เซเลน่าไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี อีวานและซีน่าอาจจะแทงคอตัวเองตายถ้าพวกเขารู้ว่าตอนนี้เฟนด์คิดอะไรอยู่ พวกเขาคงไม่อยากโฆษณางานนี้แน่ ถ้าพวกเขารู้ว่าเฟนด์รักษาตัวเองให้หายจากพิษได้แล้ว “แต่นี่ก็แค่วันเกิดของฉัน ไม่จำเป็นต้องทำให้เรื่องยุ่งยากแบบนี้หรอก โปสเตอร์นั่นอาจทำให้ทุกคนตกใจมาก มันจะหัวข้อที่เป็นประเด็นมากที่สุดในรอบหลายปีที่ผ่านมา ถ้าพวกเขามาร่วมนับถอยหลังด้วย พระเจ้า เราอาจถูกหัวเราะแน่ถ้าปาร์ตี้นี้ธรรมดา...เกินไป!” เซเลน่ากังวลหลังจากที่เธอได้คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ “อย่าคิดมาก ไม่ใช่แค่อาหารราคาแพงเท่านั้นที่จะทำให้งานยิ่งใหญ่ได้” เฟนด์โอบแขนรอบเอวตัวเซเลน่าเอาไว้ ส่งยิ้มอบอุ่นให้เธอ “อย่ากังวลไปเลย ผ่อนคลายเข้าไว้ เชื่อผม ผมจัดการเรื่องนี้ได้!” “โอเค!” เซเลน่าเม้มริมฝีปากที่แดงก่ำของเธอแล้วพูดอย่างเขินอาย “ไปอาบน้ำเถอะ แล้วเราจะได้ลงไปกินข้าวกัน พวกเขากำลังทำกุ้งที่คุณชอบด้วย” “คุณนี่รู้จักผมดีจริง ๆ คุณรู้อยู่ว่าผมชอบกินอะไรหลังจากที่ผมกลับมาเพียงหนึ่งเดือนเท่านั้น!” เฟนด์ชื่นชมความงามตรงหน้าของเขา เขาอดไม่ได้ที่จะจูบไปที่ริมฝีปากของเธออย่างอ่อนโยน “ฮี่
ผู้นำของกรีนสกาย ฮอลล์เริ่มอารมณ์ไม่ดี บ่ายวันนั้น เขารู้มาว่าฟลินน์เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลหลังจากที่ถูกซ้อมอย่างหนัก ขาข้างหนึ่งของเขาหักอย่างรุนแรงจึงจำเป็นต้องตัดทิ้ง เขายังคิดอยู่เลยว่าเขาควรจะทำยังไงกับวันพรุ่งนี้ ถ้าเขาปล่อยให้เหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นเลื่อนไปอีกเพื่อบอดี้การ์ดของตระกูลเดรด เขาคงไม่ต้องคิดเลย ลูกน้องคงจะคลานมาหาเขาอีกแน่ “บอกฉันมาว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมลูก้าถึงแพ้?” ชายวัยกลางคนพูดช้า ๆ หลังจากนิ่งเงียบไปสองสามวินาที ชายอีกคนจึงเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น หลังจากที่เขาเล่าจบ เขาก็พูดว่า “ผมไม่รู้ว่าเด็กนั่นจะแค่ข่มขู่หรือเปล่า แต่เขาบอกว่าเขาจะมาเอาเรื่องที่กรีน ฮอลล์พรุ่งนี้เช้า! เขาอยากให้เราชดใช้เงินห้าหมื่นเหรียญนั่น!” “บ้าเอ๊ย!” ชายวัยกลางคนโกรธจัด เขาทุบมือลงบนโต๊ะที่อยู่ข้าง ๆ และด้วยรอยแตกที่แหลมคม โต๊ะก็แตกออกเป็นชิ้น ๆ เขายืนขึ้นและพูดอย่างโกรธจัด “เขาคิดว่าคนในกรีนสกาย ฮอลล์เป็นพวกขี้แพ้งั้นเหรอ? เราให้เงินไปเก้าแสนห้าหมื่นเหรียญแล้ว เขายังอยากได้อะไรอีก? ให้ตายสิ บอดี้การ์ดคนเมื่อเช้านี้ก็รู้จักกับเทพีแห่งสงคราม และเขายังเป็นลูกเขย
“จริงเหรอ? งั้นเขาคงต้องใช้เงินไปเยอะมาก เขามีเงินมากขนาดนั้นเพื่อใช้จัดงานที่อลังการจริง ๆ เหรอ? หรือบางทีนายใหญ่เทย์เลอร์จะให้เงินเขาเพื่อจัดงานฉลองวันเกิดให้กับคุณหนูเทย์เลอร์” เฮคเตอร์ขมวดคิ้ว “ไม่แน่ เขาบอกว่ามันน่าอายมากที่จะใช้เงินของตระกูลเทย์เลอร์ อีกอย่างเขาเป็นเพียงแค่ลูกเขย ไม่มีใครดีกับเขาหรอก” “อืมม เตรียมตัวให้พร้อมสำหรับพรุ่งนี้กันก่อนเถอะ!” ชายชราพูดหลังจากที่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ถ้าเขามาคนเดียวและทำตัวหยาบคาย เราอาจจะฆ่าเขาทิ้งได้ เพราะไม่มีใครรู้ว่าใครคือฆาตกร ถ้าเราทำให้ศพหายไปและบอกว่าเขาไม่เคยมาที่นี่ เทพีแห่งสงครามก็จะไม่ทำลายกลุ่มของพวกเราทั้งหมดเพื่อเขา” เฮคเตอร์พยักหน้า “คุณพูดถูก ชายคนนั้นเคยช่วยชีวิตเทพีแห่งสงครามไว้ บางทีเขาอาจจะเป็นหมอในกองทัพ ดังนั้นมันจึงเป็นหน้าที่ของเขาที่จะต้องช่วยชีวิตคน อีกอย่างเทพีแห่งสงครามยังช่วยทำให้ชื่อเสียงของเขาเพิ่มขึ้นในงานเลี้ยงวันเกิดของนายใหญ่เทย์เลอร์แล้วด้วย เธอไม่ได้ติดค้างอะไรเขาอีกแล้ว ถ้าเราฆ่าเขาและแสร้งทำเป็นไม่รู้อะไรเลย สิ่งที่เทพีแห่งสงครามน่าจะทำได้มากสุดก็แค่ทำเป็นแกล้งสอบสวนเรา!” วันรุ่งขึ้น คนก
ปัง! เมื่อเฟนด์เห็นคู่ต่อสู้เคลื่อนไหว เขาก็เหวี่ยงหมัดออกไปอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นมันก็ชนกับหมัดของชายอีกคน แค่ชั่วขณะเดียวที่มีเพียงความเงียบจากนั้นมันก็ตามมาด้วยเสียงที่ดังกึกก้อง ชายร่างใหญ่คนนั้นก็กระเด็นถอยหลังไปเช่นเดียวกันกับเพื่อนของเขา เขากระเด็นถอยหลังไปไม่กี่ก้าว เท้าของเขาลากออกเป็นเส้นยาวบาง ๆ บนพื้นก่อนที่จะหยุดลงอย่างแรง “ฮึ่ม!” ชายร่างใหญ่กลืนน้ำลายและถ่มน้ำลาย เลือดสดไหลออกมาจากมุมปากของเขา “เหลือเชื่อ!” ชายร่างใหญ่สองคนเดินเข้ามา พวกเขาปรบมือพร้อมกันหลังจากมองไปที่เฟนด์ แล้วโค้งคำนับเล็กน้อย จากนั้นพวกเขาก็หลีกทางออกมา“แปะ ๆ!” ในขณะนั้นเอง เฮคเตอร์ก็ลุกขึ้นยืน ปรบมือขณะที่เดินออกมาพร้อมกับกลุ่มคนที่มารวมตัวกันข้างหลังเขา “ฮ่า คุณเก่งมาก ฉันไม่คิดเลยว่าลูกเขยจากตระกูลเทย์เลอร์จะมีพลังที่น่ากลัวมาก!” “ฮ่า นายท่านซาโบรอฟสกี ฉันได้ยินมาว่าคุณชื่อเฮคเตอร์ใช่ไหม?” เฟนด์หัวเราะและพูดว่า “ดูเหมือนว่าคุณวางแผนจะบังคับให้ฉันยอมแพ้ก่อนใช่ไหม?” มุมปากของเฮคเตอร์กระตุกเล็กน้อย เขาหยุดอยู่ห่างจากเฟนด์ไม่กี่เมตร “ฉันแค่ต้อนรับตามมารยาท คุณหมายความว่ายังไง ฉัน
เฮคเตอร์ยังคงยิ้มอยู่เมื่อได้ยินเช่นนั้น “ฉันคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ร้ายแรงมาก ฉันได้ยินมาว่าการ์ดความจำถูกคุณทำลายไปแล้ว ตกลงเรื่องมันยังไม่คลี่คลายอีกเหรอ? คุณยังต้องการอะไรจากเราอีก?” เขาหยุดไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อด้วยรอยยิ้มว่า “ฮ่า ฉันรู้ คุณอยากได้เงินจากเราเพื่อชดเชยสิ่งที่คุณได้รับความเสียหายไปใช่ไหม? มันเป็นเรื่องปกติที่คนเราจะคิดแบบนั้น ฉันเข้าใจดี! บอกมาสิ คุณอยากได้เท่าไหร่?” เฟนด์ตอบกลับทันทีว่า “ฉันไม่ได้อยากได้เงินสำหรับปัญหานี้ คำขอของฉันนั้นเป็นเรื่องที่ง่ายมาก อย่าทำแบบนั้นซ้ำอีก ทำลายข้อมูลสำรองที่คุณมีทั้งหมดซะ เข้าใจไหม?” มุมปากของเฮคเตอร์กระตุก “คุณกำลังขู่ฉันอยู่เหรอ?” “เฮ้ ฉันจะไม่สืบสวนอะไรอีกต่อไป ฉันมั่นใจว่าคุณรู้ดีว่าฉันกำลังข่มขู่พวกคุณทุกคนที่นี่อยู่ ถ้าคุณไม่ทำลายข้อมูลสำรองและยังทำแบบนั้นต่ออีกในอนาคต ฉันมั่นใจเลยว่ากรีนสกาย ฮอลล์จะถูกฉันทำลายทิ้งอย่างแน่นอน ถ้าฉันได้ยินเรื่องแบบนั้นอีก!” เฟนด์หัวเราะ เขาไม่ได้หวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย เขายืนอยู่ตรงนั้นพร้อมกับยืดไหล่เหยียดตรงและแสดงความเคร่งขรึมออกมา “ปากของคุณนี่ช่างหยาบคายจริง ๆ! ฉันจะสอนบทเรี
“เฮ้ ฉันรู้ว่าคุณอยากจะฆ่าฉัน แต่ฉันไม่ปล่อยให้คุณฆ่าหรอก!” เฟนด์ยิ้มอย่างเย็นชาเมื่อได้ยินอย่างนั้น ถ้าหญิงชราคนนี้จากกรีนสกาย ฮอลล์ไม่แสดงท่าทีเย่อหยิ่งเกินไป เขาก็คงจะไม่ตอบตกลงสู้กับเธอทันทีเช่นนี้หรอก เพราะยังไงซะคิงส์ตัน ฮอลล์ก็อยู่เบื้องหลังกรีนสกายฮอลล์l ไม่ใช่เพราะเฟนด์กลัวคิงส์ตัน ฮอลล์หรอก แต่ถ้าทันย่า อีวอนน์ และชารอนรู้เรื่องเหตุการณ์ในวันนี้ มันคงจะสร้างความวุ่นวายมากถ้าคิงส์ตัน ฮอลล์ถูกทำลาย หลายคนอาจจะสงสัยเกี่ยวกับตัวตนของเขา เขาก็จะไม่สามารถใช้ชีวิตอย่างสงบสุขเหมือนที่เขามีในตอนนี้ได้ เพราะยังไงซะ คิงส์ตัน ฮอลล์ก็เป็นองค์กรใต้ดินที่ทรงพลังที่สุดในอาณาเขตกลาง และแข็งแกร่งที่สุดในบรรดาพรรคต่าง ๆ พวกเขาไม่เกรงกลัวคนของตระกูลเดรคเลย “จริงเหรอ? นายพูดอย่างกับว่านายสามารถฆ่าได้ทุกเมื่อและทุกที่นายต้องการ!” หญิงชรารู้สึกเหมือนถูกดูหมิ่น เธออายุมากแล้ว แต่ความแข็งแกร่งของเธอ คนธรรมดาก็ไม่สามารถเทียบได้ เธอก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ทันใดนั้นไม้เท้าในมือของเธอก็พุ่งเข้าใส่เฟนด์อย่างแรง ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความเยือกเย็นและสังหาร ฟุ่บ! มันดูเหมือนไม้เท้าธรรมดา
อย่างไรก็ตาม เธอไม่คิดว่าพลังจากการกวาดแขนของเฟนด์จะทำให้เกิดอันตรายและมีพลังมากจนทำให้ปลายไม้เท้าที่เธอถืออยู่แตกออก พลังมหาศาลไหลผ่านมือของเธอทำให้มันสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ขณะที่เธอพยายามจับไม้เท้า “อ๊าก!”หญิงชราเซถอยหลังไปสองสามก้าว มือขวาของเธอสั่นไม่หยุด เธอจ้องไปที่เฟนด์ด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวและความเคารพในเวลาเดียวกัน ความแข็งแกร่งของเฟนด์นั้นน่าประทับใจ ความเร็วของเขาก็เร็วราวกับสายฟ้า เธอยังรู้สึกได้ว่า เฟนด์กำลังสนุกกับเธอและเขายังไม่แสดงความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเขาออกมา ความแข็งแกร่งอันทรงพลังที่ถูกซ่อนไว้อย่างสมบูรณ์แบบ “หืมม? จะเอาไงต่อ? ยอมแพ้?” เฟนด์ส่งยิ้มนิด ๆ ให้เธอและพูดด้วยน้ำเสียงไม่ใส่ใจ “โอ้ พระเจ้า! เด็กคนนี้ไม่แข็งแกร่งมากเกินไปเหรอ? เขาทำให้ไม้เท้าของยายเฒ่าคาสเตลลาโนแตกได้!” กลุ่มคนที่ดูอยู่อดที่จะอุทานออกมาไม่ได้ การต่อสู้ระหว่างเฟนด์กับยายเฒ่าคาสเตลลาโนช่างน่าสนใจจริง ๆ “ไม่มีทาง! อย่าบอกนะว่ายายเฒ่าคาสเตลลาโนเอาชนะทหารที่เกษียณอายุแล้วคนนี้ไม่ได้?” บางคนเริ่มขมวดคิ้วขณะที่พวกเขาแสดงความสงสัยออกมา เพราะยังไงเสีย พวกเขาไม่เคยเห็นยา
เฮคเตอร์คิดว่ามันคงจะเพียงพอแล้วถ้าเขายอมทำตามข้อเรียกร้องของเฟนด์ แล้วเขาคงจะปล่อยพวกเขาไป เขาไม่คิดว่าเฟนด์จะพูดเรื่องอื่นอีก เฟนด์มองไปรอบ ๆ และสังเกตว่าผู้ชายที่ติดตามลูก้าเมื่อวานนี้ไม่อยู่แถวนี้ เขาคิดว่าพวกเขาคงไปที่โรงพยาบาลเพื่อดูเพื่อนที่ได้รับบาดเจ็บ “มีอะไรผิดปกติเหรอ? อย่าบอกนะว่าคุณอยากได้เงิน?” เฮคเตอร์พูดด้วยรอยยิ้มเย็นชา “เฮ้ ฉันต้องการเงินจริง ๆ นั่นแหละ!” เฟนด์หัวเราะ “คนของคุณเป็นหนี้ฉันห้าหมื่นเหรียญ เมื่อวานนี้พวกเขาจ่ายเงินแค่ล้านเดียวยังไม่ได้เลย ช่างน่าอับอายเสียจริง!” “คุณเป็นคนที่เอาชนะลูก้างั้นเหรอ?” สีหน้าของเฮคเตอร์มืดลง เขาแทบจะเป็นลมเพราะโกรธจัด เขาคิดว่าวันนี้เขาช่างโชคร้ายจริง ๆ ที่ได้เจอกับนักรบที่แข็งแกร่งและกล้าหาญเช่นนี้ เขาวางแผนที่จะทรมานคนที่ข่มขู่ลูก้าซะหน่อย เอาให้มันตาย แต่เขาไม่คิดว่าเฟนด์จะเป็นคนคนเดียวกับคนที่ข่มขู่ลูก้าและลูกน้องของเขา ซวยซ้ำซวยซ้อนจริง ๆ พวกเขาทำให้คนคนเดียวกันโกรธถึงสองครั้ง “ใช่แล้ว มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญเหรอ?” เฟนด์แสยะยิ้มอย่างเย็นชา “คุณไม่เพียงแต่ต้องให้เงินฉันห้าหมื่นเหรียญเท่านั้น แต่คุณยังต้อ
ตราบใดที่มันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการบ่มเพาะโอสถของเขา ทั้งสองคนจะทำอะไรตามต้องการก็ย่อมได้ สิ่งนั้นไม่กระทบอะไรกับเขาเลย“ถึงฉันจะดูแคลนหมอนี่ แต่เขาก็ยังกล้าเสมอ เขาก็คงจะมีความสามารถอยู่บ้าง เขาน่าจะผ่านสองขั้นตอนแรกได้อย่างไม่มีปัญหา” เกรย์สันพูดอย่างชัดเจนรูดี้มองไปที่เกรย์สันด้วยรอยยิ้มเย็นชาบนใบหน้าแล้วตอบว่า "นายดูมั่นใจกับหมอนี่มากเลยนะ ฉันจะคิดว่าทุกครั้งที่เขาพูดก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเรื่องไร้สาระทั้งหมด“ฉันคิดว่าเขาอาจจะไปถึงขั้นที่สองก่อนที่เขาจะล้มเหลวโดยสิ้นเชิง! ฉันอยากเห็นจริง ๆ ว่าถ้าล้มเหลวขึ้นมา เด็กสารเลวคนนี้จะสู้หน้าเราได้ยังไง”เกรย์สันสูดหายใจเข้าลึก ๆ เขารู้สึกได้ว่าความโกรธของรูดี้ที่มีต่อเฟนด์นั้นลึกซึ้งกว่าของเขามากดวงตาของรูดี้ลุกเป็นไฟ เห็นได้ชัดว่าเขาเกลียดเฟนด์มากเพียงใดเกรย์สันหัวเราะอย่างเย็นชา "แล้วมาดูกันว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ฉันคิดว่าเขาน่าจะสามารถไปถึงขั้นตอนสุดท้ายได้ ถ้าเขาสามารถควบรวมอักขระทางยาได้ถึงร้อยเม็ดเขาก็น่าจะมาถึงระดับนั้น"หลังจากที่ทั้งสองพูดเรื่องเหล่านั้นออกมา พวกเขาก็ปิดปากเงียบพร้อม ๆ กับการมองดูเฟนด์โดยไม่พูดอะไรพวกเขามอง
ผู้อาวุโสฮอร์สท์กระแอมเล็กน้อยในขณะที่เขาพูดต่อ “หลังจากที่เธอบ่มเพาะโอสถได้สำเร็จแล้ว ให้นำโอสถมาให้ฉันตรวจสอบ พวกเธอจะมีเวลาในการทดสอบทั้งสิ้นแปดชั่วโมง ถ้าเธอไม่สามารถบ่มเพาะโอสถได้ภายในแปดชั่วโมง ก็จะแปลว่าไม่ผ่านการทดสอบ ดังนั้นอย่าได้ช้าเกินไป”พวกเขาทั้งสามพยักหน้าแทบจะพร้อมกัน หลังจากผู้อาวุโสฮอร์สท์ให้คำแนะนำแล้ว เขาก็จัดให้มีคนงานสองสามคนคอยเป็นคนตรวจ มีผู้ดูแลยืนอยู่ด้านหลังทั้งสามคนเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่ทำอะไรผิดพลาดหลังจากนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็หันกลับมาและไปหาผู้สอบคนอื่น ๆ รูดี้หรี่ตาลง ขณะที่เขาเหลือบมองเฟนด์และพูดว่า "ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการบ่มเพาะโอสถระดับหกคือขั้นตอนสุดท้าย แต่ขั้นตอนแรกก็ไม่ง่ายเช่นกัน ถ้านายรู้ว่าทำไม่ได้ ก็อย่าทำให้ต้องสิ้นเปลืองวัตถุดิบเลย ของพวกนี้ล้วนมีราคาค่างวด ต่อให้นายจะขายตัวเองเป็นทาสก็ยังไม่พอให้ซื้อของพวกนี้!”เฟนด์ถอนหายใจออกเบา ๆ หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านั้น ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าเขาเบื่อเกินกว่าจะอ้าปากพูดด้วยซ้ำ เขาตัดสินใจที่จะเพิกเฉยต่อผู้ชายคนนั้นและทุกสิ่งที่จะออกมาจากปากเขา ถึงโต้ตอบไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี
เกรย์สันหรี่ตาลงขณะที่เขามองเฟนด์ด้วยความโกรธเช่นกัน เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ดูเหมือนว่าวันนี้ นายจะมาที่นี่เพื่อหาเรื่องขายหน้าให้กับตัวเองเท่านั้น"หลังจากพูดจบเกรย์สันก็หันหลังกลับและเงียบไป เสียงความขัดแย้งหยุดลง และทุกคนรอบ ๆ ก็เริ่มกระซิบกระซาบกันผู้อาวุโสฮอร์สท์มองเฟนด์อย่างมีความหมาย ราวกับว่าเขามองเฟนด์ในมุมมองที่ต่างออกไป ทันใดนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็อยากรู้เรื่องของเฟนด์อย่างไม่น่าเชื่อ แต่ในขณะนั้นเขาไม่อาจพูดอะไรออกมาได้เมื่อเขาเห็นว่าทุกคนได้จับกลุ่มกันเรียบร้อยแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็โบกมือแล้วพูดว่า "มากับฉัน!"ทุกคนติดตามผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปเป็นกลุ่ม ๆ ผู้อาวุโสฮอร์สท์เข้าไปในเรือวิญญาณ ภายในเรือเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังรีบร้อนพวกเขาเดินตามหลังผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปอย่างใกล้ชิด เดินลัดเลาะไปตามทางก่อนจะมาถึงห้องกว้างขวางในที่สุด ห้องกว้างขวางมากจนเรียกได้ว่าห้องโถงเลยทีเดียวทันทีที่พวกเขาก้าวเข้าไปในห้อง ทุกคนก็สามารถสัมผัสได้ถึงรังสีของโอสถที่หนาแน่นรอบ ๆ บรรยากาศ พื้นที่ในห้องนี้ใหญ่เกินพอสำหรับพวกเขาแปดสิบคนเฟนด์ประเมินสถานการณ์เล็กน้อย ห้องนี้ใหญ่พอที่จะรองรับคน
พวกเขาถาโถมข้อกล่าวหาและดูหมิ่นมามากเกินไป ถึงเขาจะไม่อยากโต้เถียงกับคนพวกนี้ แต่เขาก็ยังถูกบังคับให้ต้องเงยหน้าขึ้นมาอย่างช้า ๆ อยู่วันยันค่ำเขามองเข้าไปในดวงตาของรูดี้ซึ่งเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน ราวกับเขาเป็นเพียงแมลงในสายตาของรูดี้เฟนด์หัวเราะอย่างเย็นชา “แล้วนายได้ยินเสียงสุนัขที่เห่าดังที่สุดแล้วหรือยังล่ะ?”คำพูดเหล่านั้นสามารถเยาะเย้ยทุกคนที่นั่นได้สำเร็จ เขาเปรียบเทียบกิลเบิร์ตกับสุนัขและเย้ยหยันทุกคนที่ฟังสุนัขตัวนั้นเห่า มันทำให้การแสดงออกบนใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปกิลเบิร์ตเกือบจะลืมความโกรธของตัวเองไปแล้ว เขาไม่อยากจะเชื่ออะไรด้วยซ้ำว่าเฟนด์จะสามารถขจัดคำดูถูกดูแคลนทั้งหมดลงได้ แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นกิลเบิร์ตหันกลับมาจ้องมองเฟนด์ด้วยใบหน้าแดงก่ำจากความโกรธเขาอยากจะตะโกนกลับแต่ถูกรองเหรัญญิกปรามไว้ "ดูเหมือนว่านายจะไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบแล้วสินะ!"ประโยคนั้นเพียงประโยคเดียวก็ทำให้กิลเบิร์ตไม่อาจพูดอะไรออกมาได้อีก กิลเบิร์ตตระหนักได้แล้วว่าเขาได้ทำให้รองเหรัญญิกขุ่นเคืองอย่างหนักหากเขายังคงยืนกรานที่จะต่อปากต่อคำกับเฟนด์ รองเหรัญญิกอาจจะดึงเขาออกไปจริง ๆ แล้วเขาจะ
“สมองหมอนั่นจะต้องมีอะไรผิดปกติจริง ๆ นั่นแหละ เขาคิดจริง ๆ หรือว่าเขาอยู่ในระดับเดียวกับอีกสองคนที่อยู่ตรงหน้าเขา แค่เพราะไปยืนอยู่กลุ่มเดียวกัน? นั่นน่าจะตลกมากเกินไปหน่อยนะ…”“ฉันนึกว่าการทดสอบจะเข้มงวดและจริงจังเสียอีก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะได้เห็นอะไรแบบนี้ ทำเอาฉันขำจนปวดท้องเลยล่ะ…”แอนดรูว์ขมวดคิ้วอย่างรู้สึกอับอาย รองเหรัญญิกโกรธจนตัวสั่นหลังจากได้ยินคำพูดของกิลเบิร์ต เขานึกอยากจะพุ่งตัวไปไปตบกิลเบิร์ตสักสองสามครั้งกิลเบิร์ตเพิกเฉยต่อชื่อเสียงของวิมานโอสถอย่างเห็นแก่ตัวที่สุด พวกเขาแทบอยากจะมุดดินหนี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นี่จะเป็นความอัปยศอดสูที่วิมานโอสถไม่อาจจำกัดทิ้งได้รองเหรัญญิกตะโกนออกไปว่า "หุบปากเดี๋ยวนี้! นายกำลังพูดเรื่องบ้าอะไร ถ้าไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบ ก็ไสหัวไปซะ!"รองเหรัญญิกโกรธมาก ขณะที่เขาพูดเช่นนั้น สีหน้าของเขาดูอดสูอย่างไม่น่าเชื่อ เขายังคิดจะฆ่ากิลเบิร์ตให้ตายเสียเดี๋ยวนี้ เมื่อถูกตำหนิเช่นนั้นก็ทำให้กิลเบิร์ตตระหนักได้ว่าเขาพูดผิดไปถึงกระนั้นก็ไม่มีทางที่เขาจะถอนคำพูดเหล่านั้นกลับคืนมา เขากระแอมเบา ๆ ก่อนที่จะรีบหันศีรษะไปซ้ายทีขวาที อย่างไม่กล้
ไม่มีใครรู้ดีไปกว่ารองเหรัญญิกว่าโอสถระดับหกหมายถึงสิ่งใด ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา วิมานโอสถรับบัณฑิตมาจำนวนนับไม่ถ้วน แต่มีไม่มากนักที่จะได้กลายเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุระดับหกจริง ๆคอนสแตนซ์ยิ้มอย่างมีความหมายขณะที่เขาเอ่ยถาม "รองเหรัญญิกคนนี้มีความสามารถหลากหลายจริง ๆ ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าวิมานโอสถจะมีอัจฉริยะกับเขาด้วย ผมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย"ริมฝีปากของรองเหรัญญิกกระตุก เขาต้องการอธิบายตัวเอง แต่ถ้าเขาบอกว่าเฟนด์ไม่สามารถสกัดโอสถระดับหกได้ และมีเพียงพรสวรรค์ในการสร้างอักขระทางยาเท่านั้น มันคงจะกลายเป็นเรื่องตลกครั้งใหญ่ และทุกคนคงจะหัวเราะเยาะวิมานโอสถเป็นแน่แต่ถ้าเขายังคงดื้อรั้นต่อไป พอถึงเวลาต้องบ่มเพาะโอสถ เฟนด์ก็จะเปิดเผยความจริงข้อนั้นออกมา เมื่อนั้นความอัปยศอดสูก็จะยิ่งหนักข้อขึ้นเขาถึงกับมือสั่น ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยรู้สึกเหมือนตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้มาก่อน เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกกักขังอยู่ในกำแพงอีกสองด้าน ทุกคนคิดว่ารองเหรัญญิกกำลังวางแผนที่จะใช้ความเงียบเพื่อตอบคำถามเมื่อเห็นกับตาว่ารองเหรัญญิกไม่ตอบอะไรออกมาแต่ทว่าคอนสแตนซ์คล้ายกับจะไม่เ
เฟนด์เป็นคนเดียวที่ยังคงยืนอยู่ ขณะนั้นเขาดูคล้ายกับกำลังลังเลและดูเหมือนกำลังรออะไรบางอย่างอยู่ ขณะที่รองเหรัญญิกพูดจบ ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็จ้องมองมาอย่างอยากรู้อยากเห็นแม้ว่าดวงตาของเขาจะดูเป็นประกายมากขนาดไหน แต่เฟนด์ก็ยังคงรู้สึกถึงความเฉียบคมภายใน ราวกับว่าเขาจะถูกตัดสิทธิ์หากเขาไม่ขยับริมฝีปากของเฟนด์กระตุกอย่างช่วยไม่ได้ เขารีรอต่อไปไม่ได้แล้ว จึงได้แต่เดินไปยังพื้นที่ที่เขาวางแผนไว้ก่อนหน้านี้ในตอนแรกเฟนด์ไม่ได้ดึงดูดความสนใจใครมากนัก เขาอาจจะเป็นคนสุดท้ายที่ปรากฏตัวขึ้น ไม่มีใครจำเขาได้ ต่อให้เขาจะมาจากวิมานโอสถ แต่นอกจากคนที่เคยพบเขาแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใครขณะที่เขาเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกต่อไป ทุกคนก็เริ่มจ้องมองไปที่เขา ใบหน้าของรองเหรัญญิกก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นบูดบึ้งเมื่อเขาสังเกตเห็นว่าเฟนด์กำลังมุ่งหน้าไปทางใด“ผู้ชายคนนั้นคิดจะไปต่อหลังรูดี้หรือเปล่า? เขาคิดจะพิสูจน์ตัวเองด้วยการกลั่นโอสถระดับหกด้วยหรือ?”“ก็คงเป็นแบบนั้น เว้นแต่เขาจะเป็นคนโง่เง่าที่ไม่ทันได้ฟังกฎการตัดสินให้ดี ไม่งั้นคงไม่เดินไปแบบนั้นหรอก เขาเป็นใคร ทำไมฉันไม่เคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับเขาเลย
กิลเบิร์ตทำท่าราวกับกลืนแมลงวันเข้าไปสองสามตัว เขาคาดหวังว่ารองเหรัญญิกจะพูดคำเหล่านั้นกับเขาเสียอีก แต่กลับกลายเป็นว่ารองเหรัญญิกไม่ละสายตามามองเขาเลยแม้แต่วินาทีเดียวรองเหรัญญิกฝากความหวังทั้งหมดไว้กับเฟนด์ราวกับว่ากิลเบิร์ตและแอนดรูว์มาที่นี่เพื่อเพิ่มจำนวนคนเท่านั้นแอนดรูว์มีสีหน้าขมขื่นเช่นกัน ในอดีตเขาขัดแย้งกับกิลเบิร์ตมามากมาย และความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ไม่อาจพัฒนาไปในทางที่ดีได้แต่ต้องขอบคุณเฟนด์ที่ทำให้เขาสามารถวางเฉยต่อความแค้นทั้งหมดที่เคยมีได้แอนดรูว์พูดด้วยใบหน้าที่มืดมน “รองเหรัญญิก ดูเหมือนคุณจะฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เฟนด์เลยนะ“แต่คุณก็น่าจะเตือนเฟนด์สักหน่อยว่าต่อให้เขาจะมีพรสวรรค์ค่อนข้างดี แต่ก็ไม่ควรหยิ่งผยองเกินไป”แอนดรูว์โกรธมากในขณะนั้นและอดไม่ได้จริง ๆ ที่จะต้องเอ่ยคำดูแคลนที่สุดเช่นนั้นออกมากิลเบิร์ตกล่าวเสริมอย่างรีบร้อนทันที “แอนดรูว์พูดถูก แม้ว่าพรสวรรค์ของเฟนด์จะค่อนข้างดี แต่เขาก็ไม่ควรหยิ่งผยองนัก คำพูดพวกนั้นไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด”เฟนด์ถึงกับพูดไม่ออกเมื่อถูกคนทั้งสองเหยียบย่ำ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเฟนด์ไม่ได้เอ่ยปากเลยสักคำ แล้วเขาจะเอาเวลา
ในตอนแรก คอนสแตนซ์และซีนย์เพียงยืนเคียงข้างกันโดยไม่สนใจเรื่องนี้ พวกเขาต้องการปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินต่อไปอย่างที่ควรจะเป็น แต่เมื่อว่าเกรย์สันและรูดี้เริ่มเถียงกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งสองคนก็ถูกบีบให้ต้องทำอะไรสักอย่างพวกเขาถูกบีบให้ต้องแยกรูดี้และเกรย์สันออกจากกัน นั่นก็เพราะ การทะเลาะกันของเด็ก ๆ ควรจะมีขีดจำกัด เพราะหากมันเกินขีดจำกัดไปแล้ว นั่นจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของพวกเขา นี่คือสิ่งที่รูดี้และเกรย์สันเองก็ไม่อยากเห็นเป็นเวลาเกือบสิบห้านาทีแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์นั่งบนเก้าอี้ ขณะมองดูการทะเลาะวิวาทและการพูดคุยกันอย่างเฉยเมย เมื่อหมดเวลาเขาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้เสียงปรบมือดังขึ้นตอนที่เขาจะพูดว่า "เอาล่ะ หมดเวลาแล้ว ทุกคนต้องตัดสินใจได้แล้วว่าจะพิสูจน์ความสามารถของตัวเองยังไง”“ฉันไม่คิดว่าฉันจะต้องบอกอะไรพวกนายทุกอย่างหรอกนะ ตอนนี้ก็แยกออกเป็นกลุ่มเสีย ผู้ที่ต้องการรวมอักขระทางยาจะยืนอยู่ทางทิศตะวันออก“ผู้ที่ต้องการแยกแยะวัสดุสามารถยืนอยู่ตรงกลางได้เลย และหากจะพิสูจน์ตัวเองด้วยกันบ่มเพาะโอสถให้ไปยืนที่ทางทิศตะวันตก“ถึงอย่างนั้นฉันก็ต้องขอเตือนทุกคนก่อน หากทุกคนต้องการ