถึงกับพูดไม่ออกเมื่อถูกคนทั้งสองเหยียบย่ำ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเฟนด์ไม่ได้เอ่ยปากเลยสักคำ แล้วเขาจะเอาเวลา
ในตอนแรก คอนสแตนซ์และซีนย์เพียงยืนเคียงข้างกันโดยไม่สนใจเรื่องนี้ พวกเขาต้องการปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินต่อไปอย่างที่ควรจะเป็น แต่เมื่อว่าเกรย์สันและรูดี้เริ่มเถียงกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งสองคนก็ถูกบีบให้ต้องทำอะไรสักอย่างพวกเขาถูกบีบให้ต้องแยกรูดี้และเกรย์สันออกจากกัน นั่นก็เพราะ การทะเลาะกันของเด็ก ๆ ควรจะมีขีดจำกัด เพราะหากมันเกินขีดจำกัดไปแล้ว นั่นจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของพวกเขา นี่คือสิ่งที่รูดี้และเกรย์สันเองก็ไม่อยากเห็นเป็นเวลาเกือบสิบห้านาทีแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์นั่งบนเก้าอี้ ขณะมองดูการทะเลาะวิวาทและการพูดคุยกันอย่างเฉยเมย เมื่อหมดเวลาเขาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้เสียงปรบมือดังขึ้นตอนที่เขาจะพูดว่า "เอาล่ะ หมดเวลาแล้ว ทุกคนต้องตัดสินใจได้แล้วว่าจะพิสูจน์ความสามารถของตัวเองยังไง”“ฉันไม่คิดว่าฉันจะต้องบอกอะไรพวกนายทุกอย่างหรอกนะ ตอนนี้ก็แยกออกเป็นกลุ่มเสีย ผู้ที่ต้องการรวมอักขระทางยาจะยืนอยู่ทางทิศตะวันออก“ผู้ที่ต้องการแยกแยะวัสดุสามารถยืนอยู่ตรงกลางได้เลย และหากจะพิสูจน์ตัวเองด้วยกันบ่มเพาะโอสถให้ไปยืนที่ทางทิศตะวันตก“ถึงอย่างนั้นฉันก็ต้องขอเตือนทุกคนก่อน หากทุกคนต้องการ